แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ชีวิตของคนเราส่วนใหญ่สุขๆทุกข์ๆ จะเรียกว่าคนเราทุกคนทั้งหมดเลยก็ว่าได้ที่ยังเป็นปุถุชน จะเรียกว่าชีวิตเป็นส่วนผสมของสุขและทุกข์ก็ได้ปะปนกัน มันไม่ใช่แค่ชีวิตอย่างเดียว การกระทำทั้งหลายทั้งปวงมันก็เป็นส่วนผสมของสุขและทุกข์ อยู่ที่ว่าอะไรจะเป็นตัวนำ
หมายความว่า การกระทำบางอย่าง สุขนำหน้า แล้วก็ตามมาด้วยทุกข์ ในขณะที่การกระทำบางอย่าง ทุกข์นำหน้า แล้วก็ตามมาด้วยสุข คำว่าทุกข์ในที่นี้ อาจจะหมายถึงความลำบาก ความไม่สนุก ความน่าเบื่อจำเจ หรือว่าความไม่สบายเนื้อสบายตัวก็ได้ ลองพิจารณาดู อย่างเช่น การเรียน ถ้าขยันเรียน มันก็เหนื่อย มันก็ลำบาก บางทีก็ต้องอดเล่น อดเที่ยว อดดูหนัง หรือบางทีก็ถึงกับอดหลับอดนอน แต่ว่าก็ตามมาด้วยความสุข ก็คือว่าขยันเรียนแล้วมีวิชาความรู้ การประกอบอาชีพก็ทำได้ง่าย มีการงานที่มั่นคง ชีวิตก็สบาย แต่ว่าใหม่ๆมันทุกข์
ชีวิตของนักเรียนที่ขยันเรียน ก็จะรับรู้ตรงนี้ได้ คือว่าทุกข์นำหน้าแต่ว่ามันก็ตามมาด้วยสุข สุขในที่นี้คือชีวิตสบาย มีการงานที่มั่นคง มีสิ่งอำนวยความสะดวก ในทางตรงข้ามถ้าเกิดว่าเลือกที่จะสุขไว้ก่อน เช่น นักเรียนบางคนไม่ขยัน เกียจคร้าน การบ้านก็ไม่ทำ ใช้วิธีง่ายๆ เวลาทำรายงาน ก็ไปลอกรายงานเพื่อน หรือไม่ก็ไปตัดแปะ บางทีก็ถึงกับไปขโมยรายงานของคนอื่นมา
อันนี้มันสบาย ไม่เหนื่อย บางทีก็โดดเรียนไปเที่ยว เรียกว่าสุขนำหน้า แต่ว่าก็ตามมาด้วยทุกข์ ก็คือไม่มีวิชาความรู้ ไปทำงานที่ไหนก็ลำบาก ชีวิตก็อาจจะเดือดร้อน ไม่สามารถที่จะมีอาชีพที่เป็นหลักแหล่งได้ อันนี้เรียกว่าสบายนำหน้า แล้วก็ตามมาด้วยความทุกข์ ลองสังเกตดูมันก็เป็นอย่างนี้กับการงานหรือว่ากับการกระทำต่างๆ
คนที่เขาประหยัดอดออม ใหม่ๆเขาก็ลำบาก เพราะว่าการอดออมก็หมายถึงการที่ไม่สามารถจะใช้จ่ายเงินตามความอยากได้ อยากได้นั่นอยากเสพนี่ก็ต้องอดกลั้น อยากไปเที่ยวก็ต้องหักห้ามใจ ก็อยู่อย่างมัธยัสถ์ จะไปไหนก็ต้องนั่งรถเมล์ หรือบางทีก็เดินเอา อันนี้เรียกว่าทุกข์นำหน้าแต่ว่าตามมาด้วยความสุขสบาย เพราะว่าพอมีเงินเก็บ ก็เอาเงินไปใช้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เอาไปลงทุนหรือว่าซื้อบ้านสำหรับทำมาหากินค้าขาย ไม่เป็นหนี้ไม่เป็นสิน ชีวิตปลอดโปร่งโล่งสบาย
แต่บางคนก็เลือกวิธีที่เอาสบายไว้ก่อน แทนที่จะประหยัดมัธยัสถ์ เขาก็จับจ่าย มีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อหรือเสพสิ่งต่างๆ ไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบ มันสบาย อยากไปเที่ยวก็ได้ไป อยากดูหนังก็ได้ดู อยากกินอะไรก็ได้กินของที่ชอบ มิหนำซ้ำ เดี๋ยวนี้ก็สามารถจะกู้เงินหรือว่ายืมเงินจากอนาคตมา อาศัยบัตรเครดิต ถอยบัตรเครดิตมาก็จ่ายใหญ่เลย
อันนี้เรียกว่าสบาย สุขนำหน้า แต่ก็ตามมาด้วยความลำบาก เพราะว่าเป็นหนี้เป็นสิน ไม่มีเงินเก็บ ถึงเวลาเจ็บป่วยก็ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมา แถมหนี้สินพอกพูนจากการใช้จ่ายเกินตัวก็ทำให้เป็นภาระ ไม่มีเงินจ่ายหนี้ก็ถูกยึดบ้านยึดรถไป หรือบางทีก็ถลำไปหาทางออกที่จะช่วยให้ได้เงินเร็วๆ เล่นการพนัน ซื้อหวย หรือบางทีก็ไปประกอบมิจฉาชีพขายยาบ้า พวกนี้ก็เหมือนกัน มันรวยเร็ว สุขนำหน้า แต่ว่าตามมาด้วยความทุกข์เพราะว่าถูกตำรวจจับติดคุกติดตะรางไป
ออกกำลังกายก็เหมือนกัน หลายคนก็อยากจะรักษาสุขภาพให้ดี เพราะรู้ว่าออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าวิ่ง ว่ายน้ำหรือโยคะ ใหม่ๆมันก็เหนื่อย ตื่นเช้า ต้องเคี่ยวเข็ญตัวเอง แทนที่จะหลับสบาย ต้องตื่นแต่เช้ามาวิ่งออกกำลังกาย ไม่อยากแต่ว่าก็ต้องฝืนใจ เหนื่อยก็เหนื่อย อันนี้เรียกว่าทุกข์นำหน้าแต่ตามมาด้วยความสบายหรือความสุข เพราะว่าพอทำเป็นอาจิณ สุขภาพดี โรคภัยต่างๆมันก็ไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต สารพัด มันก็ไม่มารบกวน เรียกว่ามีชีวิตที่ปลอดโปร่ง ปลอดจากโรคภัย
แต่หลายคนเลือกใช้วิธีขอสบายไว้ก่อน ใครจะออกกำลังกาย ใครจะวิ่งก็ชั่ง ฉันขอนอน ขอใช้ชีวิตแบบสบาย ไม่ยอมใช้เรี่ยวใช้แรง จะไปไหนก็นั่งรถ ไม่เดิน มันก็สบาย นั่งๆนอนๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น ความเจ็บความป่วย ความทุกข์ตามมา เดี๋ยวนี้โรคไขมันอุดตัน ทำให้เส้นเลือดในสมองแตกเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตเกิดขึ้น หรือว่าโรคอ้วน โรคเบาหวานถามหาตั้งแต่อายุยังไม่มากแค่ 30-40
อันนี้เรียกว่าสบายก่อนแล้วก็ทุกข์ทีหลัง คนส่วนน้อยที่จะเลือกทุกข์ก่อน แล้วก็สบายทีหลัง ส่วนใหญ่ขอสบายก่อน แล้วต้องไปเจอความยากลำบากเจอความทุกข์ในภายหลัง ติดเหล้าติดบุหรี่ก็เหมือนกัน เวลาจะเลิกเหล้าเลิกบุหรี่มันทุกข์มาก บางทีก็ต้องเจออาการลงแดง เจอความปั่นป่วนของร่างกายและจิตใจ ทุกข์มากเลยแต่ว่ามันตามมาด้วยความสุขความสบาย เพราะว่าโรคภัยต่างๆก็ไม่ค่อยเกิดขึ้นเท่าไหร่
ในทางตรงข้าม คนที่เลือกสบายไว้ก่อน กินเหล้าสูบบุหรี่ผ่อนคลายมันสบาย ได้สังสรรค์กับเพื่อนฝูงได้เข้าสังคม ดูเหมือนว่าสุขหลายมิติเหลือเกิน แต่ก็ตามมาด้วยความทุกข์ ทุกข์เพราะโรคภัยไข้เจ็บ โรคปอด โรคมะเร็ง มะเร็งตับ ถุงลมโป่งพอง และอาจจะรวมถึงหนี้สินต่างๆตามมาเพราะว่าติดเหล้า หมดเงินไปกับการกินเหล้า ไม่มีเงิน เพราะว่าทำงานทำการไม่ค่อยได้
การกินก็เหมือนกัน ถ้าเลือกสุุขไว้ก่อน มันก็ทุกข์ตามมาทีหลัง ของหวาน ไอติม ช็อกโกแลต หรือว่าเนื้อสัตว์ กินกันเป็นล่ำเป็นสัน มันก็สุข ได้สนองความอยาก เรียกว่ากินตามใจปาก ที่ไหนว่าอร่อยก็ไปกิน อาหารมีรสมีชาติ แต่ว่ามันก็มีความทุกข์ตามมา เจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคเก๊าท์ สารพัด
ขณะที่บางคน เลือกที่จะกินอาหารสุขภาพ รสชาติก็ไม่อร่อยหรือไม่ค่อยมีรสชาติเท่าไหร่ จืดๆ ก็กล้ำกลืนฝืนทนเพราะว่ารสชาติไม่ค่อยคุ้นปากเท่าไหร่ แทนที่จะกินเนื้อก็กินผัก แทนที่จะกินหวานก็กินจืด อย่างนี้เรียกว่าทุกข์นำหน้า คือไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ไม่ค่อยสุขเท่าไหร่ เพราะมันไม่ค่อยอร่อย แต่ว่ามันตามมาด้วยความสุขในที่นี้คือ สุขภาพดี อายุยืนยาว แม้แก่ชราชีวิตก็ยังไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมารบกวนเท่าไหร่
ที่พูดมานี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่าเวลาทำอะไรก็ตาม หรือว่ากิจกรรมอะไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วก็จะออกมาในรูปนี้ คือว่า ถ้าไม่ทุกข์ก่อนแล้วตามมาด้วยสุข มันก็สุขก่อนแล้วก็ตามด้วยทุกข์ อยู่ที่ว่า เราจะเลือกอะไร คนที่มีปัญญาเขาก็เลือกกระทำในสิ่งที่มันทุกข์ก่อนคือ ไม่สะดวกไม่สบาย แต่ว่าความสุขตามมา เพราะว่าความสุขที่เกิดขึ้น มันมากกว่าความทุกข์ตอนเริ่มแรก เช่น ตอนเรียนหนังสือ มันก็ลำบากสัก 1 แต่ว่ามันสุข 10 อาจจะทุกข์ชั่วคราวแค่ไม่กี่ปี แต่ว่าหลังจากนั้นแล้วมันก็สบาย ไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรเพราะหนี้สิน หรือความแล้งแค้นทางเศรษฐกิจ
กินอาหารสุขภาพ มันก็ทุกข์ แต่ก็ไม่ทุกข์มาก ความสุขคือสุขภาพที่เกิดขึ้นตามมามันมากมายหลายเท่า และยาวนานกว่าด้วย ก็คือว่า ถ้ามันจะทุกข์ก็ทุกข์แค่ตอนกินเท่านั้น ครึ่งชั่วโมงต่อมื้อ แต่ว่าความสุขหรือผลที่ได้ มันเกิดขึ้นตลอดชีวิตไปเลย
ตรงข้ามกินเหล้า สูบบุหรี่ หรือว่ากินอาหารที่ตามใจปาก มันก็สุข แต่ก็สุขประเดี๋ยวประด๋าว มันก็สุขตอนที่กินคืออร่อยหรือว่ามันเพลิน แต่ความทุกข์ที่ตามมา มันเล่นงานทั้งวันทั้งคืนเลย คือความเจ็บป่วย เวลาป่วยเพราะโรคปอด โรคตับ โรคมะเร็ง ความเจ็บป่วยมันเล่นงานแทบตลอดทั้งวันเลย ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นเฉพาะ 30 นาทีแล้วก็หายไป หายใจก็ลำบาก อย่างคนที่เป็นโรคถุงลมโป่งพอง หายใจไม่ได้ทั้งวันทั้งคืนเป็นปีๆจนกว่าจะตายก็ว่าได้
สุขเดี๋ยวเดียวหรือว่าสุขนิดหน่อยแต่ว่าทุกข์มากมาย และก็ทุกข์ยาวนาน ขณะที่การกระทำบางอย่าง ทุกข์ประเดี๋ยวเดียว ทุกข์ไม่มาก แต่ว่ามันสุขยาวนานแล้วก็สุขมากๆด้วย ถ้ามองแบบนี้ คนที่ใช้เหตุผลใช้ปัญญา ยอมเลือกทุกข์ ยอมลำบากก่อน แล้วค่อยมาสุขสบายทีหลัง คนเราถ้าเป็นอยู่ด้วยปัญญาก็จะเลือกแบบนั้น
แต่ว่าคนส่วนใหญ่ เขาไม่ได้อยู่ด้วยปัญญา แต่เขาอยู่ด้วยความรู้สึก ความรู้สึกในที่นี้หมายถึงเอาความรู้สึกนำหน้า เอาความสุขสบายนำหน้า หรือสุขเวทนานำหน้า อะไรที่สุขสบาย ฉันเอาก่อน ส่วนมันจะทุกข์อย่างไร ว่ากันทีหลัง ตอนนี้ฉันมีเงินก็จ่ายๆซื้อๆเสพๆ ส่วนวันหน้าจะเป็นหนี้เป็นสินเพราะว่าใช้เงินเกินตัวอย่างไรนั้น ไปว่ากันข้างหน้า ฉันไม่สนใจ ไม่คิด อันนี้เรียกว่าเป็นอยู่ด้วยเวทนา อยู่ด้วยความรู้สึก
การปฏิบัติธรรม การภาวนาก็เหมือนกัน มันก็ทุกข์นำหน้า แต่ว่ามันตามมาด้วยความสุข ทุกข์อย่างไร ก็คือว่า มันต้องกลับมาอยู่กับตัวเอง ไม่ได้เที่ยว ไม่ได้เสพอย่างที่เคยทำ ต้องมาอยู่วัดหรือว่าอยู่สถานปฏิบัติธรรมไม่ใช่บ้าน ต้องสู้กับความง่วงเหงาหาวนอน สู้กับความฟุ้งซ่านสารพัด รวมทั้งความเหงา ความเบื่อ ความซ้ำซากจำเจ ใหม่ๆคนที่มาภาวนาก็จะต้องเจอแบบนี้ เรียกว่าทุกข์นำหน้า แต่ว่ามันก็ตามมาด้วยความสุข
ก็คือว่า พอภาวนาถูก แล้วก็ทำได้ต่อเนื่อง มันก็เกิดผลเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ใจ เรียกว่า มีสติ มีปัญญา รักษาใจไม่ให้ทุกข์ แม้ว่าจะเจอสิ่งกระทบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคำต่อว่าด่าทอ หรือว่าอุปสรรคการงาน ความสูญเสียพลัดพราก ซึ่งเป็นธรรมดาของทุกชีวิต ก็สามารถที่จะอยู่กับความทุกข์เหล่านั้นได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ คือ ความทุกข์ ความโศกความเศร้า ความเครียด ความท้อแท้ ก็ไม่สามารถมาย่ำยีบีฑาจิตใจได้ ก็เรียกว่าเป็นชีวิตที่ปลอดโปร่ง เป็นชีวิตที่เป็นปกติได้ท่ามกลางความผันผวนปรวนแปรซึ่งเป็นธรรมดาของทุกชีวิต
ถ้าหากว่าเป็นอยู่ด้วยปัญญา เราก็จะเห็นว่า การปฏิบัติธรรม เป็นสิ่งที่มีค่ามีความสำคัญที่ควรจะทุ่มเท แต่ถ้าเป็นอยู่ด้วยความรู้สึกก็จะรู้สึกว่า ทำไปทำไม ทุกวันนี้ฉันก็สบายดีอยู่แล้ว ทำไมต้องมาเหนื่อยยาก ทำไมต้องมาเดินจงกรม มาสร้างจังหวะ ทำไมต้องมาอยู่วัดหรือว่าทำไมต้องมาถือศีล อดกินโน่นกินนี่
พวกเราก็เหมือนกัน แม้ว่ามาอยู่วัดแล้ว บางทีเราก็ต้องถามตัวเองว่าเราจะเลือกอะไร ระหว่างจะยอมลำบากก่อนแล้วก็สบายทีหลัง หรือว่าขอสบายไว้ก่อน ส่วนมันจะทุกข์อย่างไรในภายหลัง ฉันก็ไม่สนใจ ทั้งที่ถ้าทำอย่างนั้นต้องเจอแน่ ถ้าเราปล่อยชีวิตไปตามกระแสความเคยชิน มันก็สบาย แต่ว่าสุดท้ายก็จะตามมาด้วยความทุกข์ เพราะว่าไม่มีวิชาที่จะรับมือกับความผันผวนปรวนแปรในชีวิตได้เลย แค่เจ็บป่วยนี่ก็เอาตัวไม่รอด ยิ่งคนรักตายจาก บางทีเสียศูนย์ไปเลย ทั้งๆที่ก็น่าจะรู้ว่ามันเป็นธรรมดาที่จะต้องเกิดขึ้น แต่ว่าไม่ได้คิดที่จะตระเตรียมรับมือกับสิ่งเหล่านี้
ที่จริงไม่ต้องถึงกับขั้นความผันปรวนแปรในชีวิต แม้กระทั่งการทำงาน การใช้ชีวิต มันก็ต้องมีเรื่องกระทบมากมาย ถ้าเรารู้ว่าการภาวนา การปฏิบัติธรรม การเจริญสติ มันจะช่วยทำให้เรารับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้ และสามารถจะอยู่ได้ด้วยใจที่เป็นสุข เราก็จะมีกำลังใจในการที่จะทำ แต่แน่นอน ใหม่ๆมันลำบาก ฉะนั้นเราจะทำสิ่งนั้นได้ต่อเนื่อง ก็เพราะเรามีความอดทน มีขันติ ขันติสำคัญมากเลย เหมือนกับนักเรียนต้องมีความอดทนในการที่จะเรียนหนังสือด้วยความขยันหมั่นเพียร
หรือต้องมีความอดทนในการออกกำลังกาย แม้จะเหนื่อยแม้จะยาก แต่ก็ทำ ส่วนหนึ่งเพราะความอดทน อีกส่วนหนึ่งเพราะรู้ว่ามันมีประโยชน์ เห็นคุณค่าของมันคือ เห็นประโยชน์ที่แจ่มชัด พอเห็นประโยชน์ที่ชัดเจน มันก็เกิดความอดทนได้ อันนี้คือวิสัยของผู้ที่มีปัญญา แต่จะว่าไปแล้ว มันก็อดทนไม่นาน เพราะพอถึงจุดหนึ่งมันจะเกิดความคุ้นเคย เกิดความเคยชิน แต่ก่อนวิ่ง 1 กิโลเมตรก็เหนื่อย ใจจะขาด ตอนหลังกลายเป็นเรื่องธรรมดามาก
หรือตื่นเช้ามืด ตี 3 มันทรมานมากสำหรับคนที่อยู่ในเมือง แต่ว่าพอทำไปๆ มันกลายเป็นเรื่องธรรมดา กลับชอบเสียอีกเพราะว่า ตื่นขึ้นมาแล้ว มันรู้สึกโล่งโปร่ง การเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นและได้รับประโยชน์ทีละเล็กทีละน้อย มันทำให้เกิดความชอบที่เรียกว่าฉันทะ พอมีฉันทะแล้ว สิ่งที่ทำก็ไม่ใช่เรื่องยากไม่ใช่เรื่องลำบากแล้ว
เหมือนกับนักเรียน ถ้ามีฉันทะในการเรียนแล้ว มันสนุก สนุกกับการค้นคว้า สนุกกับการทำรายงาน สนุกกับการทำการบ้าน สนุกกับการหาความรู้เพิ่มเติม แม้ว่าจะไม่ได้เที่ยว ไม่ได้ไปสนุกสนานเหมือนกับคนอื่น แต่ว่าก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเลย เพราะว่าได้สนุกกับการที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากความลำบากทีแรก กลายเป็นความสุขเพราะว่าเกิดฉันทะในการเรียน
เช้าวันจันทร์จะตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแจ่มใส เพราะว่าจะได้ไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่โรงเรียน ไม่ใช่รู้สึกห่อเหี่ยว มันจะไม่ใช่เป็นความลำบากอีกต่อไป การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ใหม่ๆต้องฝืนใจ สู้กับกิเลส สู้กับความง่วงเหงาหาวนอน สู้กับความเบื่อ แต่พอทำไป ๆ มันเกิดฉันทะ เกิดความเพลิน วันไหนถ้าไม่ทำความเพียรวันไหนไม่ปฏิบัติ จะรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง ตื่นเช้าขึ้นมาจะรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่มีค่า รู้สึกสดชื่น เพราะว่าเราจะได้ปฏิบัติธรรมอีกแล้ว มันจะไม่ใช่ความลำบากอีกต่อไปแล้ว มันจะกลายเป็นความสุขที่ได้ทำ
เพราะฉะนั้นถ้าเรามีท่าทีแบบนี้ต่อการปฏิบัติธรรม เริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่รู้ว่า แม้มันจะเหนื่อย แม้มันจะไม่สุขสบาย แต่ว่ามันก็เป็นช่วงแรก สุดท้ายสิ่งที่ตามมาคือความตื่น ความเบิกบาน ความโปร่งโล่ง ความสงบ ถ้าเราตระหนักแบบนี้ ก็ทำให้เรามีความเพียร มีความอดทน แล้วพอเราทำไปเรื่อยๆ แม้จะยังไม่ถึงเป้าหมายที่ต้องการ แต่ว่าสิ่งที่ได้รับระหว่างทาง มันก็ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจให้มีความเพียรได้ต่อเนื่อง เพราะว่าอะไร เพราะว่ามีความสุข เกิดฉันทะขึ้นมา
พอมีฉันทะแล้ว วิริยะก็ตามมาเอง ฉันทะคือความพอใจ พอมีความพอใจ มีความชอบ มีความรักที่ได้ทำ มีความสุขที่ได้ทำ ก็เกิดความเพียร มันจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะฉะนั้น พยายามสร้างฉันทะให้เกิดขึ้นในการปฏิบัติในการภาวนา แต่กว่าจะถึงจุดนั้น ก็ต้องมีขันติ ความอดทน และมีความเชื่อว่า ลำบากตอนนี้แล้วสบายในวันหน้า มันดีกว่าสบายวันนี้แล้วไปลำบากในวันหลัง
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมวัตรเย็น วัดป่าสุคะโต วันที่ 27 กรกฎาคม 2564