แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ที่ประเทศจีนมีปราชญ์คนหนึ่งมีชื่อเสียงมาก เกิดเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ชื่อว่า จางจื๊อ หรือบางคนเรียกว่า จวงจื๊อ ได้เขียนเป็นเรื่องเล่าสั้นๆว่า เวลาข้ามแม่น้ำ ถ้าเกิดมีเรือเปล่า เรือเปล่าคือเรือที่ไม่มีคน มาชนเรือกรรเชียงที่กำลังข้ามแม่น้ำ ถึงแม้ว่าคนที่กำลังพายเรืออยู่จะเป็นคนที่ขี้โกรธ ขี้โมโห แต่ถ้ารู้ว่าเรือที่มาชนนั้นมันไม่มีคน เป็นเรือที่ว่างเปล่า ก็คงจะไม่โวยวายอะไร เพราะไม่รู้ว่าจะโวยวายกับใคร แต่ถ้าเรือที่มาชน มันมีคน ก็จะตะโกนด่า ทีแรกก็อาจจะโวยวายก่อน แต่ถ้าเรือยังไม่หยุด และยังพุ่งเข้ามาชน ก็จะต้องด่า และถ้าชนก็จะต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน ถึงขั้นลงไม้ลงมือ แต่แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าเรือที่มาชนนั้นเป็นเรือที่ว่างเปล่า
จางจื๊อก็สรุปว่า ให้ทำตัวเหมือนเรือที่ว่างเปล่า ถ้าทำตัวเหมือนเรือที่ว่างเปล่าก็จะไม่มีเรื่องเดือดร้อน ไม่มีใครมาโวยวายไม่มีใครมาทะเลาะเบาะแว้งด้วย คำสอนของจางจื๊อนี้ก็คล้ายๆกับพุทธศาสนา ที่สอนเรื่องความว่าง หรือ ทำใจให้ว่างเปล่าจากตัวตน เมื่อทำใจให้ว่างเปล่าจากตัวตนหรือว่างเปล่าจากความยึดมั่นในตัวตน ก็จะมีความสุข ไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครว่าไม่มีใครด่า แต่ว่าก็จะไม่ทุกข์ร้อนอะไรด้วย เพราะว่า คำด่าว่า ก็เหมือนกับก้อนหินที่ขว้างไปในอากาศ เราลองนึกภาพ เราขว้างก้อนหินไปในอากาศมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าเอาก้อนหินขว้างใส่ข้างฝา ก็จะมีเสียงดัง ข้างฝาก็จะสะเทือน หรือว่าถ้าหากว่า มันไม่ใช่ข้างฝา แต่มันเป็นกระจก เอาก้อนหินขว้าง กระจกก็แตก คนส่วนใหญ่ก็ทำตัวเหมือนกับเรือที่ไม่ว่าง เรือที่มีคน หรือว่าทำใจ แทนที่จะว่าง กลายเป็นใจที่มันมีตัวตนอย่างหนาแน่น อย่าว่าแต่ก้อนหินเลย เพียงแค่ลมปาก พอได้ยินลมปาก หรือว่าลมปากมากระทบ ก็สะเทือนเลย สะเทือนคือมีความทุกข์ และไม่ใช่สะเทือนเฉพาะตอนนั้น สะเทือนทั้งวันทั้งคืนจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ โมโหคับแค้น กลัดกลุ้มใจ อันนี้ก็เรียกว่าเพราะไม่ทำตัวเหมือนเรือเปล่า อย่างที่จางจื๊อได้ว่าไว้ แต่ถ้าทำใจให้ว่างเหมือนเรือเปล่า ใครจะพูดอะไร ก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
มีเรื่องเล่าว่าสมัยที่ หลวงพ่อประสิทธิ์ ฐาวโร ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น ท่านเป็นผู้บุกเบิกสร้างวัดถ้ำยายปริก เกาะสีชัง เมื่อก่อนถ้ำยายปริกก็เป็นถ้ำที่ไม่มีใครอยู่ ท่านมาพำนัก มาพำนักบ่อยเข้า มาจำพรรษาก็เห็นว่าเป็นภูมิประเทศที่ดี สงบสงัดก็เลยสร้างวัดที่นั่น ก็ปรากฏวานักเลงท้องถิ่นแถวนั้นก็ไม่พอใจ ก็หาเรื่องทะเลาะกับท่าน แต่ท่านก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร มีคราวหนึ่ง ทางวัดกำลังสร้างกำแพง สร้างกำแพงล้อมวัดจะได้หมดปัญหาเรื่องความขัดแย้ง เรื่องข้อพิพาทเรื่องที่ดิน ก็มีการเอาศิลาแลงมากองไว้ที่หน้าวัด เผอิญคนที่เอามากองเอาไว้นี้ เขาก็อาจจะไม่ระมัดระวัง ก้อนหินมันก็เลยเหลื่อมล้ำเข้าไปในพื้นที่ของชาวบ้านที่อยู่หน้าวัด ประมาณ 1-2 นิ้วเท่านั้น ที่มันเหลื่อมล้ำไปไม่ได้มากอะไร เหลื่อมนิดหน่อย บังเอิญเจ้าของที่เป็นนักเลงท้องถิ่น ก็มีเรื่องขัดแย้งกับวัดเกี่ยวกับเรื่องที่ดิน พอตอนเย็นเมื่อเขามาเห็นกองหินที่ว่ามันมาเหลื่อมล้ำเข้ามาในที่ของเขา เขาก็ลงจากรถมาแล้วก็โวยวาย ตะโกนมายังวัด มาหน้าวัดเลยว่า เอาดินเอาหินมากองไว้บนที่กูทำไม ขนออกไปเดี๋ยวนี้ พวกมึงขนออกไปเดี๋ยวนี้ ชี้นิ้ว เอามือชี้มาที่หลวงพ่อประสิทธิ์ ซึ่งกำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนกุฏิ ใกล้ๆหน้าวัด
พอท่านได้ยินท่านก็เลยลุกมาบอกว่า จะเอาอะไรกับพระกับเจ้า ยังไงเดี๋ยวพรุ่งนี้จะขนหินขนดินออกไป ขอเวลาหน่อย เพราะตอนนั้นมันก็เย็นแล้ว นักเลงคนนั้นก็ไม่พอใจ บอกว่า นี่พวกมึงขนออกไปเดี๋ยวนี้ถ้าไม่ขน กูจะไปแจ้งตำรวจ ไปแจ้งนายอำเภอ มาจับพวกมึงให้หมด ไอ้พระเฮงซวย หลวงพ่อท่านได้ยินท่านก็ยิ้มไม่ว่าอะไร ท่านก็นั่งฉันน้ำต่อ เหมือนกับว่าคำด่านั้นทำอะไรท่านไม่ได้ ลองนึกนะว่าถ้าเป็นเรา มีคนด่าว่า เป็นพระเฮงซวย หรือแม่ชีเฮงซวย จะรู้สึกอย่างไร อาจจะรู้สึกเลือดขึ้นหน้าขึ้นมาเลยว่า มาพูดกับกูอย่างนี้ได้อย่างไรกูเป็นพระ ทำไมไม่มีสัมมาคาระ หรือฉันเป็นชีนะทำไมมาพูดกับฉันอย่างนี้ ความรู้สึกที่มันยังมีฉัน ฉันเป็นพระ ฉันเป็นชี อันนี้เรียกว่า มันไม่ใช่เรือที่ว่างแล้ว มันมีตัวมีตน ก็ต้องเจ็บต้องปวดต้องแค้น แต่หลวงพ่อประสิทธิ์นี่ท่านเหมือนกับว่าไม่ได้ยินเลย ในคำพูดเหล่านั้น มันก็เหมือนก้อนหินที่ขว้างไปในอากาศ ไม่กระทบกับอะไรทั้งสิ้น ก็ไม่เกิดเสียงดัง ไม่เกิดการแตกร้าว ไม่มีกระจกขวาง ไม่มีหิน กำแพงหินรับแรงกระแทกจากก้อนหินที่ขว้างลงมา ท่านก็ยิ้ม พอวันรุ่งขึ้น นายอำเภอก็มา ก็มาตรวจ มารังวัด มันก็นิดหน่อยเอง ยังงงว่าเป็นเรื่องเป็นราวทำไม แค่นี้ทำไมถึงเป็นเรื่องเป็นราวได้ ก็เป็นอันจบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คนเรา ถ้าหากว่า ทำใจให้ว่าง มีตัวมีตนน้อย ในคำพูดคำจาอะไร ถึงแม้มันจะหยาบคาย มันก็ไม่ทำให้สะดุ้งสะเทือนหรือทำให้จิตใจหวั่นไหว อันนี้เป็นการบ้านที่ทุกคนต้องฝึกและต้องผ่านมันไปให้ได้ เพราะว่ามันเป็นธรรมดามากในคำต่อว่า ด่าทอ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็หนีไม่พ้น ไม่ใช่ถูกต่อว่าเท่านั้น บางทีถูกใส่ร้าย บางทีถูกใส่ร้ายว่าฆ่าคนด้วยนะ ในสมัยพุทธกาลนี้ สมัยที่พระองค์อยู่ที่เชตวัน พวกเดียรถีย์ เดียรถีย์คือพวกที่เป็นเจ้าลัทธิเขาก็รู้สึกเสียประโยชน์เพราะว่าใครต่อใครก็หันมาสมาทานนับถือพระรัตนตรัย ซึ่งก็คือพระพุทธเจ้า ลาภสักการะก็น้อยลงก็เลยหาทางโค่นล้ม ก็เลยออกอุบายให้ผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อนางสุนทรี แกล้งทำตัวใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้า เวลาตอนเย็นญาติโยมเดินออกจากเชตวัน นางสุนทรีก็เดินสวนเหมือนกับว่าจะเข้าไปในเชตวัน พอเช้าตรู่ญาติโยมเดินเข้ามาที่เชตวันเพื่อจะมาใส่บาตร นางสุนทรีก็เดินออกมาเหมือนกับว่าค้างคืนที่นั่น ทำอย่างนี้อยู่หลายวันเสร็จแล้วจู่ๆก็พบว่านางสุนทรีนี้กลายเป็นศพ
พวกเดียรถีย์นี่เล่นแรงมาก วางแผนหลอกล่อให้นางสุนทรีเข้าไปทำตัวใกล้ชิดแล้วก็กำจัด พอพบศพเข้าก็มีการใส่ร้ายว่า พระพุทธเจ้านี่ฆ่าปิดปาก เพราะว่าได้ทำมิดีมิร้ายหรือว่าไปซ่องเสพกับผู้หญิงคนนี้ พอเขาจะแฉก็เลยปิดปาก การฆ่าคนนี้เป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหานี้คือพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นนักบวช ก็มีการลือกันไปทั่วทั้งเชตวันเอย สาวัตถีเอย คนในสาวัตถีนี้ก็เชื่อง่าย ทั้งที่พระพุทธเจ้านี้อยู่ที่เมืองนี้ อยู่ที่เชตวันมาเป็น 10 พรรษา อยู่หลายปีทีเดียวและชาวสาวัตถีก็ศรัทธานับถือ แต่พอมีการปล่อยข่าวลือแบบนี้ก็เชื่อง่ายเหลือเกิน แสดงว่าเป็นศรัทธาที่ง่อนแง่น คลอนแคลนมาก ผู้คนก็รุมด่าพระพุทธเจ้า หรือว่านินทากันเซ็งแซ่เลย
พระอานนท์ก็บอกว่า นิมนต์พระพุทธเจ้าให้หนีไปดีกว่า ผู้คนนี้ไม่เป็นมิตรกับพระพุทธเจ้าเลย พระองค์ก็บอกว่า หนีไปที่ไหนก็ไม่อาจจะหนีนินทาพ้น ปัญหาอยู่ที่ไหนก็ต้องแก้ที่นั่น พระพุทธเจ้าไม่หนีและก็ไม่เดือดร้อนด้วย สุดท้ายความจริงก็เปิดเผยหลังจากนั้น 7 วันว่า คนที่ฆ่านางสุนทรี นั่นก็คือมือไม้ของพวกเดียรถีย์นั่นเอง ไปจ้างมาฆ่า ตอนหลังฆาตกรนั้นก็โดนประหารชีวิต ผู้คนพอรู้ความจริงก็กลับมาสรรเสริญพระพุทธเจ้าใหม่ เพราะว่าพระพุทธเจ้านี้เป็นผู้ที่หนักแน่นมั่นคง อันที่จริงตนเองต่างหากที่ไม่หนักแน่นมั่นคง คือพวกชาวเมือง เมื่อวานซืนนี้ยังชมอยู่เลย แต่พอถึงเมื่อวานนี้ก็ด่าแล้ว พอมาถึงวันนี้ก็ชมใหม่ อันนี้เรียกว่า โลกธรรม คำสรรเสริญ หรือว่าคำชื่นชม มันเอาแน่เอานอนไม่ได้ วันนี้ชม พรุ่งนี้ด่า ดังนั้นอย่าไปปลื้มนะเวลาชม ใครชมก็ อย่าไปปลื้มมาก ให้เตือนใจไว้ว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เจอคำด่าแทนก็ได้
มีคนพูดให้ข้อคิดดีนะว่า คำสรรเสริญคำชมนี้ก็เหมือนกับ หมากฝรั่ง พวกเราคงรู้จักหมากฝรั่ง หมากฝรั่งนี้เคี้ยวได้แต่อย่ากลืน เคี้ยวเสร็จก็ต้องถ่มและต้องถ่มให้เป็นที่ ถ้าถ่มไม่เป็นที่มั่นวุ่นวาย ถ้าไปถ่มที่ประเทศสิงคโปร์นี้ก็ถูกจับได้ คำสรรเสริญเหมือนกับหมากฝรั่งที่เคี้ยวได้ มันก็อร่อยดี แต่ว่าอย่ากลืน กลืนแล้วเป็นเป็นโทษต่อร่างกาย ใครชมเราก็รับฟังเอาไว้ อย่าไปปลื้มมาก อย่าไปคิดสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาชมว่าเราเก่งก็อย่าคิดว่าเราเก่ง อย่างที่เขาว่า เพราะวันดีคืนดีเขาหาว่าเราเฮงซวย ไม่เข้าท่านี่ เราก็จะพลอยหวั่นไหวไปสำคัญมั่นหมายว่า เราแย่จริงๆ เพราะฉะนั้น เขาชมเราก็ไม่ปลื้มไม่หลงไหล ก็ขอบคุณ เมื่อถึงเวลาที่เขาด่า ก็จะไม่ทุกข์ อันนี้คือการเข้าใจในเรื่องโลกธรรม แต่ว่าถ้าเราเข้าใจธรรมชาติ สัจธรรม ความจริง ก็จะเห็นลึกไปถึงขั้นว่า จริงๆแล้ว มันไม่มีตัวเรา ไม่มีตัวฉัน ใครชมคำชมเหล่านั้นมันก็เหมือนกับชมเรือที่ว่างเปล่า ก็ไม่ได้เกิดความดีใจอะไรขึ้นมา เวลาตำหนิต่อว่าก็เหมือนกับขว้างหินใส่เรือที่ว่างเปล่า ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น เราก็ฝึกได้นะ ฝึกได้จาก ฝึกการลดละตัวตนได้จากคำสรรเสริญและคำนินทา ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังมีความยึดมั่นในตัวตนอยู่ แต่ว่า การที่ถือเอาคำต่อว่า หรือว่าคำสรรเสริญมาเป็นแบบฝึกหัด แทนที่จะเอาจริงเอาจังกับมันว่า เออเขาชมเรา เขาด่าเรา ไอ้คำว่า เรา เรา เรา ถ้ามันยังมีอยู่ มันทุกเสมอ ด่าฉัน เขาด่าฉัน นี่ คนที่โกรธเวลาเจอ คำด่า คำต่อว่า เพราะมันมีฉัน เขาด่ากู เขานินทากู ถ้ามีตัวกูเมื่อไหร่ มันทุกข์เมื่อนั้น มันไม่ได้ทุกข์เพราะคำนินทา คำนินทานี้ถ้ามันพุ่งใส่คนที่ไม่มีความยึดมั่นในตัวกู มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น เหมือนกับขว้างก้อนหินใส่อากาศก็ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ถ้ามีความยึดมั่นในตัวกูก็เหมือนกับมีกระจกขวางเอาไว้มันก็แตก จิตใจที่แตกก็คือจิตใจที่ทุกข์ มันมีความสำคัญมาก ตัวกู ตัวกู ตลอดเวลา ไอ้ความทุกข์ทั้งหลายมันเป็นเรื่องเป็นราวเพราะมันมีกู ความทุกข์นี้เป็นธรรมดาแต่ว่าพอมีผู้ทุกข์ มีกูทุกข์ นี้ มันไม่ธรรมดาแล้ว อันนี้ต้องพยายามทำให้ความรู้สึกว่าตัวกูนี้ มันมีน้อยลงไปเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นถ้ามันหมดเมื่อไรก็ไม่มีผู้ทุกข์ไม่มีกูทุกข์ ตรงนี้ก็เรียกว่า มันเหมือนเรือเปล่า ก็จะสบาย ไปไหนมาไหนก็ได้ ก็จะปลอดโปร่ง ไอ้การรับมือกับความเข้าใจผิดนี้มันเรื่องธรรมดา ต้องฝึกเอาไว้
สมัยที่หลวงพ่อคำเขียนท่านมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ท่านไปสร้างศูนย์เด็ก จะใช้คำว่าสร้างก็ดูเหมือนว่า จะกลายเป็นการสร้างอาคารอะไร ที่จริงไม่ใช่ ก็แค่ใช้ศาลาวัด และเอาเด็กมาเลี้ยง ท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคือศูนย์เด็ก แต่ว่าพอเรื่องนี้ทางราชการรู้เข้าก็เกิดความระแวง เพราะว่า ชัยภูมิไม่เคยมีศูนย์เด็กมาก่อน หลวงพ่อท่านทำศูนย์เด็กแห่งแรกของจังหวัดชัยภูมิ ศูนย์เด็กแห่งแรกของชัยภูมินี้อยู่บนเขา การคมนาคมไม่สะดวก และบังเอิญปี 2521 นี้มันเป็นเขตสีชมพู ตอนนั้นคอมมิวนิสต์นี้มีฐานที่มั่นอยู่แถวเพชรบูรณ์ไม่ไกลจากที่นี่ และเขาก็มาลาดตระเวนกันบนหลังเขานี้ เพราะฉะนั้น ที่นี่ก็มีทหารคอมมิวนิสต์มาป้วนเปี้ยนอยู่ ทางราชการก็จับตา ผู้คนบนหลังเขาพอเห็นหลวงพ่อท่านทำศูนย์เด็กก็เกิดความระแวง ว่าหลวงพ่อเป็นแนวร่วมคอมมิวนิสต์หรือเปล่า มาสร้างสมัครพรรคพวกเพื่อเอามาเป็นเครื่องมือของพวกคอมมิวนิสต์ เพราะไม่มีพระรูปไหนทำแบบนี้ นายอำเภอถึงกับไปกล่าวหาหลวงพ่อในที่ประชุมข้าราชการประจำเดือนว่า หลวงพ่อเป็นแนวร่วมคอมมิวนิสต์ ยังดีที่ไม่กล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ แค่ว่าๆเป็นแนวร่วม มาเล่นการเมืองบนหลังเขา มาตั้งพรรคพวกมาสร้างเครือข่าย เรื่องนี้ก็มาถึงหูหลวงพ่อ ท่านก็เฉย ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร
วันดีคืนมีทหารขึ้นมาที่วัดพร้อมอาวุธครบมือ เหมือนทำนองจะขู่ หลวงพ่อท่านก็ไม่ว่าอะไร ท่านก็บอกว่า เขาสงสัยก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้หาความจริง เมื่อเขามาหาความจริงเขา ก็จะรู้ว่าเราไม่มีอะไร หลายคนที่พอรู้ว่ามีคนระแวงสงสัย มีคนกล่าวหา ทุกข์ร้อนเลย เพราะว่าความยึดมั่นในตัวกูยังมีเยอะ พอใครเขาว่าอะไร จิตใจก็หวั่นไหว แต่หลวงพ่อท่านไม่มีความหวั่นไหวเรื่องแบบนี้ ใครเขาจะต่อว่าท่าน บางทีชาวบ้านก็มาต่อว่าท่าน มากล่าวหาท่าน ท่านก็เฉย ท่านก็ยิ้ม ถ้อยคำเหล่านั้นทำอะไรท่านไม่ได้ บางครั้งก็เจอหนักกว่านั้น ท่านเล่าว่าเคย กลางคืน ท่านจำวัดที่ศาลา ก็มีชายติดอาวุธ 3-4 คนมาหาที่ศาลา ปรากฏว่าเป็นทหารป่า เขาก็ระแวงสงสัยท่านว่าท่านเป็นสายของรัฐบาลหรือเปล่า เพราะว่า ท่านลงไปข้างล่างเป็นประจำ ไปส่งข่าวหรือเปล่า ที่จริงท่านลงไปข้างล่างท่านเข้าเมืองเพื่อจะไปแสดงธรรม หลวงพอเทียนขอให้ท่านไปช่วยงาน ท่านก็ไป ขอนแก่น กรุงเทพฯ หาดใหญ่ ท่านก็ลงไปบ่อย รวมทั้งที่วัดสนามใน กรุงเทพฯก็หลายครั้ง
พวกทหารป่าระแวงว่าท่านเป็นสายให้รัฐบาล ตอนนั้นท่านก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านคิดว่าเขาคงจะมากำจัดท่านแล้ว ท่านก็นิ่ง ท่านก็นึกในใจว่า ตายก็ดีเหมือนกัน คือ ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าหากต้องตาย จิตใจก็ไม่หวั่นไหว นี่ถ้าเกิดมีความยึดมั่นในตัวกู มันจะกลัวมากเลย กลัวตาย นี้กูจะต้องตายแล้วหรือนี่ คำว่า กูจะต้องตายหรือนี่ มันทำให้กลัวตายมาก แต่เชื่อว่าหลวงพ่อไม่มีความรู้สึกแบบนี้ ท่านเหมือนกับเรือที่ว่างเปล่า ไม่มีความกลัวตาย มันมีแต่ความตายแต่ไม่มีผู้ตาย ฉะนั้นถ้าเข้าใจธรรมะก็จะรู้ว่า มันมีความทุกข์แต่ไม่มีผู้ทุกข์ พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า “มันไม่มีอะไรนอกจากทุกข์และไม่มีอะไรนอกจากการดับทุกข์” ผู้ทุกข์ก็ไม่มี ผู้ทุกข์นี้เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา จากมีความยึดมั่นว่ามีตัวกู จากมีความสำคัญมั่นหมายว่า มีตัวกู ของกู มันก็เลยไปยึดเอาความทุกข์มาเป็นของกู ก็เลยเป็นผู้ทุกข์ ความตายมีแต่ไม่มีผู้ตาย แต่เพราะความหลง ยึดมั่นในตัวกู จึงยึดเอาความตายว่าเป็นกู เป็นของกู คนเราถ้ายังมีตัวกูอยู่มันก็ยังกลัวตาย
มีคำพูดว่า รักตัวกลัวตาย ก็คือเพราะรักตัว จึงกลัวตาย ที่รักตัวเพราะมันคิดว่ามีตัวกูให้รัก ตัวกูเป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหนเอาไว้ แต่ถ้ารู้ว่า ความจริงมันไม่มีตัวกู ทั้งเนื้อทั้งตัวก็มีแต่รูปกับนาม ไม่มีตัวกูซุกซ่อนอยู่ตรงไหน และรูปนามก็ไม่ใช่ตัวกูของกู ถ้ารู้ความจริงแบบนี้ มันก็ สละ วาง ปลดเปลื้องความยึดมั่นในตัวกูของกู ได้ ก็เรียกว่า ว่างเปล่า ว่างเปล่าจากตัวกู อันนี้ก็เหมือนกับเรือที่ว่างเปล่า เรือเปล่า อย่าว่าแต่ คำต่อว่า ด่าทอเลย ถึงเวลาที่เจออะไรหนักๆเข้าก็ไม่ทุกข์ ถึงจะมากระทบกายก็ทุกข์แต่กายแต่ใจไม่ทุกข์
หลวงพ่อประสิทธิท่านเล่าว่า จริงๆท่านไม่ได้เล่า มีคนอื่นมาเล่ามากกว่า วันหนึ่งก็มีพระมาหาพร้อมกับถือไม้หน้าสาม ถามว่า ท่านแน่หรือ หลวงพ่อประสิทธิ์ ก็ตอบว่า ผมไม่แน่ ขนาดพูดแบบนี้ เขายังไม่ยอม เอาไม้หน้าสามมาฟาดท่าน ฟาดอย่างแรง ท่านก็ไม่ต่อสู้ ระหว่างที่เค้าฟาด กระทบเนื้อท่าน กระทบศรีษะท่าน ท่านก็นึกในใจว่า เนื้อหนังมังสาเป็นของเน่าเปื่อย ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเลย พอฟาดอีกที ก็เลือดอาบ ท่านก็ตั้งสตินึกในใจ เอาเลือดอาบธรณีสงฆ์ก็ดีเหมือนกัน ดีเหมือนกัน ก็ให้ฟาด ฟาดอยู่หลายทีจนโยมมาเห็นก็มาห้าม มาลากพระรูปนั้นไป หลวงพ่อท่านก็โดนเย็บเป็นสิบเข็ม แต่ท่านไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเลย ตอนหลังพระรูปนั้นก็ถูกจับสึก และก็มาขอขมาท่าน ท่านไม่ว่าอะไร ท่านบอกเวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร ท่านไม่จองเวรกับเขา ไม่โกรธเขาด้วย ท่านก็บอกใครทำอะไรไว้ ก็ต้องรับกรรม อันนี้ก็การที่หลวงพ่อประสิทธิ์จะทำแบบนี้ได้ตัวตนท่านต้องน้อยมาก ถูกฟาด กายทุกข์ใจไม่ได้ทุกข์ด้วย กายปวดใจไม่ได้ปวดด้วย ไม่มีความรู้สึกโกรธ เพราะว่า สิ่งที่ฟาดก็ฟาดแต่กายแต่ฟาดไม่ถูกกู ไม้หน้าสามมันฟาดได้แค่ถูกร่างกายแต่ไม่ถูกกู เพราะมันไม่มีตัวกูอยู่ที่จะต้านทานหรือที่จะรับแรงกระแทก
อันนี้ก็เป็นการบ้านสำหรับพวกเรา เพราะว่าในชีวิตของพวกเราต้องเจอกับอะไรที่มันมากไปกว่าคำต่อว่า ด่าทอ คำต่อว่าด่าทอถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยจิ๊บจ๊อยนะ หรือแม้แต่คำใส่ร้าย แต่นักปฏิบัติธรรมหลายคน ทั้งๆที่มุ่งจะปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์เพื่อนิพพาน แต่พอเจอลมปากเข้าก็ซวนเซ ไม่ผ่านเลย นักปฏิบัติธรรมจำนวนมากนี้ไม่ผ่านแม้กระทั่งโลกธรรมที่เป็นแค่ลมปาก ถ้าโลกธรรมแค่นี้ยังหวั่นไหว แล้วถ้าเจอโลกธรรมที่หนักกว่านั้นจะทำอย่างไร เช่น ความเจ็บความป่วย ความเจ็บความป่วยนี่มันเป็นของจริง มันยิ่งกว่าลมปาก ลมปากนี่ได้ยินมันกระทบหู สักพักมันก็หายไปแล้ว แต่ความเจ็บปวดมันคงอยู่ ยั่งยืน อยู่เป็นวันเป็นอาทิตย์เป็นเดือน โดยเฉพาะถ้าเป็นโรคร้าย บางทีอยู่เป็นปี ไม่ใช่มาแค่ประเดี๋ยวประด๋าว อย่างลมปาก ฉะนั้นถ้าเกิดลมปากยังไม่ผ่าน ยังมีความรู้สึกกูเจ็บ กูทุกข์ ยังมีตัวกูอยู่เต็มเปานี้ รับแรงกระแทกจากลมปากยังสั่นสะเทือน แล้วเจอความทุกข์ ไม่ต้องถึงกับโดนไม้หน้าสามก็ได้ แต่ว่าเจอความเจ็บปวดจากโรค ทำให้เกิดทุกขเวทนาอย่างรุนแรง มีความรู้สึกกูทุกข์ กูเจ็บ กูปวด อย่างนี้จะผ่านไปได้อย่างไร
มันต้องฝึกถึงขั้นว่า มันมีแต่ความปวดกายแต่ใจไม่ปวด มีความปวดมีความเจ็บแต่ไม่มีกูผู้เจ็บ ไม่มีกูผู้ทุกข์ ต้องฝึกให้ได้ อย่างนี้มันถึงจะผ่านไปได้ จะทำตัว จะฝึกฝนแค่เป็นคนดีอย่างเดียวไม่พอ แต่ก็ยังดีที่มีความพยายาม ฝึกให้เป็นคนดี ถ้ายังละตัวตนไม่ได้ ยังรู้สึกว่ามีกู ให้กูนั้นมันดี เป็นคนดี ไปยึดมั่นถือมั่นว่า กูเป็นคนดี ทำดีน่ะดีแล้ว แต่อย่าไปยึดว่ากูเป็นคนดี เพราะคิดแบบนี้แล้วกิเลสขึ้นทันที แล้วก็ ความดีหรือความสุขว่ากูเป็นคนดีนี่แหล่ะ ที่มันสามารถจะกัดเจ้าของได้ สามารถทำให้เจ้าของเป็นทุกข์ได้ เพราะว่าเวลาที่เจอคนที่ดีกว่าตัวก็จะอิจฉาเขา หรือว่าพอคนอื่นไม่ดีเหมือนตัวโดยเฉพาะคนที่ใกล้ชิดเช่นลูก คนรัก เขาไม่ดีอย่างที่ตัวเองอยากจะให้ดี ก็ทุกข์ หลายคนรู้สึกอับอาย ฉันเป็นคนดีเป็นนักปฏิบัติธรรม ถือศีลห้า ถือศีลแปดแต่ลูกดันเกเร เมาเหล้า
หรือว่าลูกสาวดันท้องก่อนแต่ง หรือว่าท้องในวัยเรียน รู้สึกโกรธลูกมากเลย เพราะรู้สึกเสียหน้ามาก ฉันอุตส่าห์ที่ใครๆก็รู้ดีว่าฉันเป็นนักปฏิบัติธรรม แต่ถ้ารู้ว่ามีลูกแบบนี้ ฉันจะสู้หน้าคนอื่นได้อย่างไร ความรู้สึกว่าเป็นคนดี เป็นนักปฏิบัติธรรม มันพลอยทำให้เป็นทุกข์และพลอยเกลียดลูก บางคนบังคับลูกให้ทำแท้ง ตัวเองถือศีลแปด มดยุงก็ไม่ตบไม่บี้ แต่บังคับให้ลูกทำแท้ง เพราะกลัวว่าคนจะไปเย้ยหยันว่า เป็นนักปฏิบัติธรรมประสาอะไร ปล่อยให้ลูกสำส่อน คนที่เป็นนักปฏิบัติธรรมพอไปยึดมั่นถือมั่นว่าฉันเป็นคนดีเป็นนักปฏิบัติธรรม หน้าจะบาง ตัวตนจะสูง แต่ก็มีบางคนที่ตั้งสติได้ ฉันนี้ปฏิบัติธรรม ยุงไม่ตบ มดไม่บี้ แต่จะไปบังคับให้ลูกทำแท้งนี้ทำได้อย่างไร ตั้งสติได้ ก็ไม่ทำ แต่ก็มีหลายคนทำ เพราะกลัวเสียหน้า ความยึดมั่นว่าฉันเป็นนักปฏิบัติธรรม ฉันเป็นคนดี ต้องระวัง เพราะว่าถ้าไปยึดมั่นถือมั่นมากทำให้เกิดปัญหาได้
เพราะฉะนั้น เป็นแค่คนดี ไม่พอ ต้องพัฒนาจนถึงขั้นว่าไม่เป็นอะไรเลย อย่างที่หลวงพ่อคำเขียน ท่านย้ำแล้วย้ำอีก ในตอนท้ายๆของชีวิตท่านว่า ไม่เป็นอะไรเลย ไม่เป็นอะไรกับอะไร คนดีก็ไม่เป็น นักปฏิบัติธรรมก็ไม่เป็น ไม่เป็นอะไรเลย เพราะเป็นอะไรมันก็สามารถจะทุกข์และสามารถทำให้คนอื่นทุกข์ได้ทั้งนั้น