แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ที่ประเทศจีนเมื่อสัก 200-300 ปีที่แล้ว มีครอบครัวหนึ่งเป็นครอบครัวของคหบดี วันหนึ่งคิดจะสร้างกำแพงล้อมรอบบ้าน แต่ก็มีปัญหากับเพื่อนบ้านซึ่งก็มีฐานะเหมือนกัน เพราะว่าเพื่อนบ้านบอกว่าแนวกำแพงที่จะสร้างนั้น มันเป็นที่ของฉันไม่ใช่ที่ของเธอ ส่วนคหบดีที่จะสร้างกำแพงก็ยืนกรานไม่ยอมว่า ฉันสร้างกำแพงบนที่ของฉัน มันไม่ใช่ที่ของเธอ
ต่างฝ่ายต่างก็ยืนกรานว่าเป็นที่ของตน ถึงขั้นโต้เถียงกัน เมื่อไม่ยอมกันก็เกิดการทะเลาะวิวาท ต่างฝ่ายก็ยืนกรานว่าที่ของฉัน ไม่ใช่ที่ของเธอ วิวาทกันไปวิวาทกันมา ก็ไม่มองหน้ากัน เกิดความร้าวฉาน คหบดีซึ่งเป็นหญิงชราผู้เป็นแม่ของครอบครัว ก็เลยเขียนจดหมายไปถึงลูกชายที่เป็นเสนาบดีอยู่ที่ปักกิ่ง ให้ช่วยสั่งการให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมาสะสางเรื่องนี้ด้วย
ตัวผู้เป็นแม่ก็มีความคาดหวังในตัวลูกชายมากเพราะว่าเป็นถึงเสนาบดีมีอำนาจมาก ถ้าสั่งการลงมายังนายอำเภอ เดี๋ยวเรื่องก็จะเรียบร้อย และคิดว่ายังนายอำเภอก็คงจะตัดสินเข้าข้างตัว เพราะว่าลูกเป็นถึงเสนาบดี ลูกชายกลับเขียนจดหมายตอบกลับมาว่า จดหมายนี่มาไกลเป็นเพราะเพียงแค่เรื่องกำแพงเท่านั้นหรือ แล้วก็แนะนำแม่ว่า อย่าใจแข็งเลยยอมถอยกำแพงเถิด แล้วก็พูดต่ออีกว่า ชีวิตไม่ใช่สนามรบนะ ไม่จำเป็นต้องเอาชนะคะคานให้ถึงที่สุด ให้ยอมเสียบ้าง ลดการขัดแย้งทะเลาะวิวาทลงบ้าง
ทีแรกผู้เป็นแม่ก็ไม่พอใจเพราะว่า นึกว่าลูกจะมาช่วยแม่ หรือช่วยครอบครัวของลูก อย่างน้อยก็ทำให้เกิดความยุติธรรม เพราะว่ามันเป็นที่ของครอบครัวนี้แน่นอน แต่พอได้คำแนะนำจากลูกชายแบบนี้ ทีแรกก็ไม่พอใจ แต่ตอนหลังก็ได้คิด ก็เลยถอยแนวกำแพงร่นเข้ามา 3 ศอก เป็นอันจบปัญหา
แต่มันไม่จบเท่านั้น อีกครอบครัวหนึ่ง พอเห็นอีกฝ่ายทำอย่างนั้นก็รู้สึกละอายใจ ละอายใจว่า เขายืนกรานจะเอาให้ได้ๆ แต่เขายอมถอย จะเรียกว่าเป็นฝ่ายแพ้ก็ได้ ครอบครัวที่เป็นเพื่อนบ้านก็คิดว่า อย่างนั้นฉันก็ถอยบ้าง ก็เลยถอยแนวกำแพงบ้านของตัวเข้ามาในที่ของตัว 3 ศอก ก็เป็นอันว่าที่มีเรื่องมีราวจนทะเลาะวิวาทกันนั้น ก็กลับมาเป็นมิตรเหมือนเดิม
ขณะเดียวกันมันก็เกิดตรอกใหม่ขึ้นมา ตรอกนี้มีความกว้าง 6 ฟุต เพราะว่าแต่ละครอบครัวถอยออกมา 3 ศอก ก็เลยมีตรอกที่เป็นของสาธารณะกว้าง 6 ศอกให้คนได้เดินสัญจรผ่านไปผ่านมาสะดวกขึ้น ไม่ต้องเดินอ้อม เพราะว่าที่ของ 2 ครอบครัวก็กว้าง แต่ว่าพอมีตรอกแล้ว ก็เดินทะลุได้สะดวก ชาวบ้านก็สรรเสริญถึงความเสียสละของ 2 ครอบครัวนี้
ความก็รู้ไปถึงจักรพรรดิคังซี เป็นจักรพรรดิที่มีชื่อเสียงมากใน 2-3 ร้อยปีที่แล้ว ก็เลยอยากจะสรรเสริญสองครอบครัวนี้ จึงสร้างซุ้มประตูติดป้ายตั้งชื่อว่า เอื้ออาทร ทุกวันนี้ก็ยังอยู่เลย อยู่ที่มณฑลอันฮุย เป็นที่ๆคนไปชื่นชม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของมณฑลนี้
ผู้เป็นแม่ของเสนาบดี ทีแรกก็ยืนกรานไม่ยอมถอย เพราะอะไร เพราะคิดว่าตัวเองถูก มันที่ของฉันๆ แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็ยืนกรานเหมือนกันว่า ฉันถูก มันที่ของฉันต่างหาก มันไม่ใช่ที่ของเธอ ต่างฝ่ายต่างยืนยัน ไม่ยอมถอย เพราะคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก แต่ยิ่งยืนกรานแบบนี้มากเท่าไร มันก็ยิ่งเกิดการทะเลาะเบาะแว้ง เกิดการวิวาทกันมากขึ้นจนกระทั่งมองหน้ากันไม่ติด
แต่ฝ่ายผู้เป็นหญิงชรา ตอนหลังก็ได้คิดจากคำแนะนำของลูกชายซึ่งเป็นเสนาบดี ก็เลยคิดว่าอย่ากระนั้นเลย อย่าเอาถูกเอาผิด ถอยดีกว่า ยอมเสียที่ของตัว ตัวเองก็ยังคิดว่าเป็นที่ของตัวอยู่ กำแพงเดิม แต่ว่า เมื่อถอยแนวกำแพงออกมา ในความรู้สึกก็เหมือนกับว่าเสียที่ไป ถ้าคิดเป็นตัวเงินก็ไม่ใช่น้อย
แต่ว่าการเสียของหญิงชราคนนี้ กลับกลายว่าเป็นการได้ ได้อะไร ได้ความสงบ อยู่เย็นเป็นสุข ไม่ต้องมีเรื่องกลุ้มใจ ไม่ต้องมีเรื่องขุ่นเคือง เห็นหน้าเพื่อนบ้านก็สามารถที่จะยิ้มได้ เรียกว่า จากเดิมที่อยู่ร้อนนอนทุกข์ ก็กลายเป็นอยู่เย็นเป็นสุข ไม่ใช่ได้แค่ความสงบอย่างเดียว ยังได้ใจเพื่อนบ้านด้วย
เพื่อนบ้านที่คิดจะเอาชนะ ไม่ยอมแพ้ พอเห็นการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็เกิดความประทับใจ แล้วก็รู้สึกละอายใจตัวเองที่คิดแต่จะเอาชนะ ได้ทั้งความสงบ ได้ใจ แล้วก็ได้มิตรภาพกลับคืนมา ซึ่งดูแล้วคุ้มมาก เพราะสมมุติว่า ถึงแม้ว่าจะชนะ ทำได้สำเร็จ สร้างกำแพงบนที่ของตัวได้อย่างที่ต้องการ อันนี้ถือว่าเป็นชัยชนะ ซึ่งใครๆก็อยากได้ แต่ว่าก็จะเสียหลายอย่าง เสียความสงบสุข แล้วก็เสียเพื่อนเสียมิตรภาพ
แต่พอยอมถอย มันก็ได้หลายอย่างซึ่งล้วนแต่มีค่า ตีเป็นตัวเงินไม่ได้ ที่ดินตีเป็นตัวเงินได้ แต่ความสงบ มิตรภาพที่ได้กลับคืนมา ตีค่าเป็นตัวเงินไม่ได้ แต่มันมีความหมายมาก ก็กลายเป็นว่าเป็นเพราะยอมเสียจึงได้
แต่คนจำนวนมากไม่ยอมเสียเพราะถือว่าเสียคือการแพ้ และรู้สึกว่าเป็นเพราะความยึดมั่นในความถูกต้อง มันก็ทำให้ผู้คนไม่ยอมถอย แต่แล้วก็จะต้องเสียอะไรอีกมากมาย แต่พอไม่ยึดเอาความถูกต้อง เพราะว่ามีสิ่งที่มีค่ามากกว่าความถูกต้อง
ในกรณีนี้ เช่น ความสงบ มิตรภาพ ถ้าเลือกเอาสิ่งเหล่านี้มากกว่าความถูกต้อง มันน่าจะดีกว่า ก็เรียกว่าแทนที่จะเอาถูกเอาผิดกัน ก็เลือกเอาสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า คือความสงบสุขและมิตรภาพ อันนี้เป็นเรื่องที่น่าประทับใจมากและให้แง่คิดกับผู้คนทุกวันนี้
เพราะว่าเดี๋ยวนี้ ผู้คนมีเรื่องกับเพื่อนบ้าน รั้วติดกันมักจะมีเรื่องทะเลาะกัน เพราะว่าไม่ยอมถอย เพราะคิดแต่จะเอาชนะ และคิดว่าตัวเองต้องชนะ เพราะคิดว่าตัวเองถูก ยึดในความถูกเข้า ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งว่าฉันถูก มันก็เลยตกลงกันไม่ได้ สุดท้ายก็อยู่กันด้วยความหมางเมิน หรือด้วยความขัดแย้งเกลียดชังกัน ก็กลายเป็นว่าแม้จะชนะแต่ว่าไม่มีความสงบสุข ก็ฝากไว้พิจารณา
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมก่อนฉันเช้า วัดป่าสุคะโต วันที่ 29 กรกฎาคม 2564