แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้เป็นวันที่ 4 ของการบำเพ็ญกรรมฐาน ประจำปีของวัดภูเขาทอง พวกเราก็มาร่วมกันทำกรรมฐานซึ่งเดี๋ยวนี้เราก็เรียกว่าปฏิบัติธรรม ที่จริงการปฏิบัติธรรม ทำได้หลายอย่าง การให้ทาน การรักษาศีลก็เป็นการปฏิบัติธรรม แต่เดี๋ยวนี้เราก็ เวลาพูดถึงการปฏิบัติธรรมเราก็นึกถึงการทำสมาธิภาวนา การทำกรรมฐาน การทำกรรมฐานนอกจากการเป็นการปฏิบัติธรรมแล้ว ก็เรียกเป็นการทำบุญได้ด้วย เวลาพูดถึงการทำบุญหลายคนก็นึกถึงการใส่บาตร การถวายสังฆทาน การทอดผ้าป่า ทอดกฐิน จนกระทั่งเราเรียกว่าทำบุญให้ทานติดกันเลย ทำบุญให้ทาน แต่ที่จริงแล้วนี่ นอกจากการให้ทานแล้ว การรักษาศีล การบำเพ็ญภาวนาหรือทำกรรมฐาน ก็เป็นการทำบุญเหมือนกัน แต่ก็ไม่เหมือนกันทีเดียว ไม่เหมือนกันตรงที่ว่า การทำบุญด้วยกรรมฐาน ประเสริฐกว่าได้บุญมากกว่า ใครที่เป็นนักล่าบุญได้ฟังอย่างนี้ก็คงจะสนใจที่ว่าการทำกรรมฐานนี้มันได้บุญมากกว่า
อันนี้ชาวพุทธเรา อาจจะไม่ค่อยได้รู้เรื่องนี้เท่าไรหรือไม่เคยได้ยิน เพราะเราคิดแต่ว่าถ้าจะไปทำบุญแล้วต้องไปให้ทานหรือไปถวายทานที่วัด ใส่บาตรบ้างละ ถวายสังฆทาน นั้นก็ได้บุญอยู่แต่ว่าน้อยกว่าการทำกรรมฐาน ทำไมการทำกรรมฐานถึงได้บุญมากกว่า ก็เพราะมันยากกว่าไง ตอบง่ายๆมันยากกว่า เห็นนั่งง่ายๆ คนไทยเวลาพูดถึงการทำบุญก็เรียกว่า ไม่ค่อยปฏิเสธแห่กันไปทำบุญ แห่กันไปถวายทานที่นั่นที่นี่ แต่พอจะชวนให้มาภาวนา ชวนให้มาทำกรรมฐานเหลือกันไม่กี่คน ถ้าชวนคนไปทอดผ้าป่ามากันเป็นร้อยเป็นพัน บางแห่งเป็นหมื่น แต่พอชวนมาเข้ากรรมฐานก็เหลือแค่นี้
อาตมาเคยไปจำพรรษาที่ประเทศอังกฤษ อยู่วัดอมราวดีของหลวงพ่อสุเมโธ เมื่อ 24 ปีก่อน วันเสาร์ วันอาทิตย์ก็จะมีคนไทยมาถวายจังหันถวายเพลเยอะมาก วันธรรมดานี่อาหารมีน้อย เพราะว่าคนไทยต้องทำงาน แต่วันเสาร์ อาทิตย์นี่ก็ มั่นใจได้เลยว่า อาหารที่จะได้ฉันในตอนเพลเป็นอาหารดี อาหารประณีต และก็เยอะเพราะว่าคนไทยจะเดินทางกันมาจากหลายเมือง ที่วัดอมราวดีพอ ฉันเสร็จประมาณตอนบ่าย บ่ายโมงก็จะมีการแสดงธรรม ถึงเวลาแสดงธรรมคนไทยก็ไม่ค่อยอยู่กลับกันหมด มีแต่ฝรั่งมาฟังธรรม ถึงเวลาจะภาวนาก็ไม่ค่อยมากัน
หลวงพ่อสุเมโธท่านเคยปรารภว่า อยากจะ เวลาท่านจัดคอรส์ปฏิบัติธรรมซึ่ง ปีหนึ่งมีสักครั้งสองครั้งนี่ ประมาณ ห้าวัน เจ็ดวัน ท่านอยากมากให้คนไทยมาเข้าคอสร์ หรือมาภาวนาแต่ว่ามีคนไทยน้อยมาก แค่คนสองคน บางทีก็ไม่มีเลย แล้วก็หลายปีแล้วที่ไม่มีคนไทย มีแต่ฝรั่ง ฝรั่งนี้กระตือรือร้นมาปฏิบัติธรรม มาภาวนากันเยอะแยะ หลวงพ่อสุเมโธอยากจะให้คนไทยมาภาวนา เพราะรู้สึกว่า วัดอมราวดี อยู่ได้เพราะมีคนไทยเป็นกำลังสำคัญ ท่านก็อยากจะตอบแทนคนไทย ด้วยการ สอนสมาธิภาวนาให้ แต่ก็ไม่ค่อยมีคนไทย มารับประโยชน์ตรงนี้ อันนี้พูดมาเพื่อจะบอกว่าการภาวนาหรือทำกรรมฐานเป็นเรื่องยากกว่าการทำบุญให้ทาน เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งว่า ทำไมการทำกรรมฐานถึงได้บุญมากกว่าการให้ทาน
การทำกรรมฐานต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทน บางทีก็ไม่ใช่ว่าจะยากลำบากอะไร หลายแห่งก็ภาวนาในห้องแอร์ ที่นี่ถึงแม้ว่าไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่ก็มีความสะดวกสบายพอสมควร ไม่ได้เดินตากแดด มันสบายกว่าการไปทำไร่ทำนา ไม่ต้องใช้หยาดเหงื่อไม่ต้องใช้แรง ข้าวปลาอาหารก็ไม่ต้องทำ มีคนมาทำให้ จะว่าไปแล้วการภาวนาหรือการทำกรรมฐาน มันไม่น่าเป็นเรื่องยาก การอยู่บ้านต้องทำมากินมันลำบากกว่าเยอะ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะอยู่บ้าน ทำมาหากินด้วยความเหนื่อยยาก แต่จะให้มาภาวนามาทำกรรมฐานไม่เอา เพราะฉะนั้นจะเรียกว่ามันลำบากก็คงไม่ใช่ แต่ว่ามันต้องอาศัยความอดทน อดทนต่อกิเลส ที่อยากไปสนุก อดทนต่อกิเลสที่อยากจะคิดฝันฟุ้งปรุงแต่ง คนเราบางที สิ่งที่ยากคือการอยู่คนเดียว สิ่งที่ยากคือการที่เราไม่พูดไม่คุยกับใคร คนเราบอกว่าชอบบอกว่า รักตัวเอง รักตัวเอง แต่พอเวลาให้อยู่กับตัวเองก็อยู่ไม่ได้ มันกระสับกระส่ายทุรนทุราย รักตัวเองถ้ารักตัวเองจริงก็ต้องอยากอยู่กับตัวเอง เหมือนกับเรารักลูกเราก็อยากอยู่กับลูก เรารักหลานเราก็อยากอยู่กับหลาน เรารักแฟนเราก็อยากอยู่กับแฟน แต่ทำไมถึงเวลาอยู่กับตัวเองถึงอยู่ไม่ค่อยได้ อย่างนี้ก็แสดงว่าไม่ได้รักตัวเองจริง การทำกรรมฐานยากตรงนี้ เพราะว่ามันต้องอดทนกับความอยากในจิตใจที่อยากจะหนีตัวเอง
คนเราไม่ค่อยรักตัวเองหรอกอยากจะหนีจากตัวเองมากกว่า อยากจะออกไปหาเพื่อน อยากจะออกไปหาแฟน อยากจะออกไปหา ไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ ถ้าเป็นวัยรุ่นก็จะออกไป เที่ยวห้าง จะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องอยู่กับตัวเอง ทั้งที่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรเลยในเรื่องของความสะดวกสบายก็ยังมี แต่กิเลสมันชอบ อยากจะหาทางหนีจากตัวเอง การภาวนาหรือการทำกรรมฐานมันยากตรงนี้ แต่ถ้าเราทำได้มันก็จะเป็นการช่วยขัดกิเลส ทำให้เรามีความอดทน ทำให้เรามีความเพียร การให้ทานน่ะมันทำได้ง่ายกว่าการภาวนาการทำกรรมฐาน มันต้องขัดเกลากิเลส ต้องใช้ความเพียรพยายามมากกว่า จึงได้บุญกว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า แม้ถวายทานด้วยอาหาร สามร้อยหม้อ ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการเจริญเมตตาจิต เพียงชั่วรีดนมโค รีดนมโคมันก็ประเดี๋ยวเดียว คงไม่เกินสิบนาที ตรงข้ามกับการทำอาหารสามร้อยหม้อต้องเตรียมตัว เป็นอาทิตย์ใช้เวลา หลายวัน แต่ว่าได้บุญน้อยกว่า การเจริญเมตตาจิต เพราะว่า การเจริญเมตตาจิตจะทำได้ จริงๆก็ต้องอดกลั้นต่อความโกรธ คนเราพอมีความโกรธแล้วมันก็ไม่อยากจะ ให้อภัยหรือเมตตาใคร แต่เมื่อใดที่เราโกรธแล้วเรา พยายามที่จะแผ่เมตตาให้เขา อย่างที่เราแผ่เมตตาสักครู่ ใจเราจะสงบเย็น ใจที่สงบเย็นนั่นแหละคือบุญ
พูดถึงบุญแล้วคนไทยเราก็ชอบที่จะทำบุญเยอะ เราอยากได้บุญไปทำอะไร มีที่ไหนที่เราทำบุญเราก็ไปกัน อยากได้บุญอยากจะสะสมบุญ เอาบุญไปทำอะไร หลายคนอยากได้บุญ เพราะว่า บุญจะทำให้เกิดโชคเกิดลาภ เกิดความมั่งมี มีสุขภาพดีหายเจ็บหายป่วย มีบางสำนักก็ สรุปง่ายๆว่า ทำบุญแล้วทำให้รอดตายหายป่วย ร่ำรวยมีชื่อเสียง คนก็อยากจะร่ำรวย ที่ป่วยก็อยากจะหายป่วย ที่ไม่ป่วยแล้วก็พอมีพอกินก็ยังอยากมีชื่อเสียง ก็เลยขวนขวายไปทำบุญกัน แต่ที่จริง บุญ มันมีประโยชน์มากกว่านั้น บุญ ประโยชน์ของบุญที่เหนือกว่าการมีโชคมีลาภ มีชื่อมีเสียงมียศถาบรรดาศักดิ์ ก็คือการช่วย ชำระจิตใจให้สะอาด ทำให้จิตใจร่มเย็นเป็นสุข อันนี้มันเป็นอานิสงค์ที่ประเสริฐกว่า ร่ำรวยมีชื่อเสียง มีหน้ามีตา ยศถาบรรดาศักดิ์ แต่ว่า นอนไม่หลับ ต้องกินยานอนหลับ ทุกคืน
มีมากที่ร่ำรวยแต่เครียด ต้องกินยาระงับความเครียด รวยไปทำไม ถ้ารวยแล้วนอนไม่หลับ บางคนนี่ขี้ไม่ออกด้วยท้องผูกเพราะเครียดมาก กินอาหารฮ่องเต้เป็นหมื่นแต่ขี้ไม่ออกมันจะมีประโยชน์อะไร สู้กินอาหารไม่กี่บาทแต่ว่ากินง่ายถ่ายคล่อง เตียงไม่ต้องแพง ห้องนอนไม่ต้องหรู ถึงเวลานอนก็นอนก็หลับง่าย แต่เดี๋ยวนี้คนรวยจำนวนมากนอนยากนอนไม่หลับต้องกินยา บางคนต้องไปหาหมอไปหาจิตแพทย์ แต่ถ้าเราได้รู้จักได้สัมผัสกับบุญที่ช่วยชำระจิตใจ ให้หายเครียด หายหม่นหมอง เราจะมีความสุขมากกว่า เป็นความสุขที่แม้แต่คนรวยก็อิจฉา บุญก็มีหลายแบบ บุญที่ทำให้ร่ำรวย มียศถาบรรดาศักดิ์ อันนั้นใครๆก็อยากได้ แต่บุญที่ทำให้ใจสงบเย็น เป็นสุข อันนี้มันประเสริฐกว่าแต่ว่า ชาวพุทธเราไม่ค่อยสนใจกันเท่าไร บุญชนิดนี้มันเกิดจากการที่ เรา พยายามลดละความเห็นแก่ตัว พยายามขูดเกลากิเลสออกไปจากใจ ซึ่งก็ทำได้หลายวิธี การให้ทานถ้าเราวางจิตวางใจเป็น มันก็ช่วยลดความเห็นแก่ตัว ช่วยขัดเกลากิเลส ช่วยขูดเกลากิเลส ออกไปจากใจ ส่วนใหญ่ให้ทานก็เพราะอยากรวย อยากถูกหวย อยากถูกล็อตเตอรี่พอตั้งจิตแบบนี้ความโลภ มันก็เพิ่มขึ้น ความเห็นแก่ตัวมันก็พอกหนาขึ้น แต่ถ้าเราให้ทานเราตั้งใจว่าให้เพื่อที่จะลดความตระหนี่ ลดความโลภ ลดความยึดติดถือมั่นในทรัพย์สิ่งของ อันนี้แหละจะทำให้เราได้บุญที่ใจ ทำแล้วจะรวยหรือไม่นี่ มันเป็นเรื่องของอนาคต แต่ว่าที่เกิดขึ้นแน่ๆทันทีทันใดก็คือว่า จิตใจโปร่งเบาจิตใจสงบเย็นเพราะว่า ได้ลดความเห็นแก่ตัว ได้ไถ่ถอนความยึดมั่นออกไปจากใจ อันนี้เป็นการทำบุญตรงกับวัตถุประสงค์
พระพุทธเจ้าตรัสว่าการให้ทาน จุดหมายคือเพื่อลดความตระหนี่ ถ้าเราให้ทานด้วยความปรารถนาที่จะให้ เพื่อจะลดความเห็นแก่ตัว บุญเกิดขึ้นที่ใจทันที ส่วนจะถูกลอตเตอรี่ถูกหวยรวยเบอร์หรือไม่ อันนั้นไม่สำคัญแล้วถึงไม่มี ก็ไม่มีคำว่าขาดทุนเพราะว่าผลอานิสงค์เกิดขึ้นที่ใจแล้ว คือใจสงบเย็น รักษาศีลก็เหมือนกัน เวลารักษาศีลถ้าเรารักษาศีลดีๆ มันก็ช่วยลดความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ ไม่ใช่สมาทานศีลเพื่อให้คนชม เพื่อให้ยกย่องว่าเราเป็นคนมีศีล หรือเพื่อยกตนข่มท่าน แต่ตั้งใจที่ ขัดเกลสจิตใจตนเอง ลด ละ ความโลภ ความโกรธ ความหลง คนเราถ้ามันมีความโกรธแล้วมันก็อยากจะทำร้าย อยากจะทำร้ายหรืออยากจะฆ่า ความโลภก็ทำให้อยากฆ่าเหมือนกัน ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ถ้ามีราคะมันก็จะผิดศีลข้อสาม หรือไม่ก็อยากจะขโมยข้าวของของเขา
เมื่อเรารักษาศีลดีๆมันก็ช่วยควบคุม ช่วยลดทนความโลภความโกรธ ช่วยลดทอนความหลงด้วย ศีลข้อที่ห้า มันก็เป็นการช่วยลดความหลงหรือไม่เพิ่มความหลงในใจของเราถ้าเรารักษาศีลห้าอย่างถูกต้องบุญเกิดขึ้นที่ใจในทันที คือใจที่เย็น ใจที่เบา สงบ เพราะว่าความโลภ ความโกรธ ความหลง มันไม่สามารถจะครอบครองจิตใจเราได้ ถึงจะครอบครองมันก็ไม่สามารถบังคับให้เราพูดหรือทำความชั่วได้ มีความโกรธ อยากจะทำร้ายแต่ก็หักห้ามใจได้ เพราะว่ากลัวผิดศีลอย่างนี้ได้บุญแล้ว มีความอยาก แต่ก็ไม่ขโมยของเขาหักห้ามใจได้ อย่างนี้ก็เรียกว่าได้บุญแล้ว อย่างนี้ถ้าเกิดว่าเรารักษาศีลดี มันจะเกิดบุญกุศลมากมายตามมา ศีลห้าไม่เข้าใจว่าหมายถึงการไม่ทำชั่ว ที่จริงแล้วศีลห้าถ้าเข้าใจครบถ้วนมันจะรวมถึงการทำดีด้วย ศีลข้อที่หนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ฆ่าสัตว์เท่านั้นแต่รวมถึงการมีเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ศีลข้อที่สองนอกจากไม่ได้หมายความว่าไม่ขโมยเท่านั้น แต่รวมไปถึงการมีสัมมาอาชีวะ มีอาชีพที่ถูกต้อง ศีลข้อที่สามไม่ใช่หมายถึงการที่ไม่ไปผิดประเวณีเป็นชู้กับใครเท่านั้น แต่รวมถึงความรู้จักพอใจในคู่ครองมีความยินดีในคู่ครองของตัว มีสันโดษนี่เอง หรือว่ามีกามสังวรณ์ ศีลข้อที่สี่ไม่ได้แปลว่าไม่พูดปด ไม่ด่า ไม่ใช้คำหยาบคายเท่านั้น แต่รวมถึงการที่ พูดความจริงและก็รักษ์ความสัตย์ ศีลข้อที่ห้านอกจากจะไม่ได้ นอกจะหมายความว่าไม่เสพสุรายาเมาแล้วก็ ยังหมายความว่าการมีสติ สัมปชัญญะด้วย เดี๋ยวนี้เราสอนศีลห้าเราสอนแค่ครึ่งเดียว ก็คือว่าสอนว่า อย่าทำชั่ว ครึ่งแรก ครึ่งหลังไม่ค่อยได้สอนเท่าไร บางทีก็ไปบอกว่าอันนั้นน่ะเป็นเรื่องเบญจธรรม ไม่ใช่เบญจศีล ที่จริงมันเป็น มันก็อยู่ในศีลห้านั่นแหละ นี่ถ้าเรารักษาศีลดีบุญก็เกิดขึ้นที่ใจ ใจสงบ ใจเย็น ใจสบาย
และเมื่อเราทำกรรมฐานก็เหมือนกัน เราทำกรรมฐานเราทำเพื่อที่จะละ ไม่ใช่เพื่อที่จะเอา หลายคนมาทำบุญ หลายคนมาภาวนา มาทำกรรมฐานเพราะอยากได้บุญ และบุญที่เขาคิดก็คือจะได้มีโชคมีลาภ จะได้มีความสำเร็จในหน้าที่การงาน บางคนก็หวังว่าจะได้ประสบ สมหวังในความรัก ก็มาภาวนา ที่จริงภาวนาหรือทำกรรมฐาน จุดหมายสำคัญคือการฝึกลดละ ลดความเห็นแก่ตัวลดความยึดติดถือมั่น ไม่ปล่อยให้กิเลสครองใจ มีความโกรธ ความโลภ ความหลง ความเศร้า อิจฉาพยาบาท ต้องรู้จักปล่อยรู้จักวาง ไม่เก็บไม่ยึดเอาไว้เพื่อทำร้ายจิตใจตนเอง มันแปลก ความโศก ความเศร้า ความเครียด ความศูนย์ ความพยาบาท พวกนี้มันเกิดขึ้นกับใคร เกิดขึ้นกับเราทีไรเราก็ทุกข์ แต่ทำไมเราไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวางเรากลับยึด ยึดเอาไว้เก็บไว้ในใจ เวลาหนามทิ่มขาเรา เราพยายามที่จะดึงหนามออก เวลาแก้วตำขาเรา ก็พยายามดึงเอาแก้วออก เวลามือเราถูกไฟ เรารีบชักมือออก ไม่ต้องสั่งมันทำของมันเอง เวลาเราแบกของหนักแบกหินเราอยากจะวาง อย่างให้คนไปแบกธรรมาสน์ แบกได้เดี๋ยวเดียวก็อยากจะวางแล้ว แต่ทำไม ความทุกข์ ความโศก ความเศร้า ความเครียด ความสูรย์ถึงอยากจะแบกมันเอาไว้
บางคนแบกมาเป็นสิบปีแล้ว มันดีตรงไหน นี่เป็นความยึดติดแบบหนึ่ง เราไม่ได้ยึดติดลูก ไม่ได้ยึดติดหลาน ไม่ได้ยึดติดแค่ทรัพย์สมบัติ ไม่ได้ยึดติดบ้านที่ดินเท่านั้น สิ่งที่มันแย่ๆ ขยะอารมณ์เราก็ยังแบก ก็ยังยึดมันเอาไว้ ถามว่าแบกแล้วมีความสุขไหม เปล่า ทุกข์ กินไม่ได้นอนไม่หลับ บางคนทนไม่ไหวต้องฆ่าตัวตาย ทนไม่ไหวฆ่าตัวตาย นี่เพราะไม่รู้จักปล่อยไม่รุ้จักวาง และที่ไม่ปล่อยไม่วางเพราะอะไร เพราะไม่รู้ตัว เพราะความหลง เอาภาวนาเพื่อให้เกิดความรู้ตัว สติแหละที่จะทำให้เรากลับมารู้ตัวได้ไว และเพราะพอรู้ตัวว่ามันยึดติด แบกอารมณ์ แบกความเศร้า แบกความโกรธ ความเครียด ความสูรย์ พอรู้เท่านั้นแหละ มันวางเลย วางมันง่ายถ้ารู้ตัวแต่ที่มันยากเพราะไม่รู้ตัว ไม่รู้ตัวคือหลงนั่นแหละ
เรามาภาวนาเพื่อให้เกิดความรู้ตัว ฉับไว แล้วเมื่อเรารู้ตัวเราเห็นโทษของมันเราก็ปล่อยเราก็วาง ใจก็เบา โปร่ง โล่งสบาย นี่แหละคือบุญ บุญแบบนี้ประเสริฐกว่า ร่ำรวย ถูกหวย หรือว่ามโชคมีลาภ มีบ้าน มีรถซะอีก บุญอย่างนี้แหละที่เราต้องสร้าง ใครให้ ใครจะส่งมาให้เรา มันก็ไม่ได้ ถึงแม้มี ถึงแม้มีพ่อ มีแม่ มีลูก อยากจะส่งบุญมาให้เราเดี๋ยวนี้ก็มีคนนิยมส่งบุญมาให้ ส่งบุญมาให้ทางไลน์ ส่งบุญมาให้ทางเฟซบุคบ้างละ ส่งบุญมาให้ทางโทรศัพท์บ้างละ ไปทอดผ้าป่า ทอดกฐิน ก็โทรศัพท์บอกแม่ว่า หนูส่งบุญมาให้แม่ โทรศัพท์มาถึงพ่อก็หนูส่งบุญมาให้พ่อ อันนี้ดีอยู่ส่งบุญ แต่ว่าบุญที่ได้จากใครมันก็ไม่ประเสริฐเท่าบุญที่เราสร้างด้วยตัวเราเอง ด้วยน้ำพักน้ำแรง ด้วยความเพียรพยายามของเรา นั่นคือด้วยการทำกรรมฐาน เจริญภาวนาฝึกสติอยู่เสมอ และการทำบุญอย่างนี้และหนา ที่จะไม่เพียงทำให้เราสงบเย็น เป็นครั้งเป็นคราว แต่ยังช่วยทำให้เราพ้นทุกข์ได้ด้วย ทำให้เราพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ถ้าเราภาวนาแค่เพียงมีสติมีความรู้ตัว แต่ว่าเกิดปัญญาเห็นความจริงของกายและใจว่า มันไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้เลย ไม่มีอะไรที่จะยึดมั่นกับกายกับใจให้เป็นนั่นเป็นนี่ก็ไม่ได้ ยึดมั่นว่าเป็นเราเป็นของเราก็ไม่ได้
อย่างที่หลวงพ่อบอกว่า อย่าไปเป็นอะไรกับอะไร ไม่เป็นอะไรกับอะไรก็เกิดจากปัญญาเห็นว่า กายและใจ หรืออาการของกาย อาการของใจ ไม่มีอะไรสักอย่างที่จะยึดมั่นถือมั่นได้เลย พอเห็นความจริงแบบนี้ ก็ไม่เป็นอะไรกับอะไร หลวงพ่อคำเขียนท่านพูดในตอนท้ายท้าย ในของชีวิตท่าน ท่านก็จะย้ำว่า อย่าไปเป็นอะไรกับอะไร ไม่เป็นอะไรกับอะไร เมื่อไม่เป็นอะไรกับอะไร ใจก็ผ่องใสเบิกบาน เพราะไม่ทุกข์ ไม่ทุกข์อีกแล้ว มันเป็นความสุขอย่างแท้จริงที่ประเสริฐกว่า ความร่ำรวย ประเสริฐกว่าการมีอายุยืน ประเสริฐกว่าการมียศถาบรรดาศักดิ์ อันนี้คือประโยชน์ของการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ประโยชน์สูงสุดของการมาเกิดเป็นมนุษย์
พระพุทธเจ้าตรัสว่าประโยชน์มีอยู่สามอย่าง อย่างแรกคือประโยชน์ที่จับต้องได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นความปรารถนาของชาวโลก เช่น การมีอายุ วรรณะ สุขะ พละ มีมิตรดี มีครอบครัวดี มีงานดี มีสุขภาพดี ใครๆก็อยากมี ใครๆก็อยากได้ อันนี้ก็เป็นความสุขแบบชาวโลก หลายคนมาทำบุญเพราะอยากได้ความสุขแบบนี้ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ครอบครัวดี งานดี เพื่อนดี สุขภาพดี แต่ว่ามันมีดีกว่านั้น ก็คือความสุขทางใจที่เกิดจากการทำความดี เกิดจากการมีอริยทรัพย์อย่างที่เราเพิ่งสวดเมื่อกี้นี้ มีศรัทธา มีศีล มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ และก็มีความเห็นธรรม หรือว่าเกิดจากการที่มีศรัทธา มีศีล มีจาคะ มีปัญญา อันนี้เป็นความสุขใจ ประเสริฐกว่าความสุขแบบโลกๆอย่างที่พูดเมื่อสักครู่ แล้วยังประโยชน์สูงสุดกว่านั้น ที่เรียกว่าปรมัตถ์
ประโยชน์ข้อแรก เราเรียกว่า ทิฏฐธัมมิกัตถะ ประโยชน์อันที่สอง เราเรียก สัมปรายิกัตถะ ความสุขความสงบใจ ที่เกิดจากการทำความดี อันที่สามคือประโยชน์สูงสุด นั่นก็คือความพ้นทุกข์หรือนิพพาน ให้เรารู้จักประโยชน์หรือเข้าถึงประโยชน์นี้ให้ได้ ถึงได้ด้วยการทำภาวนาบำเพ็ญกรรมฐานไม่ใช่แค่ทำในรูปแบบ ไม่ใช่แค่มาภาวนาปีละครั้ง แต่ว่าต้องทำตลอดตั้งแต่ตื่นนอน จนเข้านอน ทำความรู้สึกตัว มีสติในทุกอิริยาบถ และก็หมั่นดูกายดูใจ ดูกายดูใจ ดูไปๆ จะเห็นความจริงของกายและใจ เห็นว่ามันไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้เลยสักอย่าง ยึดมาเป็นอะไรยึดให้เป็นอะไรกับอะไรก็ไม่ได้ มีแต่ต้องปล่อยวางอย่างเดียว
อันนี้แหละมันก็คือความจริงที่เราต้องเห็นจากการภาวนา จากการปฏิบัติ จากการทำกรรมฐาน อยู่บ้านก็ทำได้ อยู่ในไร่ในนาก็ทำได้ ทำงานไปก็อย่าลืมอย่าลืมดูใจ เห็นใจมันขึ้นมันลง แล้วก็รู้จักหมั่นสังเกตสิ่งต่างรอบตัวว่ามันก็มีขึ้นมีลง มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ใช่แค่อาทิตย์ขึ้นอาทิตย์ตก ไม่ใช่แค่กลางวันเปลี่ยนเป็นกลางคืนหรือกลางคืนเปลี่ยนเป็นกลางวัน ไม่ใช่แค่มีร้อนแล้วก็มีหนาวแต่ความจริงธรรมะมันแสดงตัวให้เราตลอดเวลา หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ไม่ได้ หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย ลืมตาแล้วเปิดตาค้างอย่างนั้น ไม่ยอมกระพริบตาทำได้ไหม ลืมตาห้านาทีไม่กระพริบตาเลย ทำได้ไหม บางคนก็พยายามทำ แต่ถ้าทำเมื่อไรก็จะปวดตาจนน้ำตาไหล ลืมตาแล้วก็ต้องหลับตา กระพริบตา มาแล้วก็ต้องไป เจอแล้วก็ต้องจาก มีก็ต้องหมด พบก็ต้องพราก นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลา อันนี้แหละคือธรรมะที่เขาแสดงให้เราเห็น
ถ้ามองเห็นก็ได้บุญ บุญแบบที่ไม่ได้ทำให้เกิดโชคเกิดลาภแต่ทำให้ พ้นทุกข์หรือว่าไกลจากความทุกข์ ทำให้ใจสงบเย็น ลองรู้จักบุญอย่างนี้บ้าง อย่านึกหรืออย่าคิดแต่จะเอาบุญที่ทำให้รวยหรือทำให้มีอายุยืน ทำให้มีวรรณะผ่องใสอันนั้นก็ดีอยู่แต่ว่า บุญที่ทำให้ไม่ทุกข์ ที่ทำให้ใจไม่รุ่มร้อน ทำให้ใจสงบ ทำให้ใจเย็น ใจสบาย ไม่ทุกข์ อันนี้สำคัญกว่าอย่ามองข้าม แล้วก็พยายามปฏิบัติให้ได้