แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีหลายคนที่ตอนนี้อยู่บ้านทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลานานๆ เพราะว่าต้องกักตัวเป็นเวลานาน เนื่องจากติดเชื้อโควิค หรือแม้จะไม่ได้ติดเชื้อ แต่ก็มีเหตุให้ต้องทำงานที่บ้าน ไม่สะดวกที่จะเดินทางไปไหนมาไหนหรือ ไปทำงานอย่างที่เคยได้บ้างบางคนก็บอกว่าช่วงนี้ทำอะไรก็ไม่ค่อยมีสมาธิ อ่านหนังสือก็อ่านได้ปแ้บเดียว ทำงานก็ทำได้ไม่นาน ช่วงนี้แม้จะมีเวลาว่างเย่อะ มีเวลาอยู่กับบ้านมาแต่ว่าก็ไม่สามารถทำงานเป็นชิ้นเป็นอันได้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ทั้งนี้เป็นเพราะว่าจิตใจมีความกังวลก็ได้ กังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ กังวลเรื่องโรค covid บ้าง กังวลเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ เกี่ยวกับเรื่องรายได้ หรือกังวลเกี่ยวกับลูกหลาน พ่อแม่ว่าจะติดเชื้อโควิด ป่วยด้วยโรคนี้หรือเปล่าใจ พอใจกังวลด้วยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็เลยทำอะไรก็ไม่มีสมาธิ อย่าว่าแต่ทำงานเลย แม้กระทั่งดูหนังดูละคร ก็ไม่ค่อยมีสมาธิกับการดู ทำอะไรก็เลยจับจด ถ้าสังเกตดูเรื่องที่กังวลที่ทำให้ไม่มีสมาธิกับการทำอะไรเลย ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคตที่มันยังไม่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ว่าที่คิดไปไกลแล้วว่า ถ้าโควิดระบาดนานมากกว่านี้ตัวเองอาจจะมีอันเป็นไปขึ้นมา หรือว่าอาจจะตกงาน มีรายได้น้อยลงชักหน้าไม่ถึงหลัง อาจจะต้องปิดกิจการ
อันนี้มันเป็นอนาคตทั้งนั้นเลย มันจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า ก็ไม่รู้ อาจจะไม่เกิดก็ได้ หรือว่าถึงเกิดก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ว่าวาดภาพเอาไว้ เพราะฉะนั้นต้องเตือนตนเองอย่างนี้บ้าง ไม่เช่นนั้นใจก็จะถูกฉุดกระชากจมลงไปอยู่กับความทุกข์ความกลุ้มอกกลุ้มใจ กับเรื่องราวที่มันเกิดจากการปรุงแต่งของใจ พอกังวลอย่างนี้แล้ว ทำอะไรก็ไม่ค่อยได้ ไม่มีสมาธิ ต้องรู้ทันความกังวลเหล่านี้ว่ามันเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา มันยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงเลย แต่ก็ไปคิดเอาเป็นตุเป็นตะว่ามันกำลังเกิดขึ้นแล้ว ก็เลยใจเสีย และถึงแม้มันจะเกิดขึ้น มันก็อย่างที่ว่า มันยังไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้ เอาประสบการณ์ในอดีตของเรามาย้ำเตือนจิตใจของเราว่า หลายครั้งที่เรากังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่นึกเลย
ลูกหรือคนรักยังไม่กลับบ้านสักที ผิดเวลา ดึกแล้วก็ยังไม่กลับ คิดไปแล้วว่าเขาจะเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า ตอนนี้เขาอยู่โรงพยาบาลหรือเปล่า ถูกใครทำร้ายหรือว่าเจอเหตุการณ์ร้ายๆหรือเปล่า คิดว่าอย่างนี้ใจเสียเลย ไม่เป็นอันทำอะไร แต่ปรากฏว่าพอลูกคนรักกลับมาถึงบ้าน แล้วเขาก็อธิบายว่าที่เขามาสายมาดึกเพราะมีเหตุจำเป็น เพื่อนมีความทุกข์ใจจึงต้องอยู่ปลอบใจให้กำลังใจใช้เวลาหลายชั่วโมง ก็เลยกลับบ้านดึก มันไม่ใช่เป็นเหตุร้ายอะไรที่พ่อแม่วาดภาพปรุงแต่ง จนเกิดความกังวลขึ้นมา ประสบการณ์ของเราน่าจะสอนเราว่าบ่อยครั้งว่า เราตีตนไปก่อนไข้ ปรุงแต่งไปเกินเหตุ ถ้าเราเตือนแบบนี้ จะทำให้เราไม่ไปเชื่อสิ่งที่เราปรุงแต่งมาก เพราะรู้ว่ามันอาจจะเป็นการมองลบมองร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่าไปเชื่อมันมากเกินต้นแบบนี้จะทำให้เรารู้จักคลายกังวลได้ แล้วก็ทำให้กลับมามีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ ไม่ถูกความกังวลมาเล่นงานจนกระทั่งทำให้อยู่ไม่ติด ทำอะไรไม่เป็นสุข หรือว่าทำไม่อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ต้องเรียนรู้ที่จะกลับมาอยู่กับปัจจุบัน อย่าไปปล่อยใจให้ไหลไปกับเรื่องราวปรุงแต่งเกี่ยวกับอนาคตมาก อันนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง
อีกสาเหตุหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะว่า ที่ทำมันทำแล้วทำอีก มันซ้ำซากจำเจในความรู้สึกของเรา เพราะว่าอยู่ที่บ้านเป็นเวลานานๆ หลายอย่างที่เราทำแม้กระทั่งดูหนัง ดูไปนานๆ ดูบ่อยๆก็เกิดความรู้สึกจำเจขึ้นมา มันก็เลยไม่มีสมาธิ มันก็เลยเกิดความเบื่อ จะทำอย่างไร ก็ลองหาอะไรใหม่ๆทำดูบ้าง คิดค้นงานการที่ใหม่ๆ อาจจะเป็นงานที่เราทำคนเดียวหรือทำกับคนในบ้าน เช่น จัดบ้านใหม่หรือว่าจัดห้อง หาอะไรใหม่ๆมาทำดูบ้าง จะทำให้เกิดการเปลี่ยนบรรยากาศ หรือว่าเปลี่ยนความรู้สึกด้วย พอได้ทำอะไรใหม่ๆใจเราหรือธรรมชาติก็จะจดจ่อ เพราะใจชอบของใหม่อยู่แล้ว ได้ทำสิ่งใหม่ๆโดยเฉพาะที่ใช้มือใช้ไม้ จัดบ้านจัดสวน จัดห้องใหม่หรือซ่อมแซมหลังคา พอมีอะไรใหม่ๆทำ มันก็จะรู้สึกว่ามีชีวิตชีวาขึ้นมา เกิดความตื่นตัวขึ้นมา โดยเฉพาะถ้าทำกับหลายๆคน ชวนคนในบ้านมาช่วยกันทำ หรือแม้กระทั่งทำอาหาร กินอาหารที่สั่งมาเช้าเย็นๆ เบื่อแล้ว ลองทำอาหารเองบ้าง ดูคิดค้นใหม่ๆดูบ้าง กินอะไรแปลกๆใหม่ๆบ้าง มันก็ทำให้เกิดมีชีวิตชีวาขึ้นมา หรือแม้จะไม่ได้ทำอะไรใหม่ๆ เราสามารถที่จะทำด้วยความรู้สึกที่ใหม่ได้ งานที่ทำเป็นงานเดิมอาจจะดูซ้ำๆ แต่ใจที่ใส่ลงไปในงาน หรือความรู้สึกในการทำงาน ลองทำความรู้สึกให้มันใหม่กว่าเดิม เช่น ให้รู้สึกว่าเราโชคดีที่เรายังได้มีโอกาสทำสิ่งเหล่านี้ การที่เรายังทำสิ่งเหล่านี้ได้ มันแปลว่าเราไม่เจ็บไม่ป่วย แสดงว่าเรายังมีสุขภาพดี แสดงว่าเรายังมีมือไม้เป็นปกติ ทำอะไรได้ ถ้าเราเจ็บป่วย มือไม้เราเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตขึ้นมา ก็คงไม่มีโอกาสได้ทำสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้แม้จะซ้ำซากจำเจ แต่ดีน่ะที่เราได้ทำกับคนรัก หรือคนรักอยู่ใกล้ๆ ให้มองแบบนี้บ้าง มองด้วยความรู้สึกที่ใหม่ สายตาใหม่ แทนที่จะบ่นโวยวายตีโพยตีพายว่าไม่มีอะไรทำ เมื่อไหร่โควิดจะยุติสักที เมื่อไหร่จะได้ออกจากบ้าน เมื่อไหร่จะได้ไปทำงานอย่างที่เคยทำสักที คิดแบบนี้ก็กลายเป็นลงโทษตัวเอง ซ้ำเติมตัวเอง
แต่ถ้าเราคิดว่า เราโชคดีที่ได้มีโอกาสทำสิ่งเหล่านี้ รู้สึกขอบคุณที่ยังมีสุขภาพดี มีโอกาสที่ได้ทำเหล่านี้ ขอบคุณที่ลูกหลานยังอยู่กับเรา ขอบคุณที่ยังกินอิ่มนอนอุ่น ทำให้ยังใช้ชีวิตได้ตามปกติ ลองเปลี่ยนมุมมองบ้าง มันก็จะทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไป จะไม่รู้สึกน่าเบื่อ ซ้ำซากจำเจ งานเก่าแต่ใจใหม่ มันก็จะทำให้เรามีชีวิตชีวาขึ้นมา และมีสมาธิกับสิ่งที่เราทำ อันนี้เป็นโอกาสในการที่เราจะมาดูแลจิตใจของตัว แล้วก็ปรับเปลี่ยนจิตใจ ปรับเปลี่ยนความคิด ซึ่งมันจะเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากสำหรับชีวิตของเราในวันข้างหน้าในยามที่เราจะต้องเจออะไรต่ออะไรอีกมากมาย ซึ่งอาจจะร้ายแรงหรือยังยากกว่าอีกก็ได้
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวัดป่าสุคะโตวันที่ 10 มิถุนายน 2564