แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดวันหนึ่งของชาวพุทธ ไม่เฉพาะแต่ชาวพุทธไทย รวมชาวพุทธทั้งโลกเลย เป็นวันที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์สำคัญของพระพุทธเจ้า นั่นคือ การประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ชาวพุทธถือว่าวันนี้เป็นวันมงคลอย่างยิ่งที่เป็นโอกาสอันดีสำหรับการทำสิ่งดีงามเรียกว่าการทำบุญ
แต่ที่จริงแล้วนอกจากการทำบุญเช่น การใส่บาตร การถวายทาน หรือถ้าเป็นช่วงปกติก็มีการเวียนเทียนด้วย เราควรใช้โอกาสนี้ในการพิจารณาใคร่ครวญถึงความหมายของการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เป็นวันที่เราควรจะหยุดคิดสักหน่อย มาถามตัวเองว่าเหตุการณ์ต่างๆดังกล่าวมีความหมายกับเราอย่างไรบ้าง ในฐานะชาวพุทธหรือในฐานะมนุษย์ในแง่หนึ่ง การประสูติและการปรินิพพานของพระพุทธองค์ก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นสัจธรรมของชีวิตว่า เมื่อมีเกิดแล้วก็มีดับหรือตาย ไม่เว้นแม้แต่พระพุทธองค์ ตายเป็นสิ่งที่ทุกชีวิตหนีไม่พ้น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชั้นต่ำหรือจนถึงมหาบุรุษอย่างพระพุทธเจ้า ในแง่นี้เป็นการเตือนตัวเราเอง ให้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่านี้ด้วย โดยเฉพาะเมื่อเราเกิดมาแล้ว สักวันหนึ่งเราก็ต้องตาย
ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระองค์ก็ทรงแสดงปัจฉิมโอวาท เป็นโอวาสสั้นๆแค่ 2 ประโยคเท่านั้นสังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถอะ หรือบางก็แปลว่า ทำความให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท การปรินิพพานของพระพุทธองค์ เป็นการตอกย้ำให้เราได้ตระหนักถึงความไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต และถ้าจะใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทก็หมายถึงการใช้เวลาที่มีอยู่ ใช้ลมหายใจที่ยังมีอยู่ เพื่อการทำความดี และสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน
ประโยชน์ตนถึงที่สุดคือการพ้นทุกข์ ซึ่งอันนี้เป็นความหมายอีกแง่หนึ่งของวันวิสาขบูชา ก็คือว่า มนุษย์เรามีศักยภาพที่จะพ้นทุกข์ได้ สามารถที่จะอยู่เหนือเกิดเหนือตายได้ อันนี้เป็นความหมายสำคัญทีเดียวของการประสูติของพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสรู้ไม่ใช่เพื่อเป็นมหาบุรุษให้เราเคารพกราบไหว้ หรืออธิษฐานร้องขอเพื่อความเป็นสิริมงคลหรือเพื่อการมีโชคลาภ แต่ตรัสรู้เพื่อที่จะได้นำธรรมะที่พระองค์ทรงค้นพบนี้มาบอกกับเรา เพื่อที่เราจะได้ปฏิบัติให้เข้าถึงความพ้นทุกข์หรือเข้าใกล้ความดับทุกข์ให้มากที่สุด อันนี้คือความหมายของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่มีความสำคัญกับเรา อย่าให้การตรัสรู้ของพระองค์เป็นเพียงแค่การที่พระองค์ได้พ้นทุกข์ ในขณะที่เรายังจมอยู่ในความทุกข์ เพราะว่าไม่ได้คิดที่จะเอาธรรมะของพระองค์ทรงค้นพบหรือที่ทรงแสดงนำมาปฏิบัติ
การตรัสรู้ของพระองค์ชี้ให้เห็นได้ว่า มนุษย์เรามีศักยภาพที่จะพ้นทุกข์ได้ มันไม่ใช่ศักยภาพที่มีเฉพาะกับพระพุทธองค์ แต่มีในตัวเราทุกคนด้วย อย่างที่พระองค์ตรัสว่าอริยโลกุตรธรรมเป็นทรัพย์ประจำตัวของทุกคน อริยโลกุตรธรรมก็คือความสามารถในการอยู่เหนือโลก คือการพ้นทุกข์ เป็นทรัพย์ประจำตัวของทุกคน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างให้เราเจริญรอยตาม เป็นผู้ที่ชี้ว่าการดับทุกข์มีความเป็นไปได้ และก็ควรจะทำให้เกิดขึ้นด้วย
เพราะฉะนั้นถ้าเราใคร่ครวญอย่างนี้ การตรัสรู้ของพระองค์ก็จะมีความหมายอย่างมากทีเดียว ไม่ใช่เป็นเพียงวันที่สำหรับทำบุญกุศล เพื่อให้เกิดสิริมงคลเพียงเท่านั้น แต่ว่าเราสามารถที่จะทำอะไรได้มากกว่านั้น โดยเฉพาะการใคร่ครวญถึงธรรมหรือสัจธรรมของพระองค์ทรงค้นพบ
ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใหม่ๆ พระองค์ได้อุทานเป็นภาษิต เรียกว่าปฐมพุทธภาษิต หรือปฐมภาษิตเริ่มต้นด้วยว่า เมื่อเรายังไม่พบยาน ได้แล่นท่องเที่ยวไปในสงสาร เป็นเอนกชาติ แสวงหาอยู่นายช่างปลูกเรือน คือตัณหาผู้สร้างภพ การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป ประโยคหลังน่าสนใจ การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป ไม่ว่าจะเกิดเป็นใครก็ตาม หรือว่าจะเกิดในครอบครัวไหน มันก็ล้วนแต่เป็นการเกิดที่นำไปสู่ความทุกข์
มันทุกข์ตั้งแต่เกิดแล้ว เพราะว่าอย่างที่เราสังเกต เด็กเวลาคลอด เขาทุกข์ทรมานมากสมัยก่อนเด็กตายขณะคลอดมีเยอะมาก แม้จนทุกวันนี้เด็กที่ตายระหว่างคลอด ก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะในประเทศที่ห่างไกลความเจริญ เช่น แอฟริกา หรือแม้แต่สถานที่เจริญแล้ว การเกิดบางครั้งมันก็เต็มไปด้วยอันตราย มันชัดเจนแจ่มแจ้งเลยว่าการเกิดเป็นทุกข์ ถึงแม้จะรอดมาได้ ก็ยังต้องเจอกับความทุกข์อีกมากมายหลายอย่าง กว่าจะโตขึ้นมาได้ ก็ผ่านความทุกข์มาเยอะ ถ้าไม่ตายเสียก่อนเพราะโรคภัยไข้เจ็บ โตแล้วก็ยังเจอทุกข์ ความพลัดพราก ความผิดหวัง รวมทั้งความแก่ ความเจ็บ สุดท้ายก็คือความตาย
ที่พระองค์ตรัสว่า การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป ถ้าเราพิจารณาก็พบว่าจริง แต่ว่าคำว่าเกิด มันมีความหมายมากกว่าที่เราเข้าใจ มันไม่ใช่แค่การเกิดทั้งกายเท่านั้น มันมีการเกิดอีกชนิดหนึ่งคือการเกิดทางจิตก็คือมีการเกิดตัวกูขึ้นมา หรือเกิดความยึดมั่นสำคัญหมายว่ากู อันนี้เป็นสิ่งที่คนมักจะมองข้าม การเกิดทางกาย ชีวิตหนึ่งเกิดได้ครั้งเดียว แต่ว่าการเกิดทางจิต เกิดได้หลายครั้ง วันหนึ่งๆ เกิดไม่รู้กี่ครั้ง และแต่ละครั้งๆก็ตามมาด้วยความทุกข์ ขณะที่เราทุกข์แล้วทุกข์เล่าโดยเฉพาะทุกข์ใจ ก็เพราะการเกิดทางจิต นี่แหละ คือเกิดตัวกูขึ้นมา
ลองพิจารณาดู ความทุกข์ของคนเราซึ่งถูกสรุปไว้ในบทสวดมนต์ทุกเช้า การประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจก็เป็นทุกข์ การพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ คนเราพูดถึงความทุกข์แล้วก็หนีไม่พ้น 2 อย่างนี้ พรากจากสิ่งที่รักที่พอใจและประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจ แต่ถ้าเราพิจารณาดีๆความทุกข์จาก 2 เหตุการณ์ก็เกี่ยวเนื่องกับตัวกูทั้งนั้น เช่น พลัดพรากจากของรักของพอใจก็คือ มันจะทุกข์ได้ก็เพราะไปยึดว่าของนั้นเป็นของเราหรือว่าเป็นตัวเรา ถ้าเราไม่ยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าเป็นของเราว่าเป็นเรา พลัดพรากไปอย่างไร สูญหายไปอย่างไรก็ไม่ทุกข์ แต่ที่ทุกข์เพราะไปยึดว่า มันเป็นเราเป็นของเรา เป็นกูเป็นของกู ไม่ว่าจะเป็นเงิน โทรศัพท์เพชรทองรถยนต์บ้านเรือน หรือว่าคนรอบตัวคนใกล้ชิด เป็นเพราะว่าไปคิดว่าเป็นเราเป็นของเรา พอสูญเสียไป หรือแม้จะไม่สูญเสีย เพียงแค่มันไปรถถูกขีด หรือว่าญาติพี่น้องเกิดล้มป่วยขึ้นมาก็กลุ้มใจ เศร้าโศกเสียใจ หรือว่าคับแค้นใจแล้ว เป็นเพราะไปยึดสิ่งเหล่านั้นคนเหล่านั้นเป็นเราเป็นของเรา เราไม่ได้ยึดรถว่าเป็นของเราเท่านั้น ยังยึดว่าเป็นเราด้วย ยึดว่าเป็นกู ใครวิจารณ์รถที่เราขับ เราก็จะโกรธ เพราะเหมือนกับว่าเขากำลังวิจารณ์ตัวเรา เราสะพายกระเป๋าที่มีราคา มีคนพูดว่ากระเป๋ามันเชยล้าสมัย เราก็เจ็บปวด เหมือนกับว่าเขากำลังพูดจากระทบเรา อันนี้แสดงว่าเราไปยึดแล้วว่าของนั้นเป็นเราไม่ใช่แค่ของเราเท่านั้น
ในทำนองเดียวกันเวลาเจอสิ่งที่ไม่พอใจมากระทบ แล้วเราทุกข์ ไม่ใช่แค่ทุกข์กาย ทุกข์ใจด้วย ก็เพราะมันมีตัวกูผุดขึ้นมา เช่น เวลาเจอความร้อน มันไม่ใช่แค่กายร้อน แต่ที่ทุกข์มากกว่านั้นเพราะความรู้สึกว่ากูร้อน มีตัวกูเป็นผู้ร้อนขึ้นมา เวลาเจอความหนาว มันไม่ใช่แค่กายหนาว แต่ว่ากูก็หนาวด้วย ตรงนี้แหละเป็นความทุกข์ใจขึ้นมา เกิดตัวกูขึ้นมาแล้ว หรือเวลามีคนพูดตำหนิติฉินให้เราได้ยิน ทำไมเราโกรธ เพราะเรารู้สึกว่าเขากำลังด่ากู เขากำลังว่ากู ทั้งที่คำพูดนั้นมันก็ไม่ได้ทำความทุกข์ทำความเจ็บปวดให้กับร่างกาย แต่ว่าใจปวดเพราะว่ามันมีตัวกูขึ้นมา หรือว่ามันมีการกระทบตัวกู จึงรู้สึกเจ็บปวด เวลาปวดเมื่อยก็เหมือนกัน มันไม่ใช่แค่ปวดกาย แต่ว่ามันมีความรู้สึกว่ากูปวด กูเมื่อยขึ้นซ้อนตามมาด้วย ถ้าไม่มีตัวกู มันก็ไม่ทุกข์มาก มันก็แค่ปวดกายเมื่อยกาย จะเห็นได้ว่าการเกิดตัวกู ตามมาด้วยความทุกข์
ที่จริงแม้จะไม่มีเหตุการณ์แย่ๆเกิดขึ้นเลย ก็คือไม่มีสิ่งไม่ดีมากระทบ ไม่มีความสูญเสีย แม้ในยามปกติ แค่การเกิดตัวกูเป็นนั่นเป็นนี่ ก็สามารถทำให้เราทุกข์ได้ เช่น มีความสำคัญมั่นหมายว่า กูเป็นพ่อ หรือว่ากูเป็นพระ พอมันมีตัวกูแบบนี้เกิดขึ้น มันก็พร้อมที่จะทุกข์เลย เพราะว่ามันตามมาด้วยความคาดหวัง ตามมาด้วยความอยาก เช่น มีตัวกูผู้เป็นพระเกิดขึ้นมา มันก็ปรารถนาหรือคาดหวังให้พูดสุภาพกับเรา พูดอย่างมีสัมมาคารวะ แต่ถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น เราก็โกรธ เราก็ไม่พอใจ เมื่อเกิดความรู้สึกว่า ฉันเป็นพ่อฉันเป็นแม่ มันก็มีความคาดหวังกับลูกว่า ลูกจะต้องเชื่อฟังพ่อแม่ หรือว่าใส่เสื้อผ้าตามที่แม่เห็นชอบเสื้อผ้าหน้าผมสุภาพตามความคาดหวังของแม่หรือพ่อ แต่พอลูกไม่เชื่อฟัง หรือว่าเสื้อผ้าหน้าผมไม่เป็นไปอย่างที่พ่อแม่คาดหวังก็ไม่พอใจ เกิดความโกรธขึ้นมา ก็ทุกข์แล้ว ถึงแม้ว่าหลายคนบอกว่า เป็นพ่อเป็นแม่ก็มีความสุข ได้เห็นลูกเจริญก้าวหน้า แต่ว่าที่ทุกข์ก็เกิดขึ้นตามมา เรียกว่าเป็นอาจิณเหมือนกัน อันนี้เป็นการเกิดตัวกู เป็นการเกิดทางจิตเหมือนกัน
มีความสำคัญว่า ฉันเป็นพ่อ ฉันเป็นแม่ ฉันเป็นพระ ฉันเป็นครูบาอาจารย์ ฉันเป็นคนไทย ฉันเป็นคนกรุงเทพฯ พวกนี้เป็นการเกิดตัวกูที่ลื่นไหล ไม่คงที่ เวลาเจอลูกก็เกิดตัวกูผู้เป็นพ่อขึ้นมา แต่เวลาเจอพ่อ ตัวกูก็ถอยมาเป็นลูก เวลาเจอลูกศิษย์ก็เกิดตัวกูผู้เป็นครูเป็นอาจารย์ แต่พอเจออาจารย์ก็เกิดตัวกูผู้เป็นลูกศิษย์ขึ้นมา เจอฝรั่งตัวกูผู้เป็นคนไทยก็ผุดขึ้นมา เจอคนกรุงเทพฯตัวกูผู้เป็นอีสานก็เกิดขึ้น เจอคนขอนแก่นตัวกูผู้เป็นชัยภูมิก็ผุดขึ้นมา
ตัวกูนี้ก็ลื่นไหลไปเรื่อย แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร ก็พร้อมที่จะทุกข์ เพราะว่ามันมีกิเลสตามมา เป็นคนไทยเราก็ทุกข์เวลามีคนวิจารณ์เมืองไทย หรือว่าเวลาได้ข่าวว่าเวียดนามเจริญกว่าไทย เขากำลังไปโลดเศรษฐกิจเขาทะยาน การศึกษาเยาวชนติดอันดับต้นๆในอาเซียนหรือในเอเชีย เราก็เป็นทุกข์ขึ้นมา เพราะความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นคนไทย ถ้าเราพิจารณาให้ดี การเกิดตัวกูขึ้นมาซึ่งเป็นการเกิดทางจิต มันล้วนแล้วแต่นำมาซึ่งความทุกข์
ที่จริงตัวกูมันไม่ใช่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งที่จิตปรุงขึ้นมา แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นซึ่งทำให้เกิดอะไรต่ออะไรตามมา เช่น เกิดความอยาก ความอยากไม่ว่าจะเป็นความอยากชื่อเสียง ตำแหน่ง อำนาจ มันก็ล้วนแต่เป็นไปเพื่อการหนุนเสริมให้ตัวกูใหญ่ขึ้น แต่ก็ตามมาด้วยการแก่งแย่งแข่งดี ตามมาด้วยทะเลาะเบาะแว้งเพื่อจะได้สิ่งนั้นมาค้ำจุนหนุนเสริมตัวกู แต่ได้เท่าไหร่ก็ไม่พอใจ ได้เท่าไหร่ก็ไม่มีความสุข ยังไม่ต้องพูดถึงว่าต้องเหนื่อยต้องดิ้นรนกับการแสวงหาสิ่งนั้นมา ยิ่งถ้าเกิดการกระทบกระทั่งขึ้นมา ก็ไปกระทบกระทั่้งตัวกูขึ้น เกิดความคับแค้น เกิดความโกรธเคือง เกิดความทุกข์ เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ
ถ้าจะพูดไปแล้ว ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรา ความทุกข์ใจทั้งมวล มันก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะยึดมั่นในตัวกูหรือสำคัญมั่นหมายในตัวกู หรือเพราะปล่อยให้ตัวกูเข้ามาครองจิตครองใจ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าการเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป แล้วเราจะทำอย่างไร ทำอย่างไรไม่ให้การเกิดตัวกูขึ้น หรือทำอย่างไรไม่ให้การเกิดตัวกู เกิดขึ้นมาได้ อย่างที่บอกว่าตัวกูเกิดจากการที่จิตมันปรุง แล้วมันปรุงขึ้นมาในยามที่ความหลงมันครองใจเรา หลงเมื่อใดก็ปรุงตัวกูขึ้นมาเมื่อนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยากให้ตัวกูเกิดขึ้น ก็ต้องไม่เปิดช่องให้ความหลงเข้ามาครองใจ ก็คือ มีความรู้สึกตัว มีสติ ความรู้สึกตัวกับการมีสติ มันเกี่ยวเนื่องกัน มีสติเมื่อไหร่โดยเฉพาะสัมมาสติ ก็รู้สึกตัว เมื่อรู้สึกตัว ตัวกูก็หายไป
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่มีการปรุงตัวกูขึ้นมา มารบกวนจิตใจ สังเกตดูเวลาใดก็ตามที่เรามีสติ ทำอะไรด้วยสติ ด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว มันจะรู้สึกโปร่ง รู้สึกโล่ง มันไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่ากูทำนั่น กูทำนี่ ไม่ใช่แค่การทำในทางกาย ในทางจิตก็เหมือนกัน หรือว่าเวลามีอารมณ์ใดเกิดขึ้น มีความคิด มีความโกรธ มีความทุกข์ มีความโศก ถ้าไม่มีสติเมื่อใด มันก็เกิดตัวกูขึ้นมาว่า กูคิด กูโศก กูเศร้า กูโกรธ กูเกลียด มันมีตัวกูผุดขึ้นมาเป็นผู้โกรธผู้เกลียดอยู่ตลอดเวลา แล้วสิ่งที่ตามมาก็คือความทุกข์
แต่เมื่อใดก็ตามที่เรามีความรู้สึกตัว อารมณ์เหล่านี้ก็เกิดขึ้นได้ยาก หรือเมื่อเรามีสติ มันก็เห็น รู้ทันอารมณ์เหล่านั้น ไม่เข้าไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา เห็นความคิดแต่มันไม่ใช่เป็นผู้คิด เห็นความโกรธแต่ไม่เป็นผู้โกรธ เห็นความทุกข์ก็ไม่เป็นผู้ทุกข์ เมื่อใดก็ตามที่เรามีสติ มีความทุกข์แต่ไม่มีผู้ทุกข์ มีความโกรธแต่ไม่มีผู้โกรธ มีความปวดแต่ไม่มีผู้ปวด สติเป็นตัวปลดเปลื้องจิตออกจากการยึดมั่นสำคัญหมายในตัวกู หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ มันทำให้ไม่มีตัวกูเกิดขึ้นมา ไม่มีการปรุงตัวกูให้มารบกวนจิตใจ
จริงๆแล้ว เราไม่จำเป็นให้ตัวกูมันดับ เพราะว่าตัวกูไม่มีจริงตั้งแต่แรกแล้ว แต่เราไปหลงปรุงมันขึ้นมา แล้วก็ไปยึด ทั้งนี้เพราะความหลง ถ้าไม่อยากให้การเกิดตัวกูเกิดขึ้น ก็ต้องมีสติมีความรู้สึกตัว มีความรู้สึกตัวเมื่อไหร่ ตัวกูก็หายไป มีสติเมื่อไหร่ตัวกูก็ไม่เกิดขึ้น หรือไม่มีความยึดมั่นสำคัญหมายในตัวกู อันนี้คือสิ่งที่ปุถุชนอย่างเราทำได้ ไม่ใช่ว่าต้องรอให้เป็นพระอรหันต์จึงจะหมดสิ้นซึ่งตัวกู หรือหมดความยึดมั่นถือมั่นในตัวกู แต่ว่าตราบใดที่เราเป็นปุถุชน มันก็มีโอกาสที่มีตัวกูผุดขึ้นมา หรือมีการยึดมั่นตัวกูอยู่เรื่อยๆโดยเฉพาะในยามที่เราเผลอ แต่แม้ว่าการยึดมั่นมีตัวกูยังมีอยู่ ยังมีการปรุง หรือว่าเกิดตัวกูเป็นระยะๆ ยังไม่สามารถที่จะรื้อถอนออกมาได้หมด แต่ว่านอกจากการมีสติ มีความรู้สึกตัวแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทำได้ก็คือการที่เราไม่ปล่อยใจให้เป็นไปในอำนาจของตัวกู หมายความว่าแม้จะมีตัวกูอยู่ ยึดมั่นในตัวกูอยู่แต่ว่าทำให้มันเบาบางลง การที่เราไม่ทำตามอำนาจของมันนั้นเป็นวิธีสำคัญในการที่ช่วยทำให้มันเจือจางลงไปในใจเรา
ที่จริงการรักษาศีล ก็เป็นการที่เรารักษาใจไม่ให้ถูกครอบงำด้วยอำนาจของตัวกูนี่แหละ การที่เราทวนกระแสไม่ทำตามอำนาจของมัน มันก็ช่วยทำให้ตัวกูมันเบาบางลง ตัวกูมันอยากได้โน่นอยากได้นี่เพื่อหนุนเสริมตัวกูให้ยิ่งใหญ่ แต่ว่าเราไม่ทำตามมัน ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือ ตัวกูก็เบาบางลง ตัวกูก็เล็กลง แต่ถ้าเราทำตามอำนาจของมัน ตัวกูก็ใหญ่ขึ้นๆ จนกระทั่งครองจิตครองใจเราแล้วนำมาซึ่งความทุกข์ การที่ไม่ยอมทำตามอำนาจของมันเป็นวิธีการที่ขัดเกลาตัวกูให้เล็กลงๆ
เวลาใครชื่นชมสรรเสริญเราแทนที่เราจะปล่อยใจลิงโลด ดีใจ ไปปลื้มกับคำชื่นชมนั้น เราก็แค่รับรู้เฉยๆ ไม่ปล่อยใจให้ปลื้มไปกับคำชื่นชมสรรเสริญ หรือเวลาเราทำดี มีคนชมเรา อยากให้คนอื่นรับรู้ ประกาศให้โลกรู้ทาง Facebook เป็นการอวดเป็นการโชว์ อันนี้เป็นไปตามอำนาจของตัวกู แต่ถ้าเราอยากจะฝึกตน อยากจะขัดเก่ลาตัวกูให้เบาบางลง เราก็ต้องไม่ทำตามมัน มันอยากอวดอยากคุยโว แต่เราห้ามเอาไว้ไม่โชว์ไม่อวด ใหม่ๆจะรู้สึกแน่นหน้าอกเพราะอยากจะประกาศให้โลกรู้ แต่ว่าพอเราคุมจิตคุมใจไม่ยอมทำตามอำนาจของมัน อยากอวด แต่เรากลับนิ่งเงียบ ทีละน้อยๆ มันก็จะแผ่วเบาลง ตัวกูจะเล็กลงๆ
บางทีเราอยากจะให้คนอื่นชมเรา เราสวยเราหล่อเราเทห์ ด้วยการแต่งตัวประดับประดา เสื้อผ้าหน้าผม แต่ว่า แทนที่เราจะปล่อยใจไปทำตาม เราไม่ทำ มันจะโวยวายตีโพยตีพาย เราก็อดทน เรียกว่าทรมานอัตตา ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันก็จะเบาบางลง อันนี้ก็เป็นการฝึก ฝึกทำให้ตัวกูเบางบางลง แต่ที่ต้องทำควบคู่กันไปก็คือการมีสติ มีความรู้สึกตัว เพื่อไม่ให้มีปรุงตัวกูขึ้นมา
ถ้าเราเห็นแล้วว่า การเกิดไม่ว่าทางกายหรือทางจิต มันเป็นทุกข์ร่ำไป เราก็จะเห็นความสำคัญของการฝึก ไม่ให้มีการเกิดตัวกูขึ้นมา ซึ่งถ้าทำไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะเกิดปัญญาขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะรื้อถอนความยึดมั่นสำคัญหมายในตัวกูขึ้นมาได้ อันนี้คือแง่หนึ่งที่เราพึงใคร่ครวญการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะปฐมภาษิตของพระองค์ มีอะไรที่ให้เราศึกษาใคร่ครวญมากมาย แล้วถ้าเรานำไปปฏิบัติก็จะทำให้เราห่างไกลจากความทุกข์และเข้าใกล้ความดับทุกข์มากขึ้น
วันวิสาขบูชาปีนี้เราไม่สามารถที่จะไปเวียนเทียนอย่างที่เราเคยทำได้ แต่ถึงแม้เราจะเวียนเทียนไม่ได้ เราก็สามารถที่จะทำสิ่งที่ประเสริฐกว่านั้นได้ แทนที่จะบำเพ็ญอามิสบูชา เราก็มาบำเพ็ญปฏิบัติบูชา เริ่มต้นด้วยการใคร่ครวญถึงความหมายของการตรัสรู้ของพระองค์ที่มีคุณค่าต่อเรา แล้วก็นำเอาธรรมที่พระองค์ทรงค้นพบมาปฏิบัติให้เกิดขึ้นเป็นจริง อันนี้ก็จะทำให้วันวิสาขบูชาเป็นวันที่มีความหมายกับเราในฐานะเป็นชาวพุทธอย่างแท้จริง
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมวัตรเย็น วัดป่าสุคะโต วันที่ 26 พฤษภาคม 2564