แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีคนกล่าวว่า มนุษย์คือสัตว์ที่มีศาสนา หมายความว่า สิ่งหนึ่งหรือสิ่งสำคัญที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ก็คือ มนุษย์มีศาสนา แต่ว่าสัตว์ไม่มี สัตว์มัวแต่ทำมาหากิน หรือว่าเอาตัวรอดไปวันๆ แต่ว่ามนุษย์เรามีความปรารถนา หรือมีความเชื่อมากกว่านั้น มนุษย์เรามีความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีความเชื่อเรื่องสิ่งที่มองไม่เห็น รวมทั้งสิ่งที่เป็นจุดหมายสูงสุดมากกว่าการเอาตัวรอด หรือการอยู่ไปตามสัญชาตญานอย่างสัตว์ ถ้าเราพิจารณาดู คำพูดเช่นนี้ก็มีน้ำหนักมาก เพราะมนุษย์เราแต่ไหนแต่ไรมาก็มีศาสนา เพียงแต่ว่าสมัยดึกดำบรรพ์ มนุษย์ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน มีการเคารพยำเกรงผีสางเทวดา มีการเซ่นไหว้เจ้าป่าเจ้าเขาเพื่อหวังอำนาจสิ่งศักดิสิทธิ์มาคุ้มครองให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งจากงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ทั้งจากภัยตามธรรมชาติ การปฏิบัติศาสนาของมนุษย์เราสมัยก่อนอาจไม่มีอะไรมากกว่าการเซ่นไหว้ หรือหนักกว่านั้นก็บูชายัญ มีการร้องขออำนาจดลบันดาลต่างๆ
แต่พอมนุษย์เรามีความเจริญมากขึ้น ศาสนาก็มีความซับซ้อนมากขึ้น มีพิธีกรรมต่างๆ มีแบบระบบการปฏิบัติมากมาย จนแม้กระทั่งปัจจุบัน แม้มนุษย์เราจะมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสนาตร์ มีเทคโนโลยี มีความรุู้กว้างขวางลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัวเรา แต่มนุษย์เราก็ยังมีศาสนาอยู่นั้นเอง แม้มีคนพยากรณ์ว่า เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า คนมีเหตุมีผลมากขึ้น ศาสนาก็จะมีบทบาทน้อยลง อิทธิพลน้อยลง แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น ศาสนายังมีอิทธิพล มีความหมายต่อผู้คนทั่วทั้งโลก รวมทั้งยังมีการนับถือ มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่ได้ด้อยไปกว่าร้อยปีที่แล้วเลยก็ว่าได้ เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะส่วนหนึ่งศาสนาให้ความหวัง และก็เป็นสิ่งปลอบประโลมใจ เพราะคนเราพอมีความทุกข์ ไม่ว่าทุกข์เพราะการทำมาหากิน ทุกข์เพราะงานการ หรือความสัมพันธ์ในครอบครัว หรือความเจ็บป่วย ความสูญเสีย ความรู้ที่มีอยู่ในทางโลก มันช่วยอะไรไม่ได้มาก
แต่ถ้ามีความเชื่ออะไรบางอย่างที่อาจจะอยู่เหนือเหตุเหนือผลหรือจับต้องไม่ได้ มันอาจจะช่วยทำให้เกิดความหวัง เกิดกำลังใจ เช่น ความหวังว่า เคราะห์กรรมจะหายไปถ้าได้บนบานศาลกล่าว ถ้าได้สะเดาะเคราะห์ หรือว่ามีความเชื่อว่าคนที่เรารักแม้จากไป แต่ว่าเขาก็ไม่ได้อยู่ไกล เขาอยู่อีกโลกหนึ่งหรืออยู่อีกภพหนึ่ง เราก็สามารถทำบุญอุทิศบุญไปให้เขา อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ปลอบประโลมใจของศาสนาเรียกว่าศาสนาทุกศาสนา มีสิ่งนี้จึงจะสามารถดึงดูดผู้คนให้มานับถือศาสนา หรือมีความเชื่อในเรื่องศาสนา ก็ทำให้ศาสนายังไม่หมดไป ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีๆ พุทธศาสนาก็อยู่ในข่ายนี้
คนที่นับถือพุทธศาสนาจำนวนมาก ไม่ว่าจะมีการศึกษาน้อยหรือมากแค่ไหน ที่ยังนับถือพุทธศาสนาอยู่ส่วนหนึ่งก็เพราะสิ่งนี้ด้วย พุทธศาสนาให้ความหวัง มีพิธีกรรมที่ช่วยปลอบประโลมใจ หรือช่วยทำให้เขาเกิดความมั่นใจว่า จะได้พบสิ่งดีๆในวันข้างหน้า หรือว่าจะได้แคล้วคลาดจากอันตรายสิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ปรารถนาของผู้คน การมีชีวิตที่ปลอดภัย แคล้วคลาดจากอันตราย การมีความหวังว่าอนาคตจะรุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาล หรือว่ามั่งมีศรีสุข อันนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนปรารถนา จะว่าไปเป็นสิ่งที่ถูกใจผู้คน และศาสนาก็มีสิ่งเหล่านี้หยิบยื่นให้รวมทั้งพุทธศาสนาด้วย
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคนเราจะมีความรู้แค่ไหนจะมีกี่ปริญญา ศาสนาก็ยังสามารถที่จะดึงดูดใจผู้คนได้โดยเฉพาะในยามที่มีความทุกข์ แต่ที่จริงแล้วศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนามีอะไรมากกว่านั้น มันไม่ได้มีแต่ความหวังหรือว่าสิ่งปลอบประโลมใจ แต่ว่ายังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่มีคุณค่า ยิ่งกว่านั้นคือสามารถที่จะช่วยทำให้พ้นทุกข์ได้ ไม่ได้มีแค่สุขชั่วครั้งชั่วคราว แต่ว่าสิ่งนั้นมันมักจะไม่ค่อยถูกใจผู้คนเท่าไร อย่างเช่น คำสอนเกี่ยวกับเรื่องไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คำสอนนี้ทำให้คนได้ตระหนักว่า สิ่งที่เรามีในวันนี้ มันไม่ยั่งยืน สักวันหนึ่งก็ต้องหมดไปหรือแปรเปลี่ยนไป ความสุขที่เรามีในวันนี้มันเป็นของชั่วคราวเพราะว่าสักวันหนึ่งเราก็ต้องเจ็บต้องป่วย ต้องแก่ชรา และที่มันไม่ถูกใจของผู้คนมากๆก็คือคำสอนเกี่ยวกับเรื่องอนัตตาหรือว่าไม่มีตัวไม่มีตน ตัวกูของกูไม่มีอยู่จริง
ของกูยังไม่เท่าไหร่ แต่ตัวกูนี้ มันไม่มี อันนี้เป็นสิ่งที่คนเรายอมรับได้ยาก เพราะว่ามันมีความเชื่อว่า มีตัวกูๆๆ ยิ่งสมัยนี้มีการตอกย้ำตัวกูสูงมาก เพราะฉะนั้น เวลาพอได้ยินคำสอนอนัตตาว่าไม่มีตัวกูนั้นทนไม่ได้มันเป็นสิ่งที่เรียกว่าแสลงใจมาก
สิ่งที่ไม่ถูกใจผู้คนที่มีอยู่ในศาสนา แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ประเสริฐ แต่พอไม่ถูกใจ คนก็ไม่ค่อยสนใจหรือว่ามองข้ามไปเลย เราจะได้เห็นว่าคนมาวัดอยากจะมาฟังแต่เรื่องที่เป็นเรื่องสวยเรื่องงาม อยากได้ฟังของจากพระให้พรก็มีความสุขมีความยินดี ท่านอวยพรให้รวย ให้ไม่มีโรคไม่มีภัย ไม่มีคำว่าไม่มี ก็ดึงดูดผู้คนให้หันมาศาสนา แต่พระสอนความสุขที่มี แม้มันจะมากเพียงใดแต่ก็ไม่เที่ยง ก็ไม่อยากฟังแล้ว หรือว่าทรัพย์สมบัติโชคลาภแม้กระทั่งชื่อเสียงเกียรติยศ มันไม่ใช่เป็นของความสุขที่แท้ มีเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอเพราะมันไม่ทำให้เกิดความสุขอย่างแท้จริง คนก็ไม่อยากฟัง รวมทั้งการคำสอนที่ว่า คนเรามีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า อย่างที่เราสวด เราทั้งหลายเป็นผู้ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้วหรือบทสวดที่ว่ามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น อันนี้เป็นความจริงที่หลีกหนีไม่พ้นแต่ก็ไม่ถูกใจของผู้คน ก็เลยไม่อยากฟัง อยากจะฟังแต่พรที่ให้ความหวังว่า เราจะมั่งมีศรีสุข จะร่ำรวย อันนี้ก็ทำให้คนได้ประโยชน์จากพุทธศาสนาน้อย และถึงเวลาก็เจอความทุกข์ชนิดที่ว่าท่วมท้นเพราะไม่ได้เตรียมใจรับมือกับมัน
เวลานอกจากการฟังธรรมที่เราเลือกฟังธรรมแต่ที่ถูกใจ ตัดสิ่งที่ไม่ถูกใจทิ้งไป เวลาจะลงมือปฏิบัติ ผู้คนก็มักจะปฏิบัติแต่สิ่งที่ถูกใจ สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ เช่นการให้ทาน มีที่ไหนประกาศว่าจะเปิดโอกาสให้มีการทำบุญทำทาน บริจาคเงินเพื่อสร้างโบสถ์สร้างวิหาร คนก็แห่กันไปบริจาคถวายเงิน แต่ว่าพอจะให้มารักษาศีล ผู้คนกลับหันหลังให้ มีน้อยคนที่จะสนใจมารักษาศีล เพราะทำยาก มันไม่ถูกใจคน เพราะคนไม่อยากปล่อยใจไปตามกิเลส มันต้องใช้ความเพียรพยายาม เมืองไทยการให้ทาน ทำบุญทำกันมาก แต่พอรักษาศีล ทำกันน้อยหรือถึงจะรักษาศีลก็เพื่อมีความหวังว่าจะทำให้เกิดความมั่งมีศรีสุข จะทำให้เกิดบุญได้ต่างๆมากมาย แต่ว่าคำสอนที่ว่า สิ่งเหล่านี้ที่คาดหวังจากการทำความดี มันก็ไม่เที่ยง และถึงจะทำดีอย่างไร มันก็หนีความแก่ ความเจ็บ ความพลัดพราก ความตายไม่พ้น คนไม่อยากฟัง
ยิ่งเรื่องการภาวนาด้วยแล้ว มันไม่ถูกใจมาก พอไม่ถูกใจ คนก็เบือน จะเป็นการทำกรรมฐานแบบใดก็ตาม บางทีแค่คำแนะนำว่าให้เจริญสติวันละ 5 นาที ซึ่งที่จริงก็ไม่ได้มาก หลายคนก็ทำไม่ได้ พูดง่ายๆมันไม่ถูกใจของผู้คน แต่ความหมายคือไม่ถูกกิเลสมากกว่า กิเลสในใจของผู้คน มันทนไม่ได้ที่จะต้องมาอยู่นิ่งๆมาฝึกให้สงบ ไม่ฝันฟุ้งปรุงแต่ง แต่เป็นเพราะการที่คนเราหันหลังให้กับสิ่งที่ไม่ถูกใจในศาสนา มันก็ทำให้ประโยชน์ที่จะได้จากศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนามีน้อยมาก และนี้แหละคือกับดักหรือจุดอ่อนของคนที่ใฝ่ธรรมหรือชาวพุทธจำนวนมาก เราสนใจแต่สิ่งที่ถูกใจจากศาสนา จากพุทธศาสนา แต่ว่าอันไหนที่ไม่ถูกใจ หันหลังให้ เมินหน้าหนีไม่ว่าจะเป็นการฟังธรรมฟังคำสอนจากพระพุทธเจ้าหรือว่าจากครูบาอาจารย์ก็แล้วแต่ รวมทั้งการปฏิบัติด้วย เราก็จะเลือกแต่สิ่งที่มันถูกใจ สิ่งที่ทำได้ง่าย หรือว่าสิ่งที่ไม่ต้องสวนทางกับกิเลสมาก แม้กระทั่งการภาวนา
อย่างที่พูดว่า คนเราชาวพุทธภาวนากันน้อย ถึงเวลาทำกรรมฐาน ก็ทำแต่เฉพาะสิ่งที่สะดวกสบาย ง่ายหรือว่าถูกกิเลส เช่น ภาวนาในที่ที่สงบ ไม่มีเสียงรบกวน ไม่มีเสียงดังปิดแอร์ด้วย ไม่มีงานการที่ต้องทำ หลายคนพอใจกับการภาวนาแบบนี้เพราะว่าทำแล้วสบาย สงบ ไม่ต้องไปรับรู้เรื่องราวต่างๆอย่างที่จะเกิดขึ้นเวลาอยู่บ้าน ส่วนการภาวนาที่ว่าให้ออกมาเผชิญกับความทุกข์ ให้เรียนรู้จากสิ่งที่มากระทบ ไม่ว่ากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายหรือทางใจ ไม่เอา เพราะว่าไม่อยากเจอทุกข์ ทั้งๆที่ทุกข์นั้นสอนธรรมให้กับเราได้ แล้วทุกข์ก็สามารถช่วยทำให้จิตมีสติและรู้จักปล่อยวาง รวมทั้งให้เกิดปัญญา สิ่งเหล่านี้มีประโยชน์ มีคุณค่า ช่วยทำให้เรามีวิชาที่จะรับมือความทุกข์ โดยเฉพาะทุกข์ที่หนักๆ รุนแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ว่ามันไม่สะดวก มันไม่สบาย มันไม่ถูกใจกิเลส ไม่เหมือนกับการนั่งนิ่งๆหลับตา ไม่ต้องรับรู้อะไร อยู่ในที่ที่สบาย ไกลจากปัญหาไกลจากความรับผิดชอบปัญหานานา อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่กับผู้คนจำนวนมาก
ที่จริงพุทธศาสนา ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะก้าวข้ามความไม่ถูกใจได้ มันจะให้อานิสงส์กับเรามากมายเลยทีเดียว และที่จริงก็คือหัวใจของพุทธศาสนาเลยทีเดียว คือการพาให้เราไปพบกับสิ่งที่ไม่ถูกกับกิเลส สิ่งที่สวนทางกับกิเลส แม้ว่าในเบื้องต้นจะมีอะไรต่างๆที่ดึงดูดใจ อย่างเช่น คำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องอนุปุพพิกถา เป็นคำสอนที่ทำให้หลายท่านบรรลุธรรมเช่น ยสกุลบุตร จนไปถึงปัญจวัคคีย์มากมาย อนุปุพพิกถา 3 ข้อเป็นสิ่งที่คนอยากจะฟัง ท่านแนะนำเมื่อให้ทานและรักษาศีล อานิสงส์คือมีความสุขมีความเจริญ พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์หรือวัตถุสิ่งเสพเรียกว่าสวรรค์ ซึ่งที่จริงก็คือการกามสุขนั่นเอง นี้คือที่ถูกใจผู้คน คือรักษาศีลให้ทานก็ปรารถนาสิ่งนี้ แต่ว่าพระพุทธเจ้ายังสอนต่อไปว่ากามสุขหรือสิ่งที่จะได้รับจากการให้ทาน รักษาศีล มันก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่สุขที่แท้จริง มันมีความพร่อง เพราะฉะนั้นจะไปหวัง พึ่งพาก็ไม่ได้
และท่านก็พูดถึงการออกจากกาม การไม่เพลิดเพลินหลงใหล ยึดติดในกามสุข ให้เข้าถึงสุขที่ประณีตยิ่งขึ้น 2 ข้อหลังไม่ถูกใจกิเลสเท่าไร โทษของกาม ว่ากามเช่นความมั่งมีความร่ำรวย มันเปี่ยมด้วยความพร่อง ความไม่สมบูรณ์ คนไม่อยากฟัง ยิ่งไม่ยึดติดในกามเรียกว่าเนกขัมมะ ยิ่งเป็นสิ่งที่คนไม่อยากจะเกี่ยวข้องด้วย เพราะฉะนั้นเวลาพระเทศน์ แสดงธรรม สอนแค่ 3 ข้อ ทาน ศีล มันทำให้เกิดความสุขในสวรรค์อย่างไร แต่อีก 2 ข้อก็ไม่สอนหรือสอนก็ไม่ฟัง เพราะว่าไม่ถูกใจ แต่ที่จริงเป็นสิ่งที่ดีมีอานิสงส์มากและเป็นสิ่งที่เราจะต้องรับรู้ ไม่เช่นนั้นเวลาเจอความทุกข์ขึ้นมา จะทำใจไม่ได้ จะเสียศูนย์เพราะว่าจิตตั้งไว้ในทางที่ผิด
ตัวอย่างมีชายคนหนึ่ง ชอบทำบุญมากตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม นอกจากทำบุญแล้ว แกก็พยายามที่จะรักษาศีลเพราะเชื่อหรือถูกสอนมาว่า ถ้าทำบุญเยอะๆรักษาศีลให้มั่นคง อย่างน้อยศีล 5 จะมีความสุขความเจริญอายุยืน ถึงพร้อมด้วยอายุวรรณะสุขะพละ แกก็ตั้งหน้าตั้งตารักษาศีล ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ว่าทำไปเพราะมีความหวังว่าชีวิตจะมีความสุขความเจริญอายุยืน แต่พออายุ 40 ปรากฏว่าเจอโรคร้ายเป็นมะเร็งตกใจมาก ทำใจไม่ได้ว่า ทำไมฉันทำดี ยุงไม่ตบ ถึงต้องมาเป็นมะเร็ง คิดไปถึงว่าบุญไม่รักษา ธรรมไม่คุ้มครอง ทำดีไม่ได้ดี เกิดความรู้สึกผิดหวัง ทั้งๆที่จริงแล้วความเจ็บป่วยมันไม่ใช่จะเกิดกับคนชั่วหรือคนที่ไม่มีศีลเท่านั้น คนดีแม้กระทั่งพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าก็ยังหนีไม่พ้นโรคาพาธ ความเจ็บป่วยอย่างที่เราสวด เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา เราจะหลุดพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ อันนี้คือความจริง แต่เป็นความจริงที่ไม่ถูกใจผู้คน ไม่ถูกกิเลส
ผู้ชายคนนี้ ได้ฟังแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่ถูกใจว่า ทำดี นับถือศาสนาแล้ว จะเกิดสิ่งดีๆตามมา แต่ว่าไม่ได้ฟังคำสอนอีกด้านหนึ่งที่ท่านสอนว่า ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดาไม่มีใครหนีพ้น ความพลัดพรากสูญเสียเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องประสบ ชีวิตไม่เที่ยง ตรงนี้อาจจะได้ฟังแต่ไม่สนใจ หรือว่าเอามืออุดหูเพราะไม่ถูกใจก็วาดหวังว่าฉันจะมีแต่สิ่งดีๆเพราะฉันรักษาศีล แล้วก็มาเจ็บป่วย ทำใจไม่ได้ โอดครวญ คับแค้น แทนที่จะป่วยแต่กาย ป่วยใจด้วย และเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งวาระสุดท้าย เพราะว่าทำใจไม่ได้ว่าทำไมความดีที่ฉันทำ จึงไม่สามารถปกป้องคุ้มครองฉันได้ เพราะมีแต่ความหวังว่าจะอายุยืน ทำบุญเยอะๆ เพราะว่าไม่ทำชั่ว อันนี้เป็นความจริง แต่ว่าเป็นความจริงที่ไม่หมด
คนจำนวนมาก แม้ว่าจะนับถือศาสนา จะเข้าวัดอยู่บ่อยๆ แต่พอเลือกเฟ้นรับเฉพาะสิ่งที่ถูกใจ ส่วนสิ่งที่ไม่ถูกใจ ไม่สนใจ หันหลังให้ โดยเฉพาะคำสอนเรื่องเกี่ยวกับทุกข์ คำสอนเกี่ยวกับเรื่องความไม่เที่ยง คำสอนเกี่ยวกับเรื่องไตรลักษณ์ ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หรือว่าคำสอนถึงความพร่องของกามสุขว่ามันไม่ใช่สรณะที่แท้ สิ่งเหล่านี้ไม่ถูกใจ ยิ่งพอถึงการปฏิบัติด้วยแล้ว ถ้าเป็นการปฏิบัติเพื่อการลดการละกิเลส หรือการต้องใช้ความเพียรพยายาม ไม่เอาเลย พอไม่เอาเลยก็ไม่สามารถที่จะรับมือกับสัจธรรมความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกชีวิตได้ และเมื่อเราตระหนักเช่นนี้ ก็ให้หมั่นเตือนตนอยู่เสมอว่า สิ่งที่ไม่ถูกใจที่มีในศาสนา ใคร่ครวญให้ดีเพราะว่ามันอาจจะมีคุณค่ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการภาวนา การทำความเพียร เรื่องการเปิดใจให้เห็นความจริง
เมื่อเรารู้จักเห็นคุณค่าของคำสอนเหล่านี้ ของการปฏิบัติเหล่านี้ เราจะเกิดความเพียร เราจะเกิดความศรัทธา จะสามารถก้าวข้ามความไม่ถูกใจไปได้ รู้ว่ามันยากแต่มีประโยชน์เพราะใคร่ครวญดีแล้ว เราก็จะเกิดความเพียรในการปฏิบัติ เมื่อเราเพียรปฏิบัติ เห็นผลคือความสงบ ไม่ใช่สงบแบบไม่รู้ แต่สงบแบบรู้จักปล่อยรู้จักวางเพราะทำใจถูกต้องกับสิ่งที่มากระทบ ก็ยิ่งเกิดความศรัทธาในความเพียรมากขึ้น แล้วก็ทำให้การปฏิบัติก้าวหน้า เพราะฉะนั้นเวลาเรามาเข้าถึงหรือนับถือศาสนา อย่าเลือกเฟ้นแต่สิ่งที่ถูกใจ สิ่งที่ไม่ถูกใจเราก็ต้องพยายามที่จะนำมาปฏิบัติและเข้าถึงให้ได้
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมวัตรเช้า วัดป่าสุคะโต วันที่ 20 พฤษภาคม 2564