แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ลำบากมากๆ เพราะมีคนทุกข์ยากมีมากมายเหลือเกิน ทุกข์เพราะเจ็บป่วย ทุกข์เพราะสูญเสีย ทุกข์เพราะไม่มีอะไรที่จะหามาใส่ท้อง และอีกมากมาย
ที่จริงก่อนที่จะมี covid ระบาดนี่คนก็มีความทุกข์มากอยู่แล้ว แต่พอมีโควิดระบาดนี่ ความทุกข์ของผู้คนก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีตรีคูณเลย ยิ่งกว่านั้นก็ยังมีการสื่อการเผยแพร่ข่าวคราวของคนที่เจ็บป่วยล้มตายหรือว่าทุกข์ทรมาน สู่การรับรู้ของเราผ่านทางสื่อผ่านทาง Social Media การที่ได้มารับรู้ความทุกข์ของผู้คน ทำให้หลายคนเกิดความรู้สึกห่อเหี่ยว หลายคนเกิดความรู้สึกสลด หรือว่าเกิดความรู้สึกแย่ขึ้นมา
ที่จริงก็เป็นธรรมดาของคนเราที่พอรับรู้ความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์แล้ว เราก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ตามมาด้วย แต่ถ้าเราปล่อยให้อารมณ์เหล่านี้มันครอบงำจิตใจ มันก็ทำให้เราทำอะไรไม่ได้เลย มันบั่นทอนพลังในการที่เราจะทำความดี ในการที่เราจะทำหน้าที่ เช่น คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็มีลูกที่ต้องดูแล คนที่เป็นผู้สูงวัยก็มีหลานที่ต้องเอาใจใส่ คนทั่วไปก็มีงานที่ต้องทำ แต่ว่าพอจิตใจหดหู่ห่อเหี่ยวเมื่อได้รับรู้ข่าวคราวของคนที่ทุกข์ยากลำบากเหล่านี้แล้ว ก็ทำให้เกิดความท้อแท้ขึ้นมา หน้าที่ที่ควรทำก็ไม่ได้ทำ ความดีที่ควรบำเพ็ญบางทีก็ลดน้อยถอยลง
ที่จริง การที่เราได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับคนทุกข์คนยากเหล่านี้ ไม่ว่าเพราะโควิด หรือว่าเพราะเหตุใดก็ตาม ถ้าเรารู้จักโยงมาสู่ตัวเรานี่มันก็มีประโยชน์ได้เหมือนกัน แทนที่เราจะรับรู้แล้วจบลงที่ความหดหู่แต่เราโยงมาสู่ตัวเรา มันก็อาจจะทำให้เราได้พบว่า เออเรานี่ยังโชคดี ที่เรายังไม่ได้เจอกับความเดือดร้อนทุกข์ยากขนาดนั้น เรายังเดินเหินไปไหนมาไหนได้ เรายังหายใจได้สะดวก โดยเฉพาะถ้าเราโยงมาสู่ตัวเราในขณะที่เราจมอยู่ในความทุกข์ มันก็อาจจะทำให้เราได้เห็นว่าทุกข์ของเรานี่มันเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์มากมายที่เขากำลังประสบอยู่ในเวลานี้
หลายคนจมอยู่ในความทุกข์ ความทุกข์ประเภทที่ว่านี้ไม่ใช่เป็นความทุกข์ที่มันเป็นความเจ็บป่วย หรือว่าเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่ว่ามันเป็นแค่ความเบื่อ ความเซ็ง หรือว่าความว้าเหว่ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าชีวิตที่มันจำเจ หรือเป็นเพราะว่าสิ่งที่อยากได้ไม่ได้สมอยาก อาจจะเป็นเพราะมีอุปสรรคการงานที่ทำให้รู้สึกท้อแท้ บางทีก็อดไม่ได้ที่ต้องตีอกชกหัวตัวเองว่า ทำไมต้องมาเจอกับปัญหาเหล่านี้ บางคนก็ไม่ทุกข์อะไรมาก ทุกข์เพราะว่าโทรศัพท์เสีย คอมพิวเตอร์ใช้ไม่ได้ หรือว่าบางคนเพราะว่าไม่มี iPad ความทุกข์เหล่านี้ดูเหมือนมันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ว่าพอเรานึกถึงคนที่กำลังทุกข์กำลังยากในเวลานี้ โดยเฉพาะคนที่ทุกข์เพราะภัย covid นี้มันจะเห็นเลย จะรู้สึกเลยว่าเรายังโชคดีกว่าเขามาก มันก็ช่วยทำให้ความทุกข์ที่เราเจอมันเล็กน้อยลงไปได้ แล้วมันก็ทำให้เราสามารถที่จะกลับมาทำงานทำการ หรือว่ามีกำลังใจในการดำเนินชีวิต
คนเรา บางทีก็ไม่รู้ว่าเรามีความโชคดีที่เราไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย เรายังกินอิ่มนอนอุ่น ยังมีคนรักอยู่รอบข้าง เพียงแต่ว่าอาจจะเป็นเพราะว่าชีวิตนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่ปรารถนา ไม่ได้สนุกหรือว่าเป็นสุขสนุกสนานอย่างที่เคยเป็น แค่ชีวิตซ้ำซากจำเจหรือว่ารู้สึกเบื่อหน่าย รู้สึกเหงา มันก็ทำให้หลายคนนี่รู้สึกจมดิ่ง แต่เราจะรู้สึกดีขึ้นทันทีเลยถ้าเรามารับรู้ถึงความทุกข์ของผู้คนที่เขาหนักหนาสาหัสกว่าเราเยอะ
อันนี้เป็นการรับรู้ความทุกข์ของผู้คนในลักษณะที่เป็นการช่วยทำให้เราออกจากความทุกข์ของตัวเองได้ หรืออย่างน้อยก็รู้สึกว่าเรานี่ ชีวิตไม่ได้ย่ำแย่อะไร เอามาใช้ให้ถูก มองให้เป็น การรับรู้ถึงความทุกข์เรื่องราวของผู้คนก็มีประโยชน์ได้เหมือนกัน และมันช่วยทำให้เรามีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อไป ไม่จมอยู่กับความทุกข์ซึ่งที่จริงแล้วนี่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราโยงกับตัวเองแล้วมันก็ต้องโยงให้เป็น เพราะถ้าโยงไม่เป็น มันก็จะเกิดผลเสียตามมาได้ เช่น บางคนมองว่าดีแล้วที่ไม่เกิดขึ้นกับเรา คิดแบบนี้อาจจะทำให้เกิดความประมาทได้
หลายคนพอได้รับรู้เรื่องราวความทุกข์ของผู้คน ความเจ็บความป่วย ความสูญเสียอย่าว่าแต่โควิดเลย จากอุบัติเหตุบนท้องถนน พอรับรู้แล้วก็ เออดีแล้วที่มันไม่เกิดขึ้นกับเรา ความคิดแบบนี้นี่มันจะนำไปสู่ความประมาท เพราะเราจะรู้ได้ไงว่าวันข้างหน้ามันจะไม่เกิดขึ้นกับเรา วันนี้ไม่เกิดขึ้นก็จริงแต่วันหน้าล่ะ อาจจะเกิดขึ้นกับเราก็ได้ ถ้าเรารู้สึกว่าเออดีแล้วไม่เกิดขึ้นกับเรา มันก็จบแค่นั้น มันก็ทำให้เราไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการรับรู้เรื่องราวเหล่านั้น แถมยังเป็นโทษเสียอีก
หลายคนที่ประสบอุบัติเหตุ ขี่มอเตอร์ไซค์แล้วเกิดพลั้งพลาด หัวน็อคกับพื้นจนเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตหรือพิการ เพียงเพราะว่าไม่ได้ใส่หมวกกันน็อค คนเหล่านี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยรับรู้ถึงเรื่องราวข่าวคราวของคนพิการเพราะว่าขี่จักรยานขี่มอเตอร์ไซค์แล้วไม่ใส่หมวกกันน็อค แต่เขาก็คิดว่า เออดีแล้วนะที่มันไม่เกิดกับฉัน แล้วเขาก็ประมาทต่อไป ขับขี่มอเตอร์ไซค์ก็ไม่ใส่หมวกกันน็อค เพราะคิดว่ามันไม่เกิดขึ้นกับฉันหรอก ไม่ใช่ไม่รู้ว่าคนอื่นก็เจอเรื่องแบบนี้ รู้ ได้ยิน แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง อันนี้เพราะว่าความประมาท รับรู้แล้วก็เออดีใจว่ามันไม่เกิดขึ้นกับฉัน แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรต่อไป
ในทางตรงข้าม ถ้าหากว่าเรารับรู้เรื่องราวข่าวคราวความทุกข์ของผู้คน ไม่ว่าเพราะความเจ็บป่วย เพราะอุบัติเหตุหรือความสูญเสียพลัดพรากหรืออะไรก็แล้วแต่ เราน้อมแล้วโยงเข้ามาใส่ตัว เป็นเครื่องเตือนว่าเออเราต้องระวังนะ ว่ามันอาจจะเกิดขึ้นเราก็ได้ อันนี้มันคนละความรู้สึกกับคนที่เห็นข่าวคราวแล้วเออมันไม่เกิดขึ้นกับฉัน อันนี้มันนำไปสู่ความประมาท แต่ถ้าเรารับรู้แล้ว ก็มาเกิดความตระหนักว่า เราต้องระวังนะเพราะว่ามันอาจจะเกิดขึ้นกับเราก็ได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
พอเรารับรู้ข่าวคราวคนที่ป่วยหรือว่าเสียชีวิตเพราะโควิด เราก็เกิดความตื่นตัวขึ้นมา เพิ่มความระแวดระวังขึ้นมา เพราะสำนึกว่ามันอาจจะเกิดขึ้นกับเราก็ได้ ความคิดแบบนี้มันทำให้เกิดการระมัดระวัง เกิดการเตรียมตัวป้องกัน เช่น ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาโดยเฉพาะเวลาออกไปข้างนอก หรือว่าวางระยะห่างจากผู้คน ไม่มีเหตุจำเป็นก็ไม่ออกไปไหน เก็บตัวอยู่ในบ้าน เพราะตระหนักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนนั้นคนนี้อาจจะเกิดขึ้นกับเราก็ได้ การโยงมาแบบนี้เมื่อเรารับรู้ข่าวคราวความทุกข์ผู้คนแล้วก็โยงมาสู่ตัวเรา มันก็ทำให้เราเกิดความระมัดระวัง
บางที เราได้ข่าวว่าคนที่อยู่ดีๆก็เป็นลม เพราะว่าเส้นเลือดในสมองแตก หัวใจวายขณะที่กำลังทำงาน ขณะที่กำลังประชุม ขณะที่กำลังร้องเพลง บางทีมันเห็นกับตาเลย แทนที่เราจะเอาแต่เศร้าโศกสลดหดหู่ เราก็จะไม่ได้อะไร แต่ถ้าเราเกิดความตะหนักว่า มันอาจจะเกิดขึ้นกับเราก็ได้ ขนาดที่เขาก็ดูมีสุขภาพดี แต่ว่าอยู่ดีๆก็หมดลมขึ้นมา พอรู้เช่นนี้ เราก็เห็นความสำคัญของการดูแลรักษาสุขภาพ การกินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ รวมทั้งการหมั่นออกกำลังกาย อันนี้ได้ประโยชน์จากการรับรู้ข่าวคราวความทุกข์ของผู้คน และนำไปสู่ความระมัดระวัง สู่ความไม่ประมาท สู่การเตรียมตัวป้องกัน อันนี้เป็นการรับรู้ในทางที่เกิดประโยชน์ วางใจให้ถูก สิ่งร้ายๆที่เรารับรู้นี่มันก็สามารถจะเป็นคุณให้กับเรา
ขณะเดียวกัน ก็เตือนให้เห็นถึงความไม่เที่ยง อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ มันทำให้เรายิ่งไม่ประมาทมากขึ้น แล้วก็ยิ่งเกิดความตระหนักถึงคุณค่าของการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลย พระพุทธเจ้าตรัสแนะนำว่า เวลาเห็นคนแก่คนชรา เห็นคนป่วย เห็นคนตาย ให้มองว่าเขาเป็นเทวทูต เทวทูตคือฑูตของเทวดา ความหมายคือเป็นสัญญาณเตือนให้เราตระหนักถึงความจริงของชีวิต ความจริงของชีวิตประการสำคัญคือความไม่เที่ยง อนิจจัง
เพราะฉะนั้น ถ้าเรามองคนป่วย หรือว่ามีคนตาย ให้เรามองว่า เขามาเตือนมาบอกเราว่าชีวิตมันไม่เที่ยง สังขารเป็นอนิจจัง มันก็ทำให้เกิดความสังเวช สังเวชในที่นี้ไม่ได้แปลว่าสลดหดหู่ใจ แต่มีความหมายถึงให้มีความกระตือรือร้น ตื่นตัวให้เร่งทำความดี อันนี้คือหน้าที่ของเทวทูต เทวทูตมีหน้าที่เตือนให้เราเร่งทำความดี เทวฑูตไม่ใช่ใครที่ไหน ไม่ใช่เป็นเทวดาอะไรเลย ก็คือคนเจ็บ คนแก่ คนตาย ซึ่งก็เป็นเรื่องราวที่เรารับรู้อยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่ค่อยตระหนักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม นอกจากโยงเข้ามาสู่ตัวเราเพื่อทำให้เราเกิดความไม่ประมาท หรือว่าเพื่อทำให้เราตระหนักว่าเราโชคดีที่ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ได้พิการ หรือไม่ได้เจอเคราะห์กรรมอย่างเขา ทำให้เรามีกำลังใจในการทำความดี แล้วสิ่งที่เราควรทำมากกว่านั้นคือ ความรู้สึกมีเมตตากรุณา เมตตากรุณาเป็นกุศลธรรม มันต่างจากความหดหู่ ความห่อเหี่ยว อันนี้เป็นอกุศลธรรม เวลาเรารับรู้ถึงความทุกข์ของผู้คน หรือรับรู้ว่าคนมีความทุกข์ยาก ถ้าเราจะสลดหดหู่ มันก็ไม่ได้อะไร แต่ถ้าเราเกิดมีเมตตากรุณานี้ มันทำให้เราเกิดความรู้สึกใกล้ชิดกับเขา เกิดความปรารถนาที่อยากให้เขาพ้นทุกข์ และรู้สึกว่าเขากับเราเป็นเพื่อนทุกข์กัน
แต่เมตตากรุณาอย่างดียวยังไม่พอ มันต้องนำไปสู่การกระทำด้วย ที่พูดมาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องการทำจิต ความไม่ประมาทก็ดี ความระแวดระวัง ความตระหนักถึงความไม่เที่ยงของชีวิต หรือความเมตตากรุณาในยามที่รับรู้เรื่องราวข่าวคราวของคนทุกข์คนยาก อันนี้เป็นเรื่องของทำจิต
แต่ว่าทำจิตอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำกิจด้วย ก็คือว่า มีเมตตากรุณาอยากให้เขาพ้นทุกข์ อยากให้เขาประสบสุขแล้ว ต้องลงมือเข้าไปช่วยเขา อย่าแค่รู้สึกเมตตากรุณาอย่างเดียว แต่ว่าไม่ลงมือลงมือ หรือไม่ได้ขวนขวายที่จะทำอะไร มีเจริญพรหมวิหารแล้วก็ต้องมีการเจริญสังคหวัตถุ พรหมวิหาร 4 ต้องควบคู่กับสังคหวัตถุ 4 ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตตา เกิดเมตตากรุณาแล้วก็นำไปสู่การให้ทาน การแบ่งปัน การเผื่อแผ่ด้วยวัตถุหรือคำพูดที่เป็นการให้กำลังใจ หรือด้วยการกระทำที่เป็นอัตถจริยา อันนี้ก็จะเป็นทางไปสู่การกระทำที่สร้างสรรค์ การกระทำที่เป็นกุศล
แต่ว่าช่วยเหลือผู้คน บางครั้งก็เจออุปสรรค หรือบ่อยครั้งเลย บางทีก็เจอเรื่องราวที่ชวนให้เศร้าหมอง เจอคนที่เห็นแก่ตัวเจอคนที่เห็นแก่ได้ เจอคนที่เอาเปรียบ เขาทุกข์อยู่แล้วก็หาประโยชน์จากความทุกข์ของเขา ถ้าวางใจไม่ถูกก็จะเกิดความรู้สึกทดท้อ เกิดความรู้สึกคับแค้น บางทีทำให้เกิดการบั่นทอนไม่อยากทำความดีต่อไป ไม่อยากช่วยเขา เพราะหมดเรี่ยวหมดแรง เพราะเจอคนแบบนี้หรือว่าเจอการกระทำแบบนี้ ก็ต้องวางใจให้ถูก รักษาใจไม่ให้ความท้อแท้ ความขุ่นมัว ความคับแค้นมาครอบงำจิตใจ จนกระทั่งขัดขวางไม่ให้เราทำความดี หรือช่วยเหลือผู้คน
คนทำความดี ด้วยพลังของความเมตตากรุณา บ่อยครั้งเจออุปสรรคไม่เฉพาะคนเห็นแก่ตัว แต่บางทีคนที่เข้าใจผิดวิจารณ์ต่อว่าด่าทอเรา มันก็ทำให้เราท้อแท้ แต่ถ้าเราวางใจให้ถูก สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถทำอะไรจิตใจเราได้ เพราะฉะนั้น การทำกิจเพื่อช่วยเหลือผู้คน มันก็ต้องทำจิตด้วย เช่นรู้จักปล่อยรู้จักวาง ไม่เอาปัญหาเหล่านี้มาเป็นอารมณ์ สามารถที่จะก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้ได้ ใครจะพูดใครจะว่า ก็ไม่ท้อไม่ถอย หรือว่าจะมีคนที่คอยขัดแข้งขัดขา หรือว่าคอยเอาเปรียบเบียดเบียน ก็ไม่ได้โมโหโกรธาจนกระทั่งเลิกรา ทั้งๆที่เป็นความดี
เพราะฉะนั้น การช่วยเหลือผู้คน ก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง นอกจากอาศัยความเมตตากรุณา หรือว่าลดละความเห็นแก่ตัวแล้ว บางทีก็ต้องอาศัยการรู้จักวางใจ ปล่อยวาง ก้าวข้ามสิ่งเลวร้ายแบบนี้เพื่อที่จะได้ทำความดีได้ต่อเนื่อง ช่วยเหลือเขาไปได้อย่างไม่หยุดยั้ง
ถ้าเกิดว่าเรามีท่าทีที่ถูกต้อง ที่เป็นกุศลต่อความทุกข์ความยากของผู้คนอย่างที่ว่ามาแล้ว พอถึงเวลาเราเจอความทุกข์เสียเอง มันก็จะช่วยทำให้เรารับมือกับความทุกข์ได้ ไม่ปล่อยให้ความทุกข์มาย่ำยีทำให้เราหมดเรี่ยวหมดแรง อย่างเช่น พอเจอความทุกข์ แทนที่เราเอาแต่คร่ำครวญเราก็มาใคร่ครวญว่า มันทุกข์เพราะอะไร ความทุกข์กำลังสอนเรากำลังบอกอะไรแก่เรา เช่น ความเจ็บป่วยบอกเราว่า เราอาจจะทำงานมากไป พักผ่อนน้อยไป ใช้ชีวิตที่ไม่สมดุล เป็นสัญญาณที่เตือนให้เราปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง
เช่นเดียวกับอุปสรรคการงานที่ถึงขั้นทำให้งานล้มเหลว แทนที่เราจะหัวเสีย เสียใจ ท้อแท้ เราก็มาดูว่า มันกำลังบอกอะไรเรา มันกำลังสอนอะไรเรา มันก็ทำให้เราเห็นว่านี่มีจุดที่ต้องแก้ไข ถ้าเราใคร่ครวญ เราก็จะได้รับอะไรดีๆจากความทุกข์ที่เกิดขึ้น
แต่บ่อยครั้งแม้ว่าเราจะทำดีที่สุดแล้ว เราอาศัยบทเรียนจากความผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่ามาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น แต่ว่ามันก็ยังเกิดปัญหาอยู่ เราดูแลสุขภาพอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหาร ออกกำลังกาย ก็ยังเจ็บยังป่วยอยู่ อันนี้ก็สอนเราเหมือนกันว่า มันเป็นสิ่งที่เราไม่อาจจะควบคุมได้ดั่งใจ ร่างกายของเราไม่อยากให้เจ็บให้ป่วย การงานเราก็อยากจะให้ก้าวหน้า ไร้อุปสรรค แต่ว่าร่างกายก็ยังเจ็บยังป่วย งานก็ยังมีปัญหา หรือว่าความสัมพันธ์กับผู้คนก็ยังมีความร้าวฉาน ไม่ราบรื่นทั้งๆที่เราก็พยายามแล้ว มันก็สอนเราบอกเราว่าเราไม่สามารถที่จะบังคับควบคุมสิ่งต่างๆได้ดั่งใจ หรือตามความปรารถนา
ซึ่งถ้าเราพิจารณาใคร่ครวญต่อไป เราก็จะพบว่า ที่มันเป็นเช่นนั้น เพราะว่ามันไม่ใช่เป็นของเรา เราไม่ได้เป็นเจ้าเข้าเจ้าของ อันนี้แหละจะทำให้เราเข้าใกล้กับคำว่าอนัตตา เข้าใกล้กับความจริงว่า ไม่มีอะไรที่เป็นตัวตน เป็นเรา เป็นของเรา ร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา งานการแม้่ว่าเราจะบอกว่าเป็นของเรา แต่มันก็ไม่ใช่ของเราจริงๆ ลูกหลานก็ไม่ใช่ของเรา เพื่อนฝูงมิตรสหายก็ไม่ใช่ของเรา เพราะถ้าเป็นของเราก็ควบคุมให้เป็นไปดั่งใจเราได้ ให้ลูกเป็นไปอย่างที่เราปรารถนา ให้งานการสำเร็จอย่างที่เราปรารถนา ให้สุขภาพเราไม่เจ็บไม่ป่วย แต่ว่าแม้จะพยายามเต็มที่แล้วมันก็ไม่ได้เป็นไปดั่งใจปรารถนา มันก็สอนเราเรื่องอนัตตา
ความทุกข์ไม่ใช่แค่ทำให้เราเห็นเข้าใจอนิจจัง แต่ยังทำให้เราตระหนักถึงความจริงที่ลึกไปกว่านั้นคืออนัตตา เรียกว่าเราสามารถที่จะได้ประโยชน์จากความทุกข์ เริ่มต้นจากการที่เรามองความทุกข์ของผู้คนด้วยสายตาที่ถูกต้อง และต่อไป ก็ไม่ใช่แค่รับรู้ความทุกข์ของผู้คน แต่ลงมือเข้าไปช่วยเหลือพวกเขา มันจะฝึกฝนจิตใจของเราจนกระทั่งเกิดปัญญา และเมื่อความทุกข์เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าในรูปใด เราก็สามารถที่จะหาประโยชน์จากมันได้ เราก็สามารถที่จะเรียนรู้จากมัน แล้วก็ไม่ใช่แค่เพียงก้าวข้ามมันเท่านั้น แต่ว่าแม้จะก้าวข้ามมันไม่ได้แต่ว่าก็อยู่กับมันได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์
เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาเรารับรู้ข่าวคราวความทุกข์ของผู้คน ถ้าเราวางใจให้ถูก มันก็จะเกิดประโยชน์ทั้งกับตัวเราเองในทางที่เป็นกุศล และก็เกิดประโยชน์กับคนที่กำลังมีความทุกข์อยู่ด้วย
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมวัตรเย็น วัดป่าสุคะโต วันที่ 18 กรกฏาคม 2564