แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลแห่งความสุข และก็เทศกาลนี้ก็กำลังจะมาถึงจุดสูงสุดในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ในเทศกาลนี้ ผู้คนก็นิยมที่จะอวยพรให้แก่กันและกัน เรียกว่าส่งความสุข เขียน สคส. สคส.ก็ย่อมาจาก ส่งความสุข มีคนหนึ่งเขาเขียน สคส. อวยพรเพื่อนไม่เหมือนใคร เขาบอกว่า “ขอให้เธอเห็นความสุข” เขาไม่ได้อวยพรขอให้เธอมีความสุข แต่ว่าอวยพรหรือว่าที่จริงให้แง่คิดมากกว่า ว่าขอให้เธอเห็นความสุข หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่าที่จริงเธอมีความสุขอยู่แล้ว สิ่งที่ควรทำเพิ่มก็คือให้เห็นความสุขนั้น คนส่วนใหญ่คิดว่าตัวเองยังไม่มีความสุขหรือไปคิดว่าความสุขเป็นสิ่งที่ต้องไปหาเอาจากข้างนอก แต่ที่จริงแล้ว แม้จะไม่มีใครมอบความสุขมาให้ ความสุขก็มีอยู่กับตัวเราอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะเห็นหรือเปล่า
ส่วนใหญ่ที่มีความทุกข์ มีความกลุ้มอกกลุ้มใจก็เพราะว่ามองไม่เห็นความสุขที่มีอยู่แล้วกับตัวเอง เช่น การที่เรายังมีตามองเห็น ยังมีหูที่ได้ยินเสียง ยังมีปากที่พูดได้ ยังมีมือเท้าที่สามารถจะเดินเหินหรือทำกิจการงานต่างๆได้ พาตัวไปไหนมาไหนได้มีอิสระ ก็น่าจะถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง เพราะถ้าเราลองนึกถึงตอนที่เราตาบอด หูหนวก เป็นใบ้ หรือว่าเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เดินเหินไปไหนมาไหนไม่ได้ เราจะรู้สึกทุกข์ทรมานและถึงตอนนั้นแหละ เราจะตระหนักได้ว่าการที่เรามีอวัยวะเป็นปกติ ร่างกายไม่เจ็บป่วยนั้นเป็นความสุขอย่างยิ่ง การที่เรากินอิ่ม นอนอุ่น ไม่รู้จักความหิวโหย เราเคยตระหนักหรือเปล่าว่านั่นก็คือความสุขอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นกับเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน การที่เรายังมีคนรักอยู่ใกล้ตัว ยังมีพ่อมีแม่ หรือยังมีลูกหลานที่อยู่รายรอบเรา อันนี้ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งเหมือนกัน เป็นความสุขที่ไม่ต้องไปหาจากไหน
เมื่อใดก็ตามที่เราสูญเสียคนที่เรารัก สูญเสียพ่อ สูญเสียแม่ สูญเสียสามีภรรยาหรือสูญเสียลูกหลาน ถึงตอนนั้นแหละที่เราจะตระหนักว่า หรือได้คิดว่าตอนที่คนเหล่านั้นอยู่กับเรานี่มันเป็นโชคอันประเสริฐ หลายคนมาได้คิดตอนที่เขาจากไปแล้ว หลายคนมาได้คิดตอนที่สุขภาพย่ำแย่ ตาบอด หูหนวก หรือว่าเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต นอนติดเตียง แต่ทำไมเราต้องมาสำนึกหรือระลึกได้เมื่อมันสายไปแล้ว ทำไมเราต้องมาระลึกได้เมื่อสูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว ทำไมเราไม่ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ ในขณะที่สิ่งทั้งปวงนี้ยังอยู่กับเรา ลองมองให้ดีเถอะ มันมีอีกหลายอย่างที่จัดได้ว่าให้ความสุขกับเรา ขอเพียงแต่เรามองเห็นเท่านั้นแหละ ความสุขมันไม่ได้อยู่นอกตัวเราเลย มันอยู่กับเราตลอดเวลา รวมทั้งความสุขที่มีอยู่แล้วในจิตใจของเราด้วย ถ้าเรามอง มองให้เห็น ก็จะเป็นสุขได้ไม่ยาก ถ้าเรามองเป็นก็จะเห็นความสุขได้ อยู่รอบตัวเราตลอดเวลาโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาอวยพรให้เราเลยก็ได้
ปัญหาของคนทุกวันนี้ก็คือว่า เขามองไม่เห็นความสุขที่เขามีอยู่แล้ว มองไม่เห็นสิ่งดีๆที่มีอยู่แล้วกับตัวหรืออยู่รอบตัว เขามองเห็นแต่สิ่งที่เขาไม่มี เมื่อใดก็ตามที่เรามองเห็นแต่สิ่งที่เราไม่มี เราก็จะทุกข์ เด็กซึ่งมีของเล่นเป็นร้อยชิ้น ทำไมเขาทุกข์ เพราะว่าเขาเห็นแต่ว่า เขายังไม่มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ไม่มีไอโฟน เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ หรือเหมือนเพื่อนบางคน เขามองไม่เห็นสิ่งที่เขามี เขามองเห็นแต่สิ่งที่เขาไม่มี และนี่แหละเป็นที่มาของความทุกข์ของผู้คน ก็เลยพยายามดิ้นรนที่จะแสวงหาอะไรต่ออะไรมามากมาย แต่พอได้มาแล้ว ดีใจสักพัก แทนที่จะชื่นชมสิ่งที่ตัวเองมีก็กลับมองไปเห็นสิ่งที่ยังไม่มีอีก เพราะฉะนั้นจริงๆแล้วนี่ ความสุขนั้นมันเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เพียงแค่เรามองเห็นสิ่งที่เรามี เห็นสิ่งดีๆที่เรามีอยู่ เราก็จะเป็นสุขได้ไม่ยาก
ในช่วงปีใหม่ที่จะมาถึง หลายคนก็ปรารถนาที่ได้มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ให้มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นมากมาย แต่ว่าเราแน่ใจได้อย่างไรว่า ถ้าได้สิ่งเหล่านั้นมาเราจะมีความสุข เพราะหลายคนแม้จะได้สิ่งดีๆ หรือว่ามีสิ่งดีๆเกิดขึ้น เขาก็ยังไม่มีความสุข อะไรที่ทำให้เขาไม่มีความสุข ก็เพราะการที่เขาไม่พอใจในสิ่งที่เขาได้มา คนเราถ้าหากว่าไม่มีความพอใจในสิ่งที่ได้มา ได้เท่าไหร่ๆก็ไม่มีความสุข เขาจะรู้สึกหรือเขาก็อาจจะคิดว่าตัวเองได้น้อยไป ได้โบนัสมาหนึ่งแสนหรือหนึ่งล้าน ก็ไม่ทำให้มีความสุขได้ ตราบใดที่รู้สึกว่ายังได้น้อยไป หรือว่ายังคิดว่าน่าจะได้มากกว่านี้ ทำไมถึงคิดแบบนั้น ก็เพราะเพื่อนเขาได้ เขาได้สองแสน เขาได้สองแสนห้า สามแสน หรือว่า สองล้าน สามล้าน ฉะนั้นจริงๆแล้ว สุขหรือทุกข์มันไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่มันอยู่ที่ว่าเรามองอย่างไรต่างหาก ได้มาเท่าไหร่แต่ถ้าใจไม่พอ ไม่รู้สึกพอก็ไม่มีความสุข หรือว่าได้มาเท่าไหร่ แต่แทนที่จะเห็นว่าตัวเองได้ กลับมองว่าตัวเองเสีย ก็ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ ผู้คนจำนวนมากเป็นอย่างนั้น
มีคนหนึ่งเขามาเล่าฟัง เขาเป็นอาสาสมัครรับโทรศัพท์สายด่วน หลายคนที่โทรมาก็มีความทุกข์ใจมากจนอยากจะฆ่าตัวตาย บางคนก็ป่วย ป่วยหนัก บางคนก็เป็นหนี้สินล้มละลาย บางคนก็อกหัก แต่มีอีกคนหนึ่ง เขารับโทรศัพท์ ฟังดูก็รู้ว่าเป็นนักธุรกิจใหญ่ แต่ก็ไม่เปิดเผยชื่อ ทำไมถึงรู้ว่าเขาเป็นนักธุรกิจใหญ่ ก็เพราะเขาบอกเขามีความทุกข์ ทุกข์เรื่องอะไร ทุกข์เรื่องธุรกิจ คุยไปคุยมาธุรกิจเขาไม่ได้ล้มละลาย ไม่ได้ขาดทุนด้วย มีกำไร มีกำไรถึงปีละห้าพันล้าน แต่เขากลุ้มใจมากเลย กลุ้มใจเพราะอะไร เพราะว่าปีก่อนมีกำไรหมื่นล้าน เขาไม่ได้คิดว่าเขาได้กำไรห้าพันล้าน เขาคิดว่าเขาเสียห้าพันล้าน พอคิดแบบนี้เข้ามันก็กลุ้มใจ ที่จริงไม่ต้องพูดถึงเงินก้อนใหญ่ๆขนาดนั้นก็ได้ เวลาเราไปฟังคำบรรยายและก็มีการแจกหนังสือ ตอนที่เราได้คนละเล่มๆเราก็ดีใจ แต่พอเรารู้ว่าบางคนได้สองเล่ม ที่เคยดีใจนี่เป็นไง เสียใจเลย ทำไมถึงเสียใจ เพราะเขาไม่ได้คิดว่าเขาได้ 1 เล่ม เขาคิดว่าเขายังไม่ได้อีก 1 เล่ม ถ้าเขาคิดว่าเขาได้ 1 เล่ม เขาก็จะดีใจเพราะว่าบางคนไม่ได้ แต่เขากลับมองว่าเขายังไม่ได้อีก 1 เล่ม เพราะเห็นว่าหลายคนได้ 2 เล่ม
อาตมาเคยไปบรรยายในที่หนึ่ง บรรยายเสร็จก็เอาหนังสือที่มีอยู่ซึ่งก็ไม่พอที่จะแจกให้ครบทุกคน ทีแรกก็เอามาปึ๊งหนึ่ง เป็นปึ๊งเล็กๆขนาดเท่าฝ่ามือ หลายคนก็มารับด้วยความดีใจ พอหมดปึ๊งนั้นแล้วก็เอาอีกปึ๊งหนึ่งมา คราวนี้หนังสือเล่มใหญ่ขนาดเท่าพ็อคเก็ตบุ๊ค ก็แจกจนหมด ปรากฎว่าคนบางคนทีได้เล่มเล็กชุดแรก หลายคนก็เสียใจ มีบางคนมาหาแล้วก็มาขอเปลี่ยนได้ไหม ขอเล่มใหญ่ ทำไมเขามาขอเปลี่ยนเล่มใหญ่ เพราะเขาไม่พอใจที่เขาได้เล่มเล็ก แทนที่เขาจะคิดว่า เออ ฉันโชคดี ฉันได้ คนอื่นเขาไม่ได้ เขากลับรู้สึกว่าพอเห็นคนอื่นเขาได้เล่มใหญ่แล้ว ที่เคยดีใจกลายเป็นความทุกข์ใจไปเลย ทุกข์ใจถึงขนาดที่ว่ามาขอเปลี่ยน มาเอาเล่มใหญ่ ทั้งที่ก็ยังไม่ได้อ่านเลย แล้วก็ไม่รู้ว่าเล่มใหญ่มันดีกว่าเล่มเล็กยังไง รู้แต่ว่ามันใหญ่กว่า อะไรทำให้เขามาขอเปลี่ยน ความไม่พอใจ ความทุกข์ อะไรทำให้เขารู้สึกทุกข์ ก็เพราะมีการเปรียบเทียบและเขารู้สึกว่าเขาได้น้อยไป น้อยไปนี่อาจจะไม่ใช่น้อยในเชิงปริมาณ แต่น้อยในเชิงคุณภาพหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ ถ้าเราได้อะไรมาก็ตามแต่ถ้าใจเราไม่รู้จักพอหรือว่าแทนที่จะมองว่าเราได้ กลับมองว่าเสีย ก็มีความทุกข์
ถ้าเราต้องการมีความสุข เพียงแค่เรารู้จักมองเห็นความสุขที่มีอยู่กับตัวนี่ข้อแรกและก็รู้จักพอใจในสิ่งที่เราได้ หรือว่ารู้จักมองบวกมากกว่ามองลบ ความสุขในปี 2558 ก็จะเกิดขึ้นกับเราได้ไม่ยากเลยและถ้าเรารูจักวางใจเป็น แม้ว่ามันจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับเรา เราก็ยังสามารถรักษาใจให้ปกติได้ เมื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่เราควรจะทำก็คือการยอมรับความจริง มันเกิดขึ้นแล้ว ป่วยการที่จะบ่น ตีโพยตีพาย โอดโอยหรือคร่ำครวญว่าทำไมต้องเป็นชั้น ทำไมต้องเกิดขึ้น ทำไมไม่เกิดกับคนอื่น ยิ่งเราโอดโอยแบบนี้ ยิ่งเราปฏิเสธผลักไสมัน เราก็ยิ่งเป็นทุกข์ เป็นการซ้ำเติมตัวเอง เช่น ถ้าเกิดว่าเราพบว่าตัวเองป่วย แทนที่เราจะยอมรับว่า เออ..ฉันป่วยละ กลับปฏิเสธไม่ยอมรับ โอดโอย ทำไมต้องเป็นชั้น ทำไมต้องเป็นชั้น เราก็ไม่ใช่ป่วยกายเท่านั้นหรอก ป่วยใจด้วย คนฉลาดในเมื่อเกิดอะไรเหตุร้ายขึ้นมา ก็ต้องไม่ซ้ำเติมตัวเอง แต่ว่าผู้คนจำนวนมากซ้ำเติมตัวเอง เวลาป่วยก็เลยไม่ได้ป่วยแต่กาย ใจก็ป่วยด้วย เวลาเงินหายก็ไม่ได้หายแต่เงิน ใจก็หาย สุขภาพก็เสียเพราะว่ากลุ้มใจจนไม่เป็นอันกินอันนอน กินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเงินถูกโกง สมบัติถูกขโมย เสร็จแล้วพอกลุ้มใจมากๆไม่มีสมาธิทำงาน งานก็เสีย แล้วพอหงุดหงิด คุมอารมณ์ไม่อยู่ก็ระบายอารมณ์ใส่คนรัก ใส่เพื่อน ใส่ลูกหลาน ใส่พ่อแม่ สัมพันธภาพก็เลยเสียไปด้วย อันนี้เรียกว่าซ้ำเติมตัวเอง
คนอื่น เขาขโมยได้อย่างมากก็แค่ขโมยเงิน แต่เขาไม่สามารถจะขโมยความสุขไปจากเราได้ เขาไม่สามารถจะทำให้เราเสียงานเสียการหรือเสียสุขภาพได้ แต่เพราะใจที่ตั้งไว้ไม่ถูกนั่นแหละ ที่ให้เกิดความเสียหายต่างๆตามมาอีกหลายด้าน แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักวางใจ แทนที่จะบ่นตีโพยตีพาย เราก็ยอมรับว่าเกิดขึ้นแล้ว ใจที่ไม่ผลักไสนี่ มันก็จะสามารถกลับมาเป็นปกติได้ ลองสังเกตุดู ว่าความทุกข์ ความทุกข์ใจมันก็เกิดขึ้นจากใจที่ปฏิเสธ ใจผลักไสสิ่งต่างๆไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ แม้แต่สิ่งเล็กน้อย ถ้าใจมันผลักไสแล้วก็เป็นทุกข์ หลายคนกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะว่าเป็นสิว ผิวตกกระ แต่บางคนทั้งที่เป็นมะเร็ง แต่ว่าเขาสามารถที่จะเป็นปกติได้ในจิตใจ ความแตกต่างอยู่ตรงไหน ความแตกต่างอยู่ที่ว่าอันหนึ่งยอมรับไม่ได้ แต่อีกอันหนึ่งเขายอมรับได้ แม้มะเร็งมันจะเป็นโรคร้าย แต่ถ้ายอมรับได้ใจก็เป็นปกติ มันก็ป่วยแต่กาย ใจก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร เมื่อเราสามารถยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ใจมันก็จะกลับมาเป็นปกติ
และยิ่งถ้าเราสามารถที่จะมองเห็นประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้นได้ หรือว่ารู้จักมองในแง่บวก มันก็ทำให้เราได้ประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้นแม้จะเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องร้าย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราแม้จะเป็นเรื่องร้าย มันมีประโยชน์กับเราทั้งนั้น ถ้ารู้จักมองหรือรู้จักใช้ มีเด็กคนหนึ่ง วัยรุ่น แกเป็นลูคีเมีย ตอนที่เป็นใหม่ๆก็ทุกข์ แต่ตอนหลังแกก็กลับมาเป็นปกติได้และแกก็บอกว่า โรคมะเร็งนี่มันนำสิ่งดีมาให้กับชีวิตแกหลายอย่าง เช่น มันทำให้แกได้มีโอกาสรู้จักพระพุทธศาสนาเพราะว่าพอป่วยแล้วก็มีคนเอาหนังสือธรรมะมาให้อ่าน ความกลัวตายก็คงมีส่วนทำให้หันมาสนใจธรรมะและก็ได้รู้จักกับพระพุทธศาสนามากขึ้น ข้อสองได้เห็นความรักอันบริสุทธิ์ของพ่อแม่ ตอนที่เป็นปกติธรรมดาก็อาจจะห่างเหินกับพ่อแม่ นอนหอพัก ไม่ได้ใกล้ชิดกัน แต่พอตัวเองป่วยแล้วพ่อแม่ก็เข้ามาดูแลใกล้ชิด เห็นความรักอันบริสุทธิ์ของพ่อแม่ ข้อสามทำให้เขาได้อ่านหนังสือมากขึ้น และก็ข้อที่สี่ทำให้เขาได้รู้จักคิดมากขึ้น เริ่มต้นจากการที่รู้จักหยุดคิด พอมาหยุดคิดแล้ว หยุดคิดในที่นี้ไม่ได้แปลว่าความคิดมันหยุด แต่หมายความว่าได้ตั้งหลักมาคิด ก็ทำให้ได้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เขาบอกถ้าเขาไม่เป็นมะเร็งก็คงเหมือนเด็กอายุ 21 ทั่วไป นอนหอพัก เข้านอนตีสาม ตื่นบ่ายสาม รอเพื่อนมาเรียก มาชวนไปกินเหล้า ใช้ชีวิตแบบประมาท ไม่สนใจคนรอบข้าง ไม่ระมัดระวังอะไรเลย อันนี้เขาเรียกว่าเขารู้จักเห็นประโยชน์จากเหตุร้ายที่เกิดขึ้นแล้วก็รู้จักใช้ประโยชน์จากมัน เพราะฉะนั้นถ้าเราวางใจแบบนี้ แม้ว่าจะมีเหตุไม่ดีเกิดขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเรา กับร่างกายของเรา กับงานการของเรา เราก็ยังได้กำไร นอกจากจะไม่ทุกข์แล้ว ก็รู้จักวางใจให้เป็นปกติได้ ไม่ผลักไส ไม่ปฏิเสธ ยอมรับมัน แล้วยังได้กำไรด้วย คือได้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดรู้จักถือเอาประโยชน์จากอิฏฐารมย์และอนิฏฐารมย์ พระพุทธเจ้าสรรเสริญผู้นั้นว่าเป็นบัณฑิต อิฏฐารมย์คือเหตุการณ์หรือ รูป รส กลิ่น เสียงที่น่าพอใจ อนิฏฐารมย์ก็คือเหตุการณ์ที่ไม่ดีหรือรูป รส กลิ่น เสียงที่ไม่น่าพอใจ รวมทั้งสัมผัสและธรรมารมย์ด้วย
ปกติหลายคนก็อยากจะให้มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับตัวเองในปีใหม่ที่จะมาถึง และก็รู้สึกหวั่นไหวถ้าเกิดมีการทำนายทายทักว่าปีหน้าจะมีเหตุไม่ดีเกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่ว่าในเรื่องการเรียน ธุรกิจ เรื่องสุขภาพหรือที่เกี่ยวกับคนรัก แต่ว่าถ้าเป็นชาวพุทธแล้ว จะไม่หวั่นไหว ไม่ใช่ไม่หวั่นไหวคำทายทัก แต่ว่ายังรวมถึงไม่หวั่นไหวเมื่อเหตุการณ์ที่ทำนายนั้น สมมติว่าเกิดขึ้นจริง เพราะรู้ดีว่าสุขหรือทุกข์ มันไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่อยู่ที่ว่าเราวางใจอย่างไร ใจเรามีสติ ใจเรามีปัญญา เรารู้จักมองแบบมีโยนิโสมนสิการหรือไม่ เพราะฉะนั้นแม้มีเหตุร้ายเกิดขึ้นแต่ว่าก็สามารถได้ประโยชน์จากมันได้ ชาวพุทธเราไม่กลัว ปีชงปีเชิง อาจจะมีจริงก็ได้ของพวกนี้ แต่ว่าที่ไม่จริงก็มีโอกาสเป็นไปได้เยอะเหมือนกัน แต่ถึงเป็นไปได้ก็ไม่หวั่นไหวเพราะว่ารู้จักรับมือกับมัน หาประโยชน์จากมัน เพราะว่าใจถ้าหากว่ามีธรรมะเป็นเครื่องรักษาแล้ว อะไรเกิดขึ้น แม้จะเป็นเรื่องร้ายก็สามารถที่จะทำให้กลายเป็นดีได้
หลวงพ่อคำเขียนท่านพูดว่า นักภาวนาคือผู้ที่รู้จักเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี เราอาจจะเปลี่ยนเหตุการณ์ไม่ได้ เหตุการณ์บางอย่างก็อาจจะเปลี่ยนได้ เช่นเจ็บป่วย เราก็สามารถที่จะบรรเทา ออกกำลังกายจนกระทั่งร่างกายกลับมาดีขึ้นมาใหม่ แต่เหตุร้ายบางอย่างมันก็ยังเปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้ แต่เราสามารถที่จะเปลี่ยนผล จากผลร้ายให้กลายเป็นดีได้ หรือว่าสามารถทำให้เกิดสิ่งดีๆขึ้นมา บางทีไม่ต้องทำให้มันเกิดหรอก เพียงแค่เห็นมันเกิดขึ้นมาก็พอแล้ว เพราะว่าสิ่งร้ายๆนี่มันก็มีข้อดีของมัน เพียงแต่เรามองไม่เห็นเท่านั้นแหละ แต่ถ้าเรารู้จักมอง เราก็จะไม่ทุกข์ไปกับเหตุการณ์เหล่านั้น หรือถ้าเราสามารถที่จะทำให้มันมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นหรือรู้จักใช้ประโยชน์ เช่น เจ็บป่วยก็ถือเป็นโอกาสหยุดงาน ถือเป็นโอกาสมาทำสมาธิ ถือเป็นโอกาสภาวนาเจริญสติ ถือเป็นโอกาสในการศึกษาธรรมะ อันนี้ก็เรียกว่าเราได้ประโยชน์จากเหตุการณ์
ชาวพุทธ เราจะรู้จักใช้ประโยชน์จากเหตุต่างๆ ที่จริงเหตุร้ายมันมีประโยชน์หลายอย่างมากมาย เช่น ฝึกใจเราให้เข้มแข็ง ทำให้มีความขันติความอดทน คนไปเดินธรรมยาตราที่เพิ่งผ่านไป อย่างหนึ่งที่จะได้แน่นอนคือความอดทน เพราะว่าความยากลำบากมันฝึกใจให้เข็มแข็งมากขึ้น แต่ว่าหลายคนได้มากกว่านั้น เพราะว่าถือโอกาสใช้ความลำบากเป็นเครื่องบีบคั้นให้ใจรู้จักเจริญสติสมาธิ เพราะว่ากายมันทุกข์แล้ว ถ้าปล่อยให้ใจทุกข์ด้วยนี่ก็แย่เข้าไปใหญ่ แล้วทำไงถึงให้ใจไม่ทุกข์ ก็ใช้สติใช้สมาธินั่นแหละ ในระหว่างที่เดินฝ่าเปลวแดด ในระหว่างที่เดินเหยียบบนหินคลุกที่คม หินลูกรังที่ทิ่มเท้า ก็ถือเป็นโอกาสเจริญสติไป กายป่วยใจไม่ป่วย กายปวดใจไม่ปวด เหตุร้ายมันยังสามารถเตือนให้เรารู้จักไม่ประมาท เงินหายก็สอนเราว่าเป็นเพราะเราประมาท เราเลินเล่อ ถือว่าที่เสียไปสี่ห้าร้อย สองสามพัน ถือเป็นการซื้อบทเรียนว่าอย่าประมาท อย่าเลินเล่อ แล้วคนที่เขาได้บทเรียนตรงนี้ มันอาจจะมีคุณค่าที่ทำให้เขาสามารถจะรักษาเงินหลายล้านเอาไว้ได้ เพราะว่าเขาไม่ประมาทแล้ว เพราะฉะนั้นเงินที่มากกว่านี้เขาก็ยังสามารถที่จะรักษาไว้ ก็ถือว่าได้กำไร ซื้อบทเรียนว่าอย่าประมาท อย่าเลินเล่อ เตือนใจอยู่เสมอ ก็ทำให้ไม่สูญเสียเงินหรือทรัพย์สินที่มากไปกว่านั้น ซึ่งอาจจะรวมถึงรถยนต์ด้วย เหตุร้ายมันก็ยังสามารถที่จะสอนธรรมะให้กับเรา สอนธรรมะในเรื่องความไม่เที่ยง ความไม่จีรัง หรือว่าสอนเรื่องว่าไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรที่จะให้ความสุขได้อย่างถาวร มันเจือไปด้วยทุกข์ แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะยึดมั่นว่าเป็นเราเป็นของเราได้ คือเข้าใจเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
หลายคนก็ได้เห็นว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย จากความเจ็บป่วย จากเหตุการณ์น้ำท่วมที่ทำให้สูญเสียทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมาก เสียทรัพย์แต่ว่าได้ธรรมะ อันนี้ถือว่าคุ้ม เพราะว่าธรรมะที่ได้นี่มันสามารถที่จะช่วยทำให้ใจไม่ทุกข์กับการสูญเสียที่ใหญ่หลวงกว่านั้นได้ เพราะฉะนั้นถ้าเรามีธรรมะที่ช่วยในการรักษาจิตใจหรือวางใจ เราก็จะไม่หวั่นไหวต่อเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นตามคำทำนายทายทักหรือว่าตามฤกษ์ผานาที กลับรู้จัก กลับพร้อมที่จะยอมรับ หรือว่าต้อนรับเพื่อใช้มันให้เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นคนที่มีปัญญา เขาจะไม่วิงวอนขอให้มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับชั้น เป็นโชคเป็นลาภ เป็นชื่อเสียงเกียรติยศ เป็นเงินทอง แต่ถ้าจะขอก็ขอให้มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับจิตใจหรือปรารถนาที่จะให้จิตใจมีคุณภาพที่ดีขึ้น เพราะว่าถ้าใจมีคุณภาพ อะไรเกิดขึ้นก็สามารถจะทำให้เป็นของดีหรือเกิดประโยชน์ได้
มีชาดกเรื่องหนึ่งน่าสนใจ ชาดกนี่ก็เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน สมัยที่เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ มีชาติหนึ่งที่พระองค์เป็นฤาษีบำเพ็ญตบะชื่อ กัณหา บำเพ็ญตบะทำความเพียรจนกระทั่งท้าวสักกะหรือพระอินทร์เกิดความเลื่อมใส แล้วก็เสด็จมาเพื่อประทานพรสี่ประการ ถ้ามีพระอินทร์มาประทานพรสี่ประการเราจะขออะไร ส่วนใหญ่ก็คงจะขอโชคลาภ ขอให้ร่ำรวย เหมือนกับที่หลายๆคนไปขอหลวงพ่อคูณ ไปขอศาลพระพรหม ขอให้ร่ำรวย ขอให้มีชื่อเสียง ขอให้มียศถาบรรดาศักดิ์ ขอให้มีบริษัท บริวาร หรือว่ามีคู่รักสมปรารถนา แต่กัณหาดาบสนี่ท่านขออะไร หนึ่ง ขอไม่โกรธ สอง ขออย่าได้มีโทสะ สาม ขออย่าได้มีโลภะ และสี่ ขออย่าได้มีศิษย์เสน่หา
ที่จริงสี่ข้อสรุปเป็นสองก็พอแล้วคือไม่โลภ ไม่โกรธ แต่ว่าเนื่องจากพระอินทร์ให้โอกาสสี่ประการ ท่านก็เลยขยายออกมาจากสองเป็นสี่ ซึ่งความหมายคล้ายกัน คือไม่โลภ-ไม่มีเสน่หา ไม่มีโทสะ-ไม่มีโกรธ ปรากฎว่าพระอินทร์ทำไง พระอินทร์บอกยอมแพ้ เพราะของแบบนี้ให้ไม่ได้ ต้องทำเอง แต่ว่ากัณหาฤาษีนี่ท่านฉลาด เพราะท่านรู้ว่าจะมีความอย่างแท้จริง ก็พราะจิตไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่ใช่เพราะว่ามีทรัพย์สิน มีบริษัท มีบริวารมาก มีสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้แปลว่าจะสุข หลายคนที่ครอบครองดินแดน มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่ว่าเวลาตายก็ตายด้วยความทุกข์ ไม่ใช่เพราะถูกยึดอำนาจ ไม่ใช่เพราะว่าถูกปลดขับไล่จากบัลลังก์ แต่เพราะรู้สึกว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการ
อย่างในอินเดียมีกษัตริย์องค์ชื่อ ออรังเซพ ออรังเซพนี่หลายคนอาจจะไม่รู้จัก แต่ว่าคงน่าจะรู้จักแต่พ่อเขามากกว่า พ่อเขานี่คือชาห์ชะฮัน ซึ่งเป็นคนสร้างทัชมาฮาล ทัชมาฮาลนี่เขาสร้างให้กับมุมตาซซึ่งเป็นมเหสีสุดที่รักและก็เป็นแม่ของออรังเซพ ออรังเซพนี่ก็ยึดอำนาจจากพ่อ ฆ่าพี่ซึ่งเป็นรัชทายาท แล้วก็เถลิงอำนาจเป็น เรียกว่าเป็นทรราช แผ่ดินแดนอย่างกว้างขวาง ดินแดนในสมัยของออรังเซพนี่กว้างขวางมาก ว่ากันว่าออรังเซพนี่ครอบครองดูแลประชากร ปกครองประชากรหนึ่งในสี่ของโลกในเวลานั้น จัดว่าเป็นคนที่รวยที่สุด รวยกว่าอังกฤษอีก เพราะว่ามีเหมืองเพชรมากมายที่ไปยึดได้ ออรังเซพนี่ก็มีทั้งอายุ วรรณะ สุขะ พละ เพราะตายตอนชรา ทั้งที่ฆ่าผู้คนไปมาก แต่ตอนตายนี่ออรังเซพก็พูดกับลูก บอกว่าฉันมาแล้วฉันก็ไปอย่างคนแปลกหน้า ฉันไม่รู้ว่าฉันคือใคร คำพูดแบบนี้มันสะท้อนถึงคนที่ไม่มีความสุข คนที่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่พบสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ มีทั้งเงิน มีทั้งทอง แต่ไม่มีความสุข เรื่องราวแบบนี้นี่มันมากมายนับไม่ถ้วน
คนที่ได้โชคได้ลาภแล้วแต่ว่าหาความสุขในจิตใจไม่พบ เพราะว่าใจเขายังเต็มไปด้วยความโลภ เต็มไปด้วยความหลง เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท แล้วจะพบความสุขได้อย่างไร ได้เท่าไหร่ก็ไม่พอ มีเท่าไหร่ก็ยังอยากได้อีก เพราะฉะนั้นที่กัณหาฤาษีนี่ ท่านบอกว่าถ้าจะขอก็ขอนี่แหละ ก็ถือว่าท่านฉลาดเพราะท่านรู้ว่าคนเราจะมีความสุขอย่างแท้จริงก็เมื่อใจไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ความไม่โกรธ ไม่โลภ นี่มันไม่มีใครทำให้ได้ พระอินทร์ก็ให้ไม่ได้ แล้วจะได้มายังไง ก็ต้องทำเอง ต้องฝึกฝนเอง เพราะฉะนั้นการภาวนาหรือการทำความเพียรเพื่อฝึกฝนจิตใจเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าอยากได้ชีวิตที่มีความสุขก็ต้องทำเอา ความสุขไม่มีใครให้ได้ ต้องรู้จักมองและก็รู้จักทำเอา แต่ทำเช่นนั้นได้ต้องมีความเพียร วิริยะ
ซึ่งอันนี้มันก็ไปสอดคล้องหรือไปสอดรับกับชาดกอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของดาบสที่ชื่อว่า อกิตติ ท่านนี้ก็มีคุณสมบัติหลายอย่างคล้ายกับกัณหาดาบส ก็คือว่าบำเพ็ญตบะจนกระทั่งท้าวสักกะนี่มาประทานพร ประทานพรสี่-ห้าประการ ท่านอกิตติก็พิจารณาสักพักแล้วก็บอกว่าขอห้าอย่างนี่แล้วกัน หนึ่ง ขออย่าได้พบคนพาล สอง ขออย่าได้สนทนา อย่าได้ฟังคนพาล สาม ขออย่าได้โอภาปราศรัยกับคนพาล สี่ อย่าได้ยินดีในการโอภาปราศรัยกับคนพาล ห้า อย่าได้สมาคมร่วมกัน ท่านไม่ได้ขออย่างอื่นเลย เพราะท่านรู้ว่าคนพาลนี่มันทำให้ชีวิตย่ำแย่ มงคลสูตร 38 ข้อแรกคือ อะเสวะนา จะพาลานัง การไม่คบคนพาล เป็นข้อแรกของการจะมีมงคลอันสูงสุดเลย ท่านก็เลยขอแบบนี้ เพราะว่าถ้าไม่ต้องเจอ ไม่เกี่ยวข้องกับคนพาลนี่ชีวิตท่านก็จะมีความสุขได้ไม่ยาก เสร็จแล้วท่านเปลี่ยนใจ ท่านบอกขอข้อเดียว อะไรล่ะ พระอินทร์ถาม ขอว่าท่านอย่าได้มาหาข้าพเจ้าอีกเลย เพราะว่าอะไร เพราะว่าถ้าท่านมาแล้วทำให้ข้าพเจ้าเกิดความหวังพึ่งพาท่าน อยากจะได้คำอำนวยพรจากท่าน ก็ทำให้ข้าพเจ้าประมาท ไม่ทำความเพียร ขอดี ขอว่าท่านอย่ามาเลย คือไม่เอาเลย อำนาจดลบันดาลหรือว่าทางลัด เพราะว่าจะทำให้ไม่รู้จักพึ่งตัวเอง ท่านเชื่อว่าอำนาจดลบันดาลหรืออิทธิฤทธิ์นี่ไม่ประเสริฐเท่ากับความเพียรพยายามของตัวเอง
อันนี้ก็สอดคล้องกับคติของชาวญี่ปุ่นเลย คนไทย เวลาอวยพรก็ขออวยพรว่าอะไร ขอให้โชคดี คนญี่ปุ่นอวยพรว่าอะไร กัมบัตเตะ (Ganbatte) ขอให้มีความเพียรพยายาม ขอให้ไม่ย่อท้อ คนไทยเราพึ่งโชค ถึงแม้ว่าอ้างตัวเป็นชาวพุทธ แต่คนญี่ปุ่นนี่ถึงแม้เขาจะไม่ได้เรียกตัวเองเป็นชาวพุทธ แต่ว่าเขาเชื่อในเรื่องของความเพียรมากกว่า ก็คล้ายๆกับอกิตติดาบส ขอพึ่งความเพียรของตัวเองดีกว่า ดีกว่าจะพึ่งอิทธิฤทธิ์หรือว่าอำนาจดลบันดาลของพระอินทร์ เรื่องโชคก็เป็นเรื่องของอำนาจดลบันดาลอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าปีใหม่นี่เราอยากจะได้พรอันประเสริฐ ก็พึงตระหนักว่ามันไม่มีพรใดประเสริฐเท่ากับธรรมะที่เราจะต้องสร้างขึ้นมาเอง พร แปลว่าสิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่ประเสริฐนี่ไม่ใช่ อายุ วรรณะ สุขะ พละ มันก็ประเสริฐแต่ไม่ใช่ประเสริฐที่สุด สิ่งที่ประเสริฐที่สุดก็คือธรรมะ ที่จะช่วยสร้าง ปรับปรุงคุณภาพจิต ให้มีสติ ให้มีปัญญา มีความไม่โลภ มีความไม่หลง ไม่โกรธ แล้วก็รู้จักมอง เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี อันนี้แหละ ที่ว่าในเทศกาลปีใหม่ถ้าเราปรารถนาที่จะได้รับพร ก็ขอให้ระลึกถึงพรอันนี้ว่ามันประเสริฐที่สุด เป็นพรที่เกิดขึ้นได้จากน้ำพักน้ำแรงของเรา ที่เกิดจากความเพียรของเรา อีกไม่กี่ชั่วโมง ปีเก่าก็จะสิ้นสุด ถึงตอนนั้นปี 2557 ก็จะกลายเป็นอดีตไป รวมทั้งเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในปีนี้ก็จะกลายเป็นอดีต สิ่งที่เป็นอดีต
พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่าควรมีท่าทีอย่างไร ท่านตรัสว่าบุคคลไม่ควรอาลัยในสิ่งที่ล่วงไปแล้ว หรือบุคคลไม่ควรตามคิดในสิ่งที่ล่วงไปแล้วด้วยอาลัย และไม่พึงพะวงในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นใน พ.ศ. นี้ หลายอย่างมันเป็นอดีตไปแล้วและหลายอย่างก็กำลังจะกลายเป็นอดีตในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า สิ่งที่เราควรทำคือปล่อยให้มันเป็นอดีตไป เป็นอดีตไปพร้อมกับปี 2557 แต่หลายคน ปล่อยให้มันเปลี่ยนไปแค่ตัวเลข ขึ้นปี 2558 แต่ว่าใจอาจจะยังอยู่กับปี 2557 หรืออาจจะถอยไปอยู่กับปี 2553 เพราะว่าไปหลงติด ติดตรึงอยู่กับเหตุการณ์ในอดีต และถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เปลี่ยนไปก็แค่การเปลี่ยนตัวเลขของศักราช แต่ว่าใจเราก็ยังติดอยู่กับอดีต ปีใหม่ที่จะมาถึง ก็ควรที่จะให้ใจของเรามองไปข้างหน้า เพื่อที่จะเตรียมพร้อมในการที่จะรับมือกับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้น แต่เราจะมองไปข้างหน้าไม่ได้เลยถ้าเกิดว่าใจเรายังไปติดข้องอยู่กับเหตุการณ์ในอดีต
เมื่อสมัยที่หลวงพ่อโตท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านเคยได้รับนิมนต์ให้ไปขึ้นธรรมาสน์คู่ท่านเจ้าคุณองค์หนึ่ง ชื่อท่านเจ้าคุณอุดม วัดพระเชตุพน วัดพระเชตุพนที่อยู่คนละฟากฝั่งแม่น้ำกับวัดระฆัง ท่านเจ้าคุณองค์นี้ก็เป็นนักเทศน์ ท่านก็เทสน์เป็นกลอน เทศน์เป็นทำนองอุปมาอุปไมย พาย พายเถอะพ่อพาย อย่ามัวตื่นสาย ตลาดจะวาย สายบัวจะเน่า แล้วก็จบแค่นี้ ทิ้งให้หลวงพ่อโตท่านกล่าวแก้หรือกล่าวตอบ แล้วก็ต้องตอบเป็นกลอนด้วย แล้วท่านจะตอบว่าอย่างไร ท่านก็ตอบเป็นกลอนว่า ก็โซ่ยังไม่แก้ ประแจยังไม่ไข เรือจะไปได้อย่างไรล่ะพ่อเจ้าคุณ เรือจะพายแค่ไหน ถ้าโซ่ยังไม่แก้ ประแจยังไม่ไขมันก็ไม่มีทางไปได้ ชีวิตของคนหลายคน ไม่สามารถจะไปต่อได้เพราะว่าจิดนี่มันยังหวนประหวัดติดตรึงอยู่กับอดีต อดีตมันกลายเป็นการล่ามโซ่ตัวเองเอาไว้
ปีเก่ากำลังจะผ่านไป ก็อย่าปล่อยให้ 2557 เป็นอดีตเท่านั้น แต่ก็ควรจะปล่อยให้เหตุการณ์ต่างๆมันกลายเป็นอดีตไปด้วย เพื่อที่เราจะเดินไปข้างหน้าได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่หันกลับไปทบทวน เหตุการณ์ปี 2557 หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น เราไม่มาคร่ำครวญด้วยอาลัยก็จริง แต่ว่าเราควรจะทบทวนหรือใคร่ครวญ เพราะว่าถ้าเราใคร่ครวญให้ดีก็จะได้บทเรียนสำหรับการดำเนินชีวิต มันย่อมมีความผิดพลาดเกิดขึ้น แต่ถ้าเราได้บทเรียนก็ช่วยทำให้เราสามารถที่จะเดินไปข้างหน้าได้โดยที่ไม่ผิดพลาดซ้ำสอง มันมีความผิดพลาดอยู่สองชนิด ผิดพลาดแบบถูกต้อง กับผิดพลาดแบบผิดพลาด
ผิดพลาดแบบถูกต้องก็คือว่า รู้จักหาบทเรียนและก็แก้ไขให้ถูกต้อง ผิดพลาดอีกประเภทหนึ่งก็คือผิดแล้วก็ผิดอีก ผิดซ้ำสอง ซ้ำซากอยู่นั่นแหละ ถ้าเรารู้จักใคร่ครวญ ทบทวน เราก็จะได้ ประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่ามันจะเป็นเหตุร้ายที่ทำความเจ็บปวดมาให้กับจิตใจของเราก็ตาม แล้วเวลาเราทบทวน เราใคร่ครวญแล้ว ควรจะขอบคุณทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอบคุณทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราตลอดปี 2557 เพราะว่าเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพื่อมาสอนเรา เพื่อมาช่วยให้เราเป็นคนใหม่ ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น ทำให้เราฉลาดมากขึ้น ถ้าเรารู้จักมอง แม้ว่ามันจะเจ็บปวดยังไง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปปักข้องติดตรึงกับมัน ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าเราจะลืมมันไปอย่างไร้ประโยชน์ เหตุร้ายนี่อาตมาเปรียบเหมือนกับทุเรียน ทุเรียนนี่หนามมันแหลม ถ้าเรากอดทุเรียนไป เราก็ไม่ฉลาดเพราะว่ามันมีแต่เจ็บ หนามมันก็ทิ่มให้เจ็บ การที่เราจะไประลึกนึกถึงแต่เหตุร้ายที่ผ่านไปแล้ว ใจไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง กอดมันเอาไว้ก็ไม่ใช่วิถีของชาวพุทธหรือคนฉลาด แต่ขณะเดียวกันการที่จะทิ้งมันไปเลยก็ไม่น่าจะใช่เหมือนกันเพราะว่าทุเรียน ถ้าเรารู้จักปลอกเอาหนามแหลมออกไป เราก็จะได้เนื้อที่อร่อย ที่หวาน กอดทุเรียนเอาไว้อย่างแน่นก็ไม่ใช่ ทิ้งมันไปก็ยังไม่ถูก ก่อนจะทิ้งไปก็เฉาะเปลือกเอาซะก่อน เอาเนื้อที่หอมหวานมากิน ทิ้งแต่เปลือกไป อยากให้เราทำอย่างนั้น กับเหตุร้ายหรือเหตุการณ์ที่เจ็บปวดในอดีต มันมีคุณค่าเสมอ ถ้าเรารู้จักใช้ ถ้าจะปล่อยให้มันผ่านเลยไปเปล่าๆก็ถือว่าไม่คุ้มค่า แต่ถ้าเรารู้จักใช้ประโยชน์จากมันก็ได้กำไร
อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะขึ้นศักราชใหม่แล้ว ก็มีอย่างหนึ่งที่เราพึงระลึกนึกถึงก็คือว่า ปีใหม่แต่ละครั้งๆแม้ว่ามันจะชวนให้เราชื่นชมยินดี เพราะว่าคนส่วนใหญ่ชอบของใหม่ แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่พึงตระหนักก็คือว่าปีใหม่แต่ละครั้งๆ มันหมายความว่าเรากำลังใกล้ความตายเข้าไปทุกปีๆ เมื่อปีใหม่มาถึง มันหมายความว่าเวลาที่เราอยู่ในโลกนี้เหลือน้อยลงไปอีก 1 ปี เพราะฉะนั้นอย่ามัวสนุกสนานหรือว่ายินดีกับมัน ควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาทด้วย ผู้คนก็มักจะชื่นชมยินดีกับปีใหม่ที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่เฉลียวใจเลยว่าเราใกล้ความตายเข้าไปอีก 1 ปี และก็เวลาที่เราอยู่ในโลกนี้ก็จะเหลือน้อยลงไปอีก 1 ปี ถามว่า เวลาที่เราเหลือน้อยลงไปนี่เราได้ทำอะไรให้มีประโยชน์คุ้มค่าหรือยัง พวกเราที่มาที่นี่ นี่ก็คงสามารถที่จะตอบคำถามนี้ได้ ไม่งั้นเราก็คงจะไม่มาที่นี่ เราคงจะไปเที่ยวสนุกสนาน หลายคนก็มัวแต่เคาห์ดาวน์วันส่งท้ายปีเก่า
ตอนนี้ก็เคาห์ดาวน์กันแล้ว แต่เขาลืมเคาห์ดาวน์ชีวิต อันนี้สำคัญกว่า การเคาห์ดาวน์ชีวิต การนับถอยหลังชีวิตของเรา ถ้ามัวแต่เคาห์ดาวน์วันสิ้นปี แต่ว่าลืมเคาห์ดาวน์ชีวิตของเรามันก็จะประมาท แต่ถ้าเราเคาห์ดาวน์ชีวิตของเราด้วยว่าตอนนี้เวลาเราเหลือน้อยลงแล้ว บางคนอาจจะเหลือไม่ถึง 1,000 วัน บางคนอาจจะเหลือไม่ถึง 500 วัน แล้วเราก็ไม่รู้ว่าบางทีชีวิตเราอาจจะเหลือแค่ไม่ถึง 7-8 วันด้วยซ้ำ เมื่อวานนี้ครูคนหนึ่งก็ไปฉลองส่งท้ายปีเก่าตอนรับปีใหม่ แต่ปรากฎว่าปีเก่ายังไม่ทันจะสิ้นสุดเลยตัวเองก็สิ้นลมซะแล้ว เพราะว่าขับรถชนต้นไม้ตาย ตอนเช้านี่เพิ่งมีพิธีแต่งงาน ตอนเย็นต้องจัดพิธีศพแล้ว ที่วัดตอนนี้กำลังเพิ่งสวดศพเสร็จ ส่งท้ายปีเก่า แต่ปีเก่ายังไม่ทันสิ้นเลยตัวเองก็สิ้นใจไปซะก่อน อันนี้ก็เป็นเครื่องเตือนใจให้ดีว่า ความตายมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้แต่ในเทศกาลแห่งความสุข แล้วยังจะต้องมีคนตายกันอีกมากมายในคืนนี้ คนที่เขาคิดว่าเขาจะมาแสวงหาความสุข แต่ว่าจบลงด้วยความตายเพราะความตายเกิดขึ้นได้ทุกเวลา
เพราะฉะนั้นในช่วงเทศกาลแบบนี้ให้ระลึกถึง ตระหนักอยู่เสมอว่าเวลาเราเหลือน้อยลง ใช้เวลาที่มีให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า ใช้เวลาที่มีอยู่เพื่อการภาวนาให้จิตเรา พร้อมที่จะรับกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น รวมทั้งพร้อมที่จะรับมือกับความผันผวนปรวนแปรในชีวิต ซึ่งรวมถึงความตายด้วย ก็ขอฝากเอาไว้ เป็นข้อคิดสำหรับพวกเราในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ คงไม่ต้องให้พรอีกแล้วเพราะว่าให้พรไปเยอะแล้ว ก็ยุติเท่านี้