แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ชีวิตของเราในวันหนึ่งๆต้องพานพบต้องเจอะเจอสิ่งต่างๆมากมาย และบ่อยครั้งเราก็รู้สึกสุขบ้างทุกข์บ้างจากเหตุการณ์ต่างๆที่เจอะเจอ และบ่อยครั้งเราก็มักจะไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราเจอะเจอว่าเป็นสาเหตุแห่งสุขและทุกข์ของเรา แต่ที่จริงแล้วสิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือ ใจ ใจของเรา เจออะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าใจเราเป็นอย่างไร อันนี้คือสิ่งที่คนมักจะมองข้ามไป เรามักจะอธิษฐาน ปรารถนาอยากจะให้เจอสิ่งดีๆเจอโชคลาภ เจอความสำเร็จ เจอคู่ครองที่ถูกใจ อย่าได้เจอะเจอความล้มเหลว ความยากลำบาก โรคภัยไข้เจ็บ แต่เรามักจะมองข้ามสิ่งสำคัญกว่านั้นที่เป็นตัวชี้ขาดสุข และทุกข์ของเรา นั่นคือ ใจ
พระพุทธเจ้าตรัสเป็นพุทธภาษิตซึ่งหลายคนอาจจะได้ยินได้ฟังอยู่บ่อยๆแต่อาจจะไม่พิจารณามากเท่าไหร่ นั่นก็คือพุทธภาษิตที่ว่า “ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จแล้วที่ใจ” ธรรมทั้งหลายในที่นี้ รวมถึงสุขและทุกข์ ที่จริงรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว สุขหรือทุกข์ก็อยู่ที่ใจเราเป็นสำคัญ และเพราะเหตุนี้แหละการวางใจ จึงเป็นสิ่งที่เราควรจะให้ความใส่ใจ จะเจออะไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่จะมองข้ามไม่ได้คือการ วางใจให้เป็น ในยามที่เจอะเจอสิ่งต่างๆเหล่านั้น วางใจมีความหมายที่กว้าง หมายถึงทั้งการทำใจ การน้อมใจ การฝึกใจหรือว่ารวมไปถึงมุมมองต่อสิ่งต่างๆ ถามว่า จะวางใจเพื่ออะไร วางใจให้เป็น เพื่อที่เราจะไม่ทำตนให้เป็นทุกข์ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือไม่หาทุกข์มาใส่ใจ ไม่หาทุกข์มาใส่ตัว เราวางใจเพื่อจะไม่ซ้ำเติมตัวเอง วางใจให้เป็นเพื่อที่เราจะได้รู้จักหาประโยชน์จากทุกสิ่งที่เกิดขึ้น วางใจให้เป็นเพื่อที่จะไม่เปิดช่องให้กิเลสเข้าครอบงำ วางใจให้เป็นเพื่อที่เราจะสามารถเข้าถึงความสุขที่ประเสริฐและประณีตยิ่งๆขึ้นไป ให้คุ้มค่ากับการที่เรามีโชคที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ อาตมาคิดว่า 5 ประการนี้เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องวางใจให้เป็น แล้วคำถามที่ว่า จะวางใจอย่างไรจึงไม่ทำตนให้เป็นทุกข์ หรือจะวางใจอย่างไรจึงไม่หาทุกข์มาใส่ตัว บ่อยครั้งในยามที่เราปกติ เราไม่เจ็บไม่ป่วยไม่มีโรค ไม่มีภัย เราอยู่อย่างสุขสบาย กินอิ่ม นอนอุ่น แต่หลายคนก็มีความทุกข์ใจ ที่ทุกข์ใจนั่นก็เพราะวางใจไม่เป็น และเหตุผลที่ทำให้วางใจไม่เป็นก็เพราะว่าใจชอบไหลไปอดีต ไปจมอยู่กับเหตุร้ายที่อาจจะฝังใจ อาจจะผ่านไปแล้ว 10 ปี 20 ปี หรือเพิ่งผ่านไปแล้วเมื่อไม่กี่วันก็แล้วแต่ ทั้งๆที่อยู่สุขสบายแต่ว่าใจทุกข์ เพราะวางใจไม่เป็น ก็คือไม่รู้จักวางใจให้มาอยู่กับปัจจุบันคนส่วนใหญ่หาทุกข์ใส่ตัวเพราะว่า ปล่อยใจให้ไหลไปอดีตบ้าง ปล่อยไปอนาคตบ้าง วางไหนก็สำคัญเหมือนกัน วางใจให้เป็นแต่วางไหน ไม่ถูกนี่ก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน คนทุกวันนี้แม้ว่าจะมีชีวิตที่สุขสบายแต่ว่าเป็นเพราะวางใจไม่เป็นจึงมีความทุกข์ และที่วางใจไม่เป็นเหตุผลก็คือ ใจมันไหลไปอดีตไปจมอยู่กับเหตุร้ายที่ผ่านไปแล้ว แต่ว่าก็ยังคอยหวนคิดถึงมัน
อาตมาเคยพบโยมคนหนึ่งซึ่งทุกวันนี้ก็ร่ำรวย ครอบครัวก็ดี ลูกก็เป็นคนที่น่ารัก ใฝ่ธรรมะ แต่สีหน้าเธอก็หม่นหมอง คุยไปคุยมา ก็ทราบว่าเป็นเพราะเธอชอบหวนนึกถึงชีวิตในวัยเด็ก สมัยที่ลำบากยากจน และก็ไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่ ไม่เป็นที่รักของพ่อแม่ เพราะว่าเป็นผู้หญิง เหตุการณ์ผ่านมา ๓๐-๔๐ ปีแล้ว แต่เธอก็ยังเศร้า ทั้งๆที่ทุกวันนี้ร่ำรวย เป็นเศรษฐี แล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรที่ทุกข์เพราะว่าไม่เจ็บไม่ป่วย ลูกก็ดี มาเจอโยมคนหนึ่งเป็นคนไทยคิดหวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว มีที่ดินอยู่ผืนหนึ่งอยากจะเก็บไว้ให้กับลูกเป็นสมบัติ แต่ว่าวันหนึ่งสามีก็บอกว่าขายเถอะ แล้วเอาเงินมาให้ลูก และเธอก็เห็นคล้อยตามสามี ขายที่ดินไป ปรากฏว่าสามีก็เอาเงินนั้นไปใช้จ่ายจนหมด ไม่มีเงินเหลือให้กับลูก เธอก็เศร้าเสียใจ รู้สึกผิด แล้วก็จมอยู่กับเหตุการณ์นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนซึมเศร้า จนกลายเป็นโรคซึมเศร้า และอันนี้เรียกว่าวางใจไม่เป็น แทนที่จะปล่อยใจให้ไหลไปอดีต วางใจให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ปล่อยใจให้ลอยไปกับอนาคต ไปปรุงแต่งกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น หลายคนมีความวิตกกังวลกระวนกระวาย เพราะว่าใจนึกถึงแต่ว่าจะเกิดเหตุร้ายอย่างนู้นอย่างนี้ อย่างหลายคนตอนนี้อาจนั่งไม่เป็นสุขแล้ว เพราะว่ากลัวว่าจะกลับบ้านยังไง ฝนตกหนักแบบนี้ใช่ไหม แล้วบ้านเราปิดแน่นไว้ดีไหม น้ำท่วมหรือเปล่า ตอนนี้ก็อยู่ในห้องแอร์ สบายไหม ก็สบายแต่ใจร้อนแล้วเพราะว่าไปคิดถึงอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น เวลารถติดใจก็ร้อนรนกระวนกระวายทั้งๆที่รถก็ติดแอร์ เปิดเพลงที่ไพเราะแต่ว่าใจคิดไปล่วงหน้าแล้วว่าเดี๋ยวจะไปประชุมไม่ทัน เดี๋ยวจะผิดนัด เดี๋ยวจะไปทำงานสาย เดี๋ยวจะตกเครื่องบิน ถามว่าเกิดหรือยัง ยังไม่เกิด แต่ว่าใจไปแล้ว ดึงใจกลับมา น้อมใจกลับมา พาใจกลับมาอยู่กับปัจจุบัน
หลายคนที่บอกว่ามีความทุกข์ทั้งๆที่ตัวเองก็มีทุกอย่างแล้ว แต่ก็ทุกข์ เพราะว่าไปเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เห็นคนอื่น เขาสวยกว่า รวยกว่า มีลูกที่เก่งกว่า มีลูกที่น่ารักกว่า พลอยทุกข์เลย เคยมีการสอบถามความเห็นของผู้หญิงที่หน้าตาดีในยุโรป และอเมริกา เขาเจาะจงเลือกสอบถามผู้หญิงที่หน้าตาดีกว่า 90 กว่า มีความทุกข์ ไม่พอใจในรูปร่างหน้าตาของตัว เพราะอะไร เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดารา ศิลปิน นางแบบ ก็เลยมีความทุกข์มาก หลายคนแม้จะรวย ไม่รู้จักคำว่าลำบาก หรืออดอยากหรือพร่อง แต่ก็ทุกข์ เพราะว่าเห็นคนอื่นเขารวยกว่า
มหาวิทยาลัยชิคาโกเมื่อหลายปีก่อนเคยสอบถามคนประมาณสามพันคนตั้งแต่อายุ 30 กว่า ถึง 80 โดยสอบถามถึงสุขภาพและฐานะทางการเงินของตัวเองและเครือข่ายที่ตัวเองรู้จักไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน พบข้อสรุปอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ เขาบอกว่าคนที่ผู้อื่นที่มีฐานะการเงินที่ดีกว่า มีโอกาสที่จะเป็นโรคหัวใจกว่า 20 % เมื่อเทียบกับคนที่มีฐานะดีกว่า คนเหล่านี้ไม่ใช่คนจน ก็เป็นคนรวย แต่ว่าพอเจอคนที่รวยกว่า คบกับคนที่รวยกว่า รู้สึกด้อย รู้สึกว่าตัวเองยังไม่พอยังจนอยู่ คือความทุกข์ที่เกิดขึ้น อาตมาเรียกว่า เป็นการหาทุกข์มาใส่ตัว หรือว่ามาทำตัวเองให้เป็นทุกข์ ทั้งๆที่มีชีวิตที่สุขสบาย ถ้าเราวางใจให้เป็นคือว่าเราพอใจในสิ่งที่มี ไม่มัวเปรียบเทียบกับผู้อื่นและเราก็จะมีความสุขได้ง่าย การมองลบเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนเราไม่มีความสุข แม้ว่าจะมีชีวิตที่สะดวกสบายก็คอยเห็นแต่ด้านไม่ดีของตัว ทำงานอะไรก็ตามก็เห็นแต่ข้อผิดพลาดของตัวเวลาทำงานกับเพื่อนร่วมงานก็เห็นแต่ข้อพกพร่องของเพื่อนร่วมงาน
มีตัวอย่างที่ดีมาก นั่นคือเรื่องราวของ พระอาจารย์พรหมวังโส เป็นพระชาวอังกฤษ แต่ว่าไปสร้างวัดที่ประเทศออสเตรเลีย พระที่นั่นต้องสร้างวัดเอง ท่านได้รับมอบหมายจากเจ้าอาวาสให้สร้างกำแพง ก่อกำแพงด้วยอิฐ ท่านเป็นคนที่ใส่ใจในเรื่องการก่อกำแพงมาก อิฐแต่ละก้อนๆก็วางอย่างระมัดระวัง แล้วก็ให้ได้มุมได้ฉาก ทำเกือบเสร็จพบว่ามีอิฐสองก้อนที่ไม่ได้มุมไม่ได้ฉาก ท่านรู้สึกไม่สบายใจ อยากจะรื้อ แต่เจ้าอาวาสไม่อนุญาต ท่านบอกว่าท่านไม่พอใจมาก ถ้าระเบิดได้ก็จะระเบิด แต่ว่าเจ้าอาวาสไม่อนุญาต ก็ต้องยอม แต่เวลาท่านเดินผ่านกำแพงนั้นทีไร ท่านก็จะรู้สึกไม่สบายใจ ขัดตาไปหมดเลย
วันหนึ่งมีฆราวาสอาคันตุกะมาเยี่ยม ท่านก็พาชมวัด ฆราวาสคนนั้นเดินผ่านกำแพง ก็เอ่ยปากพูดว่า กำแพงสวยทำได้งดงาม พระอาจารย์พรหมฯบอกว่าไม่เชื่อหูเลย จึงพูดแย้งไปว่า มันสวยได้ยังไงคุณไม่เห็นหรือที่อิฐสองก้อน อาคันตุกะตอบผมเห็นครับ แต่ผมเห็นกำแพงส่วนที่เหลือมันสวย อิฐสองก้อนเมันไม่สวยก็จริงแต่ 998 ก้อนก่อได้สวย พอได้ยินเช่นนี้ พระอาจารย์พรหมวังโส ท่านเรียกว่า สว่างเลย เห็นเลยความทุกข์ของท่านมันไม่ใช่เพราะอิฐสองก้อนหรอก แต่เป็นเพราะใจของท่านที่มองเห็นแต่อิฐสองก้อนนั้น ก็คือมองแต่ลบ ขณะที่อาคันตุกะไม่ได้มองแต่ลบ เขามองเห็นในส่วนที่ดีซึ่งมีมากกว่าส่วนที่เสีย หลายคนวางใจไม่เป็น วางใจไปอยู่ ไปมองไปจดจ่อแต่ส่วนที่เสีย ส่วนที่มันไม่ดีทั้งๆที่ส่วนที่ดีมีตั้งมากกว่า
ประการต่อมาคือ วางใจอย่างไรไม่ซ้ำเติมตัวเอง คนที่ไม่ได้มีเรื่องเดือดร้อนอะไร สุขสบายในชีวิต แต่ว่าทุกข์ใจเพราะวางใจไม่เป็นเลยหาทุกข์มาใส่ตัว แต่บ่อยครั้งเราต้องเจอกับเหตุร้าย เจอกับความสูญเสีย ความเจ็บป่วย คนจำนวนมากมักจะซ้ำเติมตัวเองแทนที่จะป่วยแต่กาย ใจก็ป่วยด้วย ป่วยสองอย่างเลย แทนที่จะเสียเงิน เสียของ เสียเท่านั้นเสียอย่างอื่นตามมา เช่น นึกถึงมัน นึกถึงของที่เสีย นึกถึงเงินที่ถูกโกง นึกถึงโทรศัพท์ที่ถูกขโมย นึกถึงก็เสียใจขุ่นเคืองใจ ใจก็เสียไปหนึ่งแล้ว พอใจเสียมากๆกินไม่ได้นอนไม่หลับ สุขภาพก็เสีย ไปทำงานก็ทำงานไม่ได้เพราะไม่มีสมาธิ งานก็เสีย อยู่กับลูกอยู่กับคนรักอยู่กับเพื่อน ด้วยความขุ่นมัวที่สะสมมานาน บางทีก็ระเบิดอารมณ์ใส่คนที่อยู่ใกล้ตัว เสียเพื่อน เสียความสัมพันธ์ บางทีระเบิดใส่พ่อแม่ที่กำลังป่วย จากเดิมเสียแค่หนึ่งคือเสียของ พอวางใจไม่เป็น เสียใจ เสียสุขภาพ เสียงาน เสียสัมพันธภาพอันนี้เรียกว่าซ้ำเติมตัวเอง คนที่ฉลาดถ้าจะเสียเขาจะเสียแค่อย่างเดียว ไม่ยอมปล่อยให้เสียระเนระนาด ถ้าจะป่วยก็ขอให้ป่วยอย่างเดียว เวลาทำงานถ้าจะเหนื่อย เหนื่อยอย่างเดียวคือเหนื่อยกาย แต่ส่วนใหญ่ก็ปล่อยให้ใจเหนื่อยด้วย บ่น โวยวาย เวลาทำงานก็บ่น เจ้านายไม่เป็นธรรม เพื่อนเอาเปรียบ เพื่อนอู้ เพื่อนกินแรง เรียกว่าซ้ำเติมตัวเอง
ถ้าเรารักตัวเอง ถ้าจะเหนื่อยๆ อย่างเดียวคือเหนื่อยกาย ไม่ปล่อยให้ใจเหนื่อยด้วย ถ้าจะเสียก็เสียแค่อย่างเดียว ไม่ปล่อยให้เสียใจ เสียสุขภาพ เสียงาน เสียเพื่อน เสียสัมพันธภาพ ถ้าจะป่วยก็ป่วยแต่กายใจไม่ป่วย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะอะไรเพราะวางใจไม่เป็น เอาแต่บ่นโวยวาย ตีโพยตีพายแต่ถ้าวางใจเป็น เราก็รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นเอาจิตมาอยู่กับปัจจุบัน คนที่ป่วยกายแล้วใจป่วยด้วยเพราะว่าบางทีใจไปคิดถึงอนาคตว่า เดี๋ยวถ้าป่วยหนักกว่านี้จะเป็นอย่างไร ฉันจะเป็นมะเร็งหรือเปล่า ใจมันไม่อยู่กับปัจจุบันเวลาเสียของแทนที่จะเสียอย่างเดียว เสียสุขภาพ เสียใจ เสียสัมพันธภาพ เสียงานเพราะใจมัน ไปอยู่กับอดีต จดจ่ออยู่กับของที่เสียไป เราซ้ำเติมตัวเองบ่อยครั้งเวลาทำงานแทนที่เราจะจดจ่ออยู่กับงานเรา ก็ไปดูคนอื่นว่าเขาทำงานน้อยกว่าเรา เขาอู้งาน อันนี้เราส่งจิตออกนอก
ถ้าเกิดเรารู้จักวางใจให้อยู่กับปัจจุบัน อย่างที่พูดเมื่อสักครู่ มันจะช่วยทำให้เราไม่ซ้ำเติมตัวเอง เวลารถติดอย่างมากก็แค่เสียเวลา แต่พอวางใจไม่เป็นปล่อยให้จิตตก เสียทั้งเวลา เสียสติหรือเสียความสุข ถ้าจะเสียเสียอย่างเดียวคือเสียเวลา แต่ใจก็ปกติผ่องใส เพราะอะไร เพราะว่า เรารู้จักวางใจกลับมาอยู่กับปัจจุบัน กลับมาอยู่กับลมหายใจ กลับมาอยู่กับเสียงธรรมะที่กำลังเปิด การน้อมจิตหรือวางใจมาอยู่กับปัจจุบันมันจะช่วยให้เราไม่ซ้ำเติมตัวเอง
เมื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้นเพียงแค่เราทำใจยอมรับมันแทนที่จะบ่น โวยวาย ตีโพยตีพาย เพื่อการผลักไสปฏิเสธ แค่ยอมรับมัน ว่ามันเกิดขึ้นแล้วป่วยการณ์ที่จะโวยวาย เมื่อป่วยกายแล้ว บ่นโวยวาย ตีโพยตีพายก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว จิตใจเราจะโปร่งโล่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับการที่เราจะมาพิจารณาหาทางแก้ไขว่าเราจะรักษาสุขภาพของเราอย่างไร เมื่องานล้มเหลว งานประสบอุปสรรค จะไปบ่นโวยวาย ตีโพยตีพาย สู้เรายอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้วมองไปข้างหน้าว่าเราจะแก้ไขอย่างไร
การยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเราเห็นว่ามันเป็นธรรมดา การเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเรายอมรับว่ารถติดในกรุงเทพฯเป็นเรื่องธรรมดา ถึงเวลารถติดแน่นขนัดเราก็ไม่บ่นไม่โวยวาย การเห็นสิ่งต่างๆว่าเป็นธรรมดา รวมถึงการเจ็บป่วยว่าเป็นธรรมดามันจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรายอมรับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นได้ การที่เราเห็นโทษของการบ่น โวยวาย ตีโพยตีพาย หรือปล่อยใจให้จมอยู่กับความโกรธ ความขุ่นมัวมันคือการทำร้ายตัวเองถ้าเราเห็นตรงนี้ ก็จะได้สติแล้วจะเห็นความสำคัญของการกลับมาอยู่กับปัจจุบัน กลับมารู้เท่าทันใจที่บ่น โวยวาย ตีโพยตีพาย อันนี้ก็เป็นการวางใจอย่างหนึ่ง สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เรายอมรับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นได้ คุณลองเติมคำว่า แค่ ลงไป หายแค่โทรศัพท์ เงินหายแค่สองหมื่น
มีผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาแกซีดเซียว ผอมไปหาหมอ หมอเห็นก็ขอตรวจเลือดเลยแล้วก็นัดมาฟังผล แล้วหมอก็บอกว่า ลุง ลุงเป็นเบาหวาน แกยิ้มเลย หมอสงสัย หมอก็เลยย้ำว่า ลุงเป็นเบาหวาน แล้วเป็นเบาหวานมันต้องดูแลร่างกายตลอดชีวิตเลย ทำไมลุงหน้าตายิ้มแย้มแบบนี้ คุณลุงก็บอกว่าหมอ ทีแรกผมนึกว่าเป็นเอดส์ เป็นแค่เบาหวาน พอเป็นแค่เบาหวานมันเป็นเรื่องเล็กไปเลย อีกรายหนึ่ง อันนี้อาตมาก็เล่าบ่อยเหมือนกัน จิตอาสาไปเยี่ยมผู้ป่วย เป็นเด็กอายุ 14 เธอเป็นมะเร็งสมอง ผมร่วงหมดเพราะโดนฉายแสง ฉีดคีโม แต่เธอยิ้มแย้มแจ่มใส จิตอาสาก็แปลกใจคุยไปคุยมาเธอก็บอกว่าเธอโชคดีที่เป็นมะเร็งสมอง เพราะว่าญาติคนหนึ่งเป็นมะเร็งปากมดลูก ปวดมากเลย ทรมานมากเลย หนูโชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง มะเร็งสมองพอคุณเติมคำว่า แค่ ลงไป มันกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ถ้าเราลองวางใจแบบนี้ดูบ้าง ไม่ว่าจะเจออะไรก็ตาม ลองเติมคำว่า แค่ ลงไป สิ่งที่สูญเสีย สิ่งร้ายมันก็จะกลายเป็นเรื่องเล็ก รถติดแค่สองชั่วโมงเองเหรอ จะทุกข์ไปทำไมกับรถติดเพราะมันติดแล้วใช่ไหม เราวางใจให้เป็นปกติดีกว่า อันนี้จะมองอีกแง่หนึ่งคือมองบวกได้
การมองบวกก็เป็นการวางใจอีกแบบหนึ่ง ก็คือวางใจให้เห็นแง่มุมที่เป็นบวก แทนที่เราจดจ่อเห็นแต่แง่ลบเราก็วางหรือมอง หันมามองส่วนที่เป็นบวก มีผู้ชายคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มและเป็นคนที่มีจิตงดงามมากชอบไปช่วยเหลือเด็กยากจนในชนบท วันหนึ่งก็ชวนนักศึกษาไปช่วยโรงเรียนแถวแม่ฮ่องสอน ไกลทีเดียว เสร็จแล้วก็นั่งรถตู้กลับแม่ฮ่องสอนโค้งมาก ขากลับปรากฏว่ารถเกิดพลาดตกจากถนนลงไปยังเหวข้างล่าง มันก็ไม่ได้สูงมากเท่าไหร่ ตอนที่ตกลงไป ชายหนุ่มคนนี้แกก็ภาวนาว่าขอให้ทุกคนที่แกพามาปลอดภัย ปรากฏว่านักศึกษาทุกคนปลอดภัยหมดเลยยกเว้นแก ปรากฏว่าแกได้รับแรงกระทบกระแทกอย่างแรงเป็นอัมพฤต เป็นอัมพาตครึ่งตัว แต่แกก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใส แกเล่าว่ามีหลายคนมาบอกแก คล้ายๆทำนองสงสาร ตัดพ้อ ขนาดทำบุญยังเจออุบัติเหตุ เหมือนกับว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี แต่ในใจแกกลับคิดว่า ก็เพราะทำบุญ ถึงรอดมาได้ขนาดนี้ รอดตั้งครึ่งตัว ไม่งั้นตายไปแล้ว อันนี้ก็เป็นการมองบวกคือว่าแทนที่จะมาเสียอกเสียใจ โอ อุตส่าห์ทำความดีทำบุญทำกุศลแล้วทำไมต้องมาเจอแบบนี้ แกก็มองว่าก็เพราะทำดีสิถึงไม่ตายแค่อัมพาตครึ่งตัว
ความรู้สึกที่ดีของเรา การที่มองสิ่งต่างๆในเชิงบวก หรือว่ามองเห็นแง่ดีของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น มันช่วยทำให้เราอยู่กับสิ่งต่างๆที่เป็นทุกข์ได้โดยที่ไม่ซ้ำเติมตัวเอง หลายคนไม่ชอบความเครียดโดยเฉพาะนักภาวนายิ่งมารู้ว่าความเครียดเป็นตัวการที่ทำให้คนเจ็บป่วย มีข้อมูลจากการวิจัยพบว่าความเครียด ความวิตกกังวล เป็นสาเหตุแห่งการตายที่ร้ายแรงยิ่งกว่าเหล้าและบุหรี่ เพราะฉะนั้นคนทุกวันนี้กลัวความเครียดมาก แต่มีข้อมูลล่าสุดที่พบว่าความเครียดมันไม่ใช่เลวเสมอไป ความเครียดจะดีหรือไม่ ความเครียดจะเลวหรือไม่อยู่ที่ว่าเรามองมันอย่างไร ถ้าเรามองว่าดี ความเครียดก็ดี ถ้าเรามองว่ามันแย่ ความเครียดก็ซ้ำเติมทำให้เราแย่ทั้งกาย แย่ทั้งใจ เมื่อเร็วๆนี้ก็มีการศึกษา ทำการทดลองกับนักศึกษาสองกลุ่ม สองกลุ่มนี้กำลังจะสอบเข้าเรียนปริญญาโทซึ่งข้อสอบก็ยาก กลุ่มหนึ่ง ผู้ทดลองก็จะบอกกับนักศึกษาว่า ความเครียดระหว่างสอบ ระหว่างเตรียมตัวสอบ มันเป็นเรื่องธรรมดา เครียดมันก็ดีเหมือนกันมันช่วยทำให้การสอบได้ผลดี อีกกลุ่มหนึ่งก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เขาก็ให้ลองสอบดู ปรากฏว่า กลุ่มแรกที่ได้รับการบอกเล่าว่าความเครียดมันดี มันมีประโยชน์ทำคะแนนได้ดีกว่ากลุ่มที่สอง ทั้งๆที่ความเครียดเท่าเดิม ความเครียดของสองกลุ่มเหมือนกันเพราะเขาได้เอาน้ำลายไปตรวจหาคอร์ติซอล ก็พบว่าสองกลุ่มเครียดเหมือนกันแต่ว่ากลุ่มแรกมองความเครียดในแง่ดี เขาไม่ได้ทุกข์ร้อนกับมัน คะแนนการสอบได้ดีกว่า อันนี้เป็นการทดลองสอบและพอถึงเวลาสอบจริง กลุ่มที่หนึ่งก็สอบได้ดีด้วย ได้คะแนนดีด้วย
มีงานวิจัยหนึ่งทำกับพนักงานธนาคารหลายแห่งประมาณ 400 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเขาจะให้ดูวีดีโอที่ย้ำถึงโทษของความเครียดมันทำให้หัวใจวาย เป็นโรคความดันอีก เขาบอกว่าความเครียดมันมีข้อดีอย่างไรบ้าง สามารถที่จะกระตุ้นให้เกิดสมรรถนะในการทำงาน กลุ่มที่สามไม่ทำอะไรเลย หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปก็พบว่ากลุ่มที่สองที่ได้ดูวีดีโอว่าความเครียดมันดีอย่างไร ปรากฏว่ามีสมาธิดีกว่า มีส่วนร่วมมากกว่า แล้วก็มีความเจ็บป่วยน้อยกว่าสองกลุ่ม อันนี้ชี้ให้เห็นว่าท่าทีของเรา หรือความรู้สึกของเราต่อความเครียดมันเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าตัวความเครียดด้วยซ้ำ ความเครียดไม่ดี แต่พอเรามองว่ามันดีหรือเรารู้สึกบวกกับมัน มันก็อาจจะเกิดผลดีก็ได้มันอยู่ที่ใจเราว่า เราจะมองมันอย่างไร อันนี้เป็นข้อมูลใหม่ซึ่งทำให้เห็นว่า จริงๆแล้วใจเรา สำคัญมาก มีผู้หญิงคนหนึ่งแกเป็นมะเร็งและต้องได้รับการฉายแสง มะเร็งของเธอต้องได้รับการฉายแสงที่แรง โดสที่แรง เคมีบำบัดก็แรงต้องใช้โดสที่สูง คนส่วนใหญ่แพ้แต่เธอไม่แพ้ แพ้น้อยมาก คนก็แปลกใจว่าเธอมีอะไรดีเหรอ ยีนส์เธอดีหรือเปล่า ปรากฎว่าเธอบอกว่าเธอไม่ได้ทำอะไรเลยเธอเพียงแต่คิดว่าเวลาได้รับการฉายแสงเธอคิดว่าเธอได้รับแสงสว่าง เวลาฉีดเคมีบำบัดเธอก็คิดว่าเธอกำลังได้รับน้ำทิพย์ เธอมองมันด้วยความรู้สึกที่ดี พอใจยอมรับ กายก็ยอมรับด้วย กายก็ไม่ต่อต้าน ตรงข้ามกับคนที่กลัว กลัวเคมีบำบัดกลัวการฉายแสง ได้รับคำพูดว่าแพ้ แพ้มากเลย พอโดนฉายแสงเข้าใจมันต้านด้วยความกลัว ใจมันไม่เป็นกลาง ต้าน ปรากฏว่ากายมันก็ต่อต้านด้วย ก็เลยเกิดการแพ้
ถ้าเราวางใจเป็น การซ้ำเติมตัวเองจะไม่เกิดขึ้นถึงแม้ว่าเราจะเจอสิ่งที่แย่แต่พอเราวางใจอย่างที่ว่า เช่น วางใจเป็นกลาง ยอมรับมันไม่บ่น ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย หรือรู้สึกดีกับมัน อย่างน้อยๆใจเราก็ปกติ อาจจะมีความทุกข์แต่ว่าเป็นแค่เพียงทุกข์กายแต่ใจไม่ทุกข์ด้วย การให้อภัยก็วิธีหนึ่งในการไม่ซ้ำเติมตัวเอง หลายคน ถูกรังแก ถูกเบียดเบียน ถูกเอาเปรียบ ถูกทรยศ โกรธ พอโกรธแล้วเป็นอย่างไร ไม่รู้เลยว่ากำลังซ้ำเติมตัวเอง เสียเงินเพราะถูกโกงไปแล้วยังปล่อยให้ความโกรธเผารอนจิตใจ ยังปล่อยให้ความเกลียดเสียดแทงใจ คนที่เขารักตัวเองเขาจะไม่ซ้ำเติมตัวเอง เสียก็เสียแต่เงิน จะไม่ปล่อยให้ใจเป็นทุกข์ด้วย เขาจะรู้จักให้อภัย การให้อภัยก็เป็นการวางใจอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ให้อภัยเพื่อคนอื่นให้อภัยเพื่อตัวเอง เพื่อตัวเองจะได้ไม่ทุกข์ เพื่อจะได้นอนหลับ จะได้ไม่เจ็บไม่ป่วยจากความโกรธ จากความพยาบาท
ชายคนหนึ่งถูกรถชนแล้วตีนผีรถคันนั้นก็หนีไปเลยปล่อยให้ชายคนนั้นนอนอยู่บนถนน ขาหัก แขนหัก รถพยาบาลมาถึงอย่างทันทีมารับชายคนนั้นเพื่อไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่ชายคนนั้นบอกฉันไม่ขึ้น จนกว่ารถตีผีคนนั้นมาขอโทษฉัน คนอย่างนี้ฉลาดไหม ไม่ฉลาด คนที่รักตัวเองต้องไปรักษาก่อน หลายคนที่ทำอย่างนี้เวลาป่วย เจ็บ ตาย แต่พอเจ็บใจไม่ทำแบบนั้น เวลาเจ็บใจจะพูดว่า เขาต้องมาขอโทษฉันก่อน ฉันถึงจะให้อภัย เราไม่ทำอย่างนั้นเวลาเราเจ็บกาย เขาจะมาขอโทษเราหรือไม่ เราไปโรงพยาบาลก่อนไปรักษาตัวก่อน แต่เวลามีคนมาทำร้ายจิตใจเรา เราไม่ยอมให้อภัยเขาจนกว่าเขาจะมาขอโทษเรา อันนี้เราฉลาดหรือเปล่า เราวางใจถูกไหม ถ้าเรารักตัวเองหน้าที่อย่างแรกของเราคือ เยียวยาจิตใจ และสิ่งที่จะเยียวยาจิตใจและสิ่งที่จะเยียวยาจิตใจที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การให้อภัย เขาจะมาขอโทษเราหรือเปล่าเป็นเรื่องของเขา ถ้าเขาไม่ทำ มันก็เป็นกรรมของเขาเอง แต่หน้าที่ของเราคือ เราต้องดูแลตัวเอง ดูแลกายและใจของตัวเอง
ประการต่อมาก็คือว่า เราจะวางใจอย่างไร จึงสามารถหาประโยชน์จากทุกสิ่งได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราเป็นประโยชน์ทั้งนั้นถ้าเรารู้จักมอง ถ้าเราวางใจเป็น เราจะสามารถหาประโยชน์ได้จากทุกสิ่ง แม้ว่ามันจะเป็นการเจ็บการป่วย ความสูญเสีย ตอนที่เกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 54 ก็มีผู้คนสิ้นเนื้อประดาตัวเป็นจำนวนมากหลายหมื่นเป็นแสน บางคนก็กลุ้มอกกลุ้มใจจนเป็นบ้า บางคนก็ฆ่าตัวตาย ซึ่งอันนี้ก็จัดเป็นการซ้ำเติมตัวเอง เพราะว่าน้ำท่วมมันทำลาย พัดพาเอาทรัพย์สมบัติไปมันไม่สามารถจะทำอย่างอื่นได้ แต่เพราะวางใจไม่เป็นเลยกลุ้มอกกลุ้มใจจนเสียสติ จนเป็นบ้า จนต้องทำร้ายตัวเอง แต่มีอยู่คนหนึ่งเขาก็ไม่ทุกข์เท่าไหร่ เขาบอกว่าการที่น้ำท่วมคราวนี้ทำให้เขาได้เห็นเลยว่า ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลยทุกอย่างที่อยู่กับเราเป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง อันนี้เรียกว่าได้ประโยชน์จากน้ำท่วม เราจะสามารถได้ประโยชน์จากการเจ็บป่วย ความเจ็บป่วยก็มาสอนให้เราเห็นถึงความไม่เที่ยงของสังขาร มาเตือนให้เราไม่ประมาทกับเวลาที่เหลืออยู่ อาจารย์พุทธทาสบอกว่าความเจ็บป่วยมาเตือนให้เราฉลาด
หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ ซึ่งเป็นอาจารย์ของอาตมา ตอนที่ท่านป่วยเป็นมะเร็งครั้งแรกเมื่อปี 49 ท่านก็รักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ท่านบอกว่าป่วยเป็นมะเร็งก็ดี มีคนทำให้อะไรให้ทุกอย่างเลย สบาย ได้แต่นั่งดูไตรลักษณ์ ท่านใช้โอกาสนี้เวลาเจ็บป่วยดูไตรลักษณ์ เพราะว่าไตรลักษณ์มันมาแสดงให้เราเห็น มันมาโชว์ให้เราเห็น เวลาป่วยเป็นเวลาที่ดี ที่เราจะมาพิจารณาดูไตรลักษณ์ไม่ใช่เอาแต่บ่น โวยวาย ตีโพยตีพาย ทำไมต้องเป็นฉัน อันนี้คือโอกาสดี ที่เราจะได้เห็นสัจธรรมจากความเจ็บป่วย คือความหมายของการเห็นประโยชน์จากทุกสิ่งเห็นประโยชน์จากทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
การสูญเสียคนรัก มันก็สอนให้เราเห็นถึงความไม่เที่ยงของสังขาร เห็นโทษของการติดยึด นางกีสาโคตมีพอเห็นตรงนี้ท่านบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันเลย จากเดิมที่กลุ้มอกกลุ้มใจที่เสียลูกอายุ 2-3 ขวบ ยอมรับไม่ได้ที่ลูกตาย อุ้มศพลูกเพื่อให้ใครต่อใครปลุกให้ฟื้น แต่สุดท้าย พอได้เจออุบายธรรมจากพุทธเจ้า ก็เข้าใจเรื่องความตาย เข้าใจเรื่องความสูญเสียที่เกิดกับทุกครอบครัว และพอพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเพียงแค่เล็กน้อยว่า น้ำป่าย่อมพัดพาผู้ที่หลับใหลฉันใด พญามัจจุราชก็พัดพาผู้ที่หลงใหลในรูปในทรัพย์ในคนรักฉันนั้น พอพูดเท่านี้ นางกีสาโคตมีบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันเลย ได้ประโยชน์ จากความสูญเสียที่เกิดขึ้น คำด่าก็มีประโยชน์ มีประโยชน์ได้หลายอย่างเลย คุณเล็ก วิริยะพันธ์ อดีตเจ้าของเมืองโบราณเคยพูดว่าวันไหนไม่ถูกตำหนิ วันนั้นเป็นวันอัปมงคล คำตำหนิเป็นคำอัปมงคล มีเรื่องเล่า สมัยที่หลวงปู่ขาว อนาลโยยังมีชีวิตอยู่ วันหนึ่งท่านได้มอบหมายให้พระสองรูปที่เป็นลูกศิษย์ ไปดุด่าว่ากล่าวแม่ชีคนหนึ่ง ชื่อแม่ชีสา แม่ชีสาเป็นคนที่ปฏิบัติดีแต่ว่าท่านก็มีอุบาย ให้พระสองรูปนี้ไปด่าแม่ชีสา พระสองรูปนี้ก็เดินไปที่กุฏิ แล้วก็ทำตามที่ครูบาอาจารย์สั่งโดยที่ไม่ได้สงสัยว่าให้ด่าไปทำไม ไปถึงก็ด่าเลย แม่ชีสาทีแรกก็งง แต่ว่าก็ตั้งสติได้ พนมมือฟังคำดุด่าว่ากล่าวพระอาจารย์สองท่านก็ดุด่าว่ากล่าวจนไม่รู้จะดุด่าอะไรแล้ว พอหยุดแม่ชีสาก็เลยพูดขึ้นมาว่า พระอาจารย์ดุด่าว่ากล่าวจบแล้วเหรอ ดิฉันฟังแล้วซาบซึ้งเหลือเกินที่ดุด่ามาเป็นธรรมะทั้งนั้นเลย คราวหน้านิมนต์มาดุด่าใหม่ เพราะว่ามันช่วยขูดกิเลสให้หมดไป แม่ชีสาไม่ทุกข์เลย แม่ชีสาวางใจอย่างฉลาดว่า คำดุด่าว่ากล่าวมันเป็นเครื่องขูดกิเลส เป็นเครื่องลดละอัตตา
ฉะนั้น ให้เราลองพิจารณาเวลามีอะไรเกิดขึ้น หาประโยชน์จากมัน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตามโดยเฉพาะสิ่งที่เป็นลบ หรือแม้ในยามปกติ ไม่ว่าเราเห็น เราเจออะไร ลองมองทุกอย่างให้เป็นธรรมะเราจะได้ประโยชน์มาก เงินหายของหายมันก็เป็นธรรมะ มาแสดงถึงความไม่เที่ยง เห็นต้นไม้ล้ม ใบไม้ร่วงก็เป็นธรรมะ บางทีแม้กระทั่งเห็นหญิงสาว เห็นรอยยิ้มหญิงสาวก็เป็นธรรมะได้ ท่านนาคสมาล ขณะกำลังเดินอยู่ในเมือง ก็มีขบวนแห่มีหญิงสาวคนหนึ่งแต่งตัวสวยเป็นนางรำ มองมาที่ท่าน สายตาของท่านไปกระทบกับหญิงสาวคนนี้ แต่แทนที่จะเกิดกามราคะ ท่านกลับเห็นโทษของกาม ว่านี่แหละคือบ่วงของมาร จิตของท่านเกิดปัญญาเลย แล้วก็บรรลุธรรมเลย อันนี้คล้ายๆกลับพระกุณฏกภัททิยะ ท่านเป็นคนรูปร่างเล็ก ตัวคล้ายๆกับโก๊ะตี๋ ตัวเล็กๆหน่อย ป้อมๆ อยู่บนถนนก็มีรถม้า แล่นผ่าน บนรถม้าก็มีมานพหนุ่มกับหญิงคณิกา หญิงคณิกาเห็นท่านกุณฏกภัทริยะ เห็นแล้วคงเอ็นดูก็ยิ้ม ยิ้มนี้เห็นฟันเลย แต่แทนที่ท่านจะเกิดราคะ ท่านกลับมองว่านี่คือบ่วงของมาร ใจท่านไม่ได้คล้อยตามเลย ท่านกลับเห็นโทษของสังขาร โทษของกามราคะ บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีทันทีเลย อันนี้ก็เรียกว่าทุกอย่างมันมีประโยชน์
เราสามารถเห็นธรรมะจากทุกอย่างแม้กระทั่งภาพหญิงที่กำลังยิ้ม หรือกำลังฟ้อนอย่างสวยงามได้ พระติสสะเดินผ่านชุมชน ได้ยินเสียงนางทาสีกำลังร้องเพลงและเพลงนั้นเป็นเรื่องของความไม่เที่ยงของชีวิต ถ้าเป็นเพลงลูกทุ่งสมัยนี้คือเพลงมันไม่บ่แน่หรอกนาย แต่เพลงนั้นมันลีลาเศร้าๆ ท่านฟังแล้วพิจารณาตามท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์เลย ท่านบรรลุธรรมนี่ไม่ได้จากการพิจารณาซากศพแต่เป็นการฟังเสียงเพลงของหญิงสาวร้อง หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าทุกอย่าง มันสามารถจะเป็นประโยชน์ในทางธรรมได้หากว่ารู้จักมอง
การวางใจประการต่อมา คือการไม่เปิดช่องให้กิเลสครอบงำ สิ่งที่จะช่วยไม่ให้กิเลสครอบงำจิตใจคือ ความไม่ประมาท ไม่ว่าเราจะเป็นนักปฏิบัติธรรม จะเป็นคนที่มีศีล หรือว่าจะเป็นนักบวช เป็นพระ เราก็ไม่อาจประมาทกิเลสได้ เพราะความประมาทอาจจะทำให้เราเผลอ เปิดช่องให้กิเลสได้ เปี๊ยก โปสเตอร์ เป็นนักสร้างหนังที่มีชื่อเมื่อ 30-40 ปีก่อน ก่อนที่จะเป็นนักสร้างหนัง เขาเป็นนักวาดโปสเตอร์โฆษณาหนัง เขาเล่าว่ามีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อเกษียณ วันหนึ่งไปนั่งกินอาหารด้วยกันในร้าน เกษียณเห็นผู้ชายคนหนึ่งกินเหล้าแล้วก็ท่าทางเมาด้วย จึงพูดขึ้นมาว่า โง่ฉิบหายเลย กินเหล้าแต่โดนเหล้ากิน สองเดือนต่อมา เขาไปงานเลี้ยงบ้านเพื่อน ที่โต๊ะมีเบียร์อยู่กลางโต๊ะ ลองชิมดูก็รู้สึกมันฝืดๆเปรี้ยวๆ ผ่านไปไม่กี่วัน เปี๊ยก โปสเตอร์ก็ไปสังเกต เกษียณกำลังวาดรูปอยู่แล้วไปเรียกให้ลูกน้องไปซื้อเบียร์มา เปี๊ยก โปสเตอร์เลยพูดขึ้นมาว่า อ้าว เคยว่าเขาแล้วทำไมทำเสียเอง เกษียณบอกว่านายไม่รู้อะไร ไอ้เหล้านี่เป็นของคนสถุน แต่เบียร์นี่เป็นของคนชั้นสูงเอาไว้ผ่อนคลาย จากเดิมกินเบียร์แค่ขวดเดียวหรือครึ่งขวด ตอนหลังล่อไปสี่ห้าขวด แล้ววันหนึ่งเปี๊ยก โปสเตอร์ก็ไปเห็นเกษียณบอกให้ลูกน้องไปซื้อเหล้ามาเป๊กหนึ่ง เปี๊ยก โปสเตอร์ก็พูดขึ้นมาว่า อ้าวไหนบอกว่าเหล้าเป็นของคนสถุน แล้วทำไมเดี๋ยวนี้กินเหล้าแล้ว แกก็บอกว่า นายต้องเข้าใจ อาชีพอย่างเราเงินเดือนมันไม่มากเท่าไหร่ จะมีปัญญาซื้อเบียร์วันละ 4-5 ขวดได้อย่างไร เหล้าเป๊กเดียวนี่เอาอยู่เลย นับจากนั้นมาแกติดเหล้าเลย เสร็จแล้วแกก็เป็นอัมพาต ตายเพราะเหล้า จากคนที่ด่าคนกินเหล้าว่าโง่ฉิบหายเลย กินเหล้าแต่ให้เหล้ากิน กลายเป็นคนติดเหล้า อันนี้เพราะอะไร อาจจะบอกว่าเพราะไปว่าเขาเลยโดนเอง แต่ที่จริงสาเหตุสำคัญคือ เพราะความประมาท คิดว่าเหล้ามันเป็นของคนโง่ คนอย่างฉัน ฉันเป็นคนฉลาดเหล้ามันทำอะไรไม่ได้หรอก พอคิดแบบนี้เข้ามันเปิดช่องให้เหล้าเข้ามาครอบงำ ทันทีที่เราไปดูหมิ่น เหยียดหยาม ว่ากล่าวใคร นั่นแหละคือช่องทางที่กิเลสมันจะเข้ามา
พระที่เพ่งโทษคนนั้นคนนี้ว่า ไม่รักษาศีล ไม่มีวินัย หลายรูปก็ลงเอย สุดท้ายก็สึก ไปติดเหล้า และบางทีก็ตายเพราะเหล้า เป็นเพราะความประมาท ที่จริงมันไม่ใช่เรื่องเหล้าอย่างเดียว ความประมาทอย่างอื่นก็เหมือนกัน เช่น ประมาทในความดีที่ตัวเองมี หรือว่าประมาทในความสุขที่มี พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผลแห่งความดี ย่อมเป็นพิษแก่ผู้ไม่พิจารณา เวลาทำความดีแล้วก็ได้รับคำชื่นชม สรรเสริญ ได้รับรางวัล ใครๆก็ยกย่อง อันนี้เป็นผลแห่งความดี แต่ถ้าไม่พิจารณา มันสามารถจะกลายเป็นพิษได้ ที่ไม่พิจารณาเพราะอะไร เพราะประมาท ฉะนั้น เราต้องหมั่นพิจารณา เราอย่าประมาทในสิ่งต่างๆ แม้จะเป็นผลของความดีก็ตาม
อีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้ไม่เปิดช่องให้กิเลสเข้ามาครอบงำได้ก็คือ ให้หมั่นรู้สึกตัว ความหลงถ้ามันครองใจเราเมื่อไหร่ กิเลสก็เข้ามาได้ง่าย แต่ถ้าเรามีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ กิเลสหรืออกุศลธรรมก็เข้ามายาก พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลเมื่อมีความรู้สึกตัว อกุศลธรรมใดที่เกิดแล้วก็หายไป กุศลธรรมใดที่ยังไม่เกิดก็บังเกิดขึ้น ความรู้สึกตัวนั้นต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่ เพื่อความตั้งมั่น ไม่เสื่อมสูญ ไม่อันตราธานแห่งพระสัทธรรม เมื่อใดก็ตามที่เรามีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ จิตใจก็ไม่เปิดช่องให้กิเลสเข้ามาครอบงำได้ง่าย หรือไม่สามารถครอบงำได้เลย เราจะรู้สึกตัวได้ก็ต่อเมื่อเราหมั่นเอาใจให้มาอยู่กับเนื้อกับตัว อย่าปล่อยให้ใจเพ่นพ่านออกไปนอกตัว พาใจกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ทำให้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา
ประการสุดท้ายคือว่า วางใจอย่างไร เพื่อให้เข้าถึงความสุขที่ประณีต คนเราเมื่อเกิดมาทั้งที่ควรเข้าถึงความสุขที่ประณีต ความสุขที่ประเสริฐ แล้วความสุขที่ประเสริฐก็คือความสงบ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี แต่ความสงบมีอยู่สองอย่าง สงบเพราะไม่รู้ คือ ปิดหู ปิดตา ไม่รับรู้อะไรเลย แต่พอไปรับรู้สิ่งภายนอกก็อาจจะว้าวุ่น วุ่นวายได้ง่าย ความสงบอีกอย่างหนึ่งคือ สงบเพราะรู้ รู้มีสองอย่าง ก็คือ รู้ตัว กับรู้ความจริง รู้ตัวมันตรงข้ามกับความไม่รู้ตัวหรือความลืมตัว หรือความหลง ความหลงก็มีสองอย่าง ก็คือหนึ่งลืมตัว สอง ไม่เห็นความจริง ถ้าเราหมั่น สร้างความรู้สึกตัวอยู่เสมอ อย่างที่อาตมาพูด เราจะเข้าถึงความสงบได้ง่าย เวลามีอะไรมากระทบเรารู้ รู้ว่ามันเกิดที่ใจ อันนี้เรารู้ด้วยสติ ถ้าเรารู้ด้วยสติ แม้ว่ารูปมันกระทบตา ทำให้ใจกระเพื่อมไม่ว่าจะยินดีหรือยินร้าย แต่รู้ทัน
ธรรมชาติของจิต อารมณ์ใดก็ตามที่มันถูกรู้ทันขึ้นมา ถูกเห็น มันก็จะสงบ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ไม่ว่าจะเป็นความเกลียด ความเศร้า ความดีใจ ความยินดี ที่มันมาครอบงำจิตใจเราได้ จนเราหลงเราลืมตัว เพราะเราไม่เห็นมันหรือเพราะว่าไม่มีสติรู้ทัน ถ้าหากว่าเราสามารถฝึกใจให้มีสติ รู้เห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นรวมทั้งความคิดที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา มันก็จะสงบลงไปได้ แต่สงบอย่างนี้ก็เป็นสงบชั่วคราว รู้ที่สำคัญกว่านั้นคือรู้ความจริง รู้ความจริงในที่นี้คือ ความจริงที่ว่าสิ่งทั้งปวงนั้นมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตน นั่นคือรู้ด้วยปัญญา
แต่การรู้ด้วยปัญญาจะเกิดขึ้นได้เพราะว่าเรารู้ด้วยสติ หรือเห็นด้วยสติ ตอนแรกก็เห็น ว่าอ๋อ มันเกิดขึ้นแต่ก่อนเวลามันเกิดขึ้น เราก็ไปคิดว่า มันเป็นเรา เป็นของเรา เวลาทำอะไรก็คิดว่าเราทำ เวลาเดินก็คิดว่าเราเดิน เวลาโกรธก็คิดว่าเราโกรธ แต่พอมีสติมันก็เห็นว่า ที่เดินไม่ใช่เราเดิน มันเป็นรูปมันเป็นร่างที่เดิน มันเป็นกายที่เดิน ที่คิดไม่ใช่เราคิด เป็นความคิดที่เกิดขึ้นมาในใจ ที่โกรธไม่ใช่เรา โกรธมันเป็นความโกรธที่เกิดขึ้นมาในใจ การเห็นอย่างนี้มันทำให้เราได้เข้าใกล้ความจริงหรือรู้ความจริงที่ชัดขึ้น คือ มันไม่มีเรา มันมีแต่รูปกับนาม มันมีแต่กายกับใจ แต่เพราะความไม่รู้ความจริงมันทำให้เราหลงปรุงว่ามันมีเราเป็นเจ้าของกายเป็นเจ้าของใจ หรือเป็นเจ้าของการกระทำ เวลามีความทุกข์แทนที่จะเห็นความทุกข์ กลับกลายเป็นว่า เราทุกข์ เราทุกข์ แต่ทีนี้ถ้าเรารู้ด้วยสติหรือเห็นด้วยสติอยู่เนืองๆมันก็จะเกิดปัญญารู้ หรือเห็นความจริงว่า ที่จริงไม่มีเรา และการที่เห็นความจริงของกายและใจ การที่เห็นของจริงคือกายและใจอยู่เนืองๆด้วยสติจะทำให้เห็นความจริง หรือสัจธรรมที่กายและใจแสดงออกมา ซึ่งถ้าเราเห็นสัจธรรมหรือความจริงที่กายและใจแสดงออกมา มันก็ทำให้วางได้ มันก็จะเห็นว่ามันไม่มีอะไรที่จะยึดมั่นถือมั่นได้เลย และความรู้อย่างนี้ ที่จะทำให้เราได้เข้าถึงความสงบอย่างแท้จริง เป็นความสงบที่ประเสริฐ เป็นความสงบเพราะไม่ได้ยึดติดกับสิ่งใด
การวางใจให้เป็นผู้ดูผู้เห็น ไม่เข้าไปเป็นกับอะไรไม่ว่ามันจะเป็นยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ว่ามันจะเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ ก็ไม่เข้าไปเป็น หลวงพ่อคำเขียน ท่านจะเน้นอยู่เสมอ ให้เห็นอย่าเข้าไปเป็น ให้ใจเราเป็นแค่ผู้ดู เราวางใจให้เป็นแค่ผู้ดูเฉยๆ เห็นการเป็นไปของกายและใจ ที่เกิดขึ้น เห็นความเป็นไปที่เกิดขึ้นอยู่รอบตัวเรา เหมือนนั่งอยู่ฝั่งแม่น้ำแล้วก็นั่งดูแม่น้ำไหล การนั่งดูแม่น้ำไหลมันไม่เหนื่อยเลย แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ทำอย่างนั้นเห็นเรือสำราญผ่านมาก็กระโจนลงไปว่ายเพื่อจะขึ้นเรือ เห็นกอสวะผ่านมาก็พยายามเอาไม้ไปแหย่กอสวะ ให้มันห่างตัวออกไป เห็นหมาเน่าผ่านมาก็ไม่อยู่เฉย พยายามหาอะไรก็ได้แหย่ดันให้หมาเน่ามันห่างไปไกลๆ เหนื่อย คนเราทุกข์ก็เพราะเหตุนี้มากแต่ถ้าเราเป็นผู้ดูเฉยๆ ให้ใจเราเป็นแค่ผู้ดูดูทุกอย่างที่มันไหลเลื่อนไปตามกระแสน้ำ กระแสจิตมันก็ไม่ต่างจากกระแสน้ำคือ มันไหลไปเรื่อย ถ้าเราดูอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เราก็จะเห็นความจริง จิตก็จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกระแสของสัจธรรมความจริง จะไม่ทำตัวไปขวางความจริงเอาไว้ เหมือนกับไปขวางกระแสน้ำที่เชี่ยว ความจริงเหมือนกับกระแสน้ำที่เชี่ยวมาก ไม่มีใครสามารถต้านทานได้ แต่คนส่วนใหญ่วางตัว ทำจิตทำใจเหมือนกับว่าไปขวางกระแสน้ำก็คือ มีจิตที่มันยึดในสิ่งที่มันยึดไม่ได้ คาดหวังในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ เช่น คาดหวังให้มันเที่ยง ให้มันสุข หรือไปยึดว่ามันเป็นตัวตน คือเหมือนการที่เอาจิตไปขวางความจริงเอาไว้ เมื่อจิตขวางความจริง มันก็จะต้องถูกความจริงพัดพาไป ถ้าเราไปยืนขวางกระแสน้ำที่เชี่ยว เราก็อาจจะโดนกระแสน้ำพัดเข้าไปชนเกาะแก่ง ความทุกข์ของผู้คนเกิดจากจิตที่มันไปยึดมั่นถือมั่น หรือไปวางตัวขวางความจริง ไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความเป็นจริงหรือสัจธรรม นั้นวางใจของเราให้เป็นหนึ่งเดียวกับสัจธรรมหรือเป็นหนึ่งเดียวกับความจริงก็คือรู้ว่าสิ่งทั้งปวงมันไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้เลย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อใดก็ตามที่ไปยึดในรูป ก็จะเกิดทิฐิว่า ลมไม่ไหล ลมไม่พัด แม่น้ำไม่ไหล หญิงมีครรภ์ไม่คลอด ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ ไม่ขึ้น และไม่ตก หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าพอไปยึดเข้า มันก็จะมีทิฐิมีความเห็นที่มองสิ่งต่างๆว่าเที่ยง น้ำไม่ไหล ลมไม่พัด ซึ่งอีกแง่หนึ่งก็คือการไปยึดทิฐิ หรือความเห็นที่สวนทางความจริง ความจริงก็คือว่า ลมก็ต้องพัด แม่น้ำก็ต้องไหล หญิงมีครรภ์ก็ต้องคลอด ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็ต้องขึ้นและตก ขึ้นและลง แต่เมื่อใดก็ตามที่ไปยึดมั่นเมื่อไหร่ มันก็จะมีทิฐิความเห็นที่สวนทางกับความเป็นจริง สิ่งที่เราควรทำคือว่า ฝึกใจเราให้สอดคล้องกับความจริง และตรงนี้ก็เป็นเรื่องของการภาวนา เรื่องการหมั่นดู ศึกษา จากสิ่งต่างๆ พยายามมองทุกอย่างให้เป็นธรรมะ ไม่ใช่เฉพาะสิ่งนอกตัวเท่านั้น แม้กระทั่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายและใจของเรา เพราะใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือที่จริงแม้กระทั่ง ปล่อยวางใจของเรา ไม่ยึดมั่นว่าใจเป็นเราเป็นของเรา อันนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเลยในการที่จะทำเข้าถึงความสุขที่ประณีต คือความสงบเย็นที่เป็นนิพพาน
พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนดีย่อมหลุดพ้น เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น คนดีไม่ได้หลุดพ้นเพราะทำความดี เพราะให้ทาน รักษาศีล แต่เพราะความไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่จะไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ต้องมีความดีเป็นพื้นฐาน เพราะความดีนั้นก็จะช่วยปรุงแต่งและปรับจิตปรับใจ และช่วยเสริมให้เราวางใจให้ถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริง จนกระทั่ง จิตมันเห็นความจริง โดยที่ไม่ฝืน ไม่มองหรือมีทิฐิความเห็นที่ฝืนความจริงหรือขัดกับความจริง และจิตเช่นนั้น ก็จะทำให้ ภาวะที่สุขสงบอันประเสริฐบังเกิดขึ้นได้