แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนเราจะมีความสุขความเจริญได้ มันต้องเริ่มต้นจากการมีสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิคือความเห็นชอบ มีความรู้มีปริญญามากแค่ไหนแต่ถ้าไม่มีความเห็นชอบ ไม่มีสัมมาทิฐิก็ยากที่จะประสบความสุขความเจริญได้ เพราะว่าพอไม่มีสัมมาทิฐิแล้วโอกาสที่จะทำความชั่วหรือว่าการสร้างปัญหาเบียดเบียนผู้อื่นรวมทั้งเบียดเบียนตน มันก็เกิดขึ้นได้ง่ายมาก
สัมมาทิฐิจะมีได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มี 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยภายนอกกับปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอกคือกัลยาณมิตร มิตรที่ดี บางท่านใช้คำว่าปรโตโฆสะ หมายถึงเสียงจากภายนอกก็คือเสียงที่ชี้แนะนำทางให้เรา รู้จักผิดชอบชั่วดี และรู้หนทางในการนำพาชีวิตไปสู่ความเจริญงอกงาม ปรโตโฆสะ เราเรียกง่ายๆว่ากัลยาณมิตรหรือมิตรที่ดีก็ได้ ปัจจัยภายในก็คือโยนิโสมนสิการ หากจะแปลง่ายๆว่ารู้จักคิดนั้นเอง คนส่วนใหญ่จะมีสติปัญญาในทางธรรมะ มีสัมมาทิฐิได้ก็เพราะต้องอาศัย 2 อย่างนี้ โยนิโสมนสิการ คนเราหากรู้จักคิด ก็จะยิ่งเห็นความจำเป็นของการมีกัลยาณมิตร หรือว่ามีมิตรที่ดีแวดล้อม หรือบางทีก็ขวนขวายไปหาเลย รู้ว่ามีครูบาอาจารย์ที่ไหน ก็ดั้นด้นไปหาท่าน ถือว่าท่านเป็นกัลยาณมิตร พ่อแม่ก็เช่นเดียวกัน แม้แต่พระพุทธองค์ ท่านทรงเป็นกัลยาณมิตรหรือว่าเป็นปรมะกัลยาณมิตรเลยก็คือ เป็นกัลยาณมิตรที่ประเสริฐมาก เวลาเรานับถือพระพุทธเจ้าก็อย่านับถือพระองค์เพียงเป็นศาสดาหรือเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ แต่ให้มองว่าพระองค์ก็เป็นกัลยาณมิตรของเรา เวลามีปัญหาในชีวิตหาทางออกไม่เจอก็ลองปรึกษาพระองค์ เสมือนว่าเป็นกัลยาณมิตรที่จะชี้ทาง แม้พระองค์จะปรินิพพานไปนานแล้ว แต่ว่าคำสอนของพระองค์ก็เหมือนกับเสียงของมิตรที่สามารถช่วยบอกทาง หรือช่วยทำให้เรามองเห็นทางออกได้ คนที่เขารู้จักคิดเขาจะพยายามหากัลยาณมิตร พยายามสนทนาวิสาสะ หรือว่าปรึกษาหารือ
ส่วนใครที่ไม่ใช่กัลยาณมิตร เรียกว่าปาปมิตร ปาปมิตรคือปาปะ ก็คือบาปนั่นเอง คือมิตรที่นำไปสู่ทางที่ชั่วร้าย ก็พยายามห่าง และถ้าหากว่าเราไม่สามารถจะหากัลยาณมิตรได้ พระพุทธเจ้าก็แนะนำว่าอยู่คนเดียวก็ยังดีกว่า ดีกว่าไปคบเพื่อนชั่ว คบเพื่อนชั่วแล้วมันมีแต่ความเสื่อมและความวิบัติ แต่ที่จริงแล้วคนเราต้องรู้จักคิดมันก็ไม่ขาดกัลยาณมิตร อยู่ที่ว่าเราจะมองเป็นหรือเปล่า
กัลยาณมิตรบางทีก็ไม่ใช่คนอาจจะเป็นธรรมชาติก็ได้ คนที่รู้จักคิดจะอาศัยธรรมชาติเป็นเครื่องเตือนใจ แต่ละวัน ธรรมชาติก็เตือนไม่ให้เราประมาทกับชีวิต พระอาทิตย์ขึ้นแล้วขึ้นสูงสุด แล้วก็ค่อยๆคล้อยลงจนลับขอบฟ้า ต้นไม้ที่ออกดอกสวยงามแล้วผ่านไปไม่นานดอกไม้นั้นค่อยร่วงโรย อย่างช่วงนี้ที่ประเทศญี่ปุ่น ซากุระก็กำลังจะบาน คนไทยหลายคนก็ไปญี่ปุ่นกันช่วงนี้เพื่อดูซากุระบานที่โตเกียวหรือเกียวโต ซากุระเป็นต้นไม้ที่แปลกเพราะว่าปีหนึ่งบานได้แค่ครั้งเดียว ดอกไม้ที่บานนี้สวยงามแค่ไหน ก็อยู่ได้ไม่เกิน 4-5 วันแล้วก็ร่วงลงพื้น พื้นก็เกลื่อนไปด้วยดอกซากุระทั้งขาวทั้งชมพู คนญี่ปุ่นอาศัยซากุระเป็นเครื่องเตือนใจถึงความไม่เที่ยงของชีวิตเพราะความตายในขณะที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว เพราะซากุระบานได้ไม่กี่วันก็ร่วงเหมือนคนหนุ่มคนสาวที่อยู่ในโลกนี้ไม่นาน เป็นการเตือนใจไม่ให้ประมาทกับชีวิตเรียกว่าเป็นกัลยาณมิตรได้เหมือนกัน
เวลาท้อถอย เห็นผึ้งก็ดี เห็นมดก็ดี มันพยายามพากเพียร ทำงานไม่หยุดหย่อน ก็ทำให้เกิดกำลังใจ เหมือนเขากำลังจะบอกว่าอย่าท้อถอย ในสมัยพุทธกาลมีพระบางรูป ท่านท้อแท้ในการปฏิบัติ เรียกว่าคลายความเพียร แต่พอเห็นช้างมันตกหล่ม แล้วมันก็พยายามตะเกียกตะกาย ตะกุยขึ้นมา แม้จะไม่สำเร็จ แต่ก็ไม่ยอมท้อถอย ทำอย่างนั้นเป็นชั่วโมงเป็นวัน ท่านก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า แม้แต่สัตว์ยังไม่ท้อถอยยังไม่ทิ้งความเพียรเลย เราจะทิ้งความเพียรไปได้อย่างไร อันนี้ก็เรียกว่ารู้จักหากัลยาณมิตร
แม้ว่าเราจะอยู่คนเดียว เราก็มีกัลยาณมิตรห้อมล้อมอยู่มากมายทั้งบนฟ้ารอบตัวแล้วก็ใต้ดิน อยู่ที่ว่าเรารู้จักมองหรือเปล่า ก็คือมีโยนิโสมนสิการไหม ถ้าเรารู้จักคิด แม้คำพูดที่ไม่ไพเราะ คำต่อว่า มันก็กลายเป็นคำเตือนเป็นคำสอนได้ คนฉลาดเขาก็อาศัยคำตักเตือน อาศัยคำต่อว่า คำตำหนินั้นมาเป็นเครื่องเตือนใจ อย่างเจ้าของเมืองโบราณซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ เคยพูดว่า วันไหนไม่ถูกตำหนิ วันนั้นเป็นวันอัปมงคล เวลามีคนตำหนิคนมักจะคิดว่าเขามุ่งร้าย แต่คุณเล็กเขาฟังเป็นคิดเป็น เขามองว่าคำตำหนิคำต่อว่าเป็นคำเตือนหรือคำชี้แนะ แถมยังชี้ช่องว่าควรจะปรับปรุงแก้ไขตัวอย่างไร อันนี้ก็เป็นหน้าที่ของกัลยาณมิตร กัลยาณมิตรนั้นนอกจากการชี้ทางออกให้แล้ว ยังตักเตือนช่วยนำไปสู่ความถูกต้อง ถ้าเราคิดเป็น มีโยนิโสมนสิการ แม้เจอเหตุร้ายเกิดขึ้นในชีวิต ก็เปรียบเหมือนมีเครื่องเตือนใจหรือเป็นเครื่องสอนใจได้ เช่น เวลาเจ็บป่วย เขากำลังสอนว่าอย่าประมาท สังขารร่างกายกำลังสอนเราว่าอะไร ๆ ก็ไม่เที่ยง วันนี้ป่วยวันหน้าก็อาจจะตายได้ เพราะฉะนั้นก็อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ เงินหายของหายก็เป็นเครื่องเตือนใจเราว่าต้องรู้จักระมัดระวัง เวลาจะวางของวางกระเป๋านี้ขอให้มีสติ คนฉลาดคนที่รู้จักคิดเขาก็สามารถจะเรียนรู้จากเหตุการณ์ต่างๆ แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดีเป็นความสูญเสียก็ตาม
เพราะรู้จักคิดอย่างนี้แหละมันจะไม่มีความรู้สึกว่าเราโชคร้าย จะรู้สึกว่าเราโชคดีเสมอ เพราะว่ามีสิ่งคอยตักเตือนมีเหตุการณ์ต่างๆคอยชี้แนะ ไม่ให้เราพลั้งพลาด เตือนให้เราไปในทางที่ถูก เตือนให้เราไม่ประมาท รู้จักใช้ชีวิตให้มีคุณค่า หลายคนรู้สึกว่าตัวเองโชคร้าย พวกเราเป็นหนึ่งในนั้นหรือเปล่าที่รู้สึกโชคร้ายมีคนจำนวนมากที่รู้สึกว่าชีวิตเราลำบากมากเหลือเกิน ลำบากมาตั้งแต่เล็กจนโต โตแล้วก็ยังต้องกระเสือกกระสนดิ้นรน ชีวิตเรามีแต่เรื่องร้ายๆ คนโชคร้ายนี้เขาจะรู้สึกว่าชีวิตตัวเองเป็นแบบนั้น แต่จริงๆแล้วคนโชคร้ายหรือโชคดี เอาเข้าจริงๆชีวิตเขาอาจจะไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ คนที่คิดว่าตัวเองโชคดีก็ไม่ได้แปลว่าชีวิตของตัวเองราบรื่น อาจจะมีความขลุกขลัก มีอุปสรรคมีปัญหาต่างๆไม่น้อยไปกว่าคนที่เขาคิดว่าตัวเองโชคร้าย แล้วทำไมบางคนบอกว่าตัวเองโชคร้าย ทำไมบางคนถึงคิดว่าตัวเองโชคดี อันนี้เพราะบางคนเขารู้จักคิด แต่บางคนไม่รู้จักคิด คนที่รู้จักคิดเวลาเกิดเรื่องร้ายๆกับชีวิตเขากลับมองว่าดี แต่เหตุการณ์เดียวกัน พอเกิดขึ้นกับบางคน เขาจะเห็นแต่แง่ลบรู้สึกว่าตัวเองโชคร้าย ก็เจอมันอยู่เรื่อยๆ ชีวิตของคนเราจะโชคดีหรือโชคร้ายหรือไม่ มันไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่มันอยู่ที่ว่าเรามองมันอย่างไร
คนที่เจอแต่เรื่องร้ายๆอยู่มากมายแต่ถ้าเขามองเป็น เขาก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีได้ คนที่มองไม่เป็นก็จะยิ่งซ้ำเติมความรู้สึกว่าฉันโชคร้าย เคยมีการทดลองเอาคนมากลุ่มหนึ่ง แล้วก็แยกแยะออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือคนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนโชคดี อีกกลุ่มหนึ่งคือคนที่คิดว่าตัวเองโชคร้าย แล้วก็ให้คนสองกลุ่มมาทำกิจกรรมบางอย่าง แต่ไม่ใช่ทำพร้อมกัน ต่างคนต่างทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น ให้ลองสวมบทบาทหรือว่าอยู่ในสถานการณ์จำลอง ไปธนาคารเพื่อที่จะฝากเงินขณะที่อยู่ในธนาคาร ยังทำธุระไม่เสร็จ ก็บอกว่ามีโจรมาปล้นธนาคาร แล้วก็ตำรวจหรือว่ายามเฝ้าธนาคาร ก็ยิงต่อสู้กัน ปรากฏว่า ผู้ที่สวมบทบาทได้ไปฝากเงินโดนลูกหลงถูกลูกปืนเข้าที่แขน ทีนี้ผู้ทดลองก็จะถามว่า คุณรู้สึกยังไงเมื่อถูกยิงที่แขน คนที่คิดว่าตัวเองโชคดีก็จะตอบว่า แหมโชคดีจังเลยที่โดนแค่แขน ไม่โดนอวัยวะที่สำคัญ
ส่วนคนที่คิดว่าตัวเองโชคร้ายเขาก็จะรู้สึกว่าโหยฉันซวยเหลือเกิน ขนาดมาฝากเงินที่ธนาคารยังเจอลูกหลง ผลมันออกมาเป็นอย่างนั้น ก็คือคนที่คิดตัวเองโชคดี ถ้าสมมุติเจอเหตุการณ์แบบนี้เขาจะคิดว่าโชคดี เหตุการณ์เดียวกัน ถ้าเกิดคือคนที่คิดว่าตัวเองโชคร้าย เขาจะมองว่าฉันโชคร้ายจังเลย อันนี้เขาต้องการบอกว่าคนที่คิดว่าตัวเองโชคดีหรือคนที่คิดว่าตัวเองโชคร้าย มันไม่ใช่เป็นเพราะว่าคนหนึ่งเจอแต่เรื่องดีๆ อีกคนหนึ่งเจอแต่เรื่องร้ายๆ แต่มันเป็นเพราะว่าเขามีมุมมองต่างกัน เจอเรื่องเดียวกันคนโชคดีบอกว่าฉันโชคดีเห็นข้อดีของมัน ส่วนคนที่โชคร้ายก็เห็นแต่ข้อเสียของมัน อันนี้เขาต้องการบอกว่าคนเราจะโชคดีหรือไม่ มันอยู่ที่ว่าเรามองอย่างไร
ถ้าเรามองบวก เราก็จะพบเห็นแต่สิ่งที่ดีๆ ถ้าเรามองลบ เราคิดไม่เป็นมองไม่เป็น เราก็จะเห็นแต่สิ่งร้ายๆ คนบางคนแม้จะยากจน แต่ว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เขาอาจจะรู้สึกว่าเขาโชคดีก็ได้ว่าเขามีแม่เขามีพ่อที่น่ารักอบอุ่นดูแลเขา ขณะคนที่เกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยกลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอาภัพ เพราะว่าแม่ก็ไม่รักพ่อก็ไม่สนใจ คนที่ยากจนหลายคน เขาไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเขาก็ต่อสู้ดิ้นรนจนกระทั่งสามารถลืมตาอ้าปากได้ เมื่อมองชีวิตที่ผ่านมาเขาก็บอกว่าเขาโชคดี ความยากจนมันสอนให้เขาเข้มแข็งรู้จักพึ่งตัวเองได้ แต่คนที่เขามองไม่เป็น เมื่อมองชีวิตที่ผ่านมาก็รู้สึกว่าฉันนี่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเหลือเกิน มันมีแต่ความลำบากมีแต่อุปสรรคตลอดเวลา คนที่รู้สึกว่าโชคดีหรือรู้จักคิด เมื่อเจอความยากลำบากเขาจะแกร่งขึ้น และเขาจะอยากจะทำความดีมีความเพียรพยายามมากขึ้น แต่คนที่มองไม่เป็น ชีวิตลำบากมันกลับทำให้เขารู้สึกย่ำแย่รู้สึกอ่อนแอรู้สึกกราดเกรี้ยวกับชีวิต
ที่ประเทศไต้หวันมีผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นแม่ค้าขายผักแต่ว่าเขาเป็นที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อมาก ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ว่าสามารถที่จะเก็บหอมรอมริบจนสามารถจะบริจาคเงินให้กับสถานสงเคราะห์หรือว่าโรงพยาบาลถึง 10 ล้านดอลลาร์ ก็ประมาณ 350 ล้านบาท ทั้งที่ดูไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลย เป็นแม่ค้าขายผักทำงานหนักด้วย ตื่นตี 2 ทำงานจนถึง 6 โมงเย็น คือราววันละ 16 ชั่วโมง นอนกับพื้นบ้าน ใช้ชีวิตง่ายๆ ใช้จ่ายวันละ100 บาทเท่านั้นเอง กินผักไม่กินเนื้อ ไม่แต่งตัว มีเงินเก็บถึง 300 กว่าล้านบาทแล้ว บริจาคให้โรงพยาบาลเป็นส่วนใหญ่ จริงๆชีวิตเขาก็ลำบากมากเพราะว่าจนตั้งแต่เล็ก เสียแม่ไปตั้งแต่ยังอายุไม่มาก แม่ป่วย พาแม่เข้าโรงพยาบาล แต่เนื่องจากไม่มีเงินค่ารักษาก็เลยตาย เจ็บปวดมาก ตายเพราะว่าไม่มีเงินค่ารักษา หลายคนถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้จะเกลียดโรงพยาบาลมาก พยาบาทโกรธ หาว่าโรงพยาบาลโหดร้าย ทำให้แม่หรือทำให้คนที่ยากจนต้องตาย
แต่ผู้หญิงคนนี้คิดอีกแบบหนึ่ง แทนที่จะโกรธเกลียดพยาบาท แกกลับตั้งคำถามว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ก็เพราะว่าโรงพยาบาลนี้ไม่ค่อยมีเงิน แกเลยตั้งปณิธานไว้ว่า เมื่อแกสามารถทำงานหาเงินได้แกก็จะเก็บรวบรวมเงินเพื่อบริจาคให้กับโรงพยาบาล โรงพยาบาลจะได้มีเงินช่วยเหลือคนยากคน ไม่ให้ตายเหมือนแม่ของแก แล้วแกก็ทำให้มาตั้งแต่เล็ก เรียนหนังสือก็เรียนไม่ได้สูงเท่าไหร่ อายุ 12 ก็ต้องไปขาย ต้องไปทำงาน เพราะไม่มีเงินเรียนหนังสือ พ่อแม่ก็ตาย คนบางคนถ้าไม่รู้จักคิด ก็จะรู้สึกโกรธแค้นเกลียดโลก เพราะว่าลำบากมาตั้งแต่เล็ก ไม่มีอะไรดีเลย เรียนหนังสือก็ไม่ได้ อาหารการกินก็ไม่พอ พ่อแม่ก็ตายเพราะความยากจน แต่ผู้หญิงคนนี้กลับมองอีกแบบหนึ่งว่า เราต้องขยัน เราต้องเก็บหอมรอมริบ เราต้องช่วยตัวเอง
แล้วเธอก็สามารถที่จะประคับประคองชีวิต จนกระทั่งกลายเป็นแม่ค้าขายผักที่ใจบุญ แทนที่จะเอาเปรียบคนอื่น แทนที่จะเห็นแก่ตัวเพราะว่าชีวิตลำบากขาดแคลน กลับมีน้ำใจนึกถึงคนยากคนจนว่า เขาเคยลำบากเหมือนเรา เราก็ช่วยเขา ช่วยทั้งทางตรงช่วยทางอ้อม ช่วยทางอ้อม บริจาคเงินให้โรงพยาบาล โรงพยาบาลจะได้มีเงินไปช่วยคนยากคนจน และตอนหลังเธอได้รางวัลแมกไซไซ ซึ่งเป็นรางวัลที่มีชื่อมากที่สุดของเอเชีย เปรียบได้กับระดับรางวัลโนเบล โนเบลให้คนระดับโลก คนเอเชียแม่ค้าขายผักคนนี้ก็ได้รางวัลถือว่าเป็นเกียรติยศสูง แต่สำหรับเธอคงจะไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ เพราะว่าไม่ได้หวังชื่อเสียง แต่สิ่งที่น่าคิดว่าคนที่เขาตกระกำลำบาก ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน เจอแต่ชีวิตบัดซบ แต่จิตใจเธอกลับเจริญงอกงามและมีความเมตตากรุณามีความเอื้อเฟื้อเสียสละ หลายคนพอเจอชีวิตบัดซบแล้ว เขาก็ปล่อยชีวิตให้มันย่ำแย่ ติดยากินเหล้าหรือว่ามั่วเซ็กส์สำส่อน หรือว่าไปเป็นโจร ไปเป็นอันธพาล คนแบบนี้มีมาก ชีวิตภูมิหลังยากจนลำบาก ครอบครัวขาดความอบอุ่นไม่มีพ่อไม่มีแม่ แต่ผู้หญิงคนนี้เขาเจอชีวิตบัดซบมันกลับทำให้เขา มีชีวิตเจริญงอกงามมากขึ้น จิตใจก็งดงามเป็นเพราะรู้จักคิด ความยากลำบากก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้มีความเข้มแข็ง
ในขณะเดียวกัน ก็มีความเมตตากรุณาเพราะเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของคนยากคนจน แทนที่เกลียดโรงพยาบาลเพราะทำให้แม่ตาย ไม่รักษาแม่เพราะว่าแม่ไม่มีเงิน กลับไปคิดอีกแบบหนึ่งว่าโรงพยาบาลไม่มีเงิน เขาก็เลยปล่อยให้แม่เราตาย เราก็ต้องช่วยโรงพยาบาลให้เขามีเงิน เขาจะได้มีทุนรอนไว้ในการรักษาคนยากคนจน ไม่ให้คนต้องเสียแม่เสียพ่อเหมือนอย่างเรา อันนี้เป็นเพราะคิดเป็น คนที่คิดเป็นแบบนี้ชีวิตมีแต่ความเจริญ อุปสรรคกลับทำให้เข้มแข็ง สิ่งที่เป็นความยากลำบากกลับเป็นการขัดใจให้สะอาด าถ้าเราเลือกได้ ก็น่าจะเป็นอย่างนี้แหละก็คือ ไม่ว่าชีวิตจะลำบากอย่างไรเราก็สามารถเห็นประโยชน์หาประโยชน์จากมัน แล้วก็เอามาใช้เป็นเครื่องกระตุ้นให้เกิดความพากเพียรความพยายาม แล้วก็เกิดความเมตตากรุณาพร้อมกัน คนที่คิดได้แบบนี้แหละ ชีวิตเขาจะมีแต่ความเจริญ เขาถึงได้รู้สึกว่าเขาเป็นคนโชคดีแล้ว
อาตมาคิดว่าผู้หญิงคนนี้ ชีวิตผ่านมาทั้งโชคดีและโชคร้าย แต่เขามองเป็นโชคดี ไม่เช่นนั้น ก็คงจะไม่ได้ลืมตาอ้าปาก แล้วก็มีชีวิตที่สุขสบายเหมือนทุกวันนี้ คำว่าสุขสบายของเธอมันก็ไม่ได้สุขสบายในสายตาคนทั่วไปเพราะวันหนึ่งได้กิน ก็กินอาหารโดยใช้เงินไม่ถึงร้อย แล้วก็ยังทำงานหนักวันละ 16 ชั่วโมง นอนก็นอนพื้น เธอบอกไม่ชอบนอนเตียง แต่สำหรับเธอมันไม่ใช่ความโชคร้าย เป็นความโชคดีที่มีชีวิตแบบนี้
เพราะฉะนั้นเวลาเรารู้สึกว่าเราโชคร้ายอย่าไปโทษโลกไปโทษชะตากรรม ต้องกลับมาดูว่าเป็นเพราะเรามองไม่เป็นหรือเปล่า ถ้าเรามองเป็น เราก็จะรู้สึกขอบคุณ ว่าเราโชคดีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ โชคดีที่ยังมีลมหายใจวันนี้ โชคดีที่ยังไม่เจ็บไม่ป่วย โชคดีที่ยังไม่พิการ สามารถเดินเหินไปไหนมาไหนได้ อย่าไปก่นด่าชะตากรรมหรือรู้สึกแย่กับชีวิตที่ผ่านมา อยู่ที่มุมมองของเรา อยู่ที่ว่าเรารู้จักหามิตร บางทีความยากลำบากก็คือกัลยาณมิตรที่ช่วยทำให้เราพัฒนาตน แล้วก็มีความขวนขวาย มีความเพียร ถ้าเรารู้จักคิดรู้จักมอง เราจะไม่ขาดกัลยาณมิตร ขาดเพื่อนที่จะช่วยแนะนำในทางที่ดี แล้วก็จะประสบแต่โชคดีตลอดเวลา เจออะไรก็ตามก็กลายเป็นโชคดีไปหมด ขอให้เรามีความอดทน ก็จะส่งเสริมเราไปในทางที่ดีงามได้