แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีคนหนึ่งเขามาปรึกษาว่าจะทำยังไงดี พี่สาวป่วยหนักเข้าโรงพยาบาล ที่เขาถามอย่างนี้ก็เพราะว่า พี่สาวคนนี้ทำไม่ดีกับเขาหลายอย่าง ก็คือว่าไม่ค่อยดูดำดูดี ตอนที่แม่ป่วยพี่สาว ก็รับปากว่าจะช่วยเหลือเขา ถ้าเกิดว่าเขามาดูแลแม่อย่างเต็มที่ เขาอุตส่าห์ลาออกจากงานมาดูแลแม่ซึ่งเป็นอัลไซเมอร์ เวลาดูแลแม่ที่เป็นอัลไซเมอร์ หรือดูแลพ่อก็ตาม มันไม่ใช่แค่สองสามปีเหมือนกับมะเร็ง มันเป็นสิบปีเลย เขาก็ดูแลแม่มาสิบปี พี่สาวก็ไม่ค่อยสนใจ ให้แต่เงิน แม้แต่มาช่วยดูแลแม่ก็ไม่เคยทำ มาหาแม่ปีหนึ่งก็ไม่กี่ครั้ง เวลาเขาจะต้องการเงินเพื่อมาช่วยปรับปรุงบ้านที่แม่อยู่ หลังคาเสีย ท่อน้ำแตก จะขอเงินพี่สาวก็ยาก บ่ายเบี่ยง งอนง้ออ้อนวอน ถึงเวลาแม่ตาย เขาก็ยังหางานทำไม่ได้เพราะว่าอายุก็มากแล้ว แต่พี่สาวก็ไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ ต้องอ้อนวอน กว่าจะได้เงินมาทีละนิดทีละหน่อย เรียกว่ามีความโกรธพี่สาว ตอนนี้พี่สาวป่วย เขาสงสัยว่าจะทำไงดี ทำไงดีในที่นี้ หมายความว่า จะไปดูแลพี่สาวหรือว่าปล่อยไปให้เขาป่วยไป
ก็เลยตอบเขาไปว่า เขาทำไม่ดีกับเราอย่างไร มันเป็นเรื่องของเขา ส่วนเราก็มีหน้าที่ หน้าที่ที่จะทำดีกับผู้คนทั้งหลาย เขาก็ถามขึ้นมาว่าต้องเป็นคนดีด้วยเหรอ ก็บอกว่าไม่ได้เป็นคนดี แค่ทำดีกับผู้คนโดยเฉพาะคนที่อยู่ใกล้ตัว พ่อแม่ก็หนึ่งละ พี่ๆ ก็หนึ่งละ เพื่อนๆ ด้วย ใครเขาทำไม่ดีกับเรา มันก็เป็นกรรมของเขาเอง ก็ต้องรับวิบาก อาจจะได้แก่ ความโกรธที่ไปต่อว่าด่าทอ หรือความเกลียด เขาก็ต้องรับผลของความโกรธ ความเกลียด อาจจะรวมถึงผลอย่างอื่นด้วย ถ้าหากว่าทำอะไรที่มันแย่ๆ กว่านั้น แต่สำหรับเรา เราทุกคนก็มีหน้าที่ทำความดี เพราะอะไร ก็เพราะว่าเมื่อเราทำความดีแล้ว มันก็ดีกับเราเอง
ดีในที่นี้มันไม่ใช่หมายถึงผลตอบแทนในทางวัตถุว่า เขาจะมาเอาเงินเอาทองมาให้ หรือเขาจะชื่นชมสรรเสริญ แต่ว่าดีตรงที่ว่า คือ ทำดีที่ออกมาจากใจ ออกมาจากเจตนาที่ดี เช่น เมตตา กรุณา เมตตา กรุณาก็ดีกับใจเราอยู่แล้ว ทำให้จิตใจชื่นบาน ความดันก็เป็นปกติ มันตรงข้ามกับความเกลียด ความโกรธ ยิ่งปล่อยให้มันเกิดขึ้นกัดกิน กัดกร่อนจิตใจ เผารนจิตใจ ร่างกายมันก็จะแย่ ความดันก็ขึ้น ความเจ็บป่วยก็ถามหา เมตตา กรุณานี้ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ทำให้ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่กันไม่ให้ความโกรธ ความเกลียดเข้ามาครอบครองใจ
อานิสงส์ของเมตตาที่พระพุทธเจ้าพรรณนาไว้มีเยอะว่า มี ๑๑ ประการ แต่ว่าอันนั้นก็ต้องเป็นเมตตาที่มากทีเดียว ทำให้อายุยืน หน้าตาผ่องใส เป็นที่รักของเทวดา ของมนุษย์และอมนุษย์ หลับก็เป็นสุขตื่นก็เป็นสุข ตายก็ไม่หลงตาย อันนั้นก็ต้องเป็นเมตตาที่มากพอ ถึงแม้ว่าเป็นเมตตาพอประมาณ มันก็ช่วยทำให้สุขภาพจิตดี สุขภาพกายก็ดีด้วย จริงๆ แล้วคนเราก็มีหน้าที่ต่อตัวเองคือหน้าที่จะรักษากายและใจไม่ให้ทุกข์ อันนี้เป็นหน้าที่ประการแรกเลย และสิ่งที่จะทำให้กายและใจไม่ทุกข์ ก็คือการทำดีกับผู้อื่น เมื่อเราทำดีกับผู้อื่น มันก็ได้ความสุข เพราะว่าเป็นความสุขที่เกิดจากการมีเจตนาดีตั้งแต่ตอนแรก เจตนาดีมันก็สุขอยู่แล้วคือมีเมตตา มีศรัทธาก็ได้ เราศรัทธาครูบาอาจารย์เราก็ทำดีกับท่าน มันเป็นแรงจูงใจที่ดี เมตตา ศรัทธาหรือว่าสติก็แล้วแต่ ทำแล้วจิตใจก็ผ่องใส เพราะว่าได้เห็นผลของการทำความดีนั้น เป็นผลที่ใจ ไม่ได้เป็นผลที่ออกมาในรูปของโลกธรรม เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คนพาลย่อมทำกับตัวเองเหมือนดังเป็นศัตรู คนพาลนี่หมายความว่าก็ย่อมทำร้ายตัวเอง ไม่ใช่ทำร้ายด้วยการเอาหัวโขกกำแพงหรือทุบหน้าอก อันนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้ กับคนที่มีความโกรธมาก คนที่โกรธก็จะทำร้ายตัวเอง บางทีก็เอามีดกรีดข้อมือเพื่อประชด หรือถ้าเศร้ามากๆ ก็อาจจะฆ่าตัวตาย น้อยเนื้อต่ำใจ ต้องการหนีโลกนี้หรือต้องการประชดคนที่ตัวเองน้อยเนื้อต่ำใจ อาจจะเป็นพ่อแม่ คนรัก ชนะในยามที่มีชีวิตอยู่ไม่ได้ก็ชนะในขณะที่ตายนี่แหละ ดูเหมือนมีเหตุมีผล แต่ว่ามันเป็นการทำออกมาจากความหลงแล้วก็เป็นการทำร้ายตัวเอง แต่ถึงแม้ว่าไม่ถึงขนาดนั้นไม่ทำร้ายทางกายมันก็ทำร้ายทางใจอยู่แล้ว ก็คือการปล่อยให้อกุศลจิตครอบงำ
ฉะนั้นคนเราถ้าหากว่ารักตัวเองก็ต้องทำความดี ช่วยเหลือผู้อื่นด้วย ส่วนใครเขาจะมองเราเป็นคนดีหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และเราก็ไม่ควรจะไปคิดว่าเออเราเป็นคนดี เพราะคิดว่าเป็นคนดีมันก็เป็นการเสริม เป็นการสร้างมานะ แค่ทำดีก็พอแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีหรอก แค่ทำดีก็พอละ เพราะเป็นอะไรก็ทุกข์ทั้งนั้น เป็นคนดีก็ทุกข์แบบคนดี พอเขาไม่ทำดีกับเรา ก็ติดว่า ทำไมเขาทำไม่ดีกับเรา ทำไมเขาไม่ชมเรา ทำไมเขาต่อว่าเรา ทำไมเขาไม่เห็นความดีของเรา ทำไมเขาใส่ร้ายเรา อันนี้ ทุกข์ของคนดี ที่จริงมีมากกว่านั้น เช่น เห็นใครดีกว่าก็ทุกข์อิจฉาเขา หรือว่าทำอะไรที่ผิดพลาดก็โบยตีตัวเอง ทำไมเราไปด่าว่าเขาอย่างนั้น ทำไมเราไปกลั่นแกล้งเขาอย่างนั้น ทำไมเราอิจฉา ทำไมเราโลภอย่างนั้น อันนี้ก็ทุกข์ของคนดี ติดดี
เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ไม่ต้องเป็นคนดีหรอก แค่ทำความดีก็พอแล้ว ทำความดีแม้กระทั่งคนที่เขาทำไม่ดีกับเรา ใครทำไม่ดีกับเรามันก็เป็นเรื่องของเขา เขาก็ต้องรับกรรมเอง ส่วนเราควรทำดีกับผู้คนทั้งหลาย อย่างน้อยๆ ก็เพื่อความสุขของเราทั้งกายและใจ แต่ที่ดีกว่านั้นก็คือเพื่อช่วยเหลือให้เขานั้นได้มีความสุข การทำความดีมันเป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง แต่มันไม่ใช่เป็นหน้าที่ที่ใครมาบังคับ กฎหมายก็ไม่ได้บังคับ พ่อแม่ก็บังคับไม่ได้ มันเป็นความสมัครใจ แต่ว่าที่ว่ามันเป็นหน้าที่ก็เพราะคนเราก็ต้องมีหน้าที่รักษากายและใจให้เป็นปกติ ให้มีความสุข เป็นหน้าที่ของคนที่รักตัวเอง แล้วเมื่อรักตัวเองก็ต้องใส่ใจ เช่น เวลากินอาหาร ก็มีหน้าที่ที่จะกินในสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อะไรที่มันเป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกายต่อสุขภาพ แม้จะอร่อยถูกปากก็ก็ควรหลีกเลี่ยงหรือเป็นหน้าที่อะไรก็ได้
หน้าที่ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพดี เพราะถ้านั่งนานๆ มันก็สบายก็จริงแต่ว่ามันก่อทุกข์ภัยตามมาในภายภาคหน้า เจ็บป่วย ด้วยโรคร้ายต่างๆ โรคหัวใจ เบาหวาน เผลอๆ ซึมเศร้าเข้าไปอีก ไมเกรน อันนี้ก็เป็นหน้าที่อยู่แล้ว เหมือนกับเวลาเราปวดท้องเราก็มีหน้าที่ไปปลดทุกข์ในห้องน้ำ หิวก็มีหน้าที่กิน ไม่ใช่เพื่อปรนเปรอกิเลสแต่เพื่อให้ร่างกายอยู่ได้ เมื่อจิตใจรุ่มร้อนก็มีหน้าที่ให้ดับความรุ่มร้อน ไม่ว่าจะรุ่มร้อนเพราะโกรธเพราะเกลียดหรือเพราะอาฆาตพยาบาทก็ต้องรักษามีหน้าที่รักษาดับทุกข์ในใจ อันนี้เรียกว่าหน้าที่ต่อตัวเอง
ซึ่งเมื่อมองแบบนี้แล้ว ก็จะเห็นว่าการทำความดีกับผู้อื่นไม่ว่าใครก็ตาม มันก็ช่วยทำให้เกิดความสุขกายสุขใจ แม้จะเสียเวลาไปบ้างหรือเสียเงินเสียทองแต่ว่ามันก็ไม่ได้มากมายอะไร ไม่เหมือนกับเวลาเราละเลยสุขภาพตัวเองไม่ดูแลตัวเอง ไม่ออกกำลังกาย ไม่กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ไม่พักผ่อนให้พอเพียงถึงเวลาป่วยมันเสียเวลามากทีเดียว ถึงเวลาป่วย มันเสียเวลาเยอะ เสียเงินมาก มากกว่าที่เราจะเสียเวลาในการดูแลสุขภาพตัวเอง เช่น ออกกำลังกาย อันนี้เรื่องกายเรื่องใจก็เหมือนกัน สุขภาพจิต ถ้าเราไม่เสริมสร้างเมตตา กรุณาให้เกิดขึ้น ไม่ทำดีกับผู้อื่นเพราะกลัวว่าเสียเวลา กลัวเสียเงิน ไม่ช้าไม่นานสุขภาพจิตก็จะแย่ สุขภาพจิตแย่มันก็จะเสียอย่างอื่นตามมาอีกมากมาย เสียเวลาเพราะเจ็บป่วย เสียเงินเสียทอง ไม่ต้องพูดถึงความสุขที่เสียไป
คนเราถ้าใช้เวลาจมไปกับความทุกข์ จะเป็นความโกรธ ความเกลียด ความเศร้า มันก็คือการเสียเวลาอย่างหนึ่ง เวลาในโลกนี้ของเราแต่ละคนก็มีน้อยอยู่แล้ว ยิ่งอายุมากเวลาก็เหลือน้อยลง คนอายุสามสิบก็อาจจะคิดว่ามีเวลาเหลืออยู่ในโลกห้าสิบ แต่ก็ไม่แน่หรอก อาจจะมีเวลาเหลือแค่สองปีก็ได้หรือว่าสองอาทิตย์ก็ได้ มันจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่รู้แน่ๆ ก็คือว่าเวลามันน้อยลงไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ
ในเมื่อเวลาเหลือน้อยลงควรใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ปล่อยเวลาให้หายไปนาทีแล้วนาทีเล่า ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า วันแล้ววันเล่า อาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า ไปกับความทุกข์ความโกรธ ความแค้น ความเศร้า อันนี้ เสียเวลา ทุกนาทีที่เราโกรธ เราเกลียด เราเศร้า เราวิตกกังวล อันนี้คือการเสียเวลา คนเราเหมือนกับว่าเรามีเงินในกระเป๋าน้อยลงไปเรื่อยๆ มีเงินในกระเป๋าน้อยลงไปเรื่อยๆ ก็ต้องใช้เงินแต่ละบาทให้มันมีประโยชน์มากที่สุด ไม่ใช่ใช้ไปกับการกินเหล้า เล่นการพนัน มันมีแต่จะหมดไปแบบฮวบฮาบ หรือใช้ในการปรนเปรอตนที่ให้ผลชั่วคราว เสร็จแล้วก็เดือดร้อนภายหลัง พอเงินหมดไม่รู้ทำไง
แต่ถ้าเวลาหมดก็คือตาย แต่ก่อนจะตายมันก็ทุกข์ทรมาน เพราะว่าปล่อยให้อกุศลธรรม มันครอบงำจิตใจตลอด ความดีนี่มันเป็นยา ที่คอยขจัดพวกอกุศลธรรมออกไปจากจิตใจ ทำความดีถ้าเป็นความดีจริงๆ มันทำให้เกิดเมตตากรุณา ทำให้เกิดศรัทธา ทำให้เกิดความสุข ถ้ายิ่งรู้จักเจริญสติ เจริญปัญญา มันก็ยิ่งเป็นภูมิคุ้มกันจิตใจ ไม่ให้ความทุกข์และอารมณ์อกุศล มันเข้ามาเล่นงานร่างกายและจิตใจได้ อันนั้นคือเหตุผลที่คนเราควรทำความดี แม้แต่กับคนที่เขาทำไม่ดีกับเรา ถึงขั้นทำร้ายเรา แต่ว่าก็ไม่โกรธตอบ ผู้มีปัญญานี่ท่านจะเห็นเลยว่า การโกรธตอบเขา เป็นการกระทำที่แย่มาก มันทำร้ายตัวเอง
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ผู้โกรธตอบคนที่ด่าย่อมเลวกว่าคนด่า ผู้ไม่โกรธตอบคนที่ด่า เรียกว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก ผู้ที่มีสติตั้งมั่นรู้จักรักษาใจไม่โกรธตอบคนที่ด่าว่า ย่อมทำประโยชน์ทั้งแต่ตนเองและผู้อื่น ชนะสงครามที่ชนะได้ยากนี่ก็คงจะรู้กันอยู่แล้วว่า เวลาใครมาด่าเรา เราไม่ด่าตอบไม่โกรธตอบนี่มันยากเหลือเกิน แต่ว่าการทำเช่นนั้น มันเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นยังไง คนไม่ค่อยเห็น แต่ที่จริงมันเป็นมากทีเดียว เพราะว่าอย่างที่พูดมาทั้งหมด มันก็เป็นประโยชน์กับตนทั้งนั้น ทำให้สุขภาพจิตดี ทำให้สุขภาพกายดีไปด้วย ทำให้ไม่ทุกข์
พระทิเบตเป็นพระชั้นผู้ใหญ่ระดับริมโปเช ถูกทหารจีนคอมมิวนิสต์จับ เมื่อสัก 60 ปีก่อนสมัยที่จีนคอมมิวนิสต์ยาตราทัพมายึดครองธิเบต จนท่านดาไลลามะก็ต้องลี้ภัยไปอินเดีย หกสิบปีมาแล้ว พระรูปนี้ท่านก็ถูกจับท่านก็ไม่สนองตอบต่อนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ปฏิเสธศาสนาพุทธ หรือศาสนาทั้งหลาย หันมาสมาทานลัทธิคอมมิวนิสต์ ท่านก็ไม่ให้ความร่วมมือแล้วก็ไม่ปฏิบัติตาม ก็ถูกจับนานยี่สิบปี ระหว่างนั้นก็ถูกทรมาน ถูกทรมานสารพัด พอครบยี่สิบปีท่านก็ได้อิสรภาพ ท่านก็ลี้ภัยไปอินเดีย ดาไลลามะได้ข่าวก็รู้ว่าเขาเคารพท่าน เป็นริมโปเชเป็นพระอาวุโส ก็ไปเยี่ยมท่าน ก็พูดคุยสนทนากัน แล้วก็ประโยคหนึ่งก็ถามท่านว่า ตอนที่ท่านถูกจับนี่ท่านกลัวอะไรมากที่สุด
แทนที่ท่านจะบอกว่ากลัวถูกทรมาน กลัวถูกตอกเล็บตอกขมับ ท่านกลับบอกว่ากลัวที่จะโกรธ เกลียดคนที่ทรมานท่าน นี่แค่โกรธแค่เกลียด ทำไมกลัว เพราะท่านรู้ว่าถ้าโกรธเกลียดไปแล้ว ท่านก็อาจจะเผลอทำบาป ผิดศีล ทำบาปหรือผิดศีลนี่มันก็ก่อวิบากให้กับตัวเองนั่นแหละ และอีกเหตุผลหนึ่งท่านก็คงรู้ว่า ทหารจีนก็ทำร้ายท่านได้แต่ร่างกาย แต่ว่าทำร้ายจิตใจท่านไม่ได้ แต่เมื่อใดที่ท่านโกรธท่านเกลียด เมื่อใดนั้นแหละการทำร้ายจิตใจได้เกิดขึ้นแล้ว คนที่รักตัวเองเขาไม่พยายามทำร้ายตัวเอง คนอื่นมาทำร้ายก็ไม่เป็นไร แต่เราอย่าทำร้ายตัวเอง ไม่ใช่แค่ไม่ทำร้ายร่างกาย ไม่ทำร้ายจิตใจตัวเองด้วย อันนี้เป็นหน้าที่ เรามีหน้าที่ที่จะไม่ทำร้ายร่างกายและจิตใจตัวเอง ท่านก็เลยกลัว กลัวว่าความโกรธความเกลียดจะเกิดขึ้นกับคนที่ทำร้ายท่าน ทรมานท่าน แต่คนที่ไม่มีปัญญาไม่ใคร่ครวญ ปล่อยให้ความโกรธเกลียดเกิดขึ้น และก็ยังพยายามสุมไฟให้ความโกรธความเกลียดมันแรงขึ้น เพราะถือว่าต้องตอบโต้ มึงทำกู กูก็จะทำมึง มึงทำร้ายกู กูทำร้ายมึงไม่ได้ กูก็ต้องแช่งชักหักกระดูกมึง คิดว่าทำอย่างนี้แล้วจะเป็นการตอบโต้ที่สมน้ำสมเนื้อ แต่ที่จริงมันไม่ได้ทำให้คนนั้นเป็นทุกข์เลย แต่มันทำให้ตัวเราเป็นทุกข์ต่างหาก
ท่านกุนเดนท่านนี้ ท่านมีปัญญา ท่านก็รู้ว่าถ้าท่านไปโกรธเกลียดเขาแล้ว มันก็คือหาเรื่องใส่ตัว ทำให้ผิดศีลเป็นบาป หรือถึงแม้ทำบาปไม่ได้ผิดศีลไม่ได้เพราะว่าได้แต่โกรธเกลียด ทำอย่างอื่นไม่ได้มากกว่านั้นเพราะติดคุก แต่ความโกรธเกลียดนั่นแหละที่กลับมาทำร้ายตัวเองได้ ถ้าคนฉลาดเขาก็ไม่ทำ เพราะเขารักตัวเองอย่างถูกต้อง ก็น่านับถือ ก็ตรงกับที่พูดเมื่อตั้งแต่แรกว่า ใครเขาทำอะไรกับเรามันเป็นเรื่องของเขา เขาต้องรับวิบากกรรมเอง แต่เราควรจะทำดีกับผู้คน เริ่มจากไม่โกรธไม่เกลียดเขา หรือว่าพยายามระงับไม่ให้ความโกรธความเกลียดมาครองใจ
ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้โกรธตอบคนที่ด่าว่า เลวกว่าคนที่ด่า ผู้โกรธตอบคนที่ทำร้าย ย่อมเลวกว่าคนที่ทำร้าย มีชาดกเรื่องหนึ่ง สมัยที่พระพุทธเจ้ายังเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นดาบส ชื่อขันติวาทิ ขันติวาทิเป็นผู้ที่เคร่งครัดในการทำความเพียรมาก แล้วก็มีขันติสมชื่อ วันหนึ่งก็ไปจาริกอยู่แถวชายป่า บังเอิญใกล้ๆ กับอุทยานที่กษัตริย์ที่มาสรงน้ำ มาพักผ่อน กินลม อาบน้ำเล่นน้ำ ระหว่างที่พักบรรทม ก็มีนางสนม ผู้หญิงมาห้อมล้อม มาปรนนิบัติ แต่พอพระองค์หลับไป ผู้หญิงพวกนี้ก็ได้ทราบว่ามีดาบส ก็เลยไปหาไปสนทนา ไปกราบไหว้ พระราชาตื่นขึ้นไม่เห็นใคร พอรู้ว่าผู้หญิง นางสนมกำนัลไปหาขันติวาทิดาบสก็โกรธ ไม่ได้โกรธเฉพาะผู้หญิงเหล่านั้น แต่ยังโกรธขันติวาทิ จะเรียกว่าอิจฉาด้วยก็ได้ เพราะเป็นจุดสนใจ ดึงดูดผู้หญิงมากกว่าตน
ก็ไปถามว่าท่านเป็นใคร ท่านว่าชื่อขันติวาทิ ท่านมีคุณธรรมอะไร ข้าพเจ้ามีคุณธรรมคือความขันติอดทน พระราชาต้องการเอาชนะ ก็เลยสั่งจับ แล้วทรมาน ไม่ใช่แค่โบยตี แต่ว่าตัดหู ตัดจมูก ขันติวาทิก็นิ่งไม่ร้อง ไม่แสดงอาการโกรธ พระราชาก็คิดว่า ถ้าเช่นนั้นก็ต้องทำให้มันหนักกว่านี้ ตัดแขนทั้งสองข้างแล้วตัดขาด้วย เพราะคิดว่า เดี๋ยวมึงคงทนไม่ได้ เดี๋ยวก็ต้องร้องโวยวาย ก็จะไม่ขันติสมชื่อละคราวนี้ ปรากฏว่าท่านขันติวาทิดาบสก็ยังมีอาการสงบ ปวดก็ปวด แต่สงบ แล้วก็ยังพูดอวยพรให้กับพระราชา ขอให้มีความสุขความเจริญมีอายุยืนนาน แล้วท่านก็บอกว่า เราไม่มีความโกรธผู้ที่ตัดหู ตัดจมูก ตัดแขน ตัดขาเราเลย พระราชาก็แค้นมากเลยเพราะว่าทำทุกอย่างแล้ว ขันติวาทิก็ยังไม่แสดงอาการโกรธเคือง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เดินออกไปจากที่นั้น ตามเรื่องว่าถูกธรณีสูบตายไปเลย ขันติวาทิก็ตาย อันนี้เป็นชาดกสะท้อนถึงคติแบบชาวพุทธว่าไม่ตอบโต้คนที่ทำร้าย ไม่โกรธแล้วก็ยังมีเมตตาด้วย
มีเมตตาไม่ว่าใครจะทำอะไรเรา เราก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำดีกับเขา มีหน้าที่ที่จะเมตตากรุณาเขา เราควรมีเมตตากรุณาเขา หรือถึงแม้ยังมีเมตตากรุณาไม่ได้ก็ ก็ควรรักษาใจไม่ให้โกรธไม่ให้เกลียด ทำได้ยาก แต่ว่าก็ควรทำ หรือถึงแม้โกรธเกลียด แต่ก็ไม่แสดงออกมาเป็นการกระทำและคำพูด อันนี้พระพุทธเจ้าเคยตรัส แม้โจรเอาเลื่อยมาเลื่อยอวัยวะของเธอ คือของพระภิกษุนั่นแหละ ให้ขาดเป็นสองท่อน หรือเลื่อยอวัยวะน้อยใหญ่ ถ้าหากว่ามีจิตแปรผัน กล่าววาจาชั่วหยาบ ก็ไม่ถือว่าปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ สิ่งที่ทุกคนทำก็คือว่า มีจิตนอกจากไม่กล่าววาจาชั่วหยาบ ไม่มีจิตแปรผันแล้วก็ยังควรมีจิตเมตตา มุ่งอนุเคราะห์เขาด้วย อันนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นสาวกหรือว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ซึ่งถือว่ายาก แต่ว่าเราก็เริ่มต้นได้ จากการที่มีคนมาด่าว่าเรา เราก็ไม่โกรธตอบ เพราะคำด่าว่านี่มันเป็นสิ่งที่เล็กน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับการทำร้าย การกลั่นแกล้ง อันนี้ก็เป็นการขยายความที่พูดกับโยมคนนั้น ก็คือว่าเขาจะทำอะไรกับเรา ไม่ดียังไงมันก็เป็นเรื่องของเขา แต่ว่าเรามีหน้าที่ที่จะทำความดีกับเขา อย่างน้อยก็เพื่อตัวเราเอง เพื่อสุขภาพจิตสุขภาพกายของเราเอง แต่ให้ดีกว่านั้นก็คือเพื่อเขาด้วย
อันนี้ก็น่าคิดว่าพี่สาวเขา ก็มีลูก แต่ว่าลูกเขาไปไหน ทำไมต้องอาศัยน้องมาดูแล มาเยี่ยม ดูแลในโรงพยาบาลเลย ไม่ใช่แค่มาเยี่ยม เขามีลูก แต่ลูกไม่มา เรียกว่าพึ่งพาไม่ได้ก็แล้วกัน ต้องมาพึ่งพาน้อง มันเกี่ยวข้องกับการที่เขาไม่ใส่ใจแม่หรือเปล่า ตอนที่แม่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ เขาก็ไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ เพียงแต่ให้เงินค่ายาค่ารักษาแม่ ตอนที่เขาเป็นลูก เขาก็ไม่ได้ดูแลแม่ในยามเจ็บป่วยเท่าไหร่ ตอนที่เขาเจ็บป่วย ลูกก็ไม่ได้สนใจเขามากเท่าไหร่ พึ่งพาไม่ได้ ต้องมาพึ่งพาน้องแทน อันนี้มันเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า หรือพูดง่ายๆ มันเป็นกฎแห่งกรรมหรือเปล่า ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดน่าพิจารณา