แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ได้อ่านบทความชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับแฟนบอลในประเทศอังกฤษ คนอังกฤษสนใจฟุตบอลมาก และมีคนจำนวนไม่น้อยที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ ติดตามฟุตบอลอย่างใกล้ชิด เพราะว่าที่อังกฤษมีการแข่งบอลทุกอาทิตย์ อาทิตย์หนึ่งก็หลายนัด ยาวนานกันเป็นฤดูเลย 8-9 เดือน แฟนบอลพันธุ์แท้เหล่านี้รักฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจเลย เวลามีการแข่งบอล เขามีความสุขมาก ทุกวันจะต้องตามข่าวนักฟุตบอล หรือทีมที่ตนเองสนใจ มีความสุขมาก รู้สึกมีชีวิตชีวา ตื่นขึ้นมาทุกวันนึกถึงฟุตบอล นึกถึงทีมที่เชียร์ อยากติดตามข่าวคราว หัวใจพองโตเลยโดยเฉพาะที่ทีมของตัวเองชนะ
พวกนี้จำนวนไม่น้อยที่เขาไปสอบถามมา 70-80 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าฟุตบอลสำคัญยิ่งกว่าคนรัก ยิ่งกว่าครอบครัว สำคัญยิ่งกว่าการเมือง ยิ่งกว่าศาสนา เรียกว่าเป็นชีวิตจิตใจของเขาเลย แต่พอหมดช่วงเทศกาลฟุตบอล ตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้วก็คงจะต่อเนื่องไปจนถึงอีก 2 เดือนหน้า ปรากฏว่าแฟนบอลเหล่านี้จำนวนมาก เกือบร้อยทั้งร้อยจิตใจห่อเหี่ยว 70% ซึมเศร้าเลย ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ไม่อยากพูดคุยกับคนในบ้าน รู้สึกชีวิตว่างเปล่า ไม่มีจุดมุ่งหมาย ไร้เป้าหมาย ชีวิตแปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
อ่านแล้วก็น่าคิด ในช่วงที่มีความสุข ก็สุขกับฟุตบอลเต็มที่ เสร็จแล้วก็ทุกข์เพราะฟุตบอล เมื่อฟุตบอลยุติการแข่งขัน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าทีมของตนเองถ้าเกิดแพ้ขึ้นมาในช่วงที่มีฤดูกาล แต่แพ้ก็ยังมีความหวังว่าจะเอาคืนในอาทิตย์หน้าอาทิตย์ถัดไป แต่ถ้าหากว่าเทศกาลฟุตบอลมันยุติแล้ว มันก็เหมือนไม่มีความหวัง ไม่รู้ว่าจะรอคอยอาทิตย์หน้าไปทำไม เพราะว่ามันไม่มีการแข่งบอล ห่อเหี่ยว
อันนี้ก็ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัส สุขเพราะอะไรก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น เคยมีการสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับเทวดา เทวดาบอก มีลูกก็สุขเพราะลูก มีโคก็สุขเพราะโค พระพุทธเจ้าตรัสอีกทางหนึ่งเลยว่ามีลูกก็ทุกข์เพราะลูก มีโคก็ทุกข์เพราะโค จะเรียกว่าพระพุทธเจ้าพูดแย้งก็ไม่เชิง เป็นการพูดเสริม มีลูกก็สุขเพราะลูกก็จริง แต่ว่าในที่สุดก็ทุกข์เพราะลูก มีโคถ้าสุขเพราะโค ในที่สุดก็ทุกข์เพราะโค เพราะอะไร เพราะว่า ลูกก็ดี โคก็ดี มันแปรเปลี่ยนไป มันไม่เป็นไปดั่งใจ หรือว่าล้มหายตายจากไป
ลองดู คนเราสุขเพราะอะไร มันก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น บางคนมีความสุขกับรถยนต์ รักมาก ล้างรถเป็นประจำดูแลเอาใจใส่รถอย่างดี หาอะไรมาประดับประดารถ ชนิดที่ว่า ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอมเลย แต่พอรถมีรอยขีดข่วน ทุกข์มากโกรธมาก บางทีกลุ้มเลยเวลารถเสียขึ้นมา บางคนมีความสุขกับคนรัก คู่ครอง เหมือนมีชีวิตใหม่เมื่อได้คู่ครองที่ใช่หรือถูกใจ แต่พอเขาเกิดมีอันเป็นไปขึ้นมา เช่น ล้มป่วยหรือแยกทางกัน หรือเสียชีวิต ชีวิตที่เคยพุ่งสูง ดิ่งลงเลย เหงาหงอยเศร้าสร้อยห่อเหี่ยว ไม่มีชีวิตชีวา บางทีอาการแบบนี้ยืดยาวไปตลอดชีวิตก็มี
ก็เหมือนกับบางคน มีความสุขกับหลาน ตื่นเช้าขึ้นมาทุกวันเหมือนกับมีชีวิตชีวา คิดถึงหลาน จะได้มาเห็นหน้าหลาน จะได้มาเล่นกับหลาน หรือมีความสุขที่ได้เห็นหลานเจริญก้าวหน้าทั้งการเรียนและการงาน แต่พอหลานเกิดมีอันเป็นไปขึ้นมา ชีวิตจิตใจตกต่ำเลยห่อเหี่ยวสิ้นเรี่ยวสิ้นแรง บางคนสุขมาตลอดชีวิต แต่พอบั้นปลายชีวิตเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า จิตตกต่ำ จนบางทีไม่รู้จักฟื้นขึ้นมาได้ มาเป็นเอาตอนแก่ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับอารมณ์ที่ตกต่ำหรือย้ำแย่แบบนั้น
อันนี้ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นหรือเตือนใจเราว่า สุขเพราะอะไรก็เตรียมใจว่าทุกข์เพราะสิ่งนั้นได้ บางคนมีความสุขกับงานการทำงาน และมีความสุข ตื่นเช้าขึ้นมามีชีวิตชีวาเพราะว่าได้ทำงาน เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ยอมหยุดงานเพราะงานคือชีวิต แต่พอแก่ชรา ปลดเกษียณบ้าง หรือว่าไม่มีเรี่ยวแรงทำหรือเจ็บป่วย ต้องนอนติดเตียง บางคนต้องเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตเพราะเส้นสมองแตก ไม่ได้ทำงานห่อเหี่ยวจิตใจห่อเหี่ยวเหมือนกับสิ้นเรี่ยวสิ้นแรงไปเลย บางคนก็หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต
เพราะฉะนั้นเวลาเราสุขเพราะอะไรก็ให้เตือนใจตัวเองว่า ความสุขที่มี มันไม่เที่ยง อย่าไปเพลินหลงใหลกับมันมาก รวมทั้งสิ่งที่ให้ความสุขกับเรา มันก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน วันข้างหน้ามันต้องแปรเปลี่ยนไป ถ้าไม่ขึ้นก็ลง เพราะฉะนั้นถ้าเราเตือนใจตนเองอยู่เสมอ แล้วก็ตระหนักว่าความสุขที่มีมันไม่เที่ยง สิ่งที่ให้ความสุขเรามันก็ไม่ยั่งยืน มันก็ทำให้สามารถที่จะอยู่กับความสุขได้โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ในภายภาคหน้า
ความสุขบางครั้ง มันก็มาหาเราเอง ไม่ใช่ว่าเราไปแสวงหามา เช่น พระ บางทีก็มีคนมาถวายอาหารที่ประณีต รสชาติดี กินแล้วก็รู้สึกมีความสุขคืออร่อย แต่ถ้าเกิดว่าเตือนใจตนเองว่าความสุขพวกนี้มันไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่เพลิดเพลินกับมัน ก็แค่ดูเฉยๆไม่ได้ปฏิเสธมัน แต่ก็ดูมัน เห็นมัน รวมทั้งความสุขอย่างอื่นด้วย ที่เป็นความสุขจากวัตถุ ความสุขจากสิ่งเสพ โดยเฉพาะความสุขจากผู้คนที่น่ารักน่าพอใจ การที่มีเขามาในชีวิตของเรา มันก็เป็นเรื่องดี แต่ก็อย่าประมาท อย่าหลงใหล อย่าปล่อยใจจมดิ่งลงไปในสุขนั้น
เวลามีความสุขเกิดขึ้น ก็ดีแล้ว แต่ว่าก็รู้ทันมัน ไม่หลงใหลเพลิดเพลินในความสุขนั้น ถึงเวลาสิ่งที่ให้ความสุขมันแปรเปลี่ยนไป มันก็ไม่ทุกข์มาก อันนี้ก็ทำได้ แต่ส่วนใหญ่ไปเพลินกับมัน หลงใหลกับมัน ไม่เฉลียวใจว่าหรือไม่ตระหนักว่า มันไม่เที่ยง พอถึงเวลามันแปรเปลี่ยนไป ก็ทุกข์มากเลย จิตใจจมดิ่งจนบางทีกู่ไม่กลับ ฟื้นไม่ขึ้นก็มี อันนี้ก็เป็นโศกนาฏกรรมของชีวิตที่เกิดขึ้นกับหลายคน เพราะไม่ตระหนักความจริงว่าสุขเพราะอะไร ก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น ถ้าไม่อยากทุกข์ก็อย่าไปเพลินกับความสุขมาก
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมก่อนฉันเช้า วัดป่าสุคะโต วันที่ 5 มิถุนายน 2564