แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ครูสมชายเป็นครูโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งทางภาคใต้ อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา เมื่อ 30 ปีก่อน ครูสมชายเล่าว่า มีเด็กคนหนึ่งโดนครูตีทุกวัน แล้วก็คงไม่มีเด็กคนไหนโดนครูสมชายตีมากเท่ากับเด็กคนนี้ ชื่อเด็กชายสมเพียร แซ่เจ็ง ทั้งนี้เพราะว่าครูเขามีกติกาว่านักเรียนทุกคน ถ้าใครมาสายจะต้องถูกครูตี 3 ที แล้วก็เด็กขายสมเพียรก็มาสายทุกวัน ไม่มีขาด ไม่มียกเว้น ครูก็ตีเด็กๆก็ไม่เข็ดหลาบ ยังมาสายอีกเรียกว่าตีวันละ 3 ทีตลอดจนจบเทอม ผ่านไป 30 ปี ทางโรงเรียนมีโครงการจะทำป้ายโรงเรียนให้มันดี ทำด้วยหินอ่อน ครูสมชายได้ข่าวว่า ลูกศิษย์ สมเพียร ไปเป็นตำรวจ แล้วก็คุมเหมืองหินอ่อนอยู่ทางภาคใต้ คงไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่ ทางโรงเรียนก็อยากจะได้หินอ่อน ก็เป็นหน้าที่ของครูสมชาย ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้บริหารอาจจะเป็นผู้อำนวยการแล้วก็ได้ โทรไปขอความช่วยเหลือจากลูกศิษย์คนนี้ แต่ครูสมชายก็กระอักกระอ่วนใจ เพราะว่าสมเพียรคนนี้โดนครูตีมาทุกวัน ไม่เว้นเลยแม้เต่วันเดียว ไม่แน่ใจว่าลูกศิษย์คนนี้ จะโกรธจะเกลียดครูหรือเปล่า แต่ว่าหน้าที่ก็ทำให้ต้องโทรไปขอความช่วยเหลือ คล้ายๆ เป็นการบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากลูกศิษย์ที่ตัวเองเคยตีแล้วตีอีก
เมื่อลูกศิษย์ที่ชื่อสมเพียร ทราบว่าโรงเรียนต้องการหินอ่อน แล้วก็จำครูสมชายได้ด้วย จะลืมได้ยังไง เป็นครูที่ตีตัวเองมาทุกวันเลย แต่ลูกศิษย์บอกได้เลยครับ ไม่ขัดข้อง ยินดีช่วยเหลือเต็มที่ ครูสมชายแปลกใจมาก แล้วก็เลยถือโอกาสขอโทษ บอกลูกศิษย์ว่าขอโทษ ที่ครูตีเธอทุกวันตอนเป็นนักเรียน ลูกศิษย์ก็เลยเล่าเรื่องให้ฟัง ว่า สาเหตุที่ตัวเองถูกตีทุกวันเพราะว่าที่บ้านยากจน ต้องไปเป็นเด็กวัด ทุกเช้าต้องตามพระไปบิณฑบาต กว่าจะได้กิน รอพระฉันเสร็จก่อน ต้องล้างถ้วยล้างชาม เท่านั้นไม่พอ ต้องเอาข้าวที่เหลือจากพระ มาเก็บไว้เป็นข้าวมื้อเย็น เสร็จสรรพ ก็สาย กว่าจะได้ไปโรงเรียน ก็สายทุกวัน ไปเร็วกว่านั้นไม่ได้ ก็ต้องถูกครูตี
ครูได้ฟังก็ถึงบางอ้อเลย ว่าทำไมเด็กชายสมเพียร มาสายทุกวัน นึกว่าเป็นเด็กเกกมะเหรกเกเร ตื่นสาย ที่แท้เพราะมีความจำเป็นบังคับ ก็รู้สึกเสียใจ น้ำเสียงครูก็รู้สึกเสียใจ หลงคิด หลงเข้าใจผิดตั้งนานว่า ลูกศิษย์คนนี้ ไม่เอาถ่าน ตีเท่าไหร่ก็ไม่เข็ด แต่ลูกศิษย์ก็บอกครูว่า อย่าเสียใจเลยครับ ต้องขอบคุณอาจารย์ ถ้าอาจารย์ไม่ตีผม ผมก็คงไปเป็นโจรแล้วล่ะ คงไม่ได้แต่งเครื่องแบบตำรวจเท่าไหร่ ครูก็ยิ่งซาบซึ้งประทับใจสมเพียรคนนี้ ตอนหลังก็เปลี่ยนนามสกุลเป็น เอกสมญา หลายคนอาจจะเคยจำได้ เพราะว่าพันตำรวจเอกสมเพียร เรียกว่าเป็นวีรบุรุษในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แล้วก็เป็นตำรวจที่ประชาชนรักมาก แต่ว่าตอนหลังก็เสียชีวิตจากเหตุการณ์ระเบิด เมื่อสัก 7 ปีที่แล้ว ที่จริงก็อาจจะรอดตาย ถ้าเกิดว่าเจ้านายเห็นคุณค่า เพราะว่าพันตำรวจเอกสมเพียรเคยขอย้าย หลังจากที่รับราชการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมา 20-30 ปี แล้วขอย้าย เป็นห่วงครอบครัว แต่ผู้บังคับบัญชาไม่ยอมให้ย้าย เคยเป็นข่าวใหญ่ ตอนที่ไปขอย้าย ตอนหลังก็เป็นข่าวใหญ่สุดก็คือตอนที่แกเสียชีวิตจากระเบิด
เรื่องนี้เอามาเล่าเพราะว่าน่าสนใจ คือครูตีนักเรียนทุกวันด้วยความเข้าใจผิดว่า นักเรียนลูกศิษย์ของตัวไม่เอาถ่าน ไม่สนใจ ที่เข้าใจผิดก็เพราะไม่เคยถามเลยว่าทำไมเธอมาสาย แค่ถามสักประโยคว่าทำไมเธอมาสายก็จะเข้าใจเหตุผล ตลอดทั้งปี ครูไม่เคยถามเลย ตีอย่างเดียว เธอมาสายก็ต้องตี ส่วนนักเรียนก็น่าประทับใจ คือคนเรายากจน ไม่มีเงินจะซื้อข้าว ต้องไปอาศัยวัด ต้องทำงานช่วยวัด กว่าจะได้กินก็สาย แค่นี้ก็แย่อยู่แล้ว ไปโรงเรียนยังถูกครูตีอีก คนบางคนจะรู้สึกว่า นี่เป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ทำไมกูซวยแบบนี้ อาจจะก่นด่าชะตากรรม แต่ว่าเด็กชายสมเพียร แกกลับไม่คิดแบบนั้นเลย แกกลับขอบคุณที่ครูตี การที่ครูตีทุกวันๆ ไม่ได้เป็นเรื่องเคราะห์กรรม ไม่ได้เป็นเรื่องความซวย แต่ว่ากลายเป็นของดี เพราะถ้าครูไม่ตีก็คงจะไม่ได้เจริญก้าวหน้าในชีวิต จนกระทั่งเป็นตำรวจใหญ่ คนที่จะมองแบบนี้ได้ เขาเรียกมองบวก ถูกครูตีไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องเลวร้าย แต่กลับมองว่าเป็นข้อดี ต้องขอบคุณครูที่ตี คนที่มองบวกแบบนั้น นอกจากจะมีความสุข ไม่ก่นด่าชะตากรรม ไม่คิดน้อยเนื้อต่ำใจ ก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากเหตุร้าย หรือว่าสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ให้เป็นของดีได้
แต่ก็น่าเสียใจที่อายุสั้น เพราะว่าเจ้านายไม่เห็นคุณค่า แล้วก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้จะมีกี่คนที่ยังจำได้ แต่ชาวบ้านที่ภาคใต้คงจำได้ เรียกจ่าสมเพียร ผ่านมา 7-8 ปีแล้ว เพื่อให้ระลึกถึง แต่ว่าเป็นแง่คิดที่ดี เบื้องหลังการเติบโตของพันตำรวจเอกสมเพียร ย้อนกลับมาที่ครูที่ตีนักเรียนทุกวัน ๆ โดยที่ไม่เคยถามเลย อันนี้เป็นปัญหา หลายคนมารู้สึกผิดเมื่อมาพบความจริงว่า คนที่ตัวเองลงโทษหรือว่าระอาที่จริงเขาเป็นคนที่น่ายกย่องมาก
เคยไปอบรมที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งทางภาคกลาง ประมาณวันที่สอง ก็มีการบอกความในใจว่ารู้สึกผิดติดค้างใจยังไงบ้าง ก็มีพยาบาลคนหนึ่งเล่าว่า รู้สึกเสียใจไม่สบายใจที่ดูแลพ่อแม่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะว่าพ่อเป็นอัมพาตเนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก นอนติดเตียง ส่วนแม่ก็อัลไซเมอร์ ก็มีเธอคนเดียวที่ต้องดูแลทั้งสองคนทั้งพ่อทั้งแม่ ทุกเช้าตื่นขึ้นมาก็ต้องทำอาหาร ป้อนข้าว แล้วก็ดูแลจัดแจงให้พ่อและแม่ อยู่ได้อย่างปกติสุข แต่ก็ไม่แน่ใจว่าพ่อแม่จะเป็นยังไง เพราะถูกปล่อยทิ้งไว้ที่บ้านทั้งวัน เวลาเลิกงานก็ต้องรีบกลับมา บางทีก็เห็นข้าวของกระจัดกระจาย เพราะว่าแม่ซึ่งเป็นอัลไซเมอร์ค้นหาของ บางทีก็ถ่ายเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ต้องเก็บกวาด และทุกวันนี้ตัวเองก็ต้องมาทำงาน ทิ้งพ่อแม่ไว้ ขณะที่กำลังคุยอยู่นี่ ก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่จะเป็นยังไง จะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ เธอเล่าไปแกก็ร้องไห้ไป
ปรากฏว่ามีคนหนึ่งที่ร้องไห้หนักกว่าเธออีก จนกระทั่งต้องออกไปนอกห้อง เป็นผู้บังคับบัญชา เป็นหัวหน้า ก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนหลังเขาก็มาเล่าว่า ที่เขาร้องไห้ เพราะว่าลูกน้องคนนี้มาสายเป็นประจำ เข้าเวรสาย พอเลิกงานก็รีบกลับบ้าน ไม่เคยมาร่วมกิจกรรมอะไรของโรงพยาบาลเลย เวลาจะโอที เวลาขึ้นเวรดึกก็บ่ายเบี่ยงอยู่เรื่อย หัวหน้าคนนี้ก็ด่าลูกน้องเป็นประจำว่าทำไมเธอมาสาย ไม่รับผิดชอบเลย ด่าว่าอย่างนี้เป็นปี เพิ่งมารู้ความจริงว่าทำไมลูกน้องถึงมาสาย แล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ว่า ที่ลูกน้องทำนี่เสียสละอย่างยิ่งเลย ตัวคนเดียวดูแลทั้งพ่อทั้งแม่ แต่แทนที่จะได้รับความเห็นใจจากผู้บังคับบัญชา กลับถูกด่าเสียอีกว่าชอบมาสายเป็นประจำ ตัวเธอรู้สึกผิดมาก ที่ไปด่าลูกน้องแบบนั้น เพิ่งรู้ความจริงว่าลูกน้องเป็นคนที่น่านับถือมาก เธอเลยออกไปร้องไห้ รู้สึกผิด รู้สึกประทับใจซาบซึ้ง แล้วความรู้สึกมันไหลอย่างปนเป อันนี้ก็เหมือนกันด่าลูกน้องทุกวันว่ามาสาย ๆ ด่าเป็นปี หาว่าลูกน้องเห็นแก่ตัว ไม่รับผิดชอบงานการ ไม่ช่วยเหลือส่วนรวม ที่แท้เขาเป็นอย่างนี้เอง ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้ารู้จักถาม ถามว่าทำไมเธอมาสาย ก็จะพบความจริง แต่ส่วนใหญ่คนไม่ถาม แล้วก็สรุปล่วงหน้าไปเอง กว่าจะรู้ความจริง ก็ผ่านไป 5-10 -30 ปี จนเกิดความเสียหายก็แก้ไม่ได้แล้ว ซึ่งคนเรา จะเข้าใจกันดีขึ้นมาก ถ้าเพียงแต่รู้จักถามว่าทำไม อย่าด่วนตัดสิน