แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมารู้จักกับหมอคนหนึ่งชื่อหมอบัญชา พงษ์พานิช เป็นผู้อำนวยการหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ หรือทึ่เรียกง่ายๆว่า สวนโมกข์กรุงเทพ หมอบัญชามียายคนหนึ่งอายุถึงร้อยปี ตอนที่ยายอยู่ในช่วงท้ายๆของชีวิตคือประมาณ90 เศษๆ เวลามีลูกหลานเหลนมาหาอวยพรขอให้มีอายุยืน ให้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรไปนานๆ คุณยายก็จะบอกว่าโอ๊ย ไม่ไหวแล้ว ลูกเอ๋ย เผลอรับพรมาตั้งนานจนอายุยืนมาถึงป่านนี้ พออายุ 90 ถึงได้รู้ว่า มันพลาดไปแล้ว ไม่ไหวแล้ว อายุยืนเลยจากนี้ไปมันก็มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น ไม่เอาแล้วลูก ลูกหลานมาขอให้มีอายุยืน ยายบอกไม่เอาแล้ว พลาดไปแล้วที่เผลอรับพรไปตั้งนาน การมีอายุยืนก็เป็นยอดปรารถนาของผู้คนทั้งหลาย เวลาทำบุญก็ขอพรอยากให้พระอวยพรให้มีอายุยืน บางคนว่าให้มีอายืนถึงหมื่นปี อาจจะลืมไปว่าอายุยืนก็จริง แต่ลืมไปว่า สุขภาพจะย่ำแย่ลงไป อายุยืนแต่สุขภาพย่ำแย่ ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง กำลังวังชาก็ถดถอย หูตาฝ้าฟาง จะเดินก็โอ๊ย จะนั่งก็โอ๊ย มันก็คงจะไม่มีความสุข ใครที่ปรารถนาจะมีอายุยืนก็ฟังคำของคุณยายคนนี้ไว้ว่ามันพลาดไปแล้ว อายุเกินไปจากนี้ก็มีแต่จะทุกข์อย่างเดียว
ในสมัยพุทธกาล มีเรื่องคล้ายๆทำนองนี้แต่ว่ากลับกันก็คือ คนที่ให้พรเป็นคนแก่ ส่วนคนที่รับพรหรือว่าเป็นฝ่ายที่ผู้ใหญ่มาให้พรเด็ก เป็นเรื่องของน้องชายพระสารีบุตร ครอบครัวของพระสารีบุตรมีพี่น้องประมาณ 6-7 คน เรวตะเป็นคนสุดท้อง อายุประมาณ 12 ปี พ่อแม่ก็จับแต่งงาน ที่จับแต่งงานตั้งแต่ยังเด็กก็เพราะว่าพี่คนอื่นหนีไปบวชหมด พ่อแม่ก็กลัวลูกคนสุดท้องคือเรวตะจะหนีไปบวช ก็เลยจับแต่งงานตั้งแต่อายุ 12 ปี วันแต่งงานก็มีคนมาให้พร ก็มีคุณยายคนหนึ่งถือไม้เท้าเดินกระย่องกระแย่งมาแล้วก็อวยพรว่า ขอให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่ครองคู่กันไปอย่างยั่งยืนยาวนาน ให้มีอายุยืนเหมือนกับยายนะ เรวตะฟังแทนที่จะปลาบปลื้มดีใจ ก็มาพิจารณาเห็นคุณยายแล้วก็นึกต่อไปว่าถ้าเมียของตัวเองหรือเจ้าสาวมีอายุยืนเหมือนคุณยายก็คือหลังโกงเดินกระย่องกระแย่งอยู่ หนังเหี่ยวย่น ตาฝ้าฟางจะสวยได้อย่างไรแล้วจะอยู่กับเขาได้หรือ ก็เกิดความสลดสังเวชขึ้นมา แล้วก็คิดหาทางที่จะหนี ระหว่างที่ขบวนขันหมากเดินแห่กันไปที่บ้าน ไปที่เรือนหอ กลางทางก็เป็นป่าเรวตะก็ออกอุบายแล้วก็หนีจากขบวนแห่เข้าป่าไปเลย แล้วตอนหลังก็ไปอยู่กับพระรูปหนึ่งแล้วก็ขอบวช ตอนแรกก็บวชเณรก่อน ตอนหลังก็บวชพระแล้วก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ตามพี่ชายคือพระสารีบุตร ตอนหลังพระเรวตะก็ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะในด้านการอยู่ป่า เอตทัคคะคือความเป็นเลิศ ผู้เป็นเลิศในหมู่พระสงฆ์ในด้านการอยู่ป่า อันนี้เรียกได้ว่าเป็นเพราะคำอวยพรของยาย
คำอวยพรของยายทำให้เรวตะแทนที่จะดีใจกลับเห็นโทษร้ายของชีวิตครองเรือน ถ้ายายไม่มาอวยพรเรวตะก็อาจจะแต่งงานแล้วก็ใช้ชีวิตคู่อย่างฆราวาสไปอีกนานทีเดียว แต่ว่าเป็นเพราะยายมาอวยพร เรวตะก็เป็นคนที่คิดไม่เหมือนใครเด็กอายุ 12 ไม่เหมือนคนทั่วไป มาอวยพรก็จะดีใจฉันกับเจ้าสาวก็จะได้อยู่กันเรียกว่าถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ใครๆก็อวยพรแบบนี้แหละ แต่เรวตะคิดไปอีกมุมหนึ่งว่าถ้าเจ้าสาวของฉันนี่อายุยืนเหมือนยายก็คงไม่น่าดู อย่ากระนั้นเลยแยกทางกันเสียแต่ตอนนี้ดีกว่า นี่เป็นข้อคิดเตือนใจทั้งสองเรื่อง เวลาเราปรารถนาอยากมีอายุยืน. คิดให้ไกล คิดให้รอบคอบสักหน่อย ว่าอายุยืนแล้วมันจะเป็นอย่างไร ถ้าอายุยืนแล้วก็ร่างกายเจ็บป่วย กำลังวังชาถดถอย มีโรคภัยไข้เจ็บมันจะมีความสุขได้อย่างไร จริงอยู่แม้ว่าเราขอพรเราอยากให้พระอวยพรให้เรามีอายุ มีวรรณะ มีสุขะ มีพละด้วย แต่ในความเป็นจริงถ้าอายุยืนเป็นร้อยปี อายุ วรรณะ สุขะ พละ ก็คงไม่เจริญยั่งยืนตามไปด้วย. จริงอยู่แม้สมัยนี้จะมีความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์และเทคโนโลยี เชื่อว่าต่อไปก็คนจะมีอายุยืนไปถึง 120 ปีแต่ว่าความเจ็บป่วย มันก็จะตามไปเหมือนกัน อาจจะไม่ป่วยตอนอายุ 80 แต่มันก็จะเริ่มป่วย เริ่มชราหมดกำลังวังชาไปตอนอายุร้อย แล้วก็ 120 แล้วเดี๋ยวนี้ความเจ็บป่วยก็มีหลากหลาย มันไม่ใช่แค่ไม่มีแรง ไม่ใช่แค่หูตาฝ้าฟาง ไม่ใช่แค่เป็นมะเร็ง โรคหัวใจ ที่แย่คือเป็นอัลไซเมอร์ เป็นโรคความจำเสื่อม โรคความจำเสื่อมนี่ เจ้าตัวอาจจะไม่ทรมานเท่าไหร่ เพราะว่าพอลืมไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรแล้วก็อาจจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร
แต่คนที่เดือดร้อนก็คือลูกหลานที่ต้องดูแล แล้วก็ดูแลกันเป็นสิบปี ยี่สิบปีก็มีอย่างต่ำๆ ก็สิบปี เพราะโรคนี้สมองเสื่อมแต่ว่าร่างกายก็ยังพอจะประคับประคองให้ทำงานไปได้ สมัยนี้ก็มีเทคโโลยึที่ช่วยดูแลอวัยวะส่วนอื่นๆ แต่ยังไม่พัฒนาพอที่จะช่วยทำให้ความจำมันกลับคืนมา คนทึ่เป็นอัลไซเมอร์นี่คนที่ดูแลเป็นทุกข์มาก ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ ทุกข์กายเพราะต้องดูแล 24 ชั่วโมงเพราะว่าคนป่วยทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่กินข้าวยังเคี้ยวข้าวไม่เป็น จะขี้จะเยี่ยวก็ปล่อยเลอะเทอะ อันนี้เรียกคนดูแลทุกข์กายแถมยังทุกข์ใจอีก ทุกข์ใจที่พ่อแม่ของตัว ที่ตัวเองเคยรู้จักหายไปซะแล้วกลายเป็นใครก็ไม่รู้ หน้าตายังเหมือนพ่อแม่ของตัว แต่ว่าจิตใจ นิสัย บุคลิกกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ไปแล้ว อาจจะกลายเป็นเด็กปัญญาอ่อน หรือเหมือนคนปัญญาอ่อนไปเลยก็ได้ คนที่ติดอยู่กับพ่อแม่ในอดีตก็จะทำใจไม่ได้กับภาพพ่อแม่ในปัจจุบัน แล้วจิตใจก็จะเหี่ยวแห้ง บางทีก็มองหงุดหงิด โกรธด่าแม่ ตีแม่ก็มี พอตีแม่แล้วก็รู้สึกผิด พอรู้สึกผิดก็เครียด พอเครียดก็เผลอลืมตัวด่าอีก ทำอย่างนี้ซ้ำๆก็รู้สึกแย่ บางคนถึงกับฆ่าตัวตายก็มีหรือว่าแช่งแม่ให้ตายไวๆ พอแช่งแม่ให้ตายไวๆ ก็จะเป็นยังไง เสียใจ มีบางราย ประเทศญี่ปุ่นนี่คนดูแลก็ฆ่าตัวตาย ก่อนฆ่าตัวตายก็ฆ่าแม่ซะก่อน เพราะว่าถ้าตัวเองตายแล้ว แม่จะอยู่กับใคร ก็ถือโอกาสเรียกว่าทำให้เขาหมดทุกข์ไปเสียเลยก็ฆ่าเขาก่อนแล้วก็ฆ่าตัวเองตาย อันนี้เรียกว่าเป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับสังคมที่มีคนอายุยืนมากขึ้น พออายุยืนเข้าก็จะมีปัญหาแบบนี้ตามมา อายุยืน 80 ปี 100 ปีหรือต่อไป 120 ปีมันก็จะต้องเจอปัญหาคล้ายๆกัน โลกอาจจะเปลี่ยนไป สมัยก่อนคนแก่ก็ไม่ค่อยเป็นโรคความจำเสื่อมเท่าไหร่อาจจะเป็นโรคอื่นมากกว่า แต่ตอนนี้มันก็มีโรคใหม่เข้ามา ทั้งเบาหวาน ทั้งไตวาย ทั้วโรคหัวใจ มะเร็ง โรคเส้นเลือดในสมองแตกเป็นพิการอัมพาตเดี๋ยวนี้อัลไซเมอร์ก็มี ถึงแม้จะมีอายุยืน 150 ปีโรคพวกนี้ก็จะตามไปเหมือนกัน ตามไปตอนท้ายๆ ก็ยังหนีทุกข์ไม่พ้น แต่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องรีบอยู่ให้ชีวิตสั้นลงนะ แต่อย่าไปคิดว่ามันเป็นสรณะ มันมีสิ่งอื่นที่ดีกว่า ประเสริฐกว่าการที่มีอายุยืน นั่นก็คือเรื่องคุณธรรม ความดีเรื่องการทำใจให้เห็นสัจจธรรมความจริงถึงตอนนั้นจะอายุยืนอายุสั้นก็ไม่สำคัญ เตรียมรับพร