แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนไทยส่วนใหญ่ ถ้าเป็นชาวพุทธ ถามว่า ตายแล้วอยากจะไปไหน ส่วนใหญ่คงตอบว่า อยากจะไปสวรรค์ ที่อยากไปสวรรค์ เพราะว่าอยากไปเกิดเป็นเทวดา ทำไมถึงอยากจะไปเกิดเป็นเทวดา เพราะเชื่อว่า เป็นเทวดาแล้วจะมีความสุขมากกว่า อาจจะรวมถึงมีฤทธิ์มีความสามารถพิเศษมากกว่าด้วย ที่จริงไม่ใช่แค่ตายแล้วอยากไปเกิดเป็นเทวดา ตอนที่อยู่ก็อยากเป็น เมื่อเป็นไม่ได้ ก็หวังพึ่งเทวดา บางทีถึงกับกราบไหว้ คนที่อยากไปเกิดเป็นเทวดา แต่ถ้าถามเทวดาว่าตายแล้วอยากไปไหน เทวดาส่วนใหญ่บอกว่าอยากไปเกิดมาเป็นมนุษย์ มีคำกล่าวว่าความเป็นมนุษย์เป็นสุคติของเทวดา หมายความว่า เทวดาถือเอาความเป็นมนุษย์เป็นจุดหมายปลายทาง สุคติของมนุษย์ส่วนใหญ่คือเป็นเทวดาหรือเป็น ไปเกิดในสวรรค์ แต่สุคติของเทวดาคือมาเกิดในโลกมนุษย์ อันนี้เพราะอะไร
เพราะว่าเทวดาเห็นว่ามนุษย์ได้เปรียบหลายอย่าง มีของดีหลายอย่าง เช่น มีสติดีกว่า มีความกล้ามากกว่า และก็มีโอกาสประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ก็คือการปฎิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 การประพฤติธรรมพูดสั้นๆย่อ นั่นก็หมายถึงโอกาสที่จะบรรลุธรรมได้สูงมาก อันนี้คือเหตุผลที่เทวดาซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์เมื่อจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ที่จริง ท่านอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต เมื่อจะต้องมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็มาเกิดในโลกมนุษย์ เป็นเจ้าชายสิตธัตถะ เพราะว่าโลกมนุษย์มีโอกาสที่จะได้บรรลุธรรมสูงมาก พวกเราที่เป็นมนุษย์ จึงน่าจะรู้สึกภาคภูมิใจหรือรู้สึกว่าเราโชคดี แต่ว่าคนส่วนใหญ่มองไม่เห็นไปคิดว่าเทวดาดีกว่า อันนี้เพราะว่าเป็นพวกที่ติดสุข เพราะมีความเชื่อว่าบนสวรรค์มันจะมีความสุขมากมาย มีคู่ครอง มีอาหารทิพย์ มีสุขทิพย์ ถ้าเป็นเทวดาจะมีเทพธิดามาปรนเปรอมากมาย พอปรารถนาความสุขแบบนี้เลยอยากไปเกิดเป็นเทวดา อันนี้เรียกว่าไม่รู้จักของดี
ความเป็นมนุษย์เป็นของดีกว่า ประเสริฐกว่า เพราะว่าสามารถจะพัฒนาตนให้เข้าถึงความสุขที่ประเสริฐกว่าที่เทวดาจะมีด้วยซ้ำ เพราะว่าความสุขอย่างที่มีในสวรรค์เป็นแค่กามสุข มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ความสุขที่แท้ ความสุขที่ประเสริฐยากที่เทวดาจะเข้าถึง เพราะว่า ไม่ค่อยได้มีโอกาสประพฤติพรหมจรรย์เท่าไร หรือเพราะว่าติดสุขคิดว่ากามสุข มันประเสริฐแล้วเลยไม่ขวนขวาย ไปๆมาๆ อาจจะเป็นพวกกามาสุขลิกานุโยคก็ได้ กามสุขัลลิกานุโยคคือพวกที่หมกมุ่นอยู่ในกาม อันนี้ไม่ใช่มีแต่มนุษย์เท่านั้น เทวดาก็เป็น แม้เทวดาที่ประพฤติธรรม รู้ว่าการมาเกิดเป็นมนุษย์และมีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม มันประเสริฐกว่า เวลาเทวดาองค์ใดจะเรียกว่าหมดอายุขัย มีการอวยพรว่าขอให้มาเกิดเป็นมนุษย์ อันนี้เป็นเรื่องที่ชาวพุทธเรา ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ เรานับถือพุทธศาสนา แต่ไปคิดว่าเทวดาประเสริฐที่สุด ที่จริงประเสริฐที่สุดคือมนุษย์ที่ฝึกฝน
มนุษย์เมื่อฝึกฝนตนจนกระทั่งเห็นแจ้งในสัจธรรมเป็นพระพุทธเจ้า เรียกว่าเป็นผู้ที่เหนือกว่าเทวดา มาร พรหม พรหมถือว่าสุดยอดแล้ว แต่ว่ายังต้องเคารพกราบกรานพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นมนุษย์หรือแม้แต่พระอรหันต์เหมือนกัน เป็นที่เคารพสักการะของเทวดาที่จริงแล้ว พูดถึงคุณธรรมความดีแล้ว มนุษย์เราทำได้เยอะมากกว่า เป็นเทวดาที่หลงอยู่ในกามสุขเยอะ อย่างพระอินทร์เป็นผู้ที่ว่าประมาท ประมาทในทิพยสุข สูงขึ้นไป สูงขึ้นไปแม้แต่พระพรหมก็ประมาท ประมาทในความเป็นประมาทด้วยความเชื่อว่าตัวเอง เป็นอนิจจัง คือเที่ยง พระพรหมเรียกว่ามีความหลงมีมิจฉาทิฐิ เพราะว่าเวลาย้อนไปดูว่าตัวเองเกิดเมื่อไร หรือว่าจะดับเมื่อไร มองไม่เห็น มันยาวไกลเหลือเกินหลายกัปหลายกัลป์ ไปหลงว่า ตัวเองเที่ยงแท้นิรันดร
อันนี้เป็นความหลงอย่างยิ่ง เพราะไม่รู้จักอนิจจัง ไม่เห็นความจริงว่า มันไม่มีอะไรสักอย่างที่เที่ยงเลย แล้วถ้าพูดถึง ความประมาทแล้ว เทวดามีโอกาสประมาทได้มากกว่า พวกเราที่เป็นมนุษย์ก็ได้เห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ เห็นความตายในช่วงอายุขัยของคนเรา ได้เห็นความเสื่อม ความชรา ความไม่เที่ยงเยอะมาก อันนี้เป็นของดี อย่าไปนึกว่าเป็นของไม่ดีเพราะว่ามันกระตุ้นให้ไม่ประมาท ได้เห็นความเสื่อมของกามสุขว่า ทรัพย์สินเงินทอง วันนี้มีพรุ่งนี้ก็อาจจะหมด หลายคนเป็นเศรษฐีมีความร่ำรวยมีชื่อเสียงเกียรติยศ วันดีคืนดีถูกศาลตัดสินเข้าคุกไป อันนี้มันล้วนแล้วแต่แสดงสัจธรรมให้เราเห็นถึงความไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นถ้ามีปัญญาก็จะรู้ว่า ของพวกนี้ เอามาเป็นสรณะไม่ได้ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ พวกนี้เอามาเป็นสรณะไม่ได้ ต้องทำความเพียรเพื่อเข้าถึง สิ่งที่เป็นความสุขที่ยิ่งกว่า แล้วถ้าเราฝึกฝนพัฒนาตนจนเป็นคนมีคุณธรรม เทวดาก็มาเคารพ มนุษย์เราได้เปรียบเทวดาหลายอย่าง ความเพียรของมนุษย์เป็นสิ่งที่เทวดาเขายอมรับเหมือนกัน
มีเรื่องเล่าในชาดกว่า มีกษัตริย์สองเมืองทำสงครามกัน กษัตริย์องค์แรก เมืองแรก รู้จักกับฤาษี ฤาษีคนนี้สามารถติดต่อกับพระอินทร์ได้ ถามฤาษีว่า ศึกสงครามนี้เราจะชนะไหม ฤาษีก็ถามพระอินทร์ พระอินทร์บอกว่าชนะแน่ พอพระราชาได้รับคำยืนยันจากพระอินทร์ ผ่านพระฤาษีว่าว่าชนะแน่ ก็ประมาท สนุกสนาน เตรียมเลี้ยงฉลองชัยชนะ ส่วนกษัตริย์อีกเมืองหนึ่งก็รู้เหมือนกัน ก็มีฤาษีเหมือนกัน ฤาษีติดต่อเทวดาได้ เทวดาบอกว่าแพ้ แต่ว่ากษัตริย์ไม่เชื่อ เตรียมรี้พล ฝึกฝนกันอย่างแข็งขัน พอถึงเวลาสู้รบกัน ปรากฏว่ากษัตริย์องค์ที่สองที่เทวดาบอกว่าแพ้ กลับชนะ ส่วนกษัตริย์ที่พระอินทร์บอกว่าชนะกลับแพ้ยับเยินเลย กษัตริย์ก็เลยโมโหไปต่อว่าฤาษี ฤาษีก็เลยไปต่อว่าพระอินทร์ว่า อ้าวบอกว่ากษัตริย์องค์นี้จะชนะไม่ใช่หรือทำไมถึงแพ้ พระอินทร์ตอบว่าความบากบั่นพากเพียรของมนุษย์ เทวดาไม่สามารถขวางกั้นได้ คือถ้าดูตามโชคชะตาแล้วกษัตริย์องค์แรกชนะ แต่กษัตริย์องค์ที่สองทำความเพียรมาก ความเพียรของกษัตริย์องค์นี้ทำให้สามารถพลิกชะตาได้ อันนี้คือความได้เปรียบของมนุษย์ที่ส่วนใหญ่ไม่รู้กัน
มนุษย์เรามีความสามารถมากกว่า หรือมีศักยภาพมากกว่าเทวดามาก เช่น สามารถที่จะพัฒนาคุณธรรมให้เจริญงอกงาม จนกระทั่งเทวดายอมรับ มนุษย์สามารถพัฒนาคุณธรรมได้มากกว่าเทวดา เทวดาที่ไม่มีคุณธรรมเขาเรียกว่า เทวดามิจฉาทิฐิ เหมือนคนรวย คนรวยมีทั้งสัมมาทิฐิ และมิจฉาทิฐิ ดอกเตอร์ นักวิชาการมีทั้งสัมมาทิฐิ และมิจฉาทิฐิ เทวดาก็เหมือนกัน ถึงแม้อยู่ในสวรรค์ก็มีความหลง มีกิเลส
มีเรื่องเล่าว่าเมื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐียากจนลงไปเรื่อยๆ อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นถึงมหาเศรษฐี แต่ตอนหลังทำบุญมากจนกระทั่งเงินทองร่อยหรอ เทวดาที่อยู่ซุ้มประตูมาบอกอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่าเลิกให้ทานเถิด โดยเฉพาะเลิกให้ทานกับพระพุทธเจ้า อนาถบิณฑิกเศรษฐีซึ่งตอนนั้นเป็นโสดาบันแล้ว ไล่เทวดาออกไปเลย บอกว่าท่านไม่ต้องอยู่ เป็นเทวดาที่ไม่มีธรรมะ มาแนะนำว่าให้เลิกให้ทาน เทวดาจึงเสียใจ ไม่รู้ทำยังไง ไปกราบทูลขอพระพุทธเจ้าให้ช่วย สุดท้ายก็ต้องมาขอขมาอนาถบิณฑิกเศรษฐี เทวดาขอขมามนุษย์เพราะว่าไม่มีคุณธรรม ที่แนะนำอนาถบิณฑิกเศรษฐีไม่ให้ทาน เพราะว่าไม่พอใจพระพุทธเจ้า เวลาพระพุทธเจ้าเสด็จมาที่บ้านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เทวดาอยู่บนซุ้มประตูต้องลงมาข้างล่างเพราะว่าอยู่สูงกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ ลงมาบ่อยๆก็รำคาญ แค่ลงมาจากซุ้มประตูก็ขี้เกียจแล้ว อันนี้เป็นเทวดาที่ไม่มีคุณธรรมและไม่มีความสัมมาคาราวะ
พวกเราเวลานึกถึงเทวดา อย่าไปคิดว่ามีแต่เทวดาที่ดี ไม่ดีก็มี จริงอยู่ถึงแม้จะเป็นเพราะว่าบุญหนุนส่งให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ แต่พออยู่ไป ๆ คุณธรรมก็เสื่อมได้หรือว่าไม่ใส่ใจในการพัฒนาตนให้มีคุณธรรม เหมือนคนเราที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์เพราะว่ามีบุญหนุนส่ง แต่พอเกิดมาแล้วทำตัวเหลวแหลกกลายเป็นขี้ขโมย เป็นฆาตกร อย่าไปคิดว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์ มันแค่ใช้กรรมอย่างเดียว หรือเสวยผลแห่งบุญกุศลเท่านั้น มันสามารถสร้างกรรมได้ กรรมที่มีทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี มนุษย์ไม่ค่อยคิดที่จะพัฒนาสร้างกรรมดีขึ้นมาฝึกฝนตน
หลายคนเอาแต่พึ่งพาเทวดา มันน่าอายเหมือนกัน ความสามารถมีมาก มากจนกระทั่งเทวดายอมรับ แต่ว่าไม่พากเพียรพยายามเอาแต่ขอ ไม่ต่างกับคนที่มีร่างกายครบ 32 แต่ว่าไม่ทำมาหากิน เอาแต่ขอทาน คนจำนวนไม่น้อยก็เป็นแบบนี้ มีความสามารถที่จะฝึกฝนตนให้พ้นทุกข์ได้ หรือว่าจะพัฒนาให้มีชีวิตที่เจริญงอกงามได้แต่ก็ไม่ทำเอาแต่ขอ วิงวอน พระพุทธศาสนาไม่สนับสนุนการไปวิงวอน การไปอ้อนวอนขอให้เทวดา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วย ไม่ใช่เพราะว่าไม่เชื่อว่ามีสิ่งเหล่านี้ ถ้าชาวพุทธศึกษาพระไตรปิฏก จะเชื่อว่ามี แต่ไม่คิดไม่ถือมาเป็นสรณะ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ประเสริฐ ถ้าเราศึกษาดีๆ จะพบว่ามนุษย์ถึงแม้ว่าจะเสียเปรียบเทวดาหลายอย่าง แต่ว่าบางอย่าง เรามีดีกว่า และถ้าเราพัฒนาสิ่งนี้ให้มากขึ้นก็จะอยู่เหนือเทวดา อยู่สูงกว่าเทวดา จนกระทั่งพรหมต้องมาเคารพกราบไหว้ คนเราเกิดมาแล้ว ถ้ารู้ว่าเรามีจุดแข็งอย่างไร ใช้จุดแข็งนั้นให้เป็นประโยชน์ ก็จะมีความเจริญมีความสุขได้ ถึงแม้ว่าจะไม่เชื่อเรื่องเทวดาเลยก็ตาม
เอาแค่ว่าเกิดมาแล้วเป็นคนตาบอดหูหนวก เป็นคนพิการ ขาดนู่นขาดนี่ ไม่เหมือนคนทั่วไป ไม่ต้องไปเปรียบกับเทวดาก็ได้ เปรียบกับคนทั่วไป คนบางคนเสียเปรียบ พิการ ตาบอด เดินไม่ได้ บางคนไม่มีแขนไม่มีขาเลย แต่ว่าถ้าเกิดเอาสิ่งที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์เต็มที่ ก็จะสามารถที่จะมีความสุขหรือมีความสำเร็จยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไป มีชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ชื่อโอโตทาเกะ ไม่มีแขนไม่มีขา เขียนหนังสือชื่อไม่ครบห้าก็คือมีแต่หัว ไม่มีสองแขน ไม่มีสองขา แต่ว่าเขาสามารถที่จะใช้สติปัญญา พัฒนาจนกระทั่งสามารถที่จะช่วยตนเองได้ ทำมาหากินได้ แล้วมีความสุขด้วย เขาบอก ผมเกิดมาพิการแต่มีความสุขและสนุกทุกวัน เขาไม่มัวมาเสียใจว่า ฉันสู้คนอื่นไม่ได้เลย ฉันไม่มีแขน ไม่มีขา อันนี้คนที่คิดแบบนี้ลืมไปว่าเรายังมีอย่างอื่นที่สามารถใช้การได้ดีเหมือนคนทั่วไป ยังมีตา มีจมูก มีหู ที่สำคัญคือยังมีสมอง ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไป ถ้าพัฒนาจนสามารถจะทำสิ่งวิเศษได้
มีนักวิทยาสาสตร์คนหนึ่ง ชื่อ สตีเฟน ฮอว์คิง คนนี้ดังมากอายุ 70 แล้ว พิการมาตั้งแต่อายุ 20 เพราะว่ากล้ามเนื้ออ่อนแรง หมอบอกว่าจะตายในปี 2 ปี แต่ปรากฏว่าแกอยู่ได้ถึง อายุ 70 เดินไม่ได้ พูดไม่ได้ เพราะว่าการพูดต้องใช้กล้ามเนื้อ เขียนหนังสือไม่ได้ แต่ว่ากระดิกนิ้วพอได้ ปรากฏว่าใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี โดยเฉพาะสมองเต็มที่ จนกระทั่งกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังมาก เขียนหนังสือออกมาตีพิมพ์หลายล้านเล่ม เป็นสิบล้านเล่มแล้วมั้ง เรียกว่าได้ทั้งชื่อเสียงและได้ทั้งเงิน
คนบางคนตาบอดแต่ว่าเขาสามารถจะพัฒนาความสามารถส่วนอื่น ตาบอดก็จริงแต่หูยังได้ยินก็พัฒนาหูจนสามารถที่จะได้ยินเสียงที่ละเอียดอ่อน เวลาเดินไม่ต้องใช้ไม้เท้า ไม่ต้องมีคนจุง เขาใช้วิธีเดาะลิ้น เดาะลิ้นให้มันเสียงดัง เวลาเดินไปไหนเดาะลิ้น เสียงของลิ้นที่กระทบกับปากมันจะเหมือนกับเป็นสัญญานเรดาร์ พอไปเจอเสา ถ้าหากว่ามีเสาอยู่ข้างหน้า มีรถอยู่ข้างหน้าเสียงจะสะท้อนกลับมาที่หูเขา หูเขาไวมาก ละเอียดมากจนกระทั่งรู้ว่า ข้างหน้ามันมีสิ่งกีดขวาง และไม่ใช่รู้ว่ามีสิ่งกีดขวางเท่านั้น บอกได้ว่าเป็นเสา เป็นรถ หรือเป็นคน โอยเก่งมากเลย แล้วทำกันได้แบบนี้หลายคน บางคนตาบอดขี่จักรยานได้ ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีใดเลย แค่เดาะลิ้น แล้วฟังเสียงที่มันสะท้อนกลับเหมือนค้างคาว ค้างคาวมันบินในที่มืดได้เพราะมันส่งสัญญาน พอสัญญานสะท้อนกลับเพราะไปชนกับอะไร มันรู้แล้วว่าข้างหน้ามีอะไรเป็นต้นไม้ เป็นสัตว์ หรือว่าเป็นเหยื่อ คนก็ทำอย่างนั้นได้
คนตาบอดเขาไม่มัวแต่เสียใจว่าฉันตาบอด ฉันทำอะไรไม่ได้ เขาสามารถพัฒนาความสามารถส่วนอื่นขึ้นมา เช่นพัฒนา หูให้ไวไม่น่าเชื่อว่าคนที่ตาบอดเดินโดยไม่มีไม้เท้าไม่ใช่เดินอย่างเดียววิ่งได้ หรือว่าสามารถที่จะขี่จักรยานได้ คนพิการบางคนอย่างอาจารย์กำพลมือไม้พึ่งพาอะไรไม่ค่อยได้ ขาพึ่งพาอะไรไม่ได้ แต่ว่ามีหัว มีสมอง มีใจสามารถจะพัฒนาจนกระทั่ง ลาออกจากความทุกข์ได้ กายพิการแต่ใจไม่พิการด้วย คนเราไม่ว่าจะเกิดมามีอะไรมีเท่าไร แม้ว่าจะขาดโน่นขาดนี่ แต่สิ่งที่มีใช้ให้เต็มที่ มันจะสามารถจะพัฒนาได้จนสุดยอดเหมือนกัน มีคนเขาเปรียบเทียบไว้ดีว่า
ชีวิตคนเราเหมือนกับการจั่วไพ่ บางทีจั่วไพ่ได้ใบไม่ค่อยดีเท่าไร ไม่มี คิง ไม่มีแหม่ม ไม่มีแจ๊ค ได้แต่สอง ได้แต่สาม แต่ว่าจะชนะหรือแพ้มันไม่ได้อยู่ที่ว่าจะจั่วได้ไพ่อะไร แต่อยู่ที่ว่าจะเล่นไพ่ยังไงมากกว่า บางคนเกิดมาจน เกิดมาพิการก็เหมือนกับได้ไพ่ไม่ดี แต่ว่าถ้าหากว่าไพ่ที่มีใช้ให้มันดี ใช้ให้มันเป็นแล้วใช้ปัญญา ก็สามารถจะชนะคนอื่นได้ คนที่พิการขาดโน่นขาดนี่ เกิดมาจน ไม่มีพ่อมีแม่หรือเกิดมาแล้วเจ็บป่วย หรือว่าเกิดมาไม่เจ็บป่วยแต่มาเจ็บป่วยเอาตอนหลังๆ ไม่ใช่ว่าชีวิตมันจะย่ำแย่ เราจะขาดไปกี่อย่างก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่เรามีอยู่ ใช้ให้มันเกิดประโยชน์เต็มที่ โดยเฉพาะสมองของเรา จิตใจของเรา เราก็จะสามารถประสบความสุขได้ ประสบความสำเร็จในทางธรรม หรือทางโลกก็ได้
มีเด็กคนหนึ่งอ่านหนังสือไม่ค่อยได้ เพราะเขามีปัญหาทางสมอง เรียนหนังสือก็สอบตก แต่ว่าแม่ก็ดี แม่ไม่ย่อท้อ ก็พยายามให้เขาไปเอาดีทางอื่น เขาชอบทำครัว สุดท้ายเขากลายเป็นพ่อครัวที่มีชื่อเสียงมาก เป็นพ่อครัวที่ร่ำรวย รวยกว่าเพื่อนที่จบด็อกเตอร์ แม้สมองดี ได้เป็นศาตราจารย์ แต่ว่าไม่รวยเท่ากับพ่อครัวคนนี้ ทั้งที่อ่านหนังสือไม่ค่อยได้ เขาว่าอ่านหนังสือจบเล่มครั้งแรกก็ตอนอายุ 38 ถึงแม้อ่านหนังสือไม่ได้ แต่เขาทำครัวเก่ง อีกคนหนึ่งก็เป็นคนที่สมาธิสั้น เรียนหนังสือก็ไม่ค่อยได้เลย แต่ว่าก็ไปเอาดีทางว่ายน้ำ ว่ายทุกวันฝึกทุกวัน จนกระทั่งกลายเป็นนักว่ายน้ำที่ได้เหรียญทองมากที่สุดในโลก คงเคยได้ยิน มาร์ค เฟลท์ เป็นชาวอเมริกัน ได้เหรียญทองมาน่าจะ 18 เหรียญ แต่เอาดีไม่ได้ทางเรียนหนังสือ คนเราไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม บกพร่องในเรื่องใดก็ตาม ถ้าเราเอาสิ่งที่เรามีอยู่ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ มันก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้หรือว่ามีความสุขได้ ไม่ใช่สิ่งที่มีเท่านั้น สิ่งที่เจอด้วย เจออะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเจอสิ่งที่แย่ แต่ว่าใช้สิ่งเหล่านั้นให้มันเกิดประโยชน์
หลวงพ่อประสิทธ์ ถาวโร ท่านเคยติดไปติดคุกข้อหาฆ่าคนตาย คนที่ตายก็คือเมียท่าน พอรู้ว่าเมียจะคิดร้ายก็โกรธแทงเมียตาย ติดคุก ช่วงที่อยู่ในคุกเกิดสำนึกผิด หันมาสนใจธรรมะ ศึกษาธรรมในระหว่างที่อยู่ในคุก แล้วก็ปฏิบัติธรรมจนกระทั่งได้พบกับ ได้มีความสามารถทางจิตสูงมาก ระหว่างที่อยู่ในคุก อันนี้เรียกว่าถึงแม้จะผิดพลาดจนติดคุก แต่ว่าก็ไม่มัวแต่ทุกข์ระทมไปคิดว่าคุกคือนรก ก็ใช้คุกทำให้เป็นวัดเสียเลย ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรม
ในสมัยพุทธกาล มีเสนาบางคนติดคุกเพราะว่าถูกแกล้ง ปฏิบัติธรรมในคุกจนได้เป็นโสดาบัน คนเราไม่ว่าเจออะไรก็ใช้ประโยชน์ได้ทั้งนั้น หลวงพ่อคำเขียนเคยบอกไว้ว่า นักภาวนาก็คือนักฉวยโอกาส ฉวยโอกาสทุกอย่าง ทุกเวลา ทุกสถานที่ เพื่อการฝึกฝนพัฒนาตน ไม่ใช่การฉวยโอกาสเพื่อ กอบโกย อันนั้นไม่ใช่นักภาวนา คนเราฉวยโอกาสได้หลายแบบ ฉวยโอกาสกอบโกยอันนั้นก็มีนรกเป็นที่หมายแต่ว่าถ้าฉวยโอกาสเพื่อพัฒนาตน ลด ละ ขัดเกลากิเลส เติมเพิ่มความรู้สึกตัวให้มากขึ้นมากขึ้น อันนี้ก็สามารถจะเจริญงอกงามในทางธรรมได้จนกระทั่งสามารถจะพ้นทุกข์ได้ อันนี้เป็นวิสัยของชาวพุทธ ก็คือว่าเราเป็นอะไรก็เป็นให้ดีที่สุด เป็นมนุษย์ก็เป็นให้ดีที่สุด ถ้าเป็นมนุษย์จนดีที่สุดเทวดา พรหม ก็นับถือ เป็นคนพิการ เป็นคนขาด ขาดโอกาสแต่ว่าเราก็ใช้สิ่งที่เรามีให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เราก็จะสามารถบรรลุถึงความใฝ่ฝันหรือความมุ่งมั่นปรารถนาได้เหมือนกัน ไม่ต้องวิงวอนร้องขอ เป็นมนุษย์ก็ไม่วิงวอนร้องขอเทวดา เป็นคนยากคนจนก็ไม่วิงวอนร้องขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่เราพึ่งความเพียรของตัว จะเป็นพระพิฆเนศ จะเป็นพระพรหม จะเป็นพระอินทร์ก็ต่างคนต่างอยู่ไปถือว่าเป็นเพื่อนร่วมสังสารวัฎต่างมีความเมตตากรุณาต่อกัน อันนี้เป็นท่าทีของชาวพุทธ ไม่วิงวอน ไม่ร้องขอ แต่ถือว่าเป็นเพื่อนมนุษย์เป็นเพื่อนร่วมสังสารวัฏ ทำบุญก็อุทิศส่วนกุศลให้อย่างทำวัตรตอนเช้าเราก็ทำ มีการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ เทวดาก็ให้ สัตว์ทั้งหลายในสากลโลกก็ให้หมดแต่ว่าไม่พึ่งพาอาศัย ไม่ร้องขอ ไม่วิงวอน แต่เราจะทำความเพียรของเรา ใช้สิ่งที่เรามีให้เกิดประโยชน์เต็มที่แล้วก็เจออะไรก็ไม่บ่นไม่โวยวายว่าทำไมต้องเจออย่างนี้ ตั้งสติแล้วก็ทำ ใช้มันให้เกิดประโยชน์ให้เกิดคุณค่าเอามาเป็นอุปกรณ์ ในการปฏิบัติธรรมหรืออย่างที่หลวงพ่อบอกว่าแม้ถูกด่าก็เห็นสัจธรรมได้ เวลาคนเขาด่าเรา เขากำลังแสดงสัจธรรมให้เราเห็น เรื่องโลกธรรม 8 ต้องฉลาด มีอะไรเจออะไรต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางธรรมให้เต็มที่เลยไม่มัวแต่เสียใจ ไม่มัวโวยวาย ไม่มัวกลุ้มอกกลุ้มใจ เอาละพอสมควรแก่เวลาก็เตรียม