แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มาที่นี่ก็เพราะโครงการพื้นที่ชีวิตชักชวน ถึงจะไม่ได้มาในนามของพื้นที่ชีวิตแต่ว่าทุกชีวิตนี่ก็ล้วนแต่ต้องการพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตเล็กหรือชีวิตใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ จะสัตว์ใหญ่หรือแม้แต่แมลงก็ต้องการพื้นที่ ยิ่งคนเราด้วยแล้วนี่ เราไม่ได้แค่ต้องการพื้นที่ที่นั่ง นอนเท่านั้น เดี๋ยวนี้เราต้องการพื้นที่มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะเดี๋ยวนี้พื้นที่หรือที่ดินมีราคาแพงมาก แล้วคนเป็นจำนวนไม่น้อยเค้าก็คิดฝันแต่ว่า เค้าจะมีที่ดินเป็นของตัวเองมั้ย หรือว่ามีแล้วก็ยังอยากได้อีกหลายแปลง บ้านที่อยู่น่ะแม้ว่าจะกว้างขวางโอ่โถงก็ยังรู้สึกว่ายังกว้างไม่พออยากจะขยับขยายออกไปให้กว้างขึ้น คนเดี๋ยวนี้ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น แต่จริงๆแล้ว ที่พูดกันมาที่พูดมาซักครู่ก็เป็นแค่พื้นที่ทางกาย คนเราชีวิตไม่ได้ประกอบไปด้วยแค่กายอย่างเดียว โดยเฉพาะคนเรา ชีวิตของคนเราก็ประกอบไปด้วยกายกับใจ เราคิดถึงแต่พื้นที่ทางกาย พื้นที่สำหรับการสร้างบ้าน พื้นที่สำหรับการเอ้อขยายอาณาจักร ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่พื้นที่ทางกายเท่านั้นแหละ แต่ก็อย่าลืมว่าใจเราก็ พื้นที่ทางจิตใจก็สำคัญเหมือนกัน คือจริงๆพื้นที่ทางใจก็ไม่ได้ต้องการอะไรมาก แต่ว่าถ้าเราไม่สนใจเรื่องนี้ก็จะเกิดภาวะที่เรียกว่า คับแคบหรือคับแค้นได้ ใจเป็นนามธรรมไม่ต้องการพื้นที่แต่ว่าใจของเราก็สร้างโลกขึ้นมา เป็นโลกซึ่งลึกลับซับซ้อนมาก ตรงนี้แหละที่เรียกว่าเป็นพื้นที่ของใจ และเป็นเพราะว่าเราไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับโลกภายในหรือโลกของใจ เราก็เลยปล่อยใจให้หลง จมอยู่ในโลกนี้ จนกระทั่งไม่สามารถที่จะอ้ากลับมาสู่ปัจจุบันได้ โลกภายในโลกของใจเราที่เราสร้างขึ้นมาซับซ้อนมากแล้วก็มักจะเต็มไปด้วยอะไรต่ออะไรมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความทรงจำที่ดีก็มี ที่ไม่ดีที่ทำให้เจ็บปวดก็มี แต่คนจำนวนไม่น้อยก็หลงพลัดเข้าไปในในมุมในหลืบที่ดำมืดที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจหรือว่าทำให้เจ็บปวดแล้วก็หลงติดอยู่ในมุมเหล่านั้น กว่าจะออกมาได้ก็เหนื่อย ในวันนึง วันนึงเราหลงเข้าไปในมุมในหลืบที่เต็มไปด้วยความทุกข์กี่ครั้ง แม้แต่ขณะที่ทำวัตรสวดมนต์หรือแม้แต่ขณะที่กำลังฟังธรรมก็จะเผลอพลัดเข้าไป เข้าไปอยู่ในความทรงจำที่เจ็บปวด หรือบางทีก็เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา และเพราะเหตุนี้แหละทำให้เกิดภาวะคับแค้นใจขึ้นกับคนเรา
ที่กว้างขวางมีอาณาบริเวณกว้างขวางเพียงใดแต่ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็ยังมีความทุกข์ เค้าไม่ได้คับกายแต่เค้าคับใจ มีสำนวนว่าคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก แล้วคนที่คับใจไม่ใช่ว่าเป็นเพราะว่าที่ที่เค้าอยู่บ้านที่เค้าอาศัยเล็กแคบ ไม่ได้ติดคุกด้วยซ้ำ บางทีก็มีบ้านที่ใหญ่โต มีอาณาบริเวณที่โอ่โถงแต่ว่าก็เป็นทุกข์อยู่ในภาวะที่เรียกว่าคับใจ เพราะอะไร ก็เพราะใจน่ะหลง จมอยู่ในมุมในหลืบในซอก ที่เป็นความทรงจำอันเจ็บปวด อาจจะเป็น อาจจะนึกถึงคำพูดหรือการกระทำของใครบางคนที่ทำให้เจ็บแค้น หรือทำให้เกิดความขุ่นเคืองขึ้นมาแล้วก็หลงติดอยู่ในมุมนั้นแหละ เราต้องรู้จัก พาใจเรากลับมา พาใจเรากลับมาอย่าปล่อยให้หลงไปในอ้าในมุม ในหลืบที่เต็มไปด้วยความเจ็บความปวด คือบางคนก็ไปขนเอาเรื่องราวต่างๆมา มามาไว้ในจิตใจของตัว จิตใจของตัวน่ะมีแต่เรื่องมีแต่อารมณ์มีแต่ความคิดที่เป็นลบ อารมณ์ที่เศร้าหมองหมักหมมสะสมกลายเป็นคล้ายเป็นบ้านที่รก เคยสำรวจใจของเราบ้างหรือเปล่า บางคนบ้านสะอาด บ้านสะอาดสะอ้านโอ่โถงแต่ว่าใจนี่รก รกไปด้วยอารมณ์ อารมณ์ที่เป็นลบนานาชนิด เศร้าโศก เสียใจ เครียด วิตก กังวล คับแค้น พยาบาท อิจฉา ใจของคนจำนวนไม่น้อยเป็นอย่างงั้น แน่นรก ระเกะระกะไปด้วยอารมณ์และความคิดที่เศร้าหมอง อันนี้เพราะอะไร เพราะว่าไม่รู้จัก กลับมาอยู่กับพื้นที่ที่เหมาะที่สุดของใจ พื้นที่ของใจน่ะที่เหมาะกับเราที่สุดคือ ตรงนี้ไม่ใช่ที่ไหน ไม่ใช่ที่บ้าน ไม่ใช่ที่ทำงาน ไม่ใช่ที่ไหนเลย ตรงนี้แหละคือพื้นที่สำหรับจิตใจของเรา แล้วก็เดี๋ยวนี้ด้วยตรงนี้เดี๋ยวนี้ ก็คือพื้นที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับจิตใจของเรา เป็นเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับจิตใจของเรา ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต ไม่ใช่ตรงโน้น ไม่ใช่ตรงนั้น แต่ว่าเป็นตรงนี้ ตรงนี้แม้ว่าจะเป็นพื้นที่ที่ดูเหมือนเล็ก อย่างเช่นตอนนี้ เรานั่งอยู่ อาสที่เรานั่งก็ไม่ได้กว้างใหญ่อะไร เอื้อมมือไปก็ ก็แตะไปถูกเพื่อนของเราทั้งซ้ายทั้งขวา พื้นที่ตรงนี้ดูเล็กแต่นั่นเป็นความเล็กทางกาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ใจเรามาอยู่ตรงนี้ เราจะรู้สึกถึงความโอ่โถงโล่งภายใน พื้นที่ทางกายแคบแต่พื้นที่ทางใจ เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามาอยู่ตรงนี้ จะโอ่โถงจะโล่งจะกว้างจะเบาจะไร้ขอบเขตทีเดียว นั่นคือภาวะรู้สึกตัว นั่นคือความรู้สึกตัว เมื่อเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่ จะรู้สึกถึงความโปร่งความเบาความกว้างความโล่ง ตรงข้ามกับภาวะที่เรียกว่าคับแค้นใจหรือว่าคับใจ คนที่คับใจเพราะว่าใจเขาไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่เดี๋ยวนี้ แต่เค้าไปอยู่กับกับอดีตที่เลวร้าย เช่นเวลาอยู่บ้าน อยู่บ้านนึกถึงการกระทำที่ไม่ดีของพี่น้องหรือว่าของคู่ครอง บางทีเรื่องก็ผ่านไปหลายปีแต่ก็ยังยังเก็บเอามาคิด ใจก็หมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวในอดีตนี่แหละ ซึ่งทำให้รู้สึกคับใจ อยู่บ้าน อยู่บ้านร่วมชายคาเดียวกับคนคนนั้นหรือคนเหล่านั้น แม้บ้านจะใหญ่แต่ว่าก็คับใจ อันนี้เพราะอะไร เพราะเค้าไม่รู้จักพาใจกลับมาอยู่พื้นที่ที่เหมาะสำหรับตัวเอง เหมาะสำหรับจิตใจของตัวเอง คือตรงนี้ ก็คือปัจจุบัน พาใจกลับมาอยู่ตรงนี้ เราจะรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมก็จะเกิดขึ้น ลองฝึกดู
การเจริญสติที่เรามาปฏิบัติที่นี่ก็เพื่อให้ใจเราได้กลับมาเรียนรู้ที่จะอยู่กับตรงนี้และก็เดี๋ยวนี้ คนเราทุกข์เพราะว่าคิดถึงแต่เรื่องอดีต หรือไม่ก็ไปพะวงกับอนาคต ถ้าเราไม่ ถ้าเราไม่คิดถึงเรื่องที่เจ็บปวดรวดร้าวในอดีต ความผิดหวังความล้มเหลวหรือว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจนทำให้เกิดความรู้สึกผิด ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องทุกข์ ในเราก็โปร่งใจเราก็สบาย เมื่อใดก็ตามที่ใจเราไม่ไปคิดถึงอ้าเหตุการณ์เลวร้ายที่ยังไม่เกิดขึ้น ปรุงแท้ๆปรุงเอาแล้วเราก็ปรุงอยู่ตลอดเวลา คนทุกวันนี้เครียดก็เพราะความวิตกกังวล เราวิตกกังวลทุกครั้งที่เรานึกถึงเหตุการณ์ข้างหน้า แล้วเราก็สร้างภาพ ปรุงแต่งในทางที่เลวร้าย อย่างเช่นเวลาเราเดินทางในกรุงเทพ หรือว่าในเมืองใหญ่ๆ เกิดรถติดขึ้นมา ที่จริงรถติดก็แค่ทำให้เสียเวลา แต่ทำไมหลายคนจึงหงุดหงิด ก็เพราะว่าใจน่ะไปคิดถึงเหตุการณ์ข้างหน้าละ ว่าถ้ารถติดแบบนี้ก็จะไปทำงานสาย ไปส่งลูกไม่ทัน จะทำให้ขาดประชุมนัดสำคัญ หรือว่าตกเครื่องบิน หรือว่าผิดนัดกับเพื่อน ถามว่าเกิดขึ้นหรือยัง ยังไม่เกิด แต่ว่าใจคิดไปแล้วโน่น คิดไปโน่นละ ใจไปอยู่ที่จุดหมายปลายทางข้างหน้าละ แล้วก็ปรุงแต่ง แล้วเราก็หลงเชื่อในสิ่งที่ปรุงแต่งด้วย พอหลงเชื่อในสิ่งที่ปรุงแต่งแล้วเป็นไง กังวล เครียด บางคนก็กระวนกระวายเลย เราไม่ได้ทุกข์เพราะรถติด เราทุกข์เพราะใจที่ปรุงแต่ง สิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เอาเข้าจริงก็ไม่เกิดขึ้นก็มี ลองทบทวน ใคร่ครวญ จิตใจของเราเวลาที่มีความทุกข์ใจเกิดเพราะอะไร เดี๋ยวนี้เรามีความสะดวกสบายทางกายมากมายมากกว่าคนยุคใด ไม่เคยมีคนยุคไหนที่จะสะดวกสบายเท่ากับพวกเรา แต่ว่าความทุกข์ใจกลับมากเหลือเกิน และความทุกข์ใจที่เกิดขึ้นก็พลอยทำให้เกิดความเจ็บป่วยตามมา
มีตัวเลขนึงที่น่าสนใจ คือเค้าพบว่าคนเดี๋ยวนี้ทั้งๆที่ไม่ค่อยได้ ได้ใช้แรง ไม่ค่อยได้ อ้า ทำงานหนักเท่าไหร่ แต่ว่าเดี๋ยวนี้คนที่ปวดหลังเยอะมาก คนสมัยก่อนนี้ทำงานหนักใช้แรงงานเยอะ แต่ว่าอัตราคนที่เป็นโรคปวดหลังมีน้อย สมัยนี้ไม่ได้ใช้แรงไม่ได้ยกของอะไรเท่าไหร่ จับจอบจับเสียมก็แทบจะไม่เคยแตะ แต่ว่าปวดหลังกันเยอะมาก อันนี้เป็นเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะว่า ไม่ได้ทำงานหนัก ไม่ได้ออกกำลังกาย เพราะฉะนั้น พอทำโน่นทำนี่นิดหน่อย นั่งนานๆก็ปวดหลังแล้ว หรือว่ายกของไม่กี่ ไม่กี่อย่างของก็ไม่หนัก ก็ปวดหลังแล้ว เพราะว่าไม่ได้ใช้หลังหรือไม่ได้ออกกำลังกายเท่าไหร่ แต่ที่จริงนั่นก็เป็นส่วนประกอบเหตุผลจริงๆคือความเครียด ความเครียด คนยุคนี้แม้ว่าร่างกายจะไม่ค่อยได้ใช้งานหนัก แต่ว่าจิตใจทำงานหนักมาก และจิตใจที่ทำงานหนักก็ไม่ใช่เพราะว่าคิดเรื่องงานเรื่องการมากเท่าไหร่ แต่เป็นเพราะความปรุงแต่ง ปรุงแต่งมากกว่า ปรุงแต่งไม่ใช่ปรุงแต่งเรื่องงานด้วย ก็เพราะว่าคนที่ทำงาน วันนึง วันนึง สมมุติในอย่างเมืองนอกเค้าทำงานเจ็ดชั่วโมงครึ่ง เวลาที่ใช้ในการทำงานจริงๆที่อยู่ตรงหน้า หรืองานที่ได้รับมอบหมายก็แค่ชั่วโมงครึ่งเท่านั้นแหละ ก็คือประมาณ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ หรือว่า ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือคิดฟุ้งปรุงแต่งคิดไปถึงเรื่องต่างๆมากมาย บางทีก็ใจลอย บางทีก็อ้าทำเรื่องที่ไม่ใช่งาน คิดเรื่องที่ไม่ใช่งาน คิดถึงเรื่องบ้าน คิดถึงเรื่องลูกจะเรียนที่ไหน จะเรียนต่อมหาวิทยาลัยอะไร บางทีก็คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ ไม่เกี่ยวกับงานละ แต่ว่าพอคิดไปแล้วก็ทำให้วิตกกังวล บางทีคิดเรื่องงานแต่ไม่ใช่ตัวงาน แต่คิดไปถึงโน่นปรุงแต่งไปว่าถ้างานไม่สำเร็จงานมีอุปสรรคจะทำอย่างไร เป็นการคิดซะเยอะแต่ว่าที่ทำน่ะน้อย อันนี้เป็นความคิดปรุงแต่งที่คนเราไม่ค่อยได้ตระหนักเท่าไหร่
เรามาเจริญสตินี่เป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้กลับมา ได้กลับมาดูแลจิตใจของเรา ได้กลับมาสร้างพื้นที่แห่งความผาสุก สงบเย็นให้กับจิตใจของเรา แทนที่จะเป็นพื้นที่ที่รุ่มร้อนหรือว่า รกไปด้วย ความคิดอารมณ์และความทรงจำที่เจ็บปวดหรือว่าหมักหมมไปด้วยอารมณ์ที่เป็นลบ วันแต่ละวันนี่เราเก็บสะสมหมักหมมอารมณ์เหล่านี้ไว้เยอะมาก เพราะความคิดปรุงแต่งของเรานี่แหละ คิดแต่ละที เวลาเราคิดก็ตามด้วยอารมณ์ ความคิดกับอารมณ์นี่ไปด้วยกัน เราคิดถึงคนที่เค้าว่าเรา คิดถึงคำพูดที่เสียดแทงใจเรา เราก็โกรธ คิดถึงเงินที่หาย ของที่ถูกขโมย เราก็เสียดายแล้วก็อาลัยอาวรณ์ คิดถึงการกระทำที่ไม่ดีที่ที่ทำกับพ่อกับแม่หรือกับคนรัก เช่นลูก ก็เสียใจ คิดถึงงานที่ยังไม่เสร็จ งานที่ยังคาอยู่ก็เกิดความหนักอกหนักใจขึ้นมา เราทุกข์เพราะความคิด เราทุกข์เพราะความคิดและความคิดก็เลยปรุงแต่งอารมณ์ต่างๆที่ทั้งเผารนทั้งบีบคั้นทั้งอ้าทิ่มแทง ให้กลับมาสังเกตจิตใจของเรา ว่าวันนึง วันนึงใจเรา ฝันฟุ้งปรุงแต่งไปอย่างไรบ้าง ที่ให้เรามา มาปฏิบัติในรูปแบบเช่นเดินจงกรม สร้างจังหวะ ก็เพื่อ เพื่อฝึกใจเราให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน จากใจที่ร่อนเร่ ระเหเร่ร่อนหรือว่าอ้า ท่องเที่ยว สุดท้ายก็กลายเป็นระหกระเหิน แล้วก็กลายเป็นกระเซอะกระเซิง วันแล้ววันเล่า ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า เราจะฝึกใจเพื่อให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว เริ่มต้นด้วยการฝึกให้รู้กายก่อน รู้กายก็หมายความว่าเวลายกมือเราก็รู้ว่ามือยก รู้นี่ไม่ใช่ว่าเพราะตาเห็น แต่เป็นเพราะรู้สึก หมายความว่าแม้ตาเราจะปิดแต่เราก็รู้ว่ายกมือ เพราะว่ามีความรู้สึกเกิดขึ้นกับร่างกายว่ามือกำลังยก แต่ว่าเราก็ไม่ปิดตา แต่ว่าความรู้สึกที่ว่า เกิดขึ้นกับกายเราก็เลยรู้สึก แต่เมื่อใดก็ตามที่ใจเราลอย ใจเราลอยไปอดีตบ้างไหลไปอนาคตบ้างยิ่งจมไปในความคิด ที่ ดึงดูดใจ หรือเรื่องราวที่ฝังใจหรือเรื่องที่ยังวิตกกังวล จะจมเข้าไปในความคิดเลย จนกระทั่งไม่รู้เลยว่ามือกำลังยก
สังเกตมั้ย บ่อยครั้งเรายกมือไปแต่ว่าเราไม่รู้สึกเลยว่ามือกำลังยก เดินก็เหมือนกัน เดิน เท้าก็เดิน ตัวก็ขยับแต่ว่าไม่รู้สึกว่าตัวกำลังเขยื้อนขยับ เพราะใจลอย ใจลอยไปแล้ว ไปนึกถึงบ้าน นึกถึงลูก นึกถึงพ่อแม่ นึกถึงแฟน นึกถึงงาน ต่อเมื่อใจกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวเมื่อไหร่ หรือใจกลับมาอยู่กับปัจจุบัน จึงจะรู้สึกว่า ตัวกำลังเดิน เท้ากำลังขยับ หรือว่ามือกำลังยก ถึงตอนนั้นน่ะเรียกว่ารู้สึกตัวและก็ตามมาด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ใหม่ๆเราก็ฝึกตรงนี้ก่อน ฝึกให้แค่รู้แค่รู้กายก็คือรู้ว่ากายทำอะไร ตอนหลัง ก็จะรู้ใจ ก็คือว่าพอใจคิดนึกเรื่องอะไรก็รู้ทัน รู้ด้วยอะไร รู้ด้วยสติ สติทำหน้าที่หลายอย่าง หน้าที่นึงที่สำคัญก็คือระลึกได้ จำได้ จำได้ว่ากุฏิเราอยู่ไหน เราวางรองเท้าไว้ตรงไหน จำได้ว่ารองเท้าเราสีอะไร เราจำได้ว่าคนที่นอนห้องเดียวกับเราเป็นใคร เราใช้สติในการดำรงชีวิต ในเรื่องต่างๆมากมายนับไม่ถ้วน แต่ว่าสติยังมีความสามารถหรือคุณสมบัติอีกอย่างนึงก็คือ ทำให้รู้ รู้ทัน ทำให้รู้ว่า ตอนนี้ มีใจกำลังคิดหรือว่ากำลังมีอารมณ์ใดเกิดขึ้น สติยังช่วยทำให้ใจอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับสิ่งที่ทำ หน้าที่ตรงนี้บางทีเค้าก็เรียกว่าสติทำหน้าที่ผูกจิต สติเป็นเครื่องผูกจิต งั้นถ้าเรามีสติดี สติเราไวคล่องแคล่ว จิตเราก็จะอยู่กับตัว อยู่กับการเคลื่อนไหว เมื่อจิตอยู่กับการเคลื่อนไหว ไม่ว่ายกมือหรือเดินก็จะรู้สึก เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม เราเรียกว่าสัมปชัญญะ สัมปชัญญะกับสติเกื้อกูลกัน เมื่อมีสติก็จะมีสัมปชัญญะ เมื่อมีความระลึกได้ก็เกิดความรู้ตัวตามมา นี้ถ้าเราฝึกให้มีสติรู้กายบ่อยๆ ต่อไปเมื่อใจคิดนึกอะไรไปก็จะ สติก็จะรู้ทันได้ไวขึ้น ถ้าเราไม่ฝึกให้สติ ให้มีสติรู้กาย ก็ยากที่จะไปรู้ใจ เพราะว่าความคิดและอารมณ์เป็นเรื่องนามธรรม เป็นเรื่องละเอียด ไม่เหมือนกับการยกมือ ความรู้สึกที่เกิดจากการยกมือเป็นเรื่องหยาบ กายนี่เป็นเรื่องหยาบอยู่แล้ว ถ้าเรื่องหยาบๆเราไม่ไม่มีสติรู้ แล้วจะไปรู้เรื่องละเอียดได้อย่างไร เพราะฉะนั้นใหม่ๆก็ให้รู้กายเป็นหลัก อย่าเพิ่งไปสนใจว่าคิดอะไร ทำไมถึงคิดเมื่อกี้ ไม่ต้องไปสนใจ ให้มารู้กายไม่ต้องคิดตามดูรู้ทันจิตใจแต่จะเกิดขึ้นเอง เมื่อเรา เมื่อสติเราไวสามารถที่จะผูกจิตไว้กับกายได้อย่างต่อเนื่อง พอกายขยับเราก็รู้ ความรู้สึกตัวสำคัญ ทีแรกมีสติจึงค่อยรู้สึกตัว คือพอใจลอย ตอนที่ใจลอยไม่รู้สึกหรอกว่ามือยก เท้าขยับ แต่พอมีสติรู้ว่าใจเผลอคิดแล้วว่าใจไปหลงคิดแล้ว พอมีสติรู้ตรงนี้เท่านั้นแหละ จิตกลับมา พอกลับมา กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวก็รู้สึกว่ามือกำลังยก เท้ากำลังขยับ ตัวกำลังเคลื่อน ทีแรกสติทำให้รู้สึก รู้สึกตัวหรือทำให้รู้สึกว่ากายกำลังทำอะไร แต่ต่อไป ต่อไปทีหลัง ความรู้สึกของกายนี่แหละจะไปเตือน จะไปช่วยทำให้มีสติไวขึ้น คือพอใจเราลอยใจเราลอยไปโน่นไปนี่ หรือกำลังหมกมุ่นครุ่นคิดกับอะไรบางอย่างที่เป็นอดีตบ้าง อนาคตบ้าง จู่ๆก็จะรู้สึกว่ามือกำลังขยับ เท้ากำลังเขยื้อน ความรู้สึกจะเตือนให้จิตมีสติรู้ตัวขึ้นมา แล้วพอรู้ตัวรู้ตัวว่าเผลอ รู้ตัวว่าหลง จิตก็จะกลับมาเลย คล้ายๆกับเวลาเราใจลอย คิดโน่นคิดนี่
บางทีกลุ้มอกกลุ้มใจ เรื่องเจ็บเรื่องป่วย ตัวเองเจ็บป่วยบ้าง พ่อแม่เจ็บป่วยบ้าง กลุ้มอกกลุ้มใจ หรือว่ากลุ้มอกเรื่องงานเรื่องการ ใจลอย จู่ๆมีคนมาสัมผัสตัวเรามาแตะมือ มาแตะไหล่ ทันทีที่เรารู้สึกว่ามีมือมาสัมผัสที่ไหล่เรา เราได้สติเลย จากเดิมใจที่ลอยคิดไปโน่นคิดไปนี่กลับมาเลย กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว เพราะมีการสัมผัส เพราะรับรู้ถึงการสัมผัสที่เกิดขึ้นกับกาย เพราะมีคนมาสัมผัสเรา แต่ว่าในการปฏิบัติอย่างที่เราทำ เราไม่ต้องรอให้ใครมาสัมผัสตัวเรา แต่ว่าการที่เรายกมือแหละ การที่เราเดินแหละมีการเคลื่อนไหว มีการรู้สึกทางกายเกิดขึ้นตลอดเวลา ความรู้สึกทางกายแหละจะ จะไปเตือนให้จิตน่ะที่หลงที่เพลินกลับมามีสติรู้ตัว แล้วก็กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว พูดง่ายๆก็คือร่างกายน่ะส่งสัญญาณ ส่งสัญญาณเป็นความรู้สึกไป ไปเตือนจิตให้มีสติ และด้วยเหตุนี้แหละ สติเราก็จะดีขึ้นเราก็จะรู้ทันอารมณ์มากขึ้น เราจะไม่หลงเป็นทาสของอารมณ์ เนิ่นนานอย่างที่เคยเป็น แต่จิตจะเป็นอิสระจากอารมณ์ต่างๆได้ง่ายขึ้น เพราะว่ามีสติเป็นเครื่องช่วยและก็เป็นสติที่เกิดจากการที่เราได้ฝึก ฝึกให้รู้กายเป็นเบื้องต้น อันนี้คือ คือ คือเหตุผลที่เรามามายกมือ จะทำเพียงสักแต่ว่าทำ แต่ว่าอ้าทำโดยที่เรารู้ว่าเราทำไปเพื่ออะไร แต่พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปตั้งคำถามจะต้องไปหาเหตุผลอะไรกับ ยังไม่ต้อง ยังไม่ต้องหาเหตุผล ไม่ต้องไปไปคิดหาคำตอบ ลองทำไปก่อน ทำไปโดยที่ลองไม่คิดดู ทำไปโดยที่ยังไม่ต้องคิด เพราะว่าถ้าคิดเมื่อไหร่เราก็เราก็เผลอแล้ว เพราะว่าตอนที่มาสร้างจังหวะเดินจงกรม ก็เป็นการฝึกเพื่อให้เราวางความคิดทั้งหลายลง ไม่ต้องจำแนกแจกแจงยังไม่ต้องคิดหาเหตุผลกับ แต่ว่าพอทำเสร็จแล้ว เราก็ลองมาไตร่ตรองดูก็ได้ เออเป็นอย่างนี้จริงมั้ยแต่ว่าตอนที่ลงมือทำ เราก็วางความคิดทั้งหลายลงไปไม่ต้อง ไม่ต้องคิด ไม่ต้องค้น ไม่ต้องวิเคราะห์อะไรทั้งสิ้น
เพราะถ้าเผลอทำเมื่อไหร่ ก็แม้จะทำด้วยความอยากจะรู้อยากจะเห็นแต่ว่าจิตก็ไม่มีทางหรือยากที่จะเติบโตมีสติได้ และถ้าเรา ถ้าเราเอา เอาความรู้สึกตัวไปสร้างความรู้สึกตัวในเวลาที่เราอยู่ในอิริยาบถอื่น ก็คือว่าพอไม่ได้เดินจงกรมไม่ได้สร้างจังหวะแล้ว เราไปเราเดินลงศาลา เราเดินไปที่ที่พัก เราจัดที่นอนก็ให้มีสติมีความรู้สึกตัว หรือรู้สึกว่า รู้สึกตัวไปด้วย อย่าไปปฏิบัติหรืออย่าจำกัดการปฏิบัติของเราแต่เฉพาะเวลาสร้างจังหวะเดินจงกรมหรืออยู่บนศาลาเท่านั้น ตื่นเช้าขึ้นมาก็ให้ถือว่าการปฏิบัติของเราเริ่มต้นแล้ว ล้างหน้าถูฟันก็ให้มีสติ ความหมายคือว่าตัวอยู่ไหนใจอยู่นั่น ตัวอยู่ไหน ตัวอยู่ตรงในห้องน้ำ ใจก็อยู่ตรงนั้นแหละ อย่าเพิ่งไปสนใจว่า ที่หอใจจะมีใครมากี่มากน้อย หรือว่าที่บ้านเราเขาตื่นกันหรือยัง ตัวอยู่ไหนใจอยู่นั่น นี่เป็นหลักง่ายๆของการเจริญสติ ของการฝึกสติ ล้างหน้าถูฟัน บางคนอาบน้ำหรือว่าเก็บที่นอนก็ให้มีสติ มีความรู้สึกตัว เอาใจใส่ลงไปในทุกอย่างที่เราทำ และต้องเป็นใจเต็มร้อย ไม่ใช่ครึ่งๆกลางๆ ไม่ใช่ถูฟันไปก็คิดเรื่องงานการไป อันนี้เรียกว่าครึ่งๆกลางๆ อาบน้ำไปก็คิดนับวันถอยหลังไปว่าเมื่อไหร่จะกลับซะที กลับแล้วถึงบ้านจะทำอะไร จะไปกินอะไร จะไปเที่ยวที่ไหน อันนี้เรียกว่า ใจไม่เต็มร้อยแล้วกับสิ่งที่ทำกับการอาบน้ำ แต่ว่าใจครึ่งๆกลางๆ อย่าทำอย่างงั้น เพราะว่าทำอย่างงั้นแล้ว สติเราก็จะเติบโตยาก แล้วเราก็จะกลายเป็นคนฟุ้งซ่านเหมือนเดิม ลองฝึกกับการมีสติ มีความรู้สึกตัวกับทุกอิริยาบถกับทุกกิจกรรมที่เราทำ ตั้งแต่เช้าจนจรดค่ำ อันนี้แหละจะเป็นการสร้างพื้นที่ที่สงบเย็น โปร่งโล่งให้กับจิตใจของเรา เป็นเวลาหลายปีแล้วที่อ้าเราน่ะมีพื้นที่รอบตัวที่กว้างขวาง แต่ว่าใจคับแคบ ใจอัดแน่นไปด้วยอารมณ์ที่เป็นอกุศล รู้สึกคับใจ ไม่ปลอดโปร่ง ตอนนี้เราจะมาทำให้พื้นที่ในจิตใจของเราเป็นพื้นที่ที่สงบเย็น โปร่ง โล่ง ไม่มีขอบเขตด้วย การที่พาใจกลับมาอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับตรงนี้ เดี๋ยวนี้อย่างต่อเนื่อง ค่ำนี้พูดกันเท่านี้ กราบพระ