แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีผู้ชายคนหนึ่ง แม่อายุเกือบ 90 มีโรคประจำตัวคือเบาหวาน ลูกชายก็พยายามควบคุมอาหารของแม่ โดยเฉพาะของหวานหรือน้ำตาล ให้แม่กินของหวานแต่น้อย อาหารส่วนใหญ่ก็จืดๆ ของหวานหรือขนมก็ไม่ค่อยมี
วันหนึ่งแม่ก็เลยพูดกับลูกว่า ข้าวเหนียวทุเรียนแม่ก็ชอบนะ กล้วยบวชชีแม่ก็ชอบ ทองหยิบทองหยอดแม่ก็ชอบนะ ให้แม่กินเถอะอีกไม่นานแม่ก็ตายแล้ว ลูกชายก็ใจอ่อน เลยหาของหวานที่แม่ชอบให้แม่ได้กินบ้าง
อยู่มาวันหนึ่งลูกชายเห็นว่าแม่อายุมาก เวลาก็เหลือน้อย อยากให้ได้โอกาสพบธรรมะ ได้ไปปฏิบัติธรรม ก็เลยชวนแม่ไปฟังธรรม ไปเจริญสติ เข้าคอร์สทำกรรมฐาน พอแม่รู้เข้า แม่ก็บ่ายเบี่ยงบอกว่า โอ๊ยยังไม่ต้องก็ได้ แม่ยังอยู่ได้อีกนาน
เหตุผลของแม่ทั้งสองกรณี ตรงข้ามกันเลยว่า จะกินของหวานก็บอกว่าแม่ใกล้จะตายแล้วให้แม่กินเถอะ แต่พอจะชวนไปปฏิบัติธรรมก็บอกว่าแม่ยังอยู่ได้อีกนาน ยังไม่รีบตายหรอก วันหลังก็ได้ ความคิดของคนเราบ่อยครั้งดูดีมีเหตุผล แต่ว่ามันมักจะเป็นอุบายของกิเลส กิเลสมันก็สรรหาเหตุผลที่ดีๆ บางครั้งก็ไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นเชื่ออย่างเดียว แต่ว่าให้ตัวเองคล้อยตามไปด้วย
เป็นไปได้ว่าคุณยายคนนี้ก็คงเชื่อสิ่งที่แกได้พูดออกไป ก็เป็นไปได้ว่า จะเป็นข้ออ้างเพื่อที่จะได้ทำตามกิเลสต่อไป ได้กินของที่ชอบ แล้วก็จะได้ไม่ต้องไปปฏิบัติธรรมให้มันเหนื่อยให้มันยาก แต่บ่อยครั้งเจ้าตัวก็เชื่อจริงๆในความคิด เพราะว่ามันมีเหตุมีผล แต่ว่ามันเป็นเหตุผลที่สนองกิเลสโดยที่เจ้าตัวอาจจะไม่รู้ก็ได้
เพราะฉะนั้น ความคิดแม้จะดูดี มีเหตุผล เราก็ยังเชื่อมันไม่ได้ 100% เมื่อวานก็ได้พูดไปแล้วว่า ความคิดเป็นบ่าวที่ดี แต่เป็นนายที่เลว ถ้าเราเชื่อความคิดทุกอย่างในหัว มันก็กลายเป็นนายเราได้ไม่ยาก เพราะว่ามันก็สามารถจะบงการให้เราทำนั่นทำนี่ เพื่อสนองความต้องการของมัน หรือสนองความต้องการของกิเลสที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง
บางครั้งความคิดที่เกิดขึ้นมาในใจ มันอาจจะไม่ใช่แค่สนองกิเลส ที่เป็นความอยากกินของอร่อยๆ หรือว่าสนองกิเลสที่อยากจะสบาย ไม่อยากจะลำบาก ไม่อยากจะเข้าวัดทำกรรมฐานหรือปฏิบัติธรรม แต่มันเป็นกิเลสที่นำไปสู่การเบียดเบียนผู้อื่น หรือว่าการทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ได้ คนเราบางครั้งก็ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพราะว่ามันดูมีเหตุมีผล
หลายคนไปเจอคนป่วยที่เป็นลมอยู่กลางถนน หรือริมฟุตบาท หรือว่าในสถานที่สาธารณะ เขาก็เดินผ่าน ไม่ได้คิดจะช่วยอะไรเลย โดยใช้เหตุผลว่า ถึงเราไม่ช่วยคนๆนั้น คนอื่นก็จะช่วยเขา เพราะฉะนั้นฉันไม่ช่วยดีกว่า ฉันก็เดินผ่าน
ที่จริงไม่ต้องถึงขั้นว่าเจอคนเป็นลมอยู่ริมถนน เอาแค่ว่ากำลังนั่งอยู่ในรถไฟฟ้า รถประจำทาง เห็นคนชรา เห็นหญิงมีครรภ์ขึ้นมา ดูทุลักทุเล ไม่มีที่นั่ง เขาก็บอกว่าคนที่นั่งอยู่ในรถในขบวนนั้น ก็ไม่มีใครลุกให้เลย บางคนก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น บางคนแกล้งอ่านหนังสือดูโทรศัพท์ ก็รู้อยู่ แต่ทำไมไม่ลุก สละที่นั่งให้กับคนแก่หรือหญิงมีครรภ์ เพราะเขาก็อาจมีเหตุผลว่า ถึงฉันไม่ลุก คนอื่นก็ลุก เพราะฉะนั้นฉันไม่ลุกดีกว่า
มันเป็นเหตุผลที่ดูดี ดูมีความคิดที่มีเหตุผล แต่ในคนๆเดียวกันนั้น ในบางกรณีเขาก็ใช้เหตุผลเดียวกันในการทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่น เป็นพนักงานไปซื้อของเข้าบริษัท หรือเป็นข้าราชการ ร้านเขามีค่าคอมมิชชั่นให้เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ซื้อของร้านนั้น หลายคนก็รู้ว่าเป็นคอรัปชั่่นแบบหนึ่งแต่ก็รับ เพราะมีความคิดและเหตุผลว่าถึงฉันไม่ทำ คนอื่นก็ทำ เพราะฉะนั้นฉันทำดีกว่า
บางคนไม่ใช่แค่รับค่าคอมมิชชั่น บางคนถึงกับทุจริตเลย เดี๋ยวนี้ทุจริตเกิดขึ้นทั่วไปหมดในทุกวงการ เหตุผล หลายคนที่มีความคิดว่า ถึงฉันไม่ทำ คนอื่นก็ทำ ถึงฉันไม่เอาคนอื่นก็เอา เพราะฉะนั้นฉันเอาดีกว่า สังเกตเวลาทำดีก็ใช้เหตุผลในการที่จะปฏิเสธการทำความดีช่วยคนอื่น ถึงฉันไม่ช่วย คนอื่นก็ช่วย ถึงฉันไม่ลุกที่นั่งไม่สละที่นั่งให้ คนอื่นก็สละให้ เพราะฉะนั้นฉันไม่ต้องสละดีกว่า เป็นเหตุผลที่จะไม่ทำความดี
แต่เหตุผลเดียวกันใช้เพื่อทำความชั่ว ถึงฉันไม่รับคอมมิชชั่นคนอื่นก็รับ เพราะฉะนั้นฉันรับดีกว่า ถึงฉันไม่โกง คนอื่นก็โกง เพราะฉะนั้นฉันโกงดีกว่า อันนี้ก็เป็นความคิดซึ่งดูดีมีเหตุผล แต่พอมาเปรียบเทียบกันแล้ว มันชี้ให้เห็นเลยว่าเป็นความคิดที่เจือไปด้วยกิเลส หรือว่าเป็นอุบายของกิเลส ความเห็นแก่ตัว ความโลภ และหลายคนก็เชื่อจริงๆในความคิดเหล่านั้น
สุดท้ายก็เลยถลำตกอยู่ในอำนาจกิเลสหนักขึ้นเรื่อยๆ หรือว่าทำผิดทำชั่วหนักขึ้น อันนี้เรียกว่าเป็นเพราะไปหลงเชื่อความคิด ซึ่งมันดูดีมีเหตุผล เพราะฉะนั้นความคิดแม้ดูจะดีมีเหตุผล แต่ถ้าเราเชื่อมันทุกเรื่อง เราก็จะแย่ได้คือ ถูกกิเลสครอบงำ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักทักท้วงความคิดบ้าง อย่าไปเชื่อมันทุกอย่าง ความคิดบางอย่าง มันก็นำเราไปสู่การกระทำที่ดี แต่ว่ามันก็สร้างปัญหาในตัวเองถ้าเราไปเชื่อมันมาก
สมัยที่หลวงพ่อชามีชีวิตอยู่ที่วัดหนองป่าพง ก็มีผู้หญิงหลายคนมาขอบวชชี มาขออยู่ที่วัด บางคนก็อยู่หลายเดือน บางคนก็จะขออยู่ตลอดชีวิตเลยเพราะเบื่อโลกแล้ว สาเหตุจริงๆคือไปทะเลาะกับสามี ก็เลยอยากจะมาอยู่วัด เจอกรณีเหล่านี้ หลวงพ่อชาก็จะท้วง แนะนำว่า อย่าเพิ่งตัดสินใจอยู่ตลอดชีวิต ให้ทดลองอยู่ก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ อย่าเพิ่งปักใจว่าจะอยู่นานๆ
แต่ส่วนใหญ่ก็ยืนยันว่า จะอยู่วัดจะบวชไปจนตาย พอได้บวชสักพัก สามีมางอนง้อ ก็เก็บผ้าเก็บผ่อน กลับบ้านเลย ที่บอก ยืนกรานว่าจะบวชตลอดชีวิต ก็ไม่สนใจแล้ว ลืมไปเลย บางคนสามีไม่ได้มางอนง้อ แต่พออยู่ไปนานๆก็คิดถึงลูกคิดถึงสามี สุดท้ายก็กลับบ้าน อยู่แค่ไม่กี่เดือนทั้งที่ยืนยันเหมือนกับหัวเด็ดตีนขาดจะบวชไปจนตาย
อันนี้เกิดขึ้นบ่อย จนหลวงพ่อชาท่านบอกว่า อย่าไปเชื่อจิตของเรา ถ้าปล่อยให้ความคิดเป็นนายเรา ก็จะเป็นอย่างนี้ คือหลงเชื่อความคิด พอความคิดเป็นนายเรา ก็สามารถบงการให้เราทำอะไรก็ได้ อยากจะบวชตลอดชีวิต มันมีความคิดนี้ขึ้นมาก็เชื่อมัน ที่ไปยืนยันกับหลวงพ่อชาว่า ไม่ทดลองอยู่ก่อน บวชเลยตลอดชีวิต เสร็จแล้วก็เปลี่ยนใจภายหลัง เพราะความคิดก็ไม่แน่นอนเหมือนกัน
คนเรา ถ้าเชื่อความคิดง่ายๆ มันก็อาจจะกลายเป็นคนที่โลเล เพราะว่าความคิดเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มันไม่แน่นอน วันนี้อย่างบวช พรุ่งนี้อยากกลับบ้าน ไม่ใช่แม่ชีอย่างเดียว พระก็เป็น มาปฏิบัติ ทำได้ไม่กี่เดือนหรือไม่กี่อาทิตย์ แหม จิตใจสงบมาก ก็เลยตั้งใจจะบวชตลอดชีวิต หรือบางคนประกาศว่าจะบวชจนถึงนิพพาน ถ้ายังไม่บรรลุธรรม ยังไม่ถึงนิพพานก็จะไม่สึก อะไรทำนองนี้
แต่พอมาบวชได้ไม่ถึงพรรษา อารมณ์กรรมฐาน อารมณ์ภาวนาเปลี่ยน ความคิดก็เลยเปลี่ยนไปด้วย บางทีมีเรื่องขัดแย้งกับคนในวัด ความคิดที่ว่าวัดเป็นที่วิเศษประเสริฐที่สุดก็เปลี่ยน เป็นว่าวัดนี้ก็ไม่ต่างจากที่อื่นเลย อย่างนี้กลับไปอยู่บ้านดีกว่า ที่บอกว่าจะบวชตลอดชีวิต ก็เปลี่ยนใจ สึกไป ทั้งๆที่บวชแค่พรรษาเดียวนี้ก็มีเยอะ กลายเป็นคนโลเล เพราะว่าอะไร เพราะว่าเชื่อความคิด
ความคิดมันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ แต่ก็มีบางคนที่ปักใจอยู่กับความคิดมาก ยึดมั่นถือมั่นกับความคิด จนกระทั่งกลายเป็นคนที่คับแคบหรือหัวดื้อไปเลยก็มี อันนี้ก็เพราะว่าโดนความคิดมันหลอก เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่อยากให้ความคิดเป็นนายเรา ต้องรู้จักทักท้วงมันบ้าง อย่าไปเชื่อมัน แล้วก็อย่าไปเอาจริงเอาจังกับมันมากเกินไป จนกระทั่งยึดมั่นถือมั่น
เพราะถ้าหากความคิดเป็นนายเราเมื่อไหร่ มันก็จะพยายามบงการเราให้ทำตามอำนาจของมัน อะไรได้ก็จะเอาให้ได้ บางทีมันสั่งให้ด่าก็ด่า มันสั่งให้ขโมยก็ขโมย มันสั่งให้ทำนั่นทำนี่ซึ่งไม่ถูกต้องก็ทำ เช่น เสพยา หรือว่าหมกมุ่นกับอบายมุข แต่ถึงแม้จะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น แต่ถ้าเชื่อมันทุกเรื่อง มันก็แย่เหมือนกัน
บางครั้งมันก็ไม่ได้บงการให้เราทำตามอำนาจของมัน แต่บงการให้เราคิดปรุงต่ออายุมันไปเรื่อยๆ เพราะความคิดก็อยากจะมีอายุยืนยาวเหมือนกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เพราะฉะนั้นมันก็ใช้ใจของเราให้คิดๆๆๆ บางทีคิดเรื่องเดียวกันนั้นแหละ คิดวกวนไปวนมา ไม่จบไม่สิ้นสักที จากคิดเรื่องนั้นกระโดดไปเรื่องโน้น คิดไปเรื่อย ขอให้ได้คิดจนนอนไม่หลับ
เดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ความคิด แต่ปล่อยให้ความคิดมาใช้เรา ใช้เราทำตามอำนาจของมัน หรือว่าปรุงแต่งมันไปเรื่อยๆ หรือใช้เราเพื่อปกป้องมัน หรือใช้เราเล่นงานความคิดอื่นที่ต่างจากมัน คนอื่นเขามีความคิดอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าเกิดว่า มันจะมาบั่นทอนหรือเป็นภัยต่อความคิดที่อยู่ในหัวของเรา ความคิดในหัวของเราก็จะสั่งให้เราเล่นงานความคิดของคนๆนั้น หรือบางทีก็เล่นเจ้าตัวเลย เช่น ด่าประนาม จนกระทั่งเกิดการทะเลาะวิวาทกัน
เมื่อหลายปีก่อนมีชายสองคนเป็นเพื่อนกัน คนหนึ่งก็เชียร์ทักษิณ อีกคนหนึ่งไม่เห็นด้วย วิจารณ์ทักษิณ คุยกันในวงเหล้า ทีแรกก็คุยกันดีๆ ตอนหลังก็ทะเลาะวิวาทกัน คนที่มีความคิดว่าทักษิณดี ก็พยายามปกป้องความคิดนี้ แล้วก็พยายามเล่นงานอีกคนหนึ่งซึ่งคิดต่างจากตัว ส่วนอีกคนหนึ่งก็เหมือนกัน ที่มีความคิดว่าทักษิณไม่ดี ก็ต้องเล่นงานคนที่สนับสนุนทักษิณ ด่ากันไปด่ากันมา สุดท้ายก็ต่อยกัน
พอต่อยกันก็บาดเจ็บ ก็โกรธ เอาเครื่องทุ่นแรง มีด ค้อน มาฟาดกัน สุดท้ายก็ตายไปข้างหนึ่ง เพื่อนกันแท้ๆ แต่ฆ่ากันเพราะอำนาจของความคิด ความคิดสั่งให้เล่นงานอีกคนหนึ่ง เพราะว่าคนนั้นมีความคิดที่คุกคาม เป็นภัยต่อความคิดของตัว อันนี้เป็นทาสของความคิด มันชัดเลย ไม่ใช่แค่ความคิดพาเราไปเสพยาหรือไปทำชั่วผิดศีลอย่างเดียว บางทีมันก็สั่งให้เราปกป้องตัวมัน ด้วยการไปทำร้ายคนอื่น
เดี๋ยวนี้เราก็เห็นเยอะ การทะเลาะวิวาทกันเพราะความคิดที่ต่างกัน ยอมตัดพี่ตัดน้อง ตัดพ่อตัดลูก เพียงเพราะคิดไม่เหมือนกัน อันนี้เป็นผลของการที่ไปเชื่อความคิด หรือปล่อยให้ความคิดเป็นนาย จนกระทั่งยอมที่จะปกป้องมันด้วยทุกวิถีทาง รวมทั้งการทำร้ายคนที่คิดต่างจากตัว หรือมีความคิดที่ต่างจากสิ่งที่อยู่ในหัวของตัว เพราะฉะนั้น ถ้าเราปล่อยให้ความคิดเป็นนายเรา มันแย่
การที่เราจะเป็นนายความคิดได้ ก็ต้องอาศัยการรู้ทันความคิด เราจะทักท้วง เราจะไม่เชื่อความคิด หรือเราจะเป็นนายความคิดได้ เราต้องรู้ทันมันก่อน เพราะถ้าเรารู้ทันมันเมื่อไหร่ มันก็มาเป็นนายเราไม่ได้ แม้ความคิดจะดี แต่ถ้ามันมาเป็นนายเรา ก็แย่ เพราะมันสามารถจะทำให้เราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ได้
หลวงพ่อเฟื่อง โชติโก ท่านพูดไว้ดีว่า ความคิดของเราแม้จะถูก แต่ถ้ายึดเข้าไว้ มันก็ผิด อันนี้เอาไปคิดดู ทำไมถึงยึด เพราะถูกมันหลอก พอเราไม่รู้ทันความคิด เราก็ไปหลงเชื่อว่าความคิดเป็นเราเป็นของเราตรงนี้แหละที่ทำให้ความคิดมีอำนาจเหนือเรา พอไปคิดว่าความคิดเรา เป็นเราเป็นของเรา เราก็เสร็จมันเลย เราก็จะพยายามปกป้องหวงแหนพิทักษ์มัน เพราะพิทักษ์มันก็คือพิทักษ์ตัวเรา
มันหลอกให้เชื่อว่า มันคือเรา ความคิดคือเรา ความคิดคือกู ความคิดของกู ที่จริงมันไม่ใช่ ถ้าเรารู้ทันความคิด เราจะเห็นว่า มันก็เป็นสักแต่ว่า ความคิดเกิดขึ้นมาในใจ ซึ่งไม่เที่ยง แล้วก็แปรเปลี่ยนไป ไม่แน่นอน ถ้าเรามีสติ เห็นมัน เราจะรู้ชัดเลยว่ามันไม่ใช่เรา แต่พอไม่เห็น พอไม่มีสติ พอลืมตัวเข้า มันก็ไปหลงว่า มันเป็นเรา พอไปหลงว่ามันเป็นเรา มันก็มีอำนาจเหนือเราทันที เป็นนายเรา
การเห็น หรือการรู้ทันความคิด เป็นสิ่งสำคัญมากทีเดียว แล้วถ้าเรารู้ทันความคิดได้ ต่อไปเราก็จะรู้ทันกิเลสได้ไม่ยาก เพราะกิเลสมันก็อยู่เบื้องหลังความคิดหลายๆอย่าง หรือมันก็ใช้ความคิดเป็นเครื่องมือ ถ้าเรารู้ทันความคิด เราก็จะรู้ทันกิเลส รวมทั้งรู้ทันอารมณ์ต่างๆที่ทำให้เกิดทุกข์ พูดง่ายๆคือรู้ทันความทุกข์หรือรู้ทุกข์ได้
เพราะฉะนั้น ให้เราพยายามฝึกใจให้รู้ทันความคิด ถ้าเราทำอย่างนั้นได้ การใช้ความคิด มันก็จะเป็นไปได้ แต่ถ้าไม่รู้ทันความคิด ความคิดมันก็จะใช้เรา เราใช้ความคิดกับความคิดใช้เรา ต่างกันมาก ถ้าเรามีสติเราเป็นนายมัน เราก็ใช้ความคิดทำประโยชน์ได้สารพัด แต่ถ้าเราไม่มีสติไม่รู้ทัน หลงเข้าไปในความคิด เชื่อมัน มันก็เป็นนายเรา แล้วก็ใช้เราเพื่อสนองกิเลสบ้าง หรือว่าใช้เราทำในสิ่งที่ต้องเสียใจในภายหลัง หรือพาเราเข้าไปมีชีวิตที่ย่ำแย่เลยก็ได้
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 4 สิงหาคม 2564