แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อสามสี่วันก่อน หรือว่าอาทิตย์ที่แล้ว มีข่าวหนึ่งน่าสนใจ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งถูกลอตเตอร์รี่รางวัลที่ 1 รางวัล ก็ 6 ล้าน พอเพิ่นรู้ว่าถูกรางวัลก็ดีใจ เพิ่นบอกคนนั้นคนนี้ ลุงของเพิ่นก็ชวนเพิ่นขึ้นรถไป บอกว่าจะพาขึ้นเงิน ขึ้นรางวัล ระหว่างที่นั่งรถ พอหลานเผลอลุงก็ถีบหลานตกจากรถ ตายเลย ถีบทำไม ก็จะได้เอาลอตเตอร์รี่ไปขึ้นเงิน 6 ล้าน แต่ก็ปรากฏว่าลุงก็ถูกจับ คนที่ถูกลอตเตอร์รี่ตาย
อันนี้ดูข่าวแล้วก็เป็นธรรมสอนใจ โชคที่ได้ บางครั้งมันเป็นทุกข์ลาภ ใครๆ ก็อยากได้โชค ใครๆก็อยากได้ลาภ แต่ได้มาแล้วไม่ได้แปลว่าจะมีความสุขหรือชีวิตจะดีขึ้น บางที่ลาภหรือโชคที่ได้ทำให้ตายเร็วเข้า ผู้ชายคนนั้นถ้าไม่ถูกลอตอเตอร์รี่ก็ยังมีชีวิตอยู่ ก็อาจจะยังลัลลา เหมือนหนุ่มสาวทั่วไป แต่ตอนนี้ตายเสียแล้ว ตายเพราะอะไร ตายเพราะโชคลาภ ฉะนั้น จะเห็นว่าคนเราเดี๋ยวนี้ยอมทำชั่วก็เพื่อเงิน อันนี้เรียกว่าเงินมาเป็นนายเราแล้ว คนเราถ้าปล่อยให้เงินเป็นนาย ก็สามารถจะทำชั่วได้ ฆ่าหลานแท้ๆ เลย ถีบลงจากรถ โหดเหี้ยมมาก อันนี้เพราะความโลภ
ความโลภทำให้ลืมตัว คนเราพอลืมตัวแล้วก็ทำชั่วได้ แม้แต่ฆ่าหลาน หรืออย่าว่าแต่หลานเลย พ่อแม่ก็ยังฆ่าได้ เพราะอยากได้มรดก บางทีอิจฉาน้อง แม่ยกมรดกให้น้องมากกว่า คนที่เป็นพี่ก็เลยโกรธแค้น อยากได้มรดกจากพ่อแม่ ก็เลยฆ่าน้อง ฆ่าพ่อฆ่าแม่ อันนี้ก็เป็นข่าว แต่ว่าสิ่งที่เป็นธรรมสอนใจอีกข้อหนึ่ง อย่างที่พูดก็คือว่า โชคลาภไม่ได้แปลว่าทำให้เรามีความสุข อาจจะทำให้เราเป็นทุกข์หรือว่าตายเลยก็ได้ คนก็ไม่เห็นความจริงอันนี้ ว่าโชคลาภไม่ได้ทำให้ดีเสมอไป ทำให้เกิดความฉิบหายก็ได้
มีผู้ชายคนหนึ่ง อายุมากแล้ว เพิ่นถูกลอตเตอร์รี่รางวัลที่ 1 ดีใจหลาย วิ่งเต้น กระโดดโลดเต้น วิ่งไปตามตลาดแล้วก็ชู ถือลอตเตอร์รี่ไว้ ดีใจจนลืมตัวเลย ปรากฏว่าเพิ่นฉีกลอตเตอร์รี่ ด้วยความดีใจ ฉีกเป็นเป็นชิ้นๆ ดีใจหลาย ลืมตัวฉีกจนเป็นชิ้นๆ พอมารู้ตัวลอตเตอร์รี่ ก็กลายเป็นขยะไปแล้ว เอาชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาต่อกัน ก็ไม่ได้แล้ว จากดีใจกลายเป็นเสียใจ เมื่อกี้ดีใจจนลืมตัว ตอนนี้เสียใจจนลืมตัว กลุ้มอกกลุ้มใจ เครียดหลาย ปรากฏว่าสุดท้ายเป็นบ้าเลย เป็นบ้าเพราะอะไร เพราะเสียใจที่ลาภลอยไปแล้ว อันนี้เรียกว่าผิดซ้ำสอง ผิดทีแรกคือดีใจจนลืมตัว ผิดอันที่สองคือเสียใจจนลืมตัว เป็นบ้าเลย ที่จริงถ้าเพิ่นคิดสักหน่อย สมมุติว่าฉีกไปแล้ว ฉีกเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว ลองนึกสักหน่อยว่า เราไม่ได้เสียอะไร เราแค่เท่าทุน แม่นบ่ ก็คือว่ายังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเสียเลย รางวัลที่ 1 ที่ได้ พอมันไม่ได้แค่เท่าทุน แม่นบ่ เพิ่นไปคิดว่าเสียเงินเป็นล้าน อันนี้เรียกว่าคิดไม่เป็น คนที่คิดเป็นนี้เขาก็ถือว่า อย่างแย่ที่สุดเท่าทุน ทรัพย์สมบัติก็ยังมีเหมือนเดิม แค่ไม่เพิ่มเท่านั้นเอง พอคิดไม่เป็นมันก็ทุกข์ ทุกข์จนเป็นบ้า อันนี้เป็นตัวอย่างว่า โชคลาภ ถ้าทำใจไม่ถูก วางใจไม่เป็น มันทำให้เป็นบ้าได้ คนหนึ่งตายเพราะโชคลาภ อีกคนหนึ่งเป็นบ้า มันมีข่าวแบบนี้เยอะทีเดียว
บางคนก็กินยาฆ่าตัวตาย ถูกลอตเตอร์รี่ 20 ล้าน แต่ว่าไม่มีความสุขเพราะคนมาขอ คนมาขอก็ให้ แต่พอให้น้อยไม่สมอยาก ไม่สมใจก็ขู่ฆ่า โทรศัพท์มาขู่ฆ่า เพิ่นเครียด ขู่ฆ่าเจ้าของ ขู่ฆ่าลูกสาว ก็เลยเอาน้ำยาล้างห้องน้ำซด กรอกใส่ปาก แต่ว่าลูกสาวเอาไปช่วยไว้ทัน ล้างท้องได้ทัน หนังสือพิมพ์ไทยรัฐเขาก็ไปสัมภาษณ์ เพิ่นพูดได้ดีว่า ตอนเป็นพ่อค้าหาบเร่ เพิ่นเป็นพ่อค้าหาบเร่ ตอนเป็นพ่อค้าหาบเร่หาเช้ากินค่ำมีความสุขกว่าเป็นไหนๆ มีความสุขกว่าตอนถูกลอตเตอร์รี่ เพราะฉะนั้นเป็นสัจธรรม ว่าคนเรา ความสุขของคนเราไม่ใช่อยู่ที่ว่ามีเงินมีทอง มีโชคมีลาภหรือเปล่า แต่มันอยู่ที่ใจ หาเช้ากินค่ำแต่มีความสุข กายอาจจะไม่สุชมากแต่ใจเป็นสุข แต่คนที่รวยมีโชคมีลาภ 20 ล้าน 30 ล้าน สุขกายแต่ว่าใจทุกข์ เจอโชคลาภ แต่ว่าชีวิตย่ำแย่ จิตใจเป็นทุกข์มีเยอะ ในทางตรงข้ามบางคน เจอทุกข์ เจอเคราะห์ แต่ว่าชีวิตกับดีขึ้น บางคนพอเป็นมะเร็ง ได้สติเลยหันมาสนใจธรรม เพราะรู้ว่ามะเร็งรักษาไม่ได้ ความตายใกล้เข้ามา ก็ต้องหาธรรมเพื่อสงบใจ ปรากฏว่าปฏิบัติธรรมแล้วใจมีความสุข ขอบคุณมะเร็ง โชคดีที่เป็นมะเร็ง เคราะห์ก็ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นมาก
ในสมัยพุทธกาลมีเรื่องราวแบบนี้มาก ในสมัยพุทธกาลมีผู้หญิงคนหนึ่ง เพิ่นก็แต่งงานแล้ว เสร็จแล้ว ใจก็นึกถึงธรรม สนใจธรรม อยากจะปฏิบัติธรรม จนสุดท้ายกขออนุญาติผัวจะบวชเป็นภิกษุณี เพิ่นก็ได้รับอนุญาติ แต่พอมาบวชได้ไม่นานปรากฏว่าท้อง ก็เป็นเรื่องเป็นราวเลย ตอนนั้นเจ้าสำนักก็คือพระเทวทัต ตัดสินว่านางปาราชิกเลย เพราะว่ามีท้อง แต่ว่านางก็บอกว่า ไม่จริง เพราะว่านางไม่ได้ไปเสพเมถุนที่ไหน ขอความเป็นธรรม ไปทูลขอความช่วยเหลือจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เลยมอบให้นางวิสาขาเป็นกรรมการตรวจสอบ นางวิสาขาก็ใช้วิธีนับวัน ว่าบวชมาเท่าไหร่ ก็พบว่าเพิ่นมีการหลับนอนกับผัวมาก่อนบวช มันก็มีปฏิสนธิกันภายหลัง ผู้หญิงด้วยกันก็จะรู้เลย ระยะเวลาจากการมีเพศสัมพันธ์ จนกระทั่งมีการปฏิสนธิหรือว่ามีการท้อง ระยะเวลากี่วัน
นางวิสาขาก็มาทูลให้พระพุทธเจ้าทราบ ว่าจริง ๆแล้ว ภิกษุณีนี้ไม่ได้มีการเสพเมถุนหลังจากบวช ก็เลยให้อยู่ต่อจนเด็กคลอดออกมา พอเด็กคลอดออกมาก็ต้องเอาทารกไปเลี้ยงที่อื่น จะให้แม่มาเลี้ยงไม่ได้ เพราะว่าเป็นภิกษุณีมาเลี้ยงลูกมันลำบาก แล้วก็ไม่ดีด้วย น่าจะพระเจ้าปเสนทิโกศลรับไปเลี้ยงตั้งชื่อว่ากุมารกัสสปะ กุมารกัสสปะตอนเด็กๆ ก็ไม่รู้หรอกว่า ตัวเองมีแม่เป็นภิกษุณี นึกว่าเป็นลูกพระเจ้าปเสนทิโกศล แต่พอโตขึ้นก็รู้ว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล ไม่ใช่พ่อเรา เพิ่นมีจิตใจใฝ่ธรรม เพิ่นก็ขอบวชเป็นสามเณร และก็ตั้งใจทำความเพียร ดูเหมือนว่าพอเป็นเณรก็บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ อายุประมาณสัก 15-16 หรืออาจจะต่ำกว่านั้น เพราะสมัยก่อนในสมัยพุทธกาลเด็ก 7 ขวบก็เป็นพระอรหันต์ได้ มีหลายคน ในส่วนภิกษุณี แม้ว่าลูกจากอ้อมอกไปแล้วก็ยังมีความคิดถึง คิดถึงลูกตลอดเวลา และก็รู้ว่าลูกไปอยู่กับพระเจ้าปเสนทิโกศล และต่อมาก็รู้ว่าลูกออกบวช แต่อยู่คนละสำนัก
วันหนึ่งไปบิณฑบาต เห็นสามเณรกุมารกัสสปะเดินบิณฑบาตอยู่ เพิ่นดีใจหลาย เพิ่นเป็นแม่ เพิ่นก็วิ่งตาม แล้วก็เรียกกุมารกัสสปะว่าลูก สามเณรเพิ่นเห็นแม่ทำอย่างนี้ เพิ่นก็อยากจะช่วย เพราะเห็นว่า ถ้าแม่ห่วงหาอาลัยลูก การปฏิบัติจะไปไม่ถึงไหน พอเจอกันสามเณรกุมารกัสสปะ ก็เลยพูดกับแม่ซึ่งเป็นภิกษุณีว่า ท่านปฏิบัติอะไรกัน ทำไมยังตัดใจเรื่องลูกไม่ได้ ปฏิบัติมาตั้งนานเสียเวลาเปล่า พูดแรง ภิกษุณีเสียใจมากเลยว่าลูก เราอุตส่าห์คิดถึงลูก ลูกไม่คิดถึงเราเลย พูดจาแบบไม่มีเยื่อใย เพิ่นก็เลยตัดใจเรื่องลูกหันมาปฏิบัติ ปรากฏว่าไม่นานก็บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ อันนี้เรียกว่า บรรลุธรรมเป็นอรหันต์เพราะถูกลูกว่า ที่จริงท่านกุมารกัสสปะ เพิ่นรู้แต่ว่ามีเจตนาดี ถ้าไม่พูดแรงๆ แม่ก็คงไม่ ไม่ตัดใจ อันนี้เรียกว่าถูกลูกตำหนิเลยรู้ธรรม ถ้าลูกโอนอ่อน พูดดีด้วย แม่ก็คงจะยังคิดถึงลูก ตัดใจไม่ได้ แต่บางรายลูกไม่ดีจริงๆ ไม่เหมือนท่านกุมารกัสสปะ ท่านตั้งใจปราถนาดีกับแม่ ก็เลยพูดแรงๆ
แต่บางทีแม่บางคนเจอลูกที่เห็นแก่ตัว ในสมัยพุทธกาลก็มี เป็นเศรษฐีนีชื่อโสณา รู้สึกว่าจะมีลูก14 คน ตัวเองก็ร่ำรวย ต่อมาสามีซึ่งเป็นเศรษฐีก็ตาย ตัวนางโสณาก็ดูแลลูกจนโต นางโสณาเมื่อถึงวัยชรา ลูกก็มาบอกกับแม่ว่า ทรัพย์สมบัติของแม่ควรจะผ่องถ่ายให้ลูกได้แล้ว จะเก็บไว้ทำไม นางโสณาก็แบ่งให้ลูกเท่าๆ กัน แบ่งหมดเลย ไม่เหลือเลยไม่ว่าจะเป็นวัวควายไร่นา ก็ตั้งใจว่าจะอยู่กับลูกชายคนโต ไปอยู่ได้ไม่นาน ลูกสะใภ้ หรือเมียของลูกชายคนโต ก็พูดกับผัวว่า เราได้มรดกเท่ากันกับน้องคนอื่น ทำใมต้องรับภาระเลี้ยงแม่คนเดียวอย่างนี้ไม่ถูก พูดกรอกหูใส่หูผัวทุกวัน สุดท้ายวันหนึ่งผัวก็มาพูดกับแม่แบบนี้เลย แม่ก็น้อยใจก็เลย ลูกไม่อยากเลี้ยงดูแม่ก็เลยไปอยู่กับลูกคนที่สอง ลูกคนที่สองก็เจอเหตุการณ์แบบเดิม ลูกก็มาบอกกับแม่ว่า ทำไมต้องให้ตนเองรับภาระดูแลแม่ฝ่ายเดียว ในเมื่อมีพี่น้องหลายคนแล้วก็ได้มรดกเท่ากัน อันนี้เหมือนกับว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำไมเราต้องรับภาระเลี้ยงแม่คนเดียว พูดแบบนี้ลูกไม่เต็มใจเลี้ยงดู แม่ก็ไปอยู่กับลูกคนที่สาม ก็เจอแบบเดียวกัน ก็ย้ายไปอยู่กับลูกคนที่สี่ คนที่ห้า สุดท้ายไปอยู่กับลูกคนสุดท้อง ก็เจอแบบเดียวกันหมด คนเป็นแม่เจอแบบนี้ก็ใจสลาย
สุดท้ายก็ต้องออกมาอยู่คนเดียว ออกมาอยู่ได้ยังไงทรัพย์สมบัติก็ไม่เหลือแล้ว ลูกก็ไม่เต็มใจเลี้ยง ก็เลยนึกถึงวัด ก็เลยไปบวชเป็นภิกษุณี ไปบวชตอนแก่ ชีวิตนี้ก็หักเหจากเศรษฐีนี สุดท้ายก็ต้องพึ่งเข้าวัด สมัยก่อนคงจะไม่มีประเภทโยมอยู่วัด จึงต้องมีการบวชจึงจะไปบิณฑบาตเลี้ยงชีพได้ มาบวชตอนแก่ พรรษาก็น้อย ภิกษุณีสาวๆพรรษามาก บางทีก็ใช้ ไม่ใช่บางที ใช้บ่อยเลย ใช้ให้ทำโน่นทำนี่ นางภิกษุณีโสณาเพิ่นเป็นคนถ่อมตัว แม้อายุมาก รู้ว่าตนเองพรรษาน้อย ใครสั่งให้ทำก็ทำ แม้ว่าจะรู้สึกว่าถูกใช้มากไปเพิ่นก็ไม่บ่นเลย มีวันหนึ่งถูกสั่งให้ไปต้มน้ำ ต้มน้ำร้อน ภิกษุณีจะอาบน้ำร้อน อากาศคงหนาว นางโสณาก็เลยไปต้มน้ำอยู่ที่ครัว ระหว่างที่ต้มน้ำเพิ่นก็เดินจงกรมเจริญสติ เดินกลับไปกลับมาเรียกว่า กายคตาสติ เรียกว่าพิจารณากาย ปรากฏว่าเดินไปสักพักหนึ่งก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในครัว ไม่ใช่ว่าบรรลุธรรมในป่า ในที่สงบ เป็นพระอรหันต์ขณะที่อยู่ในครัว กำลังทำงาน
อันนี้เรียกว่าได้เป็นพระอรหันต์ก็เพราะลูกเลย เหมือนอย่างกรณีพระกุมารกัสสปะ เป็นพระอรหันต์เพราะลูก ลูกขับใสไล่ส่ง อย่างนี้เรียกว่าเป็นเคราะห์เลย ลูกขับไสไม่เลี้ยงดู อันนี้เรียกว่าเป็นเคราะห์ของแม่ มันไม่มีอะไรหนักหนาเท่ากับลูกผลักไส อันนี้เป็นเคราะห์ แต่ว่าเคราะห์กลายเป็นของดีไป ทำให้นางโสณาได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ มีคนจำนวนมากเลย ที่ชีวิตเจอเคราะห์ เคราะห์หนักด้วย อย่างนางกีสาโคตมี ก็เสียลูก ลูกกำลังน่ารัก แต่ 2-3 ขวบตาย คนเป็นแม่ทำใจไม่ได้ ชีวิตนี้ราบรื่นมาตลอด ประสบโชคมาตลอดเคยยากจนก็มาได้สามีที่มีฐานะ เพราะว่าตนเองเป็นคนฉลาด ชีวิตก็น่าจะราบรื่น มีลูกๆ ก็น่ารัก ต่อมาปรากฏว่าลูกตาย ชีวิตหักเหเลย ลูกตายก็เศร้าโศกเสียใจ ทำใจไม่ได้ว่าลูกตาย ก็อุ้มศพลูกไปให้ ใครต่อใครปลุกชุบชีวิตขึ้นมา เพิ่นทำใจไม่ได้ยังยอมรับความตายของลูกไม่ได้ ยังคิดยังมีความหวังว่าลูกจะฟื้น ถ้ามีคนช่วย ใครๆก็ปฏิเสธว่าช่วยไม่ได้ ตายแล้ว ทำอะไรไม่ได้หรอก จนกระทั่งมีคนแนะนำไห้ไปหาพระพุทธเจ้า
พอเจอพระพุทธเจ้าก็ดีใจมีความหวัง มีความหวังอีกแล้ว อุ้มศพลูกไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์เห็นอาการของนางกีสาโคตมีก็ทรงรู้ว่าสอนธรรมให้ไม่ได้ บางคนสอนธรรมไม่ได้เพราะจิตใจเศร้าโศก หรือบางทีก็อาจจะมีความทนงตัว พระพุทธเจ้าเวลาเจอคนแบบนี้พระพุทธเจ้าก็ไม่สอน แต่ว่าจะต้องออกอุบาย เพื่อช่วย กับนางกีสาโคตมีก็เลยออกอุบายให้ไปหาเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ไม่มีคนตาย นางกีสาโคตมี ดีใจเข้าไปกรุงสาวัตถีไปหาเมล็ดผักกาดว่ามีไหม ก็มี เพราะว่าทุกบ้านก็ปลูกผักกันเอง พึ่งตัวเอง แต่พอถามต่อว่ามีคนตายไหม ก็ได้คำตอบว่าบ้านนี้ก็มีคนตาย บ้านนั้นก็มีคนตาย ตาบ้าง ยายบ้าง ปู่บ้าง ย่าบ้าง พ่อบ้าง แม่บ้าง ลูกบ้าง หลานบ้าง ก็มีการตายทั้งนั้น โดยเฉพาะสมัยก่อนเป็นการตายที่บ้านจริงๆ ไม่ได้ตายที่โรงพยาบาล เพราะสมัยก่อนยังไม่มีโรงพยาบาล ทีละน้อย ๆ นางก็เริ่มยอมรับได้บ้างว่า ความตายเกิดขึ้นได้กับทุกครอบครัวเลย ไม่ใช่เราคนเดียวที่สูญเสีย คนอื่นก็สูญเสียด้วย ใจก็เริ่มยอมรับความตายได้ ก็เลยยอมรับว่าลูกตายแล้วก็เลยเอาลูกไปเผา ไปฝัง เสร็จแล้วก็กลับมาทูลกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เห็นแล้วว่านางกีสาโคตมีจิตใจเริ่มจะยอมรับความจริงได้จึงแสดงธรรมสั้นๆ ว่า มฤตยูย่อมพัดพาผู้ที่หลงไหลในทรัพย์และรูป หรือคนรัก เช่นเดียวกับน้ำป่าย่อมพัดพาผู้ทีหลับไหลไปเช่นนั้น ใครที่หลับไหลเจอน้ำป่ามันก็ซัดไปตาย มฤตยู หรือมัจจุราชก็เหมือนกัน มันก็ทำให้คนที่ หลงในรูปในทรัพย์ เสียผู้เสียคนไปได้ คือเป็นก็บ้าได้ นางกีสาโคตรมีฟัง และพิจารณาตามไปด้วย ก็เห็นจริงว่าจริง ประสบการณ์ความทุกข์ของเพิ่น ทำให้เห็นความทุกข์ก้นบึ้งของหัวใจว่า เป็นอย่างนั้นจริงๆ ความยึดติดในรูปในทรัพย์เป็นทุกข์ พอเห็นอย่างนี้ปัญญาเกิดเลย จิตก็หลุดพ้นกลายเป็นพระโสดาบัน
อันนี้เรียกว่าได้เป็นพระอริยเจ้าก็เพราะลูก แต่ว่าลูกตาย คนหนึ่งโดนลูกว่าลูกตำหนิ อีกคนหนึ่งโดนลูกทิ้ง อีกคนหนึ่งลูกตาย พวกนี้เป็นเคราะห์ของแม่ทั้งนั้น แต่ว่าก็ทำให้ แม่บรรลุธรรมได้ เป็นพระอรหันต์บ้าง พระโสดาบันบ้าง ในพระไตรปิฎกมีเรื่องราวแบบนี้มาก คนที่เจอเคราะห์แต่ว่ากลายเป็นโชค เจอเคราะห์แต่ว่าวางใจถูก ผลักดันให้เข้าหาธรรมจนเกิดปัญญา บางคนเคราะห์ทำให้พบพระพุทธเจ้าอย่างนางกีสาโคตมี แต่บางคนก็เคราะห์ก็ไม่ได้ทำให้พบพระพุทธเจ้า แต่ว่าเพิ่นเกิดปัญญาด้วยตนเองตามคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือตามคำสอนของครูบาอาจารย์
บางคนเจอหนักอย่างนางปฏาจารา ไปอยู่กินกับผัวซึ่งยากจน พ่อแม่ก็ไล่ไปอยู่กับผัว พ่อแม่รวย แต่พ่อแม่เสียใจมากลูกไม่รักดี ที่ลูกไปแต่งงานกับผัวที่ยากจนเป็นคนใช้ เสียศักดิ์ศรี เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ก็เลยไล่นางปฏาจาราไปอยู่กับผัว สองคนก็ไปอยู่ไกลๆ เรียกว่าชายป่า หลังจากมีลูกได้ 2 คน ลูกยังเล็กอยู่เลย อีกคนหนึ่งก็เพิ่งคลอด ปรากฏว่าผัวตาย โดนงูพิษกัดตาย ผัวตายทำไง นางปฏาจาราก็เลยพาลูก 2 คนกลับไปอยู่กับพ่อแม่ เพราะว่าไม่มีที่พึ่งอย่างอื่นแล้ว ระหว่างทางมีแม่น้ำสายใหญ่ น้ำเชี่ยว ฝนก็เพิ่งตกใหม่ เพิ่นก็ต้องค่อยๆ ลำเลียง พาลูกข้ามน้ำไปทีละคน ทีแรกก็พาลูกทารกไปก่อน อุ้มลูก ข้ามน้ำแล้วก็ไปวางไว้ริ่มฝั่ง แล้วก็เดินกลับมาเพื่อที่จะพาลูกคนโต ที่ยังเล็กอยู่แต่ก็เดินได้แล้ว ระหว่างที่อยู่กลางน้ำ ปรากฎว่านกอินทรีเห็นเด็กทารกมันก็คาบเอาไปเลย นางปฏาจาราเห็นก็ไม่รู้ทำไงก็เลยโบกไม้โบกมือเหมือนจะไล่นกอินทรี แต่ว่าไม่สำเร็จ มันก็จับเด็กไป ส่วนลูกที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งนึกว่าแม่โบกมือนึกว่าแม่เรียกให้มา เด็กก็เดินลงน้ำ ก็โดนน้ำพัดไป ตามหาศพไม่เจอ เสียลูก 2 คนในเวลาแค่ไม่กี่นาที ก็เลยต้องกะเซอะกะเซิงกลับมาหาพ่อ ก็ปรากฏว่ามาถึงก็ได้ข่าวว่าพ่อแม่ตายเพราะว่าโดนฟ้าผ่า คฤหาสน์ถูกไฟไหม้ ตายหมด พ่อแม่พี่ สมบัติก็ไม่เหลือ ผัวตาย ลูกตาย พ่อแม่ก็ตายในเวลาไล่ๆ กัน เป็นบ้าเลย เสียสติเลยกะเซอะกะเซิง ผ้านุ่งหลุดหมด ตอนนั้นลืมตัวไปแล้ว
แต่ก็ยังดีมาพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพูดให้ตั้งสติ น้องหญิง คำพูดที่เปี่ยมด้วยเมตตาทำให้นางปฏาจาราได้สติ พระองค์ตรัสว่า ความทุกข์ของคนที่สูญเสียคนรัก สูญเสียลูก สูญเสียพ่อแม่ น้ำตาที่เกิดจากความสูญเสียเศร้าโศก ในภพแล้วภพเล่า ชาติแล้วชาติเล่า รวมกันแล้วมากกว่าน้ำในทะเล น้ำในมหาสมุทร นางปฏาจาราฟังได้คิด ได้สติเลย สังสารวัฎเต็มไปด้วยความทุกข์ ชีวิตนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ จิตก็คลายเกิดความสังเวช ธรรมสังเวช พิจารณาตาม ก็เห็นว่าสังขารเป็นทุกข์มาก เป็นทุกข์แล้วไง จิตก็วาง คลายความยึดมั่นถือมั่นกลายเป็นพระโสดาบัน
ตอนหลัง นางปฏาจาราและนางกีสาโคตมี ก็เป็นพระอรหันต์ในที่สุด อันนี้เรียกว่าเจอเคราะห์ เจอความสูญเสีย แต่ว่ามันกลายเป็นดี พวกเราเวลาเจอโชคต้องระวัง อาจจะนำให้ไปเจอความวิบัติก็ได้ ในทางตรงข้าม เจอเคราะห์อาจจะพาไปดีก็ได้ เพราะฉะนั้นเวลาเจอโชคก็อย่าประมาท เจอเคราะห์ก็อย่าไปฟูมฟายเศร้าโศกมาก เพราะอาจจะเป็นของดีพาให้เราได้เห็นธรรม เข้าหาธรรมก็ได้