แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั่วทั้งโลกไม่เฉพาะเมืองไทย แสดงให้เห็นถึงสัจธรรมว่า อะไรๆก็ไม่เที่ยง ความเป็นไปของโลกซึ่งมันเคยเคลื่อนขยับไปในทิศทางที่เราคุ้นเคย แล้ววันหนึ่ง มันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน กระทบถึงชีวิตของผู้คนมากมาย อะไรที่เราไม่เคยเห็น ก็ได้เห็น อะไรที่ไม่เคยเกิดก็เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การปิดประเทศ ปิดน่านฟ้า งดการเดินทางข้ามจังหวัด รวมไปถึงข้ามประเทศ อาจจะมีการผ่อนคลายบ้างในบางช่วงบางเวลาบางแห่ง โรงพยาบาลไม่เคยล้น ก็ไม่สามารถที่จะรองรับผู้ป่วยได้
อันนี้แสดงถึงความเป็นอนิจจัง คือความไม่เที่ยง ความแปรปรวนที่บ่อยครั้งก็คาดเดาไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้อยู่ในวิสัยที่ใครคนใดคนหนึ่งหรือว่าแม้กระทั่งผู้คนจะควบคุมบังคับบัญชา เป็นไปตามใจหวังหรือความต้องการของตัวได้ อันนี้เป็นธรรมะอันหนึ่งที่เรียกว่าอนัตตา ความหมายหนึ่งคือไม่ได้อยู่ในวิสัยที่จะควบคุมบังคับบัญชาได้ ไม่ชอบอย่างไรก็ต้องทนอยู่กับมัน เพราะไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงหรือกำจัดมันออกไปได้ มันเป็นการแสดงธรรมให้เราเห็นวันแล้ววันเล่า มาเป็นปีแล้ว
แต่ก็แน่นอน สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันก็ตกอยู่ภายใต้ความไม่เที่ยงเหมือนกัน เพราะว่าอะไรๆก็ตามมันก็เป็นทุกขัง คือไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิม ทุกขังคือไม่อาจทนอยู่ในสภาพเดิมได้ ในที่สุดก็ต้องเสื่อมไป สลายไปหรือแปรเปลี่ยนไป เพียงแต่ว่าเราไม่รู้ว่าเมื่อไรจะถึงวันนั้น แล้วถ้ามันเปลี่ยนไป จะออกมาในรูปใด เราก็คาดหมายไม่ได้ มันเป็นอนัตตา แม้เราจะไม่ชอบอย่างไร ก็จำเป็นที่เราจะต้องเรียนรู้ และเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตและโลกมากขึ้น หรืออย่างที่ทางพระเรียกว่า รู้เท่าทันธรรมดา
นอกจากมันแสดงธรรมให้เราเห็นแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ ชี้ให้เราเห็นถึงความจำเป็นหรือความสำคัญของธรรมะ ในยามนี้ธรรมะมีความสำคัญมาก เพราะว่าอะไร เพราะว่าสิ่งต่างๆที่เคยเป็นทางออกหรือสรณะของผู้คน ตอนนี้มันแก้ทุกข์ไม่ได้หรือว่าไม่เพียงพอ เช่น เงินทอง ตอนนี้มีมากเท่าไหร่ก็ไม่ได้ช่วยหายทุกข์ใจได้ ไม่ได้ช่วยทำให้หายเครียดหรือหายตื่นตระหนกได้เลย ยิ่งถ้าเกิดป่วยด้วยโควิด หรือแม้แต่โรคอะไรก็ตาม
ตอนนี้ถึงแม้จะมีเงิน เงินแทบจะไม่มีความหมายเพราะว่าหาเตียงไม่ได้ในโรงพยาบาล เครื่องมือทันสมัยที่สุดก็ไม่สามารถที่จะใช้เงินซื้อได้เพราะว่าไม่มีว่างพอที่จะช่วยเยียวยาบรรเทาคนป่วยเพิ่มเติมได้นอกจากเรียงตามคิวตามลำดับ มีความรู้มีปริญญากี่ใบก็ไม่ได้ช่วยทุกข์ใจในยามนี้ได้ แต่ก่อนพอมีความทุกข์ใจก็อาจจะไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์หรือว่าไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงให้หายเครียดชั่วคราว แม้เพียงนี้ยังทำได้ยากหรือทำไม่ได้ ความรู้หรือปริญญาที่มีบ่อยครั้งก็ทำให้ทุกข์มากขึ้นเพราะว่าเกิดอาการความรู้ท่วมหัว รู้อะไรเยอะแยะ แต่สิ่งที่รู้มันทำให้ทุกข์วิตกกังวลมากขึ้น ในยามนี้สิ่งที่เคยแก้ทุกข์ของผู้คน หรือแก้ปัญหาของผู้คนได้แม้ในบางระดับ ก็ทำไม่ได้แล้วหรือไม่เพียงพอ
แต่ว่าธรรมะนั่นแหละที่ช่วยได้โดยเฉพาะช่วยบรรเทาความทุกข์ใจ ธรรมะที่ว่านี้ตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสติ เพราะว่า ตอนนี้คนที่ตื่นตระหนกตกใจ ยิ่งอ่านข้อมูลข่าวสารเรื่องราวต่างๆ จริงบ้างเท็จบ้าง แล้วไม่รู้จักวางใจ จมดิ่งเข้าไปอยู่ใน ข้อมูลข่าวสาร ยิ่งทำให้ตื่นตระหนกกลัวมากขึ้น หรือแม้ไม่ได้จะอ่านข้อมูลข่าวสารเลยก็คิดปรุงแต่งไปสารพัด คิดไปในทางลบทางร้าย ถึงอนาคตที่น่าหม่นมัวหรือน่ากลัว ก็ยิ่งใจเสียทั้งที่ไม่ได้เป็นโรคหรือติด covid เลย แต่ว่าจิตใจเต็มไปด้วยความทุกข์
อันนี้เป็นเพราะว่าไม่มีธรรมะเป็นเครื่องรักษาใจ ใจก็เกิดความหลง ทำให้ฝันฟุ้งปรุงแต่ง เพิ่มความทุกข์เพิ่มความวิตกกังวล ทั้งกลัว ทั้งโกรธและก็ทั้งเกลียดทั้งท้อ
คนเรามีความทุกข์ 2 แบบคือทุกข์กายและทุกข์ใจ ทุกข์กายเช่น ทุกข์เพราะความเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคอย่างโควิด เราก็ป้องกันได้ด้วยการใส่หน้ากากอนามัย อันนี้เป็นด่านแรกหรือเป็นกำแพงชั้นแรก แต่ว่าบางครั้งเชื้อก็ยังเข้ามาได้ผ่านหน้ากากอนามัยมาสู่ร่างกายของเรา แต่ว่าถ้าร่างกายเรามีภูมิคุ้มกันที่ดี มันก็ช่วยบรรเทาไม่ให้เกิดความเจ็บป่วยสามารถที่จะรับมือต้านทานเชื้อโคโรน่าไวรัสได้ ภูมิต้านทานตรงนี้ก็สำคัญมากเป็นกำแพงชั้นที่ 2 มันก็เป็นไปได้มากทีเดียวที่เชื้อจะผ่านหน้ากากอนามัยเข้ามา แต่ถ้าหากว่าเจอกำแพงชั้นที่ 2 ภูมิคุ้มกันในร่างกายเราแข็งแรง มันก็ไม่เจ็บไม่ป่วย หรือป่วยก็เบาบาง
ตอนนี้คนก็พยายามเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น น้ำขิง หรือว่ากระชาย หรืออาจจะมีตัวช่วยอย่างวิตามินซี ถ้าภูมิคุ้มกันร่างกายของเราดี ก็ทำให้ไม่ความเจ็บความป่วย อันนั้นคือภูมิคุ้มกันทางกาย แต่ความทุกข์ใจก็ต้องอาศัยกำแพงที่คอยป้องกันไม่ให้เข้ามาถึงใจของเรา โดยทั่วไปความทุกข์ใจ มันก็จะมีตัวป้องกันอย่างแรกคือศีล หรือความดี ถ้าเรามีศีลถึงพร้อมอย่างน้อยก็ศีล 5 ไม่เบียดเบียนใคร มันก็เหมือนมีกำแพงที่คอยป้องกันไม่ให้เดือดเนื้อร้อนใจเข้ามาสู่จิตใจของเรา ถ้าเราไม่ไปเบียดเบียนใคร ไม่ไปลักขโมยของใคร ไม่ไปแย่งชิงของรักใคร มันก็ไม่มีเรื่องทุกข์ใจ รวมทั้งไม่ต้องหวาดระแวงว่ามีอันตรายมาถึงตัว
แต่ถึงเราจะทำความดีเพียงใด ความทุกข์ก็สามารถที่จะเข้ามาสู่ใจของเราได้ แม้จะมีศีลบริบูรณ์ ไม่เบียดเบียนใคร แต่ว่าก็มีความทุกข์อย่างอื่นที่ทำให้ไม่สบายใจหรือว่าเกิดความทุกข์ใจได้ อย่างเช่น ความเจ็บความป่วย ความแก่ความชรา ความสูญเสียพลัดพราก ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่าดีหรือชั่ว แต่ว่าจะไม่สามารถมาทำร้ายจิตใจของเราได้ถ้าใจเรามีภูมิเรียกว่าภูมิคุ้มใจ หรือว่าสิ่งรักษาใจ สิ่งนั้นก็คือธรรมะ ธรรมะในที่นี้ไม่ใช่แค่ความดีระดับศีลหรือคุณภาพที่ดีของใจ ที่สำคัญนั้นคือสติ
สติเป็นสิ่งรักษาใจหรือภูมิคุ้มใจที่สำคัญมากในเวลานี้ เพราะถ้าเราไม่มีสติ ใจก็จะล่องลอยไหลไป ฟุ้งแต่งไปสารพัด โดยเฉพาะในยามนี้ ล้วนแต่ฟุ้งไปในทางลบทางร้าย นึกจินตนาการต่างๆที่ทำให้ใจเสีย เสียขวัญหรือว่าตื่นตระหนก เพราะฉะนั้นแม้ว่าไม่ได้ป่วยกาย แต่ป่วยด้วยความเครียด ป่วยด้วยความวิตกกังวล ถ้าเกิดว่าเรามีสติรักษาใจ สติช่วยดูแลใจ มันก็จะรู้ทันว่าใจเผลอไปไหลไปในทางลบทางร้าย ก็พาจิตกลับมา
ในยามนี้ ธรรมะสำคัญมาก ถ้าหากว่าเราไม่ปล่อย ใจให้มันไหลไปในอนาคต และปรุงแต่งไปในทางเลวร้าย มันก็ไม่มีความวิตกกังวลเข้ามาเล่นงานจิตใจได้มากเท่าไหร่ ถ้าหากเราเอาใจมาอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับสิ่งที่กำลังทำ กลับมาอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับกาย รู้เนื้อรู้ตัว หรืออยู่กับเนื้อกับตัว มันก็ทำให้ใจไม่เป็นทุกข์ได้
ยิ่งถ้าบังเอิญเกิดร่างกายติดเชื้อขึ้นมา หรืออาจถึงขั้นเจ็บป่วย ใจสำคัญมาก ภูมิคุ้มใจสำคัญมาก โดยเฉพาะสติ เพราะว่าคนเราเวลาป่วยเราไม่ได้ป่วยแต่กาย ป่วยใจด้วย ป่วยใจในที่นี้หมายถึงความโกรธ ความกลัว ความเครียด ความวิตก อันนี้มันซ้ำเติมร่างกายที่กำลังป่วยให้ย่ำแย่ลง และบ่อยครั้งความทุกข์ใจมันทำร้ายเรายิ่งกว่าความทุกข์กาย บางคนป่วยด้วยโควิดก็ไม่ได้รุนแรง แต่ว่าแทบจะหมดสภาพไปเลยเพราะว่าความกลัว อาจจะกลัวว่าโรคจะรุนแรงถึงตาย คิดแค่นี้ก็ทำให้ใจเสีย คิดแค่นี้ก็ทำให้ร่างกายย่ำแย่แล้ว แต่ถ้าหากว่ามีสติ ตั้งสติให้ดี เมื่อรู้ว่าใจมันไหลมันปรุงไปในทางที่ซ้ำเติมตัวเอง ก็ดึงจิตกลับมา มาอยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ มาอยู่กับกาย
ถ้ายังหายใจได้ปกติอยู่ก็อยู่กับลมหายใจ อยู่กับท้องที่กำลังพองยุบ หรือว่าอยู่กับสิ่งที่เป็นสรณะของใจ เช่น อาจมาอยู่กับบทสวดมนต์ ให้ใจมีที่พึ่งที่พักที่พำนัก หรือว่าที่ยึดที่เกาะ มันจะได้ไม่ไปหาความทุกข์มาทับถมทำร้ายจิตใจซ้ำเติมร่างกาย การที่มียาช่วยมันก็สำคัญ แต่ว่ายามันช่วยเยียวยาเฉพาะความทุกข์กาย แต่ความทุกข์ใจ มันไม่มียาใดที่จะมาช่วยบรรเทาได้ มีแต่สติหรือธรรมะ ที่จะเป็นที่พึ่งของเราได้
ยิ่งเวลาที่เกิดมีทุกขเวทนา ทุกขเวทนาทางกาย ความเจ็บความปวด ไม่สบายเนื้อสบายตัว พึ่งยาอย่างเดียวก็เอาไม่อยู่แต่ว่าใจสำคัญมาก ถ้าวางใจได้ถูก ใจมีที่พึ่งเช่นมีสติ หรือว่าน้อมนึกไปในทางที่เป็นกุศล มันก็ช่วยได้ มีผู้ป่วยหลายคน ไม่ได้ป่วยด้วย covid แต่ป่วยด้วยมะเร็ง มีความทุกข์มากจากความเจ็บปวด แต่พอมีคนมาสนทนา เรื่องบุญกุศล อาการก็ดีขึ้นเลย
อย่างยายคนหนึ่ง แกป่วยด้วยโรคมะเร็ง ปวดมากยาก็เอาไม่อยู่อย่างมอร์ฟีน พยาบาลมาเห็นก็ชวนคุย ถามว่าในชีวิตนี้ ยายทำอะไรแล้วมีความสุขมากที่สุด ยายตอบทันทีเลยว่าหล่อพระ ยายเป็นคนอีสาน ยายเคยหล่อพระเมื่อ 10 ปีที่ แล้วก็มีความปลาบปลื้มปิติมากเพราะว่ามันไม่ใช่ง่ายที่จะมีโอกาสหล่อพระ พยาบาลก็เลยชวนคุยว่ายายจำได้ไหมว่ายายใส่เสื้อสีอะไรตอนนั้น ยายจำได้หมดแกก็เล่าเรื่องหล่อพระนี่แหละ พยาบาลก็ชวนคุยช่วยซัก แกก็เพลินเรื่องหล่อพระ คุยประมาณ 20 นาที แล้วจู่ๆแกก็พูดกับพยาบาลว่าแปลกน่ะหมอ มันหายปวดไปเยอะเลย
ความปวดมันทุเลาลงเลยทั้งที่มอร์ฟีนเอาไม่อยู่ แต่ความรู้สึกของยาย ความปวดมันทุเลาลงเพราะว่าใจตอนนั้นไปอยู่กับ บุญกุศล อยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่ศรัทธา ธรรมดาคนเราเวลาปวด ถ้าหากว่าไม่มีอะไรทำ จิตก็จะไปเกาะไปจดจ่อตรงที่ปวดนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นท้อง ที่หัว หรือที่ไหนก็ตาม ยิ่งปวดตรงไหน ใจก็ยิ่งไปจดจ่ออยู่ตรงนั้น ทั้งที่ไม่ชอบความปวด แต่ก็ยิ่งไปจดจ่อ แต่พอชวนคุยหรือดึงจิตไปสนใจอยู่กับสิ่งอื่นแทน โดยเฉพาะสิ่งที่ตัวเองมีความปลาบปลื้มหรือมีศรัทธา มันก็ลืมปวดได้หรือวางความปวด เรียกว่าลืมปวด แถมยังมีความรู้สึกมีความสุขเกิดขึ้น คือความปลาบปลื้ม เรียกว่าเป็นความสุขชนิดหนึ่ง นึกถึงความดีที่ได้ทำ เรียกว่าเกิดปิติปราโมทย์ พอเกิดปิติปราโมทย์ มันก็เติมความสุขเข้ามาในใจ แล้วก็ช่วยบรรเทาความทุกข์หรือความเจ็บปวดของกายด้วย
ถ้าเกิดว่า เวลาปวด ไม่อยู่ป่าวๆไม่ปล่อยให้ใจไปจดจ่อที่ความปวด แต่ว่าเอาจิตไปจดจ่อกับสิ่งอื่นที่ตนเองศรัทธา จนเกิดสมาธิขึ้น นอกจากความทุกข์ใจจะลดลงแล้ว ความทุกข์กายหรือความปวดก็จะลดลงหรือบรรเทาด้วยอย่างที่มอร์ฟีนก็เอาไม่อยู่ อันนี้เรียกว่าได้อาศัยธรรมะเป็นเครื่องช่วย เป็นที่พึ่งได้
มีอีกรายหนึ่งที่พระอาจารย์ครรชิตท่านเล่า แกเป็นมะเร็งปวดมาก พอไปเยี่ยม ท่านบอกเขาว่าลองจับแขนอาตมาดู ถ้าปวดเมื่อไหร่ก็ให้บีบ ก่อนหน้านี้แกบอกว่าปวดตลอดเวลา ทนไม่ไหว ท่านก็เลยให้ลองบีบแขน ปวดเมื่อไหร่ก็ให้บีบแขนเมื่อนั้น ให้บีบเต็มที่ไม่ต้องเกรงใจ พบว่าคนไข้ก็บีบ แต่ท่านก็สังเกต บีบเป็นจังหวะ ไม่ได้บีบต่อเนื่อง ก็เลยถามคนไข้ว่าทำไมโยมบีบเป็นจังหวะ ก็ที่บอกว่าปวดตลอดเวลาไม่ใช่หรือ แต่ทำไมถึงบีบเป็นช่วงๆเป็นพักๆ แสดงว่าไม่ได้ปวดตลอดเวลา แล้วทำไมบอกว่าปวดตลอดเวลา
คนไข้ก็เลยพบว่า เป็นเพราะใจ ใจมันปวดใจมันทุกข์ กายปวดเป็นจังหวะเป็นช่วงๆ แต่ว่าใจพอมันไปจมอยู่กับความปวดก็ รู้สึกปวดตลอดเวลา แต่พอเอาใจมาจดจ่ออยู่กับการบีบแขน มันก็คลายความปวดทางกายลง หรือว่าลืมความปวดของกาย พอลืมความปวดของกาย มันก็เลยไม่รู้สึกปวดเท่าไหร่ การที่บีบแขนมันทำให้คนไข้เห็นเลยว่าจริงๆไม่ได้ปวดตลอดเวลา แต่ที่ทุกข์ตลอดเวลาก็เพราะใจต่างหาก เพราะใจไปจมไปนึกถึงแต่ความปวด แต่พอหางานให้จิตทำคือ การบีบแขนพระ มันก็วางความปวดลง ก็จะรู้สึกว่าความปวดเป็นครั้งเป็นคราว
อีกอย่างหนึ่งพอบีบแขนทุกครั้งที่ปวด ก็เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา ความรู้สึกตัวเมื่อเกิดขึ้นก็ช่วยบรรเทาอาการปวดลงเพราะว่าพอรู้สึกตัวเมื่อไหร่ ใจก็มาอยู่กับเนื้อกับตัว มันไม่ได้ไปจมอยู่ที่ความปวดหรือตำแหน่งที่ปวด คนไข้ก็เลยรู้ว่าความรู้สึกตัวนี้มันช่วยได้ในยามที่ยาเอาไม่อยู่ บรรเทาความปวดไม่ได้ แต่ว่าความรู้สึกตัวมันช่วยได้ ทีแรกมันช่วยทำให้ความทุกข์ใจมันเบาบางลง เพราะว่าความทุกข์ใจเกิดจากการปรุงแต่งเกิดจากการไปจดจ่อ เกิดจากความวิตกกังวล แต่พอรู้สึกตัวขึ้นมาอาการพวกนี้ก็หายไป ความทุกข์ใจก็เบาบางลง พอความทุกข์ใจเบาบาง มันก็ช่วยทำให้อยู่กับความปวดกายได้ดีขึ้น
ตอนหลังก็ใช้การบีบนี่แหละ ไม่ต้องบีบแขนพระ กำ และแบ ๆ เพื่อดึงความรู้สึกตัวหรือปลุกความรู้สึกตัวให้เกิดขึ้น ก็คือมีสติ พอมีสติ จิตก็หลุดจากความหลง ความหลงคือตัวปรุงให้ความปวดเกิดขึ้นหรือว่ารุนแรงขึ้น คนไข้คนนี้ตอนหลังก็อยู่กับความทุกข์กายได้ ส่วนหนึ่งเพราะใจไม่ทุกข์มาก เพราะมีสติ มีความรู้สึกตัว ตอนหลังก็จากไปอย่างสงบ อันนี้เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นเลยว่า แม้กระทั่งความปวดกาย ธรรมะก็ช่วยได้ ธรรมะในที่นี้ถ้าหากว่าใช้ถูก เช่นสติ สมาธิ หรือความรู้สึกตัว ยิ่งปัญญาด้วยแล้วช่วยได้เยอะเลย
แต่ว่า สำหรับคนที่ไม่ได้ผ่านการปฏิบัติหรือมีพื้นภูมิหลังทางธรรมะน้อย อย่างน้อยสติ และก็สมาธิ ความรู้สึกตัวก็ช่วยได้ นี่คือธรรมะเป็นธรรมะที่สามารถเป็นที่พึ่งให้กับผู้คนได้ในยามนี้ได้ไม่ว่าจะป่วยหรือยังไม่ป่วยก็ตาม เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าใคร่ครวญกับสิ่งที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ก็จะพบว่าธรรมะมีความสำคัญอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าในช่วงเวลาที่มีความปกติ ในยามที่ ระบบสุขภาพหรือโรงพยาบาลยังทำงานได้ตามปกติ หรือในยามที่คนไม่เจ็บไม่ป่วย คนอาจจะไม่ได้ตระหนักว่าธรรมะมีความสำคัญ แต่ในยามนี้จะเห็นได้ชัดว่าธรรมะมีความสำคัญมาก
ธรรมะในที่นี้ไม่ใช่หมายถึงการสร้างบุญสร้างกุศลหรือทำความดีอย่างเดียว อันนี้ก็สำคัญอยู่ แต่ว่าธรรมะที่เป็นภูมิคุ้มใจมันช่วยเราได้ อันนี้ยังไม่นับจากธรรมะจากเมตตากรุณาจากคนรอบข้างก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเหมือนกัน เพราะในยาม ระบบสุขภาพวิกฤต เตียงไม่ว่าง ผู้คนต้องเก็บตัวอยู่กับบ้าน แต่จะอยู่รอดได้ก็ด้วยความช่วยเหลือของผู้คนรอบข้าง เป็นความเมตตากรุณาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อันนี้เป็นธรรมะเหมือนกัน
ซึ่งในยามนี้ ชี้ให้เห็นว่า ธรรมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ก่อนเห็นไม่ชัดแต่ตอนนี้เห็นได้ชัด แต่ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือธรรมะในใจนี่แหละ เพราะฉะนั้น ในขณะที่ยังมีเวลาก็ต้องฝึกเอาไว้ ให้ธรรมะในใจเกิดขึ้น เพื่อเป็นเครื่องรักษาใจหรือภูมิคุ้มกันใจ และมันยังจะช่วยทำให้เราผ่านเหตุการณ์ที่ยากลำบากในขณะนี้ไปได้
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมวัตรเย็น วัดป่าสุคะโต วันที่ 26 กรกฎาคม 2564