แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ที่ประเทศอเมริกา มีแมวตัวหนึ่ง น่าทึ่งมาก มีความสามารถพิเศษ แมวตัวนี้ชื่อออสการ์ ตัวผู้ มันอยู่ที่บ้านพักคนชรา แมวตัวนี้มีความสามารถพิเศษตรงที่ว่า มันรู้ว่าผู้ป่วยคนไหนกำลังจะตาย เวลาใครกำลังจะตาย ภายใน 24 ชม. หรือว่า ไม่กี่ชั่วโมง มันก็จะเข้าไปห้องคนนั้น ขึ้นไปบนเตียง คล้ายๆ กับว่าไปนอนเล่นเป็นเพื่อนคนที่ใกล้ตาย ที่แปลกก็คือ รู้ดีกว่าหมอและพยาบาลด้วย
บางรายหมอคิดว่ายังอยู่ได้อีกหลายวัน แต่ออสการ์ก็ขึ้นไปบนเตียงเขาแล้ว ไม่กี่ชั่วโมงคนนั้นก็หมดลม หมอพยาบาลก็แปลกใจว่า รู้ดีกว่าเขาได้อย่างไร คราวหนึ่งมีผู้ป่วยระยะสุดท้ายใกล้จะตาย 2 คน คนหนึ่งอาการหนักกว่า แต่ออสการ์ขึ้นไปบนเตียงของคนที่อาการดูจะเบากว่า พยาบาลคิดว่าออสการ์ คราวนี้คงผิดแล้ว แต่ว่าไม่อยากให้เสียชื่อออสการ์ว่าผิดพลาด เพราะตอนนั้นเขามีก็มีชื่อเสียงแล้วว่าถ้าขึ้นไปเตียงไหน เตียงนั้นกำลังจะตาย พยาบาลปรารถนาดีกับออสการ์กลัวเสียชื่อเพราะผิดพลาดในกรณีนี้ จึงอุ้มออสการ์ไปวางไว้อยู่บนเตียงคนที่อาการหนัก พะงาบพะงาบ ออสการ์ไม่พอใจก็ลงจากเตียง ขึ้นไปบนเตียงคนไข้ที่อาการดูจะอยู่ได้หลายวัน แต่ปรากฏว่าคืนนั้น คนไข้ที่ออสการ์นอนด้วยตาย ส่วนคนไข้ที่อาการหนักที่เชื่อว่าจะตายวันนั้น ปรากฏว่าอยู่ได้อีก 2-3 วัน คนก็ยิ่งทึ่งเข้าไปใหญ่ที่ออสการ์รู้ เป็นเรื่องแปลก
ตอนหลังก็มีคนเขียนเรื่องออสการ์ลงในบทความ เป็นบทความวิชาการว่ามันรู้ได้อย่างไร ชื่อเสียงของออสการ์ก็เลยแพร่กระจาย ตอนนี้ก็มีคนแปลหนังสือของหมอคนนี้มาเป็นภาษาไทย ชื่อว่าออสการ์แมวธรรมดากับพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา แต่ว่าอ่านแล้วไม่ใช่ได้ความรู้เกี่ยวกับออสการ์ ยังได้ความรู้เรื่องผู้ป่วยระยะสุดท้ายร่วมทั้งผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองเสื่อมอย่างหนัก ออสการ์นี้ก็เหมือนแมวทั่วไปคือเป็นตัวของตัวเอง ใครจะสั่งอะไรก็ไม่ทำตาม ถ้าเขาไม่พอใจเขาก็ไม่ทำ การที่ไปนอนบนเตียงก็ไม่มีใครสั่ง ที่แรกพยาบาลก็ไม่ชอบเพราะ โรงพยาบาลหรือบ้านพักคนชราเข้าจะไม่ชอบให้สัตว์เลี้ยงเข้ามา แต่ตอนหลังก็ยอมแพ้เพราะว่ามีแมวตัวหนึ่งมันเป็นแมวจรจัดมันหลงเข้ามาแล้วก็ไม่ยอมออก และพอมาอยู่คนป่วยก็ชอบญาติก็ชอบ ตอนหลังก็เลยมีแมวตัวอื่นมาอยู่ด้วย
ออสการ์นี้แปลก ที่ว่าคนไข้ก็ชอบ ถึงแม้คนไข้เป็นพวกอัลไซเมอร์ แต่เมื่อเจอออสการ์ก็รู้สึกเป็นมิตรด้วย ญาติก็ชอบโดยเฉพาะคนที่ใกล้ตายแล้วมีสัตว์อยู่เป็นเพื่อนในยามที่จะจากไป พูดถึงแมวก็มีลักษณะพิเศษ มีคนหนึ่งพูดไว้ดี เป็นฝรั่งเขาเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างหมากับแมว หมาถ้าเราเลี้ยงมันให้อาหารมัน มันจะคิดว่าเราเป็นพระเจ้า แต่ถ้าเราให้อาหารแมว แมวจะคิดว่ามันเป็นพระเจ้า เวลาให้อาหารหมา หมาจะภักดีกับเรามากเลย มันจะเห็นเราเป็นพระเจ้า มันจะซื่อสัตย์กับเรา เราไปไหนมันก็มาหา เวลาเราเรียกมันก็มาหา แต่เราเลี้ยงแมว แม้ว่าเราจะให้อาหารทุกวัน มันก็ไม่ได้ภักดีอะไรกับเราเลย มันกลับรู้สึกว่าเรามีหน้าที่เลี้ยงให้อาหารมัน เพราะฉะนั้นทุกวันถ้าเราไม่ให้อาหารมัน มันจะร้องแล้วก็มากวน เหมือนกับจะบอกเราว่า ได้เวลาให้อาหารแล้ว มีบางคนบอกว่า หมาถ้าเราเลี้ยงมัน เราเป็นเจ้าของมัน แต่ว่าแมว เราไม่สามารถเป็นเจ้าของมันได้ เราเป็นได้แค่หุ้นส่วน พูดแบบนี้ถือว่าเบาไป เพราะว่าที่จริงแล้วเวลาเราให้อาหารมัน เราเป็นทาสมันเลย ส่วนมันคือพระเจ้า
มีคนไทยคนหนึ่งทำเวบไซด์เกี่ยวกับเรื่องแมวในบ้านของเขาโดยตรงเป็น Facebook ตั้งชื่อเพจว่า ทูลหัวของบ่าว คือว่า ตัวเจ้าของรู้ว่าตนเองเป็นบ่าวของแมว เวลาเราให้อาหารแมว แมวไม่ได้จงรักภักดีอะไรกับเรา แมวไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เรารู้สึกว่าแมวจะต้องชื่นชม ติดตามเรา และต้องตอบแทนบุญคุณของเรา จะว่าไปก็ดี มันเป็นการฝึกใจของเรา เวลาเราช่วยใครเช่นให้เงินเขา สงเคราะห์เขา ถ้าเราคิดว่าเราช่วยเขาเหมือนเราช่วยแมวก็ดี เวลาให้อาหารแมว เราก็ไม่ต้องเรียกร้องแมวจะต้องมาอี๋อ๋ออะไรกับเรา แมวก็เป็นตัวของตัวเอง เรียกก็ไม่มา เราก็เฉย เราไม่รู้สึกทุกข์ร้อน ไม่รู้สึกโกรธเคืองอะไรเลยเวลาแมวไม่เชื่อฟังเรา ไม่ทำตามคำสั่งของเรา ไม่มาภักดีกับเราหรือว่าไม่สำนึกบุญคุญของเรา การที่แมวมีพฤติกรรมแบบนี้มันก็ฝึกเรา ให้เรารู้จักการช่วยเหลือคนโดยไม่หวังผลตอบแทนหรือไม่หวังการภักดีจากคนที่เราช่วย คนส่วนใหญ่เป็นทุกข์เวลาช่วยใครแล้ว เขาไม่เห็นหรือไม่สำนึกในบุญคุญของเรา บางทีเราต้องไปทวงบุญคุญด้วย หลายคนเป็นทุกข์มากช่วยเขาแล้ว เขาไม่สนใจเรา เขาไม่สำนึกในบุญคุญของเรา บางทีก็โกธรแค้นเขา
ทีจริงลองคิดเสียว่า เราช่วยเขาเหมือนกับเราเลี้ยงแมว เวลาเราเลี้ยงแมวเราก็ไม่ได้เรียกร้องหรือปรารถนาให้มันมาสำนึกบุญคุณของเรา เวลาช่วยใครก็เหมือนกับเลี้ยงแมว เขาจะจำเราได้หรือไม่ได้ ก็เป็นเรื่องของเขา เขาจะสำนึกบุญคุณเราหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขา แต่หน้าที่ของเราคือว่าเมื่อใครตกทุกข์ได้ยากเราก็ช่วย ได้เคยพูดไปแล้วเมื่อสองวันก่อนว่า เรื่องของคนอื่นอย่าเอามาเป็นปัญหาของเรา ใครไม่ทำหน้าที่ของเขาก็เป็นเรื่องของเขา เช่น เราช่วยเขาแล้วเขาไม่สำนึกบุญคุญของเรา อันนั้นเป็นปัญหาของเขาไม่ใช่ปัญหาของเรา หน้าที่ของเราคือช่วยเขาไป ใครเดือดร้อนก็ช่วยไป ให้ถือว่าเราช่วยเขาเหมือนกับเราเลี้ยงแมวก็แล้วกัน
คนเลี้ยงแมว ถ้าหากว่าได้ความคิดแบบนี้ อาตมาว่าได้ประโยชน์ เวลาเลี้ยงแมวคือถือว่าเขามาฝึกให้เรา คือไม่ต้องไปหวังผล คาดหวังกับการช่วยของเรา มีคนพูดว่าคนที่เลี้ยงแมวเป็นคนที่ใจกว้างมาก คงเพราะเหตุนี้ พอเลี้ยงแมว แมวก็ไม่สนใจว่าเราช่วยเหลือเขา เขาก็เป็นตัวของเขาเอง คนที่สามารถอยู่กับแมวแบบนี้ได้แสดงว่าเป็นคนใจกว้าง ไม่ได้เรียกร้องหรือคาดหวังจากแมว ว่าจะต้องมาอี๋อ๋อ จะต้องมาเชื่อฟังฉัน จะต้องภักดีกับฉัน เรียกว่ามีแต่ให้ล้วนๆ ไม่มีความคาดหวัง คนเราถ้ามีจิตใจแบบนี้กับมนุษย์ด้วยกันก็จะมีความสุข ช่วยเหลือใครแบบไม่ต้องคาดหวัง ว่าเขาต้องมาขอบคุณ ต้องมาสำนึก แล้วเราจะมีความสุขกับช่วยคน คนจำนวนมากมีความเจ็บแค้นพยาบาทฝังใจ ไม่ใช่เพราะอะไรเลย เป็นเพราะว่าเคยช่วยใครบางคน ช่วยแล้วเขาไม่สำนึกบุญคุญ พอเขาไปได้ดีแล้วไม่สนใจ หรือบางทีก็ไปคิดว่าเขาเนรคุณ อันนี้เป็นทุกข์ของคนดี ทุกข์ของคนที่ชอบช่วยเหลือคนแต่ว่าวางใจไม่ถูก
ตอนที่เห็นเขาทุกข์แล้วไปช่วยเหลือนั้นดี แต่ว่าพอเขาไม่สนใจ ไม่สำนึกในบุญคุญของเราก็อย่าไปเก็บเอามาคิด ถ้าทุกข์เมื่อไหร่กับเรื่องนี้แปลว่าเรามีความคาดหวัง ว่าช่วยเขาแล้วเขาต้องมาสำนึกบุญคุณของเรา เขาจะต้องรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเรา ใครที่คิดแบบนี้เตรียมใจทุกข์ไว้เลย เพราะว่ามันอาจจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิด และก็เป็นการเตรียมการตั้งความหวัง หรือการวางใจที่ผิดด้วย ช่วยใครก็เหมือนกับว่าลืมไปเลย เวลาช่วยใครให้ลืมไปเลยว่าเคยช่วยเขา มันจะสบายใจ ไม่เช่นนั้นแล้วเมื่อเห็นหน้าเขาจะคาดหวังว่าเขาจะทำดีกับเราเป็นพิเศษ เขาจะต้องมาโอ๋ มาพูดกับเราดีๆ มันจะมีความคาดหวังแบบนี้อยู่ลึกๆ เวลาเจอหน้าที่เราเคยช่วยเขา ยังจำได้ว่า ฉันช่วยแก ฉันช่วยแก แกต้องมาสำนึกในบุญคุณของฉัน และพอคาดหวังแบบนี้ เรียกร้องแบบนี้ มันก็จะแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง แล้วคนที่เขาเคยได้รับความช่วยเหลือจากเราจะรู้สึกกดดัน ถูกเรียกร้อง หรือถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกัน คนเราก็ต้องการการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม แต่พอเจอคนที่เคยช่วยแล้วเราเรียกร้องให้เรา มาซูฮก มาอ่อนน้อมต่อเขา เพราะเขาเคยช่วยเรา หลายคนที่ได้รับความช่วยเหลือจะรู้สึกแบบนี้ ก็เลยรู้สึกเกิดอาการตึงเครียด พาลไม่ชอบ พอไม่ชอบ ความสัมพันธ์ก็ร้าวฉาน
ถ้าจะให้ดี ถ้าเราเคยช่วยใคร ต้องลืมเลยว่าเคยช่วย เวลาเจอหน้ากัน จะได้ไม่คาดหวังว่า มากราบกรานเรา หรือต้องมาพูดกับเราดี ๆ เราก็จะได้สบายใจ ถ้าหากว่าเขาจะปฏิบัติแบบของเขา เขาสบายใจ เขาก็รู้สึกไม่ถูกกดดัน ก็แปลว่าอยู่ด้วยกันได้ เป็นมิตรต่อกันได้ ความสัมพันธ์ไม่ร้าวฉาน เวลาเกิดมีปัญหากับคนที่เคยช่วย อย่าคิดว่าเขาไม่สำนึกบุญคุณของเรา บางทีเราต้องกลับมาดูใจว่าเราไปคาดหวังเรียกร้องกดดันเขาหรือเปล่า บางทีปัญหาอยู่ที่เราเอง ไม่ใช่อยู่ที่เขาก็ได้