แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้กับเมื่อวาน ที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรต่างกันสักเท่าไร แต่หลายคนสำหรับในที่นี้ วันนี้เป็นวันพิเศษกว่าวันก่อนๆหรือวันอื่นๆ เพราะว่าได้เปลี่ยนสภาพหรือจะเรียกว่าเปลี่ยนสถานะก็ได้ หรือจะเรียกตามภาษาโบราณว่าเปลี่ยนเพศก็ได้ จากคฤหัสถ์มาเป็นสมณะ สมณะหรือความเป็นพระถือว่าเป็นเพศหนึ่ง เพศไม่ใช่มีแค่เพศหญิงเพศชาย แต่ว่ายังมีเพศคฤหัสถ์ เพศสมณะหรือสมณเพศ ความเป็นพระหมายถึงการเปลี่ยนวิถีชีวิต เพราะฉะนั้น ก็เลยเปรียบว่าเป็นเพศหนึ่งที่แตกต่างจากคฤหัสถ์
หลายคนวันนี้ก็ได้เปลี่ยนเพศมาเป็นสมณะ ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ในทางประเพณีถือว่า เป็นการพัฒนาหรือว่าเป็นการขึ้นสู่สถานะที่สูงขึ้น แต่อันนั้นยังไม่สำคัญเท่ากับเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิต ถึงแม้ว่าดูเผินๆความเป็นพระกับความเป็นคฤหัสถ์แตกต่างกันที่เสื้อผ้าอาภรณ์ ผู้ที่เป็นพระจะห่มจีวร แล้วก็โกนหัว อันนั้นเป็นแค่รูปลักษณ์ภายนอกหรือเป็นตัวบ่งชี้อย่างผิวเผินว่าเป็นสมณะหรือความเป็นพระ แต่จะเรียกว่าจีวรเป็นเครื่องแบบ มันก็คงไม่ใช่ เพราะว่าเครื่องแบบของคฤหัสถ์ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พนักงานบริษัทห้างร้าน สามารถถอดได้เปลี่ยนได้ หมายถึงว่าใส่เครื่องแบบเฉพาะในเวลาทำงาน พอเลิกงานกลับบ้านก็ถอดเครื่องแบบ แล้วก็ถอดความเป็นทหาร ตำรวจ ความเป็นพนักงาน กลายเป็นประชาชนธรรมดา
แต่ว่าพระ ไม่ใช่ รวมทั้งนักบวชอย่างแม่ชีด้วย เพราะว่าความเป็นนักบวช ความเป็นพระ มันติดตัว 24 ชั่วโมงเลย กลับกุฏิก็ยังเป็นพระอยู่ รวมทั้งจีวรก็ยังครองอยู่ อาจจะเหลือแค่อังสะ สบง อันนี้ก็ถือว่าเป็นจีวรเหมือนกัน เพราะจีวรมี 3 ผืน ในแง่หนึ่งความเป็นเพศสมณะหมายถึงการที่ครองความเป็นพระ หรือมีวิถีชีวิตอย่างพระตลอด 24 ชั่วโมงแล้วก็ทุกวัน ไม่มีวันหยุด ไม่เหมือนตำรวจ ทหาร ข้าราชการที่สามารถถอดเครื่องแบบได้ หรือถอดสถานภาพออกไปชั่วคราวได้ แต่นั้นเป็นเรื่องภายนอก สิ่งสำคัญกว่าคือวิถีชีวิต
สมณเพศที่เขาว่า สมณะเป็นเพศชนิดหนึ่ง เพราะว่าหมายถึงการครองชีวิตแบบใหม่ซึ่งบางทีท่านก็เรียกว่าชีวิตพรหมจรรย์ การมีวิถีชีวิตแบบใหม่มันเริ่มต้นตั้งแต่การมีแบบแผนในการประพฤติ ปฏิบัติ ความประพฤติหรือการปฏิบัติตน พอเป็นพระแล้วมีกำกับด้วยวินัย เป็นคฤหัสถ์หรือฆราวาสอาจจะไม่มีสิ่งที่มากำกับความประพฤติการปฏิบัติตนมาก อาจจะมีแค่ศีล 5 ซึ่งก็เป็นแค่การสมาทานตามความสมัครใจ จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ แต่ว่าความประพฤติหรือการปฏิบัติของพระหรือสมณะ มันถูกกำกับด้วยแบบแผนที่เรียกว่าวินัยหรือว่าพระปาฏิโมกข์ ซึ่งทำให้การรักษากายหรือการรักษาวาจาเป็นไปในทางที่ถูกต้อง ไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น ไม่ไปสร้างปัญหากับญาติโยม ไม่ไปก่อความวุ่นวายในหมู่คณะ
นอกจากความประพฤติและการปฏิบัติแล้ว วิถีชีวิตอันหนึ่งที่เปลี่ยนไปจากฆราวาสก็คือ การมีชีวิตหรือความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย เรียกว่าเป็นชีวิตที่เป็นสมถะ ไม่ปรนเปรอด้วยสิ่งเสพ ตอนเป็นคฤหัสถ์เราอยากจะกินอะไรก็กิน หรือจะว่าไปก็อุทิศชีวิตเพื่อหาสิ่งปรนเปรอทั้งmk’ตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายเรียกว่ากามสุข แต่พอมาเป็นพระ มันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่สามารถที่จะปรนเปรอและไม่ควรที่จะปรนเปรอด้วยสิ่งเสพอย่างที่เคยทำอีกต่อไป เพราะว่าอะไร เพราะว่าเรามีชีวิตที่เนื่องด้วยผู้อื่น
อย่างที่เพิ่งสวดไปว่า บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆว่า เรามีชีวิตที่เนื่องด้วยผู้อื่น เราควรทำตัวให้เขาเลี้ยงง่าย เลี้ยงง่ายคือไม่เรียกร้อง ไม่แสวงหาสิ่งปรนเปรอ สิ่งเสพ หรือว่าไม่ปรนเปรอด้วยกามสุข แต่ไม่ใช่เพียงเพราะว่าการทำเช่นนั้นทำให้เราไม่ไปเบียดเบียนญาติโยมมาก แต่เป็นเพราะว่า มันมีความสุขที่ดีกว่า ที่ประเสริฐกว่า ที่เราควรจะใส่ใจ ถ้ามนุษย์เราเอาแต่ปรนเปรอตนด้วยสิ่งเสพ แสวงหากามสุขมาสนองความต้องการของเราตลอดเวลา มันก็ยากที่จะรู้จักหรือเข้าถึงความสุขอีกชนิดหนึ่งที่ประเสริฐกว่า เป็นความสุขที่ไม่อิงสิ่งเสพหรืออามิส เป็นความสุขทางใจหรือหล่อเลี้ยงชีวิตด้วยชีวิตที่เรียบง่ายเรียกว่าสมถะ
ชีวิตของพระนอกจากดูแลควบคุมความประพฤติ และการปฏิบัติตน และอยู่แบบเรียบง่าย ไม่พึ่งพาสิ่งเสพหรือไม่แสวงหาสิ่งเสพมาปรนเปรอตนแล้ว อีกลักษณะหนึ่งของชีวิตพระคือการอยู่ในที่ที่สงบสงัด หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง มีวิถีชีวิตที่เงียบสงบ ซึ่งส่วนหนึ่งก็หมายถึงการอยู่ในสถานที่สงบสงัด ไม่มีการคลุกคลีหรือคลุกคลีแต่น้อย รวมทั้งการห่างไกลจากชีวิตที่วุ่นวาย ดิ้นรนกระเสือกกระสนโดยเฉพาะเพื่อแสวงหากามสุขหรืออามิสทรัพย์สินเงินทอง
สมัยก่อนตั้งแต่สมัยพุทธกาลมานี้ เสนาสนะที่เหมาะกับภิกษุสงฆ์คือป่า ธรรมชาติ คือสถานที่ที่เรียกว่ารมณีย์ รมณีย์คือสถานที่สงบสงัดที่รื่นรมย์ด้วยธรรมชาติ อันนี้เรียกว่ารมณีย์ รื่นรมย์หรือร่มรื่น ซึ่งที่นี่ก็พยายามทำให้เป็นสถานที่สงบสงัดเพื่อเกื้อกูลต่อชีวิตสมณะ แต่ว่าไม่ใช่แค่สิ่งภายนอกที่สงบเงียบ แต่ยังรวมถึงวิถีชีวิตที่ไม่วุ่นวาย อยู่ในที่สงบ อยู่ในป่า แต่ชีวิตอาจจะวุ่นวายได้ถ้าหากว่ามีการคลุกคลีกัน
เพราะฉะนั้น ความสงบสงัดในที่นี้มันไม่ได้หมายถึงเฉพาะสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ แต่รวมถึงวิถีชีวิตด้วย ที่ไม่วุ่นวาย ที่ไม่เต็มไปด้วยการคลุกคลี เป็นวิถีชีวิตที่แต่ละคนพยายามอยู่กับตนเองท่ามกลางความสงบสงัด วิถีชีวิตของพระถูกออกแบบมาเพื่อให้อยู่ได้แบบสงบสงัด มีกิจน้อย ไม่เร่งรีบ แล้วก็ไม่วุ่นวายเหมือนกับคฤหัสถ์ ซึ่งสมัยนี้ก็รวมถึงการที่ห่างไกลจากสิ่งเร้าที่ทำให้จิตใจว้าวุ่น เช่น แต่ก่อนมีวิทยุ แล้วก็มาโทรทัศน์ เดี๋ยวนี้มีโทรศัพท์มือถือ สามารถที่จะทำให้ชีวิตวุ่นวายได้ หาความสงบได้ยาก แม้จะอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่เป็นรมณีย์ก็ตาม
เพราะฉะนั้น ถ้าชีวิตของเรายังวุ่นวาย ยังเต็มไปด้วยสิ่งเร้า มีการคลุกคลี ก็ถือว่าเป็นชีวิตที่ไม่สงบหรือไม่สงัดเท่าไร แต่เท่านั้นไม่พอ รู้จักประมาณ รู้จักไม่ปรนเปรอตนด้วยสิ่งเสพแล้ว รู้จักควบคุมความประพฤติการปฏิบัติตนให้เป็นไปในทางที่ถูกต้องดีงามและอยู่ในที่สงบสงัดแล้ว ทั้งหมดนี้เพื่ออะไร เพื่อส่งเสริมให้ได้มาบำเพ็ญสิ่งที่สำคัญ เป็นกิจพื้นฐานหรือเป็นหน้าที่หลักของความเป็นพระคือ การฝึกตนโดยเฉพาะการฝึกจิต มาอยู่ที่ๆสงบสงัด มีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่คลุกคลีกับใครแล้วยังไม่พอ มันต้องมีการฝึกจิตหรือภาวนาด้วย มันถึงจะทำให้ความเป็นพระมีความสมบูรณ์ ทำให้สมณเพศเป็นเพศของสมณะจริงๆ เพราะว่าสมณะคือความสงบ
ถ้าเราไม่ฝึกจิตอย่างจริงจัง มันก็สงบแต่ภายนอก กายวาจาอาจจะเรียบร้อย สำรวม แต่จิตใจอาจจะว้าวุ่นฟุ้งซ่าน หรือว่าหม่นหมอง เพราะว่ายังโหยหากามสุข ยังโหยหาความสุขแบบโลกๆ หรือแม้กระทั่งโหยหาชื่อเสียงเกียรติยศในรูปสมณศักดิ์ก็ดี คำยกย่องสรรเสริญก็ดี ก็ทำให้ความเป็นพระไม่สมบูรณ์
ต่อเมื่อมีการภาวนา มีการฝึกจิตจนกระทั่งได้พบกับความสงบภายใน มันถึงจะทำให้ความเป็นพระของเรามีความสมบูรณ์มากขึ้น เพราะว่าการภาวนานี่แหละทำให้เราพบกับความสุข ความสุขที่ประเสริฐกว่ากามสุขหรืออามิสสุข อามิสสุขคือสุขที่อาศัยสิ่งเสพอาศัยทรัพย์ซึ่งไม่มีทางทำให้ชีวิตพบกับความสงบสุขอย่างแท้จริง จนกว่าเราจะได้พบความสุขที่ประณีต ความสุขที่ประเสริฐก็คือ ความสงบในจิตใจ ซึ่งไม่ใช่เป็นความสงบเพราะว่าไม่ได้รับรู้ปัญหา ไม่ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆจากภายนอก แต่สงบเพราะว่าสามารถที่จะปลดเปลื้องทุกข์ที่เกิดขึ้นได้
เราภาวนาเพื่อที่เราจะสามารถแก้ทุกข์ของตัวเองได้ และทุกข์ที่รบกวนจิตใจ มันก็ล้วนแต่เป็นทุกข์เกิดจากใจที่ขาดการฝึกฝน ไม่ได้เกิดจากสิ่งภายนอก ไม่ได้เกิดจากผู้คนรอบข้าง ไม่ได้เกิดกับชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ราบรื่น แต่มันอยู่ที่ใจของเราที่วางไว้ไม่ถูก ต่อเมื่อเรารู้จักภาวนา ฝึกจิตอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง จึงจะได้พบความสุขที่ประเสริฐกว่ากามสุข และก็ทำให้เราสามารถแก้ทุกข์ของตัวเองได้อย่างแท้จริง
ทั้ง 4 ประการ ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของสมณเพศหรือวิถีสมณะคือ ความประพฤติ การปฏิบัติตนงดงาม การอยู่แบบเรียบง่าย สมถะ ไม่ปรนเปรอตนด้วยสิ่งเสพ หรือไม่แสวงหาความสุขจากสิ่งเสพ การอยู่ในที่สงัดสงบ มีวิถีชีวิตที่ไม่วุ่นวาย และการฝึกจิต ที่จริงก็มีอยู่แล้วในโอวาทปาฏิโมกข์ที่เราสวดไปว่า ความสำรวมในปาฏิโมกข์ 1. การรู้ประมาณในการบริโภค 2. การนอนการนั่งในที่อันสงัด 3. การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ และ 4. การหมั่นประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง ธรรม ทั้ง 4 ประการนี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ชี้ให้เห็นถึงวิถีชีวิตของความเป็นพระ ถ้าเราจะเป็นพระอย่างถูกต้อง เราก็ต้องตั้งมั่นอยู่ในหนทาง 4 ประการนี้
การสำรวมในปาติโมกข์ ก็คือการรักษากายวาจา ให้ถูกต้องตามพระวินัย เพื่อให้ความประพฤติและการปฏิบัติของเรางดงาม สะอาด ความรู้การประมาณในการบริโภค การบริโภคในที่นี้ไม่ได้หมายถึงบริโภคอาหารอย่างเดียว รวมไปถึงการเสพด้วย รู้ประมาณในการเสพ อันนี้ก็รวมไปถึงไม่ปรนเปรอตนด้วยสิ่งเสพ ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย การนอนการนั่งในที่อันสงัด ก็หมายถึงการมีชีวิตที่เงียบสงบ แค่ 3 ประการนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเราที่มาบวชใหม่ เพราะว่าเรามาจากโลกของคฤหัสถ์ที่สวนทางกับ 3 ประการนี้เลยทีเดียว ยิ่งต้องมาฝึกจิตที่สวนทางกับกิเลส
ใหม่ๆก็ยากสำหรับผู้ที่บวชใหม่ เพียงแค่จะใช้ชีวิตให้เป็นไปตาม 3 ประการต้น มันก็ยากแล้ว เพราะว่ามันขัดกับความเคยชินของพวกเรา แต่ว่าถ้าหากว่าเราทำไปเรื่อยๆ มันก็จะเกิดความคุ้นเคย ใหม่ๆอาจจะยาก เริ่มตั้งแต่ตื่นตี 3 มาทำวัตรตี 4นอนแต่หัวค่ำ หรือว่าการอยู่แบบเรียบง่าย มันก็ยากอยู่แล้ว เป็นเพราะว่ามันไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคย แต่ถ้าเราทำไปเรื่อยๆมันจะกลายเป็นนิสัย มันจะกลายเป็นความคุ้นเคยจนเคยชิน แล้วก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย ก็จะส่งเสริมให้เราหันมาสนใจการภาวนามากขึ้น ตอนมาใหม่ๆมันก็เหมือนกับน้ำขุ่นที่มันยังไม่นิ่ง แต่พอเริ่มตกตะกอนแล้ว ซึ่งต้องใช้เวลา พอตกตะกอนแล้วน้ำก็เริ่มใส การภาวนาก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย
ให้ตระหนักว่า การเป็นพระของเรา มันจะถูกต้องและเกิดประโยชน์ได้อย่างแท้จริง ก็เพราะว่าเราได้ทำ 4 ประการนี้ อาศัยกัลยาณมิตรเป็นเครื่องค้ำจุนสนับสนุน แม้มันจะดูน่าเบื่อ ใหม่ๆที่ๆสงบสงัด มันจะไม่ใช่อย่างนั้น มันจะกลายเป็นบรรยากาศที่วังเวง หรือว่าน่าเบื่อหน่าย หรือว่าเงียบเหงา มันขาดสิ่งเร้า แต่อยู่ไปๆ จากความเงียบเหงาก็จะกลายเป็นความสงบสงัด จากความวังเวงก็จะกลายเป็นความวิเวก และทำให้เราได้พบได้สัมผัสกับความสงบ ซึ่งเป็นความสุขที่หลายคนอาจจะไม่รู้จักมาก่อน
หลายคนมีเวลาบวชไม่มาก แม้บางคนตั้งใจบวชตลอดพรรษา แต่ 3 เดือนก็ยังเป็นเวลาที่น้อย เมื่อเทียบกับชีวิตของเราที่จะต้องเจออะไรต่ออะไรมากมาย ทั้งความผันผวนปรวนแปรในชีวิตทั้งยามขึ้นยามลง ทั้งความสมหวังและไม่สมหวัง แต่ถ้าเราใช้เวลาแต่ละวันให้มีคุณค่า มันไม่เพียงแค่ช่วยทำให้ความเป็นพระของเราสมบูรณ์ถูกต้อง แต่มันยังช่วยทำให้เรามีวิชาที่จะกลับไป ที่ช่วยทำให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ หรือสามารถจะเผชิญทุกข์ด้านต่างๆได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์
การสำรวมในปาติโมกข์ ทีแรกท่านก็เป็นไปเพื่อการไม่เบียดเบียนผู้อื่น อย่างที่เราได้สวดกันว่า การไม่พูดร้าย การไม่ทำร้าย อันนี้คือการไม่เบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่เรามีพระวินัยเป็นเครื่องกำกับ แต่นอกจากการไม่เบียดเบียนผู้อื่นแล้ว เราก็ต้องพยายามไม่เบียดเบียนตนด้วย การไม่เบียดเบียนตนเกิดขึ้นได้ถ้าเรารู้จักใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ปรนเปรอด้วยสิ่งเสพ หรือไม่เป็นทาสของสิ่งเสพคือกามสุข และรู้จักมีชีวิตที่ไม่วุ่นวาย พอใจในที่สงบสงัด และมีการฝึกจิตอย่างดี มันก็ช่วยทำให้การเบียดเบียนตนเกิดขึ้นน้อยลงไปเรื่อยๆ
หลายคนไม่ตระหนักว่ามีการเบียดเบียนตนอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่เบียดเบียนคนอื่น เพราะว่ามีศีล 5 หรือบางทีศีลก็พร่อง การที่ไม่มีศีลที่ครบแม้กระทั่ง 5 ข้อ มันก็นำไปสู่การเบียดเบียนตนด้วย มันไม่ใช่แค่ไปเบียดเบียนผู้อื่นอย่างเดียว เพราะว่าถ้าเราไม่มีศีล นอกจากไปก่อความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นแล้ว ก็ไปสร้างความเดือดร้อนหรือหาเรื่องเดือดร้อนมาใส่ตัวด้วย แต่พอเรามีศีล 5 เราไม่เบียดเบียนผู้อื่นแล้ว เราก็ยังไม่เบียดเบียนตน ยิ่งถ้าเรามีการฝึกจิต ไม่แค่รักษากายวาจาอย่างเดียว แต่รักษาใจด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นโอกาสที่เราจะได้มาฝึกตน เพื่อเราจะได้พบประโยชน์ตน อย่างน้อยๆก็ไม่เบียดเบียนตน ตอนนี้ข้างนอกเต็มไปด้วยความวุ่นวายและก็เต็มไปด้วยความทุกข์มากเลย บางทีโยมพ่อโยมแม่ของเราเองก็กำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อันตรายเพราะเดี๋ยวนี้เราก็ทราบดีว่าโควิดกำลังระบาด การอยู่ในกรุงเทพฯก็มีความเสี่ยงมากขึ้น สมัยก่อนแม้จะไม่มีโควิดเลย ผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องทำมาหากินเหนื่อยยาก ในขณะที่เราซึ่งเป็นลูกมาบวชเป็นพระ ไม่ต้องรับภาระในการทำมาหากิน โยมพ่อโยมแม่รับไปหมดเพื่อให้เราได้มาบวช ได้มาปฏิบัติ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องทำมาหากินอย่างเดียว แต่มันมีเรื่องของความเสี่ยง เสี่ยงอันตรายอาจจะถึงชีวิตเลยทีเดียวเพราะโควิดดุมาก ในขณะที่เรามาอยู่ที่นี่ จะว่าไปก็สบายเพราะว่า มันมีความเสี่ยงน้อย มีอันตรายน้อย ในสถานการณ์อย่างนี้เราช่วยอะไรท่านเหล่านั้นไม่ได้มาก หรือช่วยผู้ที่ทุกข์ยากไม่ได้มาก แต่ถ้าเกิดว่าเราใช้ชีวิตที่นี่อย่างมีประโยชน์ ดำรงความเป็นพระของเราอย่างถูกต้องทั้ง 4 ประการ มีความเพียรพยายามอดทนแม้ว่าชีวิตดูจะไม่หวือหวา เร้าใจ สนุกสนานเหมือนตอนเป็นคฤหัสถ์ แถมยังต้องมาสู้กับกิเลสเพื่อฝึกตน บริหารพัฒนาจิต ก็ถือว่าเราใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าอย่างมีประโยชน์ ก็ถือว่าเราได้ช่วยสังคมเหมือนกัน แม้ว่าเราอาจไม่ได้ช่วยคนที่ทุกข์ยากเวลานี้ให้ปลอดภัย หรือว่าพ้นจากความทุกข์ยากได้ แต่การที่เราใช้ชีวิตที่นี่อย่างมีประโยชน์ ทำตนให้มีคุณค่า ไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยโดยเปล่าประโยชน์ ฝึกฝนพัฒนาตน มันก็เป็นการช่วยเหลือสังคมได้เหมือนกัน อาจจะไม่ได้ช่วยในวันนี้แต่จะช่วยในวันหน้าได้
ในขณะที่ผู้คนกำลังเดือดร้อนวุ่นวายเต็มไปด้วยความทุกข์ แต่เรากลับปล่อยตัวปล่อยใจ อยู่ไปวันๆอย่างไร้ประโยชน์ มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเลยทีเดียว ในทางตรงข้ามถ้าเราใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า พยายามเคี่ยวกรำฝึกฝนตน ทวนกระแสกิเลส เพื่อที่จะพัฒนาจิตให้เจริญงอกงาม เพื่อให้ความเป็นพระของเราถูกต้อง ก็ถือว่าเราได้ช่วยสังคม ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลตอบสนองความประสงค์ของโยมพ่อโยมแม่หรือผู้หลักผู้ใหญ่ที่ทุกวันนี้กำลังอยู่ในความเสี่ยงอยู่ในอันตราย
การที่เราอยู่สบาย ปลอดภัย มันเป็นการทำให้เราเสียโอกาสในการที่จะทำตนให้เป็นประโยชน์ ในยามนี้อะไรที่เราควรจะทำได้ เพื่อช่วยเหลือสังคมก็ต้องทำ และการฝึกฝนพัฒนาตนก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราสามารถจะทำได้ในขอบเขตที่ถูกต้องเหมาะสม
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมวัตรเย็น วัดป่าสุคะโต วันที่ 17 กรกฎาคม 2564