แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ที่นี่เราเริ่มต้นเช้าวันใหม่เร็วกว่าที่อื่น ตีสามครึ่งตื่น ตีสี่ครึ่งทำวัตร เราก็เรียกว่าตื่นกัน ทำกิจส่วนตัวบ้าง ทำกิจวัตรร่วมกันด้วย การที่เราได้มาตื่นเช้ามืด มันก็ได้เห็น ได้เรียนรู้หลายอย่าง ตื่นแต่เช้าก็มีข้อดีหลายอย่าง ความสงบสงัดมันก็ให้เราได้น้อมซึมซับรับเอาความสงบมาไว้ที่ใจ ทำให้ใจเราก็พลอยสงบได้ง่าย ใช้โอกาสนี้ในการเจริญสติทำกรรมฐาน จิตใจเราก็จะเป็นสมาธิได้ง่ายเพราะว่าสิ่งที่จะดึงจิตให้ส่งออกนอกตัว สิ่งที่จะกระตุ้้นเร้าให้ใจเรากระเพื่อมนี้น้อยกว่าตอนกลางวัน บางทีพอถึงตอนเช้า เราก็มีกิจต่อทำโน่นทำนี่ เช่น ถ้าเป็นฆราวาสก็ทำครัว พระก็ไปบิณฑบาต แต่ว่าช่วงเช้ามืดนี้ เราก็ไม่มีกิจอะไรมาก กิจส่วนรวมก็คือการนั่งสวดมนต์ ฟังธรรม
การที่เราตื่นเช้ามืดนี้ก็มีข้อดีอย่างหนึ่ง คือ เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลง จากที่มันมืดสนิทแล้วค่อยแปรเปลี่ยนเป็นความสว่างรำไร เสร็จแล้วก็เป็นความสว่างโล่ แจ่มแจ้ง นี้มันบอกอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับคนเรา มันบอกแม้กระทั่งว่าความมืด เปรียบเทียบนั้นได้กับความทุกข์ ความมืดมนของชีวิต มันก็อยู่ได้ไม่นาน ความมืดมนอลกาลที่มันครอบงำชีวิตเรา ความทุกข์ที่มันเกิดขึ้นกับตัวเรา มันไม่ได้ยั่งยืนอะไรเลย ไม่ช้าก็เร็ว มันก็ต้องแปรเปลี่ยนไป ความมืดในที่สุดมันก็ต้องหลีกทางให้ความสว่าง เราได้เคยคิดแบบนี้บ้างมั้ย บางทีเวลามีความมืดมนเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา มีความทุกข์ เราก็จมอยู่กะมัน และเราก็คิดว่ามันจะอยู่กับเราไปตลอด ถึงแม้ว่าไม่ตลอดการณ์ก็ตลอดชีวิต แต่ไม่มีทุกข์ไหนที่จะอยู่ยั่งยืนเหมือนความมืด สุดท้ายก็กลายเป็นความสว่าง ความมืดมนอลการ ในที่สุดก็ต้องหลีกทางให้กับความแช่มชื่น ความสดใส ความเบิกบาน ลองคิดแบบนี้บ้าง มันจะทำให้เรา สามารถที่จะหลุดออกมาจากความทุกข์ ที่จริงไม่ต้องรอให้ความทุกข์หรือเหตุร้ายมันผ่านไป เราก็สามารถที่จะมีจิตใจที่ปกติได้ มันก็เหมือนกับขณะนี้ ความมืดอยู่รอบตัวเรา แต่เราก็ตื่นขึ้นมา มันไม่ใช่แปลว่า ทุกอย่างรอบตัวเรามืด เราจะต้องสลบไสลหรือหลับไหลตามไปด้วย ข้างนอกมืด แต่ว่าในศาลานี้หรือในจิตใจเรา มันตื่น มันแปลว่าอะไร มันแปลว่า แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา มันจะมืดมน หม่นหมอง แต่ไม่ได้แปลว่า ใจเราจะหม่นหมองตามไปด้วย ใจเราก็สามารถจะเป็นปกติหรือเป็นสุขได้ด้วยซ้ำ อย่างที่เราสวดเมื่อสักครู่ เป็นธรรมะล้วนๆเลย
ที่บอกเราให้แง่คิดกับเราหลายอย่าง คนเราเกิดมาก็เป็นทุกข์ แล้วก็มีความแก่ ความเจ็บ ความป่วย ก่อนที่จะตายก็ต้องประสบกับความพลัดพราก สิ่งเหล่านี้ก็คือเหตุที่ไม่พึงประสงค์ ที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ประการแรกคือว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันก็อยู่กับเราไม่นาน มันก็ต้องผ่านไปเหมือนกับความมืดที่ต้องหลีกทางให้กับความสว่าง และขณะที่มันยังอยู่ ความมืดยังอยู่รายล้อมตัวเรา แต่เราก็ยังตื่นได้ ไม่ว่าจะประสบเหตุ ความพลัดพราก ความเจ็บ ความสูญเสีย ความป่วย นี่คือเหตุการณ์หรือสถานการณ์ แต่ใจเราก็เป็นปกติได้ ป่วยก็ป่วยแต่กาย ใจไม่ทุกข์ ทำได้ เสียของแต่ว่าใจไม่เสีย ทำได้ สุขหรือทุกข์ของคนเรามันไม่ได้ขึ้นกับเหตุการณ์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว คนที่เจ็บป่วยแต่ว่าเค้ามีความสุข เค้าสามารถยิ้มได้ เพราะว่าเค้าสามารถรักษาใจให้เป็นปกติหรือว่าเค้าวางใจถูก มีคนหนึ่ง เป็นมะเร็ง เป็นตั้งแต่อายุยังสามสิบกว่า จะพูดให้เป็นข้อคิดไว้ดีบอกว่า มะเร็ง ไม่ได้ทำให้รอยยิ้มของคุณหายไป ความทุกข์ใจต่างหากที่มันทำและความทุกข์ใจเกิดขึ้นได้จากใจที่ไม่ยอมรับ ใจที่ไม่ยอมรับโรคมะเร็ง เธอพูดว่า ความจริงบางครั้งก็โหดร้าย แต่การไม่ยอมรับความจริง โหดร้ายกว่า ความจริงที่โหดร้ายก็อาจจะหมายถึง ความเจ็บปวด ความพลัดพราก ก็คือมีเหตุการณ์ร้ายหรือสถานการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นกะเรา บางครั้งก็เกิดขึ้น มันไม่ใช่ว่า มีแต่ความสุข ความสมหวัง ความสำเร็จ ความเจริญ ความเฟื่องฟูอย่างเดียว อันนั้นก็เป็นความจริงเพียงส่วนเดียวของชีวิต ความจริงอีกส่วนหนึ่งก็คือ ความไม่สมหวัง ความล้มเหลว ความพลัดพราก ความเจ็บ ความป่วย นี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นความจริงอันหนึ่ง แต่ความจริงที่ว่า แม้มันจะดูโหดร้าย แต่ว่าการไม่ยอมรับความจริงต่างหากที่โหดร้ายกว่า เพราะมันทำให้ทุกข์ทั้งวันทั้งคืน พอเธอยอมรับความจริงได้ว่า ฉันเป็นมะเร็งมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ปรากฏว่า ความทุกข์ใจที่ทำให้เหวี่ยง ทำให้วีน ทำให้อาวาดใส่หมอ ใส่พยาบาล ใส่พ่อแม่ลดลงทุเลาเบาบาง จากคนที่เจ้าอารมณ์ก็กลายเป็นคนที่ใจเย็นขึ้น สงบลง โรคก็ไม่ได้หายแถมลุกลามด้วยซ้ำ แต่ว่าพอวางใจถูก ทำใจเย็น ความทุกข์ใจก็หายไป ยิ้มได้ แม้จะเป็นมะเร็งก็ยิ้มได้ แม้ความตายจะรออยู่ข้างหน้าเราก็ยิ้มได้
อันนี้ก็เป็นในพระพุทธศาสนาท่านเปรียบว่าคนที่จมอยู่ในทุกข์ เหมือนคนที่หลับก็คืออยู่ในความหลง จมอยู่ในอารมณ์ คนเราไม่ได้แปลว่า เมื่อมืดแล้วมันต้องหลับใหลตลอดเวลา แม้ว่ามืด แต่ว่าเราตื่น รู้สึกตัว ความมืดทำอะไรไม่ได้ แม้ว่าเหตุร้ายเกิดขึ้นกับเราแต่ว่าใจไม่ทุกข์ เราทำได้ให้ใจไม่ทุกข์ ถ้าเรามีความรู้สึกตัว วางใจถูก คนเราทุกข์ เพราะวางใจผิด เคยมีโยมคนหนึ่ง ร่ำรวยทำธุรกิจก็จับอะไรก็ประสบความสำเร็จ เธอมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เรียกว่าร่ำรวย แต่แม้จะมีเงินมีทองมากมายเจ็ดสิบกว่าแล้วก็ยังไม่หยุด เธอยังทุ่มเททำงานจนลูกๆ เป็นห่วง แล้วสุดท้ายเธอก็เป็นโรคพาร์คินสัน โรคพาร์คินสัน เป็นโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อระบบประสาท พูดไม่ค่อยชัด เดินไม่สะดวก ต้องนั่งรถเข็นมาที่วัด เธอก็มีความทุกข์ใจมาก มีประโยคหนึ่งเธอพูดว่า เธอทำผิดอะไรถึงต้องมาเจอแบบนี้ อาตมาก็ตอบว่าทำผิด ทำผิดแน่ ผิดที่ว่า ไม่ใช่เพราะว่าเธอไปทำชั่วทำกรรมอะไรหรอก ผิดตรงที่ว่า ตอนที่ร่างกายมันเริ่มส่งสัญญาณว่าฉันเหนื่อยแล้ว ฉันอยากพักผ่อน เธอไม่ฟัง เธอก็ทำงานหามรุ่งหามค่ำทั้งที่อายุก็มากแล้ว ร่างกายมันไม่เหมือนก่อน ร่างกายมันส่งสัญญาณหลายครั้ง เธอก็ไม่ฟัง บางครั้งสัญญาณก็ออกมาในรูปของความเจ็บความป่วยเล็กๆน้อยๆเธอก็ยังไม่หยุดเรียกว่ายังฝืนสังขาร ยังทรมานสังขาร สุดท้ายร่างกายมันทนไม่ไหว มันก็เลยป่วยหนักเลยคราวนี้ เป็นพาร์คินสันเลย
ผิดข้อที่หนึ่ง ก็คือว่าไม่ฟัง ไม่ฟังสัญญาณ ไม่ฟังเสียงร้อง เสียงบ่น เสียงอุทรณ์ของร่างกายหรือเสียงเตือน มันเตือนแล้วแต่ไม่ฟัง ผิดข้อที่สองคือว่า พอร่างกายป่วยเนื่องจากไปวางใจไม่ถูก ก็เลยทุกข์ใจด้วย อันนี้เรียกว่ายึดติดถือมั่นว่าร่างกายมันต้องไม่เจ็บไม่ป่วยร่างกายมันต้องเหมือนเดิม ร่างกายตอนสามสิบเป็นอย่างไรมาถึงวัยหกสิบเจ็ดสิบมันต้องเป็นอย่างนี้ อันนี้เรียกว่ายึดติดถือมั่นในสิ่งที่มันสวนทางกับความจริง ความจริงคืออะไร ความจริงคืออะไรๆ มันก็ไม่เที่ยง ร่างกายมันก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องป่วย ความเจ็บป่วยมันเป็นธรรมดา เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะหลีกหนีความเจ็บไข้เป็นไปไม่ได้ นี่คือความจริงที่ไม่มีใครหนีพ้น กระแสน้ำมันไม่เคยอยู่นิ่ง มันก็ไหล ไปทางไหนก็แล้วแต่ แต่มันไม่เคยอยู่นิ่ง ร่างกายก็เหมือนกัน มันไม่เคยแน่นิ่งหยุดนิ่ง จากสาวก็เป็นแก่ จากสุขภาพดีก็เป็นเจ็บป่วย
ถ้ายอมรับความจริงนี้ได้ ใจไม่ยึดติดไม่คิดสวนทางกับความเป็นจริง แม้ร่างกายป่วย แต่ใจก็ไม่ทุกข์ ก็ยังเป็นปกติสุขได้ แต่นี่แกวางใจผิด ไปยึดว่าร่างกายต้องเป็นเหมือนเดิม ต้องไม่เจ็บ ไม่ป่วย เคยมีสุขภาพดีอย่างไร เคยพูดได้ เคยทำอะไรได้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อันนี้เรียกว่าวางใจผิด มันเป็นทุกข์ เมื่อร่างกายไม่เป็นไปอย่างใจ ร่างกายนี้มันเป็นไปตามความจริง มันเป็นไปตามสัจธรรม ไม่ได้เป็นไปตามใจหวังของเรา ไม่ใช่เฉพาะร่างกาย สิ่งของ คนรัก ผู้คนทั้งหลายโลกรอบตัวมันเป็นไปตามสัจธรรม คือ แปรปลี่ยนเลื่อนไหลเป็นนิจ มีแล้วก็หมด เจอแล้วก็จาก พบแล้วก็พราก นี่เป็นธรรมดา แต่พอเราไปยึดว่ามันต้องไม่หมด มันต้องไม่มีความพลัดพราก ต้องอยู่กับเราไปเรื่อยๆ อันนี้เรียกว่า วางใจผิด
และนี่คือเหตุที่ทำให้คนนี้ แกเป็นทุกข์ ฉันทำผิดอะไรจึงต้องมาเป็นอย่างนี้ ก็เพราะไม่ฟังเสียงของร่างกายเตือนแล้วเตือนเล่ามาหลายสิบปีแล้ว แต่จริง ๆการเป็นพาร์คินสันก็เป็นการเตือนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่ฟังก็อาจจะถึงกับเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตเลย หลายคนเป็นถึงขนาดนี้ก็ไม่รู้ว่าร่างกายมันเตือน ไม่ฟัง ไม่ฟังเสียงเพราะว่าอาจจะใจมันจดจ่ออยู่กับความสำเร็จ เงินทอง อยากได้ให้มากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนก็ผิดพลาดเพราะไม่ฟังเสียงเตือนของร่างกาย แถมยังไปยึดติดถือมั่นกับสิ่งที่มันไม่มีวันเที่ยง ไม่มีวันที่จะถาวร นี้ถ้าวางใจถูกนี่ก็จะเห็นความจริงของชีวิตว่าอะไรๆก็ไม่เที่ยง ก็ปล่อยวาง ถึงเวลาร่างกายมันป่วย ถึงเวลาสูญเสียคนรัก ของรักก็ทำใจได้ อันนี้เราวางใจถูก อันที่จริง คุณยายคนนี้ แกรู้สึกว่าชีวิตแกโชคร้าย ที่จริงแกไม่ได้โชคร้ายเลย ถามว่าสามียังอยู่มั้ย คุณยายตอบยังอยู่, ลูกน้องยังอยู่มั้ย คุณยายตอบยังอยู่, ลูกแต่คนก็เลี้ยงตัวได้ เป็นหมอสองคน เป็นนายกเทศมนตรี เป็นพ่อค้าอีกหนึ่งคน ประสบความสำเร็จทั้งนั้น ได้ไปเที่ยวต่างประเทศอย่างที่เคยไป แกบอกว่าที่อยากไป ได้ไปหมดแล้ว ถามว่าตายังดีมั้ย คุณยายตอบว่าดี, หูเป็นไง คุณยายตอบว่าใช้ได้ มีกินมีใช้ เหลือเฟือ ก็ดู ถ้ามีในบรรดาเช็คลิสต์สิบอย่าง แกมีดีอยู่เก้าอย่าง อย่างเดียวที่ไม่ดีก็คือเจ็บป่วย ถ้าสอบไล่ แกก็ได้เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าได้เก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วยังคิดว่าฉันโชคร้ายอันนี้ก็แย่
คนเราเวลาสอบได้เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ แปดสิบเปอร์เซ็นต์ ก็เก่ง นี่ได้เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ แล้วจะบ่นโวยวายไปทำไม ควรพอใจกะชีวิตได้แล้ว เพราะชีวิตเรามันไม่มีทางที่จะเพอร์เฟค กี่คนที่จะสอบแล้วได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม หาได้ยาก งั้นก็ควรพอใจกะชีวิต อันนี้เพราะเขามองไม่เป็นด้วย มองเห็นแต่ลบ ไม่มองบวก สุดท้ายที่ความทุกข์ใจของแกเป็นเพราะวางใจผิด มองไม่ถูก ถ้าวางใจถูก มองให้เป็น จิตมันก็จะกลับมาเป็นปกติได้ แม้เหตุร้ายยังคงอยู่ แม้ความสูญเสียจะไม่กลับคืน แม้ร่างกายก็ยังเจ็บปวดอยู่ แต่ว่าใจไม่ทุกข์ ใจเป็นปกติ
อันนี้เรียกว่า ตื่นแม้รอบตัวจะมืด ไม่ได้หลับใหลไปตามอิทธิพลของความมืดที่อยู่รอบตัว เราทำได้ คนเราทำได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา ใจก็เป็นสุขได้ แม้แต่คนที่ความตายใกล้เข้ามา ความตายนี่มันเป็นที่สุดของความทุกข์ทั้งหลาย พลัดพราก สูญเสียอะไรมันก็ไม่ร้ายเท่ากับความตาย เพราะว่าความตายนี้คือความสูญเสียทุกอย่าง แต่ว่าใจก็ไม่ทุกข์ อันนี้ก็ทำได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้มีปัญญาแม้ประสบทุกข์ก็ยังหาสุขพบ หาสุขพบ พบที่ไหน อย่างที่พบได้ก็คือที่ใจเรา หาสุขพบที่ใจ เหตุการณ์หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้ น้ำท่วมมันก็ท่วมเอาข้าวของทรัพย์สินเสียหายไปหมดแล้ว แต่ว่าสิ่งที่เราเปลี่ยนได้คือใจ ใจที่เคยเศร้าโศก ใจที่เคยคร่ำครวญ ใจที่เคยซึมเศร้าเปลี่ยนให้กลายเป็นใจที่เป็นปกติ แช่มชื่น เบิกบานได้ โรคบางโรครักษาไม่หาย แต่ว่าใจดีขึ้นได้
ทั้งหมดนี้จะต้องเริ่มต้นจากการที่เราได้ตระหนักถึงความจริงในชีวิตแล้วก็ยอมรับว่านี่คือสิ่งที่เราหนีไม่พ้น เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะหลบพ้นแก่ไปไม่ได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะหลบพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ เรามีความตายเป็นธรรมดา จะหลบพ้นความตายไปไม่ได้ เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น มาเตือนใจย้ำตัวเองอยู่เสมอว่า นี่คือความจริงของชีวิต ความจริงชีวิตมันไม่ได้มีทุกข์เท่านั้น ความสุขก็เป็นอย่างหนึ่งของชีวิต ชีวิตมันก็ไม่ได้โหดร้ายไปเสียหมด มันก็มีความสุข ให้เราสัมผัสให้เราเก็บเกี่ยว แต่ว่าถ้าใจเราจมอยู่กะความทุกข์ เราจะไม่เห็นความสุขที่มันมีอยู่รอบตัว เพียงแค่ตระหนักว่า ความสุข ความทุกข์ที่มันเกิดขึ้นกับเราไม่นานก็ผ่านไป สักวันหนึ่งเราก็จะยิ้มได้ สักวันหนึ่งเราก็จะหัวเราะได้ อีกใจหนึ่งเถียงว่า ไม่จริงหรอก ใจต้องเศร้าไปตลอดชีวิต แกต้องร้องไห้ไปจนตาย แต่ก็ไม่มีใครที่เป็นอย่างนั้น เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะเริ่มยิ้มได้ ก็จะเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาเพราะเหตุการณ์ต่างๆก็คลี่คลายไป
ถ้ายังไม่คลี่คลายก็ยังมีความปกติสุขได้ ถ้าเราวางใจเป็น กลับมาเรียนรู้ดูใจของเรา ที่จริงความเศร้าที่มันครอบงำใจ มันไม่ใช่ว่ามันเที่ยง มันเปลี่ยนไปทุกวินาที มันเลื่อนหายไปใช้เวลาไม่นาน แต่เป็นเพราะเราเอาแต่คิดๆ คิดถึงเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว ความเศร้าดับไป พอเราคิดถึงมัน มันก็เกิดขึ้นใหม่ มันดับไปทุกขณะจิต แต่ว่ามันก็เกิดขึ้นมาแทนที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะเราหวนคิด นึกคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ทำให้เจ็บปวด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องอดีต คิดทุกทีมันก็โผล่มา ทุกทีความเศร้า มันก็เหมือนกับไฟ ไฟแต่เปลวๆ มันเป็นเปลวใหม่เสมอ เปลวเก่าดับไป เปลวใหม่เกิดขึ้น เป็นเพราะเราไปเติมเชื้อให้มัน เราเติมเชื้อให้มันอยู่เรื่อยๆ มันก็เลยลุกโพรงตลอดทั้งวันแทั้งคืน ไฟถ้าเราไม่เติมเชื้อให้มัน รับรองเลยมันก็ต้องดับไป ความเศร้า ถ้าเราไม่เติมเชื้อให้มัน มันก็ต้องดับไป มันไม่ได้ดับไปเป็นชั่วโมง มันดับไปในชั่วขณะจิต แต่พอเราคิดถึงความสูญเสีย คิดถึงเหตุร้ายมันก็พุ่งขึ้นมาใหม่ มันเป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกลายเป็นชั่วโมง กลายเป็นวัน กลายเป็นคืน กลายเป็นอาทิตย์ กลายเป็นเดือน จะพูดว่าเราไปปลุกให้มันพุ่งขึ้นมาก็ได้ ความทุกข์ ความทุกข์ใจ ความเศร้า อย่าต่อชีวิตให้มัน ถ้าไม่อยากทุกข์ก็อย่าไปต่อชีวิตให้มัน เวลาใจมันเผลอไปคิดถึงเหตุการณ์ที่เจ็บปวดในอดีตก็รู้ทัน ไม่ต้องไปกดข่มมัน ไม่ต้องไปห้ามคิด แค่รู้ทันมันเฉยๆ อย่าไปพยายามลืม
อะไรก็ตามที่เราไปพยายามลืม ไม่มีทางที่จะลืมได้ ที่เราลืมได้ส่วนใหญ่เพราะไม่ได้ตั้งใจลืม มันก็ลืมไปเอง แต่อะไรที่เราพยายามจะลืม ตั้งใจจะลืม มันไม่เคยจะลืมได้สำเร็จเลย ถ้าเราลองยกตัวอย่างที่เราตั้งใจลืมแล้วเราลืมได้ ถ้าเรายกตัวอย่างได้แสดงว่าเราไม่ลืมจริง อะไรก็ตามที่เราพยายามลืม เราลืมไม่สำเร็จ ที่เราลืมได้เพราะเราไม่ตั้งใจ เวลาเรานึกถึงความเศร้า ความเจ็บปวดเหตุร้ายในอดีต อย่าพยายามลืม แค่รู้ทันมันเฉยๆ รู้ทันมันไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความโกรธ ความเศร้า
เคยมีคนถามหลวงปู่ดุล อตุโล เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นรุ่นแรกๆ ถามว่าหลวงปู่ทำไงจะตัดความโกรธให้ขาดได้ ท่านบอกว่า ไม่มีใครตัดให้ขาดได้หรอกมีแต่รู้ทันมัน มันก็จะดับไปเอง อย่าไปกดข่มความโกรธ อย่าไปกดข่มความเศร้า อย่าไปพยายามลืมมัน แค่รู้ทัน เวลามันเผลอไปก็รู้ทัน อันนี้เรียกว่ามีสติ เวลามีความเศร้า เวลามีความหม่นหมองเกิดขึ้นก็ให้หมั่นรู้มันอยู่บ่อยๆรู้ว่ามันเกิดขึ้น มันจะครองจิตครองใจไม่ได้ มันจะครอบงำจิตใจเราไม่ได้ บางทีเหตุร้ายไม่ได้แปรเปลี่ยนไป แต่ใจเราก็เป็นปกติ หนี้สินก็ยังมีอยู่มากมาย แต่ว่าจิตใจก็ยังแจ่มใสและลองหมั่นมาทำความรู้สึกตัว หมั่นมารู้ทันใจไม่ว่าเมื่อไรที่มันคิดไปถึงเหตุร้ายในอดีตหรือนึกกังวลถึงอนาคตก็ดีหรือว่ารู้ทันเวลามันมีความหม่นหมอง เศร้า โกรธเกิดขึ้นในใจก็รู้ทัน มันก็จะดับไปเหมือนกับกองเพลิงที่เมื่อไม่มีเชื้อ ไม่มีฟืนเติมให้มัน มันก็ดับไปเอง อย่าไปเติมเชื้อ อย่าไปเติมฟืนให้มัน มันดับไปเอง มันจะไม่มีทางอยู่ได้นาน นี้การมาฝึกดูใจที่เรียกว่า เจริญสติ มันเป็นสิ่งสำคัญมากที่ทำให้เราเป็นปกติสุขได้และทำให้เราสามารถจะออกจากความมืดมิด ทำให้เราพบกับแสงสว่าง แม้ข้างนอกจะมืด แต่ใจมันสว่าง