แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนเราทุกคนล้วนปรารถนาความสุข แต่เวลานึกถึงความสุข เราก็มักคิดว่า จะมีความสุขได้ ก็ต้องเจอโชคเจอลาภ เจอคนที่ใช่หรือเจอเนื้อคู่ หรือเจองานที่ถูกใจ จึงจะมีความสุข แต่ที่จริงแล้วเจอสิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่สำคัญเท่ากับการเจอตัวเอง หรือการค้นพบตัวเอง
ไม่ใช่เพียงแค่การพบว่าความสุขมีอยู่ที่ใจของเราแล้ว หรือว่าค้นพบสิ่งดีๆในตัวเราเท่านั้น แม้แต่การพบหรือการค้นหาเจอด้านมืดหรือความเปราะบางของตัวเอง หรือความทุกข์ มันก็เป็นหนทางสู่ความสุขได้
มีชาวฮอลแลนด์คนหนึ่ง แกเกิดที่เวียดนาม แล้วพอเกิดสงครามเวียดนาม แกก็อพยพลี้ภัยมาอยู่ประเทศฮอลแลนด์ พอโตขึ้นก็สนใจพระพุทธศาสนา แล้วก็ไปบวชกับท่านติชนัทฮันห์ที่หมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส บวชได้หลายปี ตอนหลังก็สึกแล้ว ก็กลับมาที่บ้าน ไม่ใช่เรียกว่าบ้านเกิด กลับมาที่ประเทศฮอลแลนด์
แล้วก็ได้เป็นอนุศาสนาจารย์ อนุศาสนาจารย์มีหน้าที่ให้คำปรึกษาทางจิตใจแก่ผู้ต้องขังนักโทษ อนุศาสนาจารย์ชื่อคุงลู แกก็มีโอกาสได้ไปให้คำแนะนำแก่นักโทษอาทิตย์ละครั้ง ครั้งหนึ่งก็ไม่นานแค่ 1-2 ชั่วโมง แล้วแกก็ใช้โอกาสนี้นอกจากสนทนาพูดคุยกับนักโทษแล้ว ก็ยังชวนภาวนาด้วย ด้วยการเจริญสติอาศัยลมหายใจ ให้กำหนดรู้ตามรู้ลมหายใจ
ขณะเดียวกันก็ให้เปิดใจรับทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเข้ามาในจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ต่างๆ อารมณ์บวกอารมณ์ลบก็ตาม ไม่เว้นแม้กระทั่งความโกรธ ความรู้สึกผิด ความท้อแท้ ความผิดหวัง ให้เปิดรับ ยอมรับโดยที่ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน ก็แค่ให้เห็นให้รู้ คล้ายๆกับที่หลวงพ่อเทียนหลวงพ่อคำเขียนสอน ให้รู้ซื่อๆ หรือว่าให้เห็น ไม่เข้าไปเป็น
การเข้ามาภาวนา นี้ก็สมัครใจ ไม่มีการบังคับ ตอนแรกมาไม่กี่คน แต่ตอนหลังมามากขึ้นเรื่อยๆ มีคราวหนึ่งหลังจากที่ทำเจริญสติกันเสร็จเรียบร้อย ครบชั่วโมง ก็มีนักโทษคนหนึ่งชื่อฮัน ก็มาคุยกับอนุศาสนาจารย์คนนี้ เขาบอกว่า ผมไม่มีความโกรธ คุงลูก็เลยตอบว่า ผมว่ามีนะ แต่คุณไม่รู้ตัวว่าคุณมีความโกรธ
พูดเท่านี้ ฮันก็ตะลึงแล้วก็ร้องห่มร้องไห้ กอดคุงลู ฮันอายุราว 50 ท่าทางดูภูมิฐาน เพราะว่าเขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เป็นคนที่ลูกน้องและเจ้านายให้ความเคารพ เพราะว่าเขาเป็นคนที่สงบเยือกเย็น แต่ทำไมถึงเข้าคุก เพราะว่าวันหนึ่ง เขาเกิดเดือดดาล ทุบตีภรรยา แล้วก็ทำร้ายจนเกือบตาย เขาบอกว่าที่เขาทำร้ายลงไป ไม่รู้ว่าความโกรธมาจากไหน
แม้ถึงเพียงนั้น เขาก็ยังพูดว่า ผมทำอย่างนั้นไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ พอเขาเล่าเสร็จ เขายังพูดอีกว่า แต่ผมก็ไม่มีความโกรธ นี่ขนาดทำร้ายภรรยาเกือบตาย ยังไม่รู้ตัวว่าโกรธ แล้วก็ไม่ยอมรับด้วย เพราะว่าเขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ใครๆก็เคารพเพราะเห็นดูเขาเป็นคนสงบเยือกเย็นนิ่งในทุกสถานการณ์
อาจจะเรียกได้ว่า ความที่ภูมิใจในความสงบเยือกเย็น มันก็ทำให้เขาไม่ยอมรับว่า ตัวเองมีความโกรธ ทั้งๆที่แสดงตัวชัดเจนอยู่แล้วถึงขั้นทำร้ายภรรยาจนกระทั่งต้องติดคุก แต่หลังจากที่เขาเจริญสติทุกอาทิตย์เป็นเวลา 3 อาทิตย์ได้ เขาก็ได้เห็นความโกรธของตัว เห็นความโกรธที่มันเกิดขึ้นในใจ เขาบอกว่าเป็นครั้งแรกที่เห็นความโกรธ แล้วเขาก็รู้สึกดีใจ ทั้งๆที่มันก็คือด้านมืดของตัวเอง แต่เขาดีใจที่ได้เห็นตัวเอง
เขาบอกว่า การที่เขาติดคุก เขาก็เสียอะไรหลายอย่าง สูญเสียหลายอย่างมากมาย แต่เขาก็ดีใจที่ได้ค้นพบตัวเอง ค้นพบว่ามันมีความโกรธที่ฝังลึกอยู่ในใจ ได้ค้นพบสิ่งที่เรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เขาปฏิเสธ มันอยู่กับเขา อยู่กับจิตใจของเขามานาน แต่เขาปฏิเสธ ไม่ยอมรับ
และเป็นเพราะเหตุนี้ ก็เลยเก็บกด มันกดข่มเอาไว้ถ้าพูดภาษาชาวบ้านคือติดดี ติดดีว่าฉันเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ฉันไม่มีความโกรธ ฉันเป็นคนสงบเยือกเย็น จะมีความโกรธได้อย่างไร ทุกครั้งที่มีความโกรธเกิดขึ้นก็กดเอาไว้ ข่มเอาไว้ ไม่ยอมรับ ปฏิเสธมัน
คงเพราะเหตุนี้ ความโกรธก็เลยอัดแน่นอยู่ในอาการเก็บกด แล้ววันดีคืนดีก็ระเบิดออกมากับภรรยา เก็บกดความไม่พอใจในภรรยานานอยู่ที่เดียว พอมีอะไรกระตุกกระตุ้นก็ระเบิดถึงขั้นทำร้ายภรรยาเกือบตาย แม้เพียงนั้นก็ยังไม่ยอมรับว่าผมไม่มีความโกรธเลย
คนเราปฏิเสธตัวเองได้ถึงขนาดนี้ เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าอัตตาหรือตัวกู มันไม่สามารถที่จะยอมรับความไม่ดี หรือว่าสิ่งที่เป็นด้านมืดของตัวเองได้ แล้วการเก็บกดแบบนี้ สุดท้ายก็กลับมาทำร้ายตัวเขา เพราะว่าพอระเบิดออกมา เขาก็ลืมตัว ทำร้ายภรรยาจนถึงขั้นติดคุกติดตาราง
แต่พอเขามาเจริญสติ เห็น เห็นความโกรธ แต่ก่อนนั้นก็กดข่ม ปฏิเสธ แต่ว่าพออาจารย์สอนให้เปิดรับมัน ยอมรับมัน แกใช้คำว่าโอบรับเลยน่ะ คล้ายคำว่าโอบกอดเลย คือไม่ปฏิเสธ แต่ต้อนรับ ให้เปิดใจรับ โอบรับหรือต้อนรับทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นในใจ ทำให้เห็นความโกรธในใจของตัวเป็นครั้งแรก
และนี่คือการค้นพบตัวเองที่สำคัญสำหรับเขา มันไม่ใช่ค้นพบอะไรที่ประเสริฐเลย แต่ค้นพบในสิ่งที่มันเป็นด้านมืด แต่ว่าแทนที่จะรังเกียจเดียดฉันท์หรือว่าผลักไส แต่ว่ายอมรับมัน พอยอมรับแล้ว จิตใจก็มีความสุขเพราะว่าเป็นอิสระ
แต่ก่อนพอโกรธ ผลักไสมัน กดข่มมัน มันก็เครียด เพราะมันต้องใช้พลังในการกดข่ม แต่สุดท้ายก็ตกอยู่ในอำนาจของมัน ไหลไปตามแรงผลักของมัน แล้วก็ทำตามคำบงการของมัน ทีแรกก็ผลักไส แต่ว่าตอนหลังก็ไหลตาม มันเป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันเลย เป็นเพราะผลักไสจึงไหลตาม เพราะว่าพอผลักไสมากๆ มันสะสมมากๆ มันก็มีพลังจนสามารถที่จะบงการบังคับใจให้ทำตามอำนาจของมันได้
แต่พอมาเพียงแค่สังเกตมัน ยอมรับมัน ดูมัน เห็นมันแบบรู้ซื่อๆ ซึ่งเป็นทางสายกลาง คือไม่ผลักไส และก็ไม่ไหลตาม ความโกรธก็หมดพิษสง มันก็ค่อยๆละลายหายไป เรียกว่าต่อหน้าต่อตาเลยก็ได้ เขาเลยบอกว่ามันมีความสุขมาก แม้จะสูญเสียอะไรไปมากมาย แต่ก็คุ้ม เพราะว่าได้ค้นพบตัวเองในคุก
เขาพูดไว้ดีว่า เขามีความสุข ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีทุกข์ แต่ว่าเพราะเห็นทุกข์ แล้วก็ยอมรับทุกข์ได้ เพียงแค่เห็นทุกข์ รู้ทุกข์ ก็มีความสุขแล้ว สุขกับทุกข์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ตรงข้ามกัน ถ้าจะพูดแบบหลวงพ่อคำเขียนก็พูดว่า ในทุกข์ก็มีสุข เพียงแต่ว่าเห็นมัน รู้มัน หรือว่าออกรับมันก็ได้ ตามศัพท์ของคุงลูว่า ความสุขก็เกิดขึ้น
ฮันบอกว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่สำหรับตัวเขามาก ไม่ได้ค้นพบอะไร ค้นพบความโกรธที่ตัวเองปฏิเสธมานาน แต่ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เขาต้องยอมรับ พอยอมรับได้ ไม่ปฏิเสธผลักไส ใจก็เป็นอิสระ ก็กลายเป็นว่าทั้งๆที่อยู่ในคุก แต่ว่ามีความสุขแล้ว เพราะว่าค้นพบตัวเอง จากคำแนะนำให้เฝ้าดู สังเกตสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในใจ ไม่ว่าบวกหรือลบ กุศลหรืออกุศล
ในเรือนจำนั้นก็ยังมีอีกคนหนึ่งเป็นนักโทษ ชื่อจอห์น ก่อนติดคุกก็เป็นนักเลงก็ว่าได้ เป็นคนใจร้อน พออยู่ในคุกคนก็กลัว มีอยู่ช่วงหนึ่ง เขานอนไม่หลับและยิ่งรู้สึกแย่เพราะว่าเพื่อนนักโทษที่อยู่ใกล้ๆเปิดเสียงเพลงดังตอนกลางคืน วันหนึ่งเขาก็เลยไปบอกนักโทษคนนั้นว่าให้หยุดเปิดเพลงตอนกลางคืน เพราะว่ามันรบกวนเขา เขาก็พยายามพูดดีๆ แต่หมอนั่นกลับตะโกนด่า แล้วก็รีบเดินกลับเข้าห้องของตัว
จอห์นก็โกรธมาก ตะโกนด่ากลับไป แล้วก็กลับไปที่ห้อง เขาบอกว่า ตอนกลับไปที่ห้อง จะหาทางเล่นงานไอ้หมอนี่ จะต่อยมัน ซัดมัน กำราบมัน จะได้เลิกเหิมเกริม แต่ว่าในช่วงขณะนั้น เขานึกถึงคำสอนของอนุศาสนาจารย์คุงลู บอกว่าให้ดูมัน ให้เห็นมัน ไม่ต้องทำอะไรกับมัน แค่ดูเฉยๆ
ตอนนั้นเขาก็ได้สติ ก็เลยดูมัน แล้วก็เห็นความโกรธมันสงบลงไปเลย ไม่เคยเจอประสบการณ์อย่างนี้มาก่อน แล้วเขาก็ดีใจมากที่นอกจากจะไม่วู่วามทำอะไรลงไป ยังได้พบว่าความโกรธนี่ไม่ต้องทำอะไรกับมัน เพียงแค่เห็นมัน ดูมัน มันก็ดับไปได้
วันรุ่งขึ้น จอห์น ก็เดินไปหาเจ้าหมอนั่น เพื่อนร่วมคุกนี่ก็ลุ้นกันดูแล้วก็สงสัยว่า จะต้องมีการฟาดปากกัน แต่ที่ไหนได้ จอห์นยื่นมือเข้าไป แล้วก็บอกว่าขอโทษนะ ไอ้หมอนั่นก็คงเตรียมจะต่อสู้อยู่แล้ว เตรียมจะสวนด้วยกำปั้นอยู่แล้ว ถ้าหากว่าจอห์นทำอะไรเขา พอจอห์นเข้ามาขอโทษ เขาก็ขอโทษเหมือนกัน แล้วก็ยื่นมือมาจับกัน ก็กลายเป็นว่าที่คิดว่าจะมีการตะลุมบอนกัน มันกลับกลายเป็นการสงบศึก แล้วก็สร้างมิตรภาพ
อันนี้เป็นเรื่องที่น่าทึ่ง คนที่เจ้าอารมณ์โกรธแค้น ชอบอาละวาดชกต่อยจนกระทั่งติดคุกติดตะราง แต่ว่ามาเปลี่ยนพฤติกรรมในคุก อันนี้เพราะอะไร เพราะว่าการได้เห็นตัวเอง ไม่ได้เห็นอะไรที่ประเสริฐเลย แต่เห็นความโกรธที่เกิดขึ้นในใจ แล้วพอเห็นถึงจุดหนึ่ง ก็รู้ว่าความโกรธ มันไม่ใช่เป็นตัวฉัน มันเป็นสิ่งหนึ่งที่จรเข้ามา มันเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นในใจ แล้วมันก็เป็นธรรมดาด้วย
พอเห็นว่าเป็นธรรมดา มันก็ไม่มีความรู้สึกที่จะต้องไปผลักไส กดข่มหรือรังเกียจ ทำให้ใจมันเปิดรับยอมรับได้ พอทำเช่นนั้น อารมณ์เช่นความโกรธ ก็ค่อยๆสงบลง ก็คงคล้ายๆอันธพาลที่พอได้รับการปฏิบัติด้วยดีจากจอห์น แทนที่จะต่อยตี หรือด่าว่าโต้ตอบกลับไป กลับกลายเป็นสุภาพอ่อนโยน ขอโทษ
แม้กระทั่งอันธพาลสงบเสงี่ยมได้ หากได้รับการปฏิบัติในทางที่อ่อนโยน อารมณ์กราดเกรี้ยวก็เหมือนกันพอได้รับการโอบกอด โอบรับ มันก็สงบลงได้เหมือนกัน อันนี้คือสิ่งที่จอห์นเห็น เห็นความโกรธเป็นอย่างนี้เอง เพียงแค่ดู เพียงแค่เห็น เพียงแค่โอบรับหรือว่าเปิดรับ มันก็สงบลง อันนี้เป็นการค้นพบที่สำคัญที่มันเปลี่ยนชีวิตของเขาได้
เพราะฉะนั้น การค้นพบตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ มันไม่ใช่เป็นเรื่องที่พูดเกินเลย ที่พระพุทธเจ้าตรัสกับภัททวัคคีย์ 30 คน มานพ 30 คนที่กำลังตามหาหญิงสาวขโมยเครื่องประดับของมีค่าของตัวเองไป พระองค์ถามว่าระหว่างแสวงหาหญิงสาว กับแสวงหาตัวเอง อะไรจะประเสริฐกว่ากัน อันนี้เป็นคำถามที่สำคัญ เพราะว่า จริงๆแล้ว มันไม่มีการแสวงหา เจออะไร ไม่สำคัญเท่ากับเจอตัวเอง อยู่ที่ว่าค้นพบได้หรือเปล่า
และไม่ต้องค้นพบอะไรที่สวยงาม ประเสริฐเลยก็ได้ เพียงแค่ค้นพบอารมณ์ที่เป็นอกุศลที่เคยรังเกียจเดียดฉันท์มานาน จนกระทั่งต้องกดข่มเอาไว้ ถึงขั้นว่าลืมไปเลย หรือว่าปฏิเสธว่ามีอารมณ์นี้อยู่ในใจ ยิ่งปฏิเสธเท่าไร ก็ยิ่งอยู่ในอำนาจของมัน แต่พอยอมรับ เปิดรับมันได้ ก็เป็นอิสระจากมันได้ แล้วความสุขคือความสงบก็เกิดขึ้นตามมา
เพราะฉะนั้น การเปิดรับ ยอมรับสิ่งต่างๆที่มันผ่านเข้ามาในใจ มันเป็นศิลปะที่สำคัญของชีวิตเลยทีเดียว ไม่มีทางที่คนเราจะพบความสงบเย็นได้ ถ้าหากว่าเราไม่สามารถที่จะค้นพบในความหมายนี้ได้เป็นเบื้องต้น
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมวัตรเช้า วัดป่าสุคะโต วันที่ 31 กรกฎาคม 2564