แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อตอนบ่ายหลังจากที่สวดปาฎิโมกข์เสร็จก็ได้พูดคุยกับหมู่สงฆ์ แล้วก็มีตอนหนึ่งได้พูดถึงพระรูปหนึ่ง คือ พระสมหมายเป็นผู้ที่ชักนำให้พระอาจารย์สุเมโธได้มาพบกับหลวงพ่อชา พระอาจารย์สุเมโธเป็นพระฝรั่งชาวอเมริกัน ตอนนี้ก็ 80 แล้วอายุใกล้ๆ กับหลวงพ่อคำเขียน แต่ตอนที่ อาจารย์สุเมโธพบกับพระสมหมายเมื่อ 50 ปีมาแล้ว ตอนนั้นยังเป็นสามเณรอยู่ สามเณรสุเมโธกำลังแสวงหาครูบาอาจารย์ อายุ 30 ก็สนใจพระพุทธศาสนาแล้ว มาเมืองไทยเพื่อมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แต่ก็ยังไม่ได้ครูบาอาจารย์ที่ดี ก็เลยแค่บวชเณร ตอนหลังก็ไปพบกับพระสมหมายที่เมืองลาว ระหว่างที่ไปต่อวีซ่าเข้าเมืองไทย พระสมหมายได้พูดถึงหลวงพ่อชา สามเณรสุเมโธฟังแล้วก็ประทับใจ ตอนหลังเมื่อบวชพระแล้ว พระสมหมายก็พาพระสุเมโธมาพบกับหลวงพ่อชา และตอนหลังก็ปฏิบัติอย่างจริงจัง เป็นพระฝรั่งรูปแรกของสำนักหนองป่าพง ต่อมาพระฝรั่งอื่นๆตามมาอีกมากมาย เดี่ยวนี้ก็เป็นร้อยแล้วอาจจะเรียกว่าหลายร้อย เริ่มต้นที่ท่านอาจารย์สุเมโธนี่แหละ
ทีนี้ที่เกี่ยวข้องกับพระสมหมายตรงที่ว่า พอบวชไปท่านก็รู้สึกมีเรื่องรำคาญใจ เพราะว่าพระสมหมายเป็นคนที่เคร่งครัดในวินัยมาก ยึดติดในวินัยมากเกินไปจนกระทั่งเป็นคนจู้จี้ขี้บ่นเพ่งโทษคนนั้นคนนี้ ภายหลังก็สึกหาลาเพศไปไม่ทราบด้วยเหตุผลอะไร เป็นฆราวาสไม่กี่ปี ก็ปรากฏว่ากลายเป็นคนขี้เหล้า จากพระที่เคร่งครัดในวินัย ใครกระดิกกระเดี้ยนิดหน่อยไม่ได้ ก็กลายเป็นขี้เหล้า แม้แต่ศีลห้ายังไม่ครบเลย เมื่ออาจารย์สุเมโธทราบข่าวก็รู้สึกรังเกียจแล้วก็รู้สึกอับอาย ถ้าจะไปบอกใครว่าเป็นเพราะขี้เหล้าคนนี้ที่เคยเป็นพระพาให้ท่านมารู้จักกับหลวงพ่อชา
หลวงพ่อชาเมื่อรู้ว่า อาจารย์สุเมโธซึ่งตอนนี้เป็นพระหนุ่ม รังเกียจทิดสมหมายก็เลยเรียกมาตักเตือนว่า “ทีหลังให้เรียกว่า อาจารย์สมหมาย เพราะว่าเขามีบุญคุณกับท่าน เขาเป็นคนพาท่านมา ให้มารู้จักกับหลวงพ่อ ถ้าไม่มีพระสมหมาย สุเมโธก็จะไม่ได้มาที่หนองป่าพง” การตักเตือนของหลวงพ่อชาก็ทำให้อาจารย์สุเมโธได้คิด แล้วก็เปลี่ยนทัศนคติตอนหลังก็เรียก อาจารย์สมหมายทุกครั้งเลย ภายหลังสมหมายติดเหล้ามาก จนกระทั่งเป็นโรคสุราเรื้อรังแล้วก็ฟั่นเฟือน ต้องเก็บขยะขาย หรือไม่ก็ขอทาน ไม่มีบ้าน ต้องมาอยู่กระต๊อบในวัด มีพระที่รู้จักให้กระต๊อบอยู่ ก็น่าสมเพช จากสมณเพศ คือเป็นพระแล้ว สุดท้ายมาลงเอยที่เป็นขอทาน ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร แต่ว่าหมดสภาพ เมาเหล้าจนฟั่นเฟือน ตอนหลังโดนรถเมล์ชนตายเพราะว่าไปหาขยะไปเก็บขยะ คงเดินไม่ระมัดระวัง เดินข้ามถนนโดนรถเมล์ชนตาย
อาจารย์สุเมโธก็ระลึกนึกถึง ที่จริงตอนที่พระสมหมายฟั่นเฟือน อาจารย์สุเมโธก็ยังกลับมาเยี่ยมอยู่บ่อยๆ มาเยี่ยมทีไรก็เรียก อาจารย์สมหมาย พอเรียก อาจารย์สมหมาย แกก็จะเริ่มได้สติขึ้นมา แต่ว่าได้สติไม่นานก็กลับมาฟั่นเฟือนใหม่ พอตาย หลวงพ่อชาก็แนะให้ อาจารย์สุเมโธอุทิศบุญกุศลให้ เวลาปฏิบัติธรรมให้อุทิศบุญกุศลให้เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณ อาจารย์สุเมโธก็ได้พูดถึงนายสมหมายคนนี้ ว่า อาจารย์สมหมายเป็นผู้ที่มีบุญคุณกับอาตมามาก พาอาตมามาพบกับหลวงพ่อชา อาตมาก็รู้สึกถึงเป็นหนี้บุญคุณ อาจารย์สมหมายจะสึกหาลาเพศจนกลายเป็นขี้เหล้าอย่างไรเป็นเรื่องของท่าน แต่หน้าที่ของอาตมาก็คือกตัญญูรู้คุณท่าน ตอบแทนบุญคุณของท่าน อันนี้น่าสนใจ เป็นพระก็ยังสำนึกในบุญคุณของคนที่เป็นขี้เหล้าเมายาแล้วก็สติฟั่นเฟือน สิ่งที่ท่านอาจารย์สุเมโธพูด น่าสนใจมากที่บอกว่า ท่านจะเมาเหล้า ขี้เหล้าอย่างไรเป็นเรื่องของท่าน แต่หน้าที่ของอาตมาก็คือกตัญญูรู้คุณท่าน ตอบแทนบุญคุณของท่าน คือ หลวงพ่อสุเมโธ ท่านแยกแยะได้ชัดเจน ใครเขาจะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา แต่ว่าหน้าที่ของเราก็คือว่าเมื่อเขามีบุญคุณกับเรา เราก็ต้องสำนึกในบุญคุณของเขา แล้วก็ตอบแทนบุญคุณของเขา
หลายคนอาจจะผิดหวังเสียใจที่พ่อแม่หรือว่าญาติผู้ใหญ่ประพฤติตัวไม่ดี เช่น ติดเหล้า เล่นการพนัน หรือว่าเจ้าชู้มีเมียมาก คนที่เป็นลูกหลายคนก็รู้สึกผิดหวัง แล้วก็เกลียดชัง รู้สึกรังเกียจที่พ่อแม่เป็นอย่างนั้น ที่จริงเขาเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา เขาทำอะไรไม่ถูกต้องก็เป็นกรรมของเขาเอง ต้องรับกรรมเอง แต่ในเมื่อเขามีบุญคุณกับเราแม้จะเป็นอดีตก็ตาม เราก็ต้องสำนึกในบุญคุณของเขา แล้วก็ทำหน้าที่ของเราก็คือตอบแทนบุญคุณของเขา หลายคนแยกแยะไม่เป็น เห็นพ่อแม่หรือครูบาอาจารย์ทำตัวไม่ดีไม่ถูกต้องก็เกลียดชัง ลืมหน้าที่ของตัว ไปสนใจกับเขา ไปเอาเรื่องของเขามาเป็นเรื่องของเรา จนกระทั่งลืมหน้าที่ หน้าที่ของเราคือสำนึกในบุญคุณแล้วก็ตอบแทนบุญคุณ อย่าว่าแต่คนที่ไม่เคยมีบุญคุณกับเราเลย แม้แต่คนที่เขาทำไม่ดีกับเรา ไม่มีน้ำใจกับเราก็ควรจะถือว่าเป็นเรื่องของเขา เขาทำไม่ดีเขาเบียดเบียนเรา เขาก็รับกรรมเอง แต่หน้าที่ของเราโดยเฉพาะในฐานะที่เป็นมนุษย์ ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ เราก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำความดี ความดีมันไม่ใช่ว่าจะต้องเลือกทำกับเฉพาะคนที่ดีกับเรา คนที่ไม่ดีกับเราหรือคนที่ไม่น่ารักเราก็ทำดี
พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าให้ทำดีเฉพาะคนที่เขาดีกับเราหรือให้แผ่เมตตาเฉพาะคนที่เขามีบุญคุณกับเรา คนที่เขาเบียดเบียนเราเขาคิดร้ายกับเรา ถ้าเป็นชาวพุทธหรือว่าเป็นมนุษย์มันก็ต้องไม่ลืมหน้าที่ของเรา ก็คือการทำความดีกับเขาหรือว่าแผ่เมตตาให้เขา เคยเล่ามาแล้ว เมื่อตอนก่อนฉันสองสามอาทิตย์ก่อนที่ประเทศอเมริกา กรุงนิวยอร์ก มีแท็กซี่คนหนึ่ง แท็กซี่ในกรุงนิวยอร์กเป็นคนที่อพยพมาจากอินเดียบ้าง ปากีสถานบ้าง บังคลาเทศบ้าง แท็กซี่คนนี้เป็นชาวบังคลาเทศก็คงคล้ายๆ กับคนไทยชาวอีสานไปทำมาหากินที่ตะวันออกกลางหรือบางทีก็ไปทำมาหากินที่อเมริกาแล้วก็ส่งเงินกลับมาบ้าน แท็กซี่คนนี้ก็เหมือนกัน ที่บ้านยากจนก็เลยมาหากินเป็นแท็กซี่ส่งเงินไปให้บ้าน แท็กซี่ในนิวยอร์กรายได้หลักก็คือทิป ค่าทิปก็คือเงินเพิ่มเติม อภินันทนาการค่าแท็กซี่ไม่ค่อยได้เท่าไหร่หรอกแต่ได้ค่าทิป อันนี้มันเป็นธรรมเนียมของฝรั่ง ไปไหนถ้าใช้บริการใครก็จะแถมค่าทิปคือเงินแถม วันหนึ่งก็มีคนเป็นนักธุรกิจท่าทางมีฐานะถือกระเป๋าเอกสาร แท็กซี่คนนี้ก็คิดว่า โอ้วันนี้โชคดีเดี๋ยวคงได้ค่าทิปเป็บกอบเป็นกำเลย เช่น อาจจะเป็น 5 เหรียญ บางคนก็ให้ 10 เหรียญเลย คนรวยมากๆ แต่พอไปส่งถึงที่แล้วค่าทิปที่ได้จากนักธุรกิจคนนี้มันแค่ 30 เซ็น 30 เซ็นถ้าคิดเป็นเงินบาทอาจจะดูเยอะ คือ 9 บาท แต่ว่าถ้าเทียบกับค่าครองชีพของที่นั่นมันก็คงประมาณบาทหนึ่ง ได้ค่าทิปบาทเดียว โอ้ผิดหวัง แต่ว่าขับรถไปสักพัก ปรากฏว่ามองไปที่กระจกหลังก็เห็นกระเป๋าเอกสารเขาลืมเอาไว้ แล้วก็ไม่ได้ล็อกด้วย เปิดดูปรากฏว่ามันเป็นเพชร เพชรเกือบ 30 เม็ด แต่ละเม็ดนี่ก็คงราคาเป็นแสนหรือเป็นล้าน 30 เม็ดก็คง 30 ล้าน แท็กซี่คนนี้จะทำอย่างไร ใจหนึ่งก็คิดว่า ไอ้คนนี้ไม่มีน้ำใจกับเราเลย อย่ากระนั้นเลย บางคนคิดเลยเขาลืมของไว้ก็เก็บเลย เก็บเป็นของส่วนตัวเรียกว่ามุบมิบ แต่แท็กซี่คนนี้แกตัดสินใจเอาไปให้ตำรวจเพื่อประกาศหาเจ้าของก็เลยเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ คนก็ชื่นชมสรรเสริญแกเป็นการใหญ่ว่า แท็กซี่ถึงแม้ยากจนแต่มีน้ำใจ ยิ่งมารู้ว่ากระเป๋าเอกสารหรือว่าเพชร 30 เม็ดมันมาจากนักธุรกิจซึ่งให้ค่าทิปแท็กซี่เพียงแค่ 30 เซ็น
มันยิ่งเป็นภาพขัดแย้งกันใหญ่ คนหนึ่งรวยมหาศาลแต่ว่างก อีกคนหนึ่งจนแต่มีน้ำใจ ไม่เก็บของที่มีค่าไว้กับตัว ก็มีหนังสือพิมพ์ไปสัมภาษณ์ว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ ในเมื่อผู้โดยสารคนนี้ไม่มีน้ำใจกับเขาเลย ทำไมเขาถึงทำดีตอบ แท็กซี่คนนี้ก็ตอบว่าผมก็พยายามทำความดีอยู่เสมอ แล้ววันนี้ก็ไม่ต่างจากวันก่อน วันก่อนผมทำดีอย่างไรวันนี้ผมก็ทำดีอย่างนั้น แกพูดสั้นๆ แบบนี้ คือมันเป็นอุทาหรณ์สอนใจ ว่าคนเราจะทำความดีกับใครไม่ใช่เพราะเขาทำดีกับเรา เขาจะทำไม่ดีกับเราก็เป็นเรื่องของเขา แต่หน้าที่ของเราในเมื่อเราอยากจะเป็นคนดีเราก็ทำดี ใครทำไม่ดีกับเราก็เป็นเรื่องของเขา ไอ้เรื่องของเราหรือหน้าที่ของเราคือว่าทำความดีกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เพราะทำดีแล้วมันก็ได้ผลดีเอง ยิ่งเป็นชาวพุทธแล้ว เราก็ต้องมีศีล ศีลมันควรขยายความไปถึงการมีน้ำใจด้วย คนไม่มีน้ำใจกับเราก็เป็นเรื่องของเขา เขาต้องรับกรรมของเขาเอง แต่ว่าเราต่างหาก หน้าที่เราคือทำกรรมดี เพราะถ้าเราไม่ทำความดีเราก็ต้องรับกรรมของเรา เราไม่อยากรับวิบากที่เป็นอกุศล เราก็ต้องทำความดี เป็นหน้าที่ ถ้าเรารักตัวเองเราก็ต้องทำความดี อย่าทำความชั่ว แต่คนจำนวนมากไม่ได้คิดแบบนี้ เขาจะคิดว่า เขาทำไม่ดีกับเรา
เพราะฉะนั้นเราต้องทำไม่ดีกับเขา บ้างเรียกว่าเอาเรื่องของเขามาปะปน เขาทำไม่ดีก็เป็นเรื่องของเขา ส่วนเรื่องของเราคือทำความดีเพราะมันเป็นหน้าที่เป็นสิ่งที่เหมาะสมถูกต้อง แยกแยะให้ดี เป็นเพราะคนเราแยกแยะไม่เป็นนี่แหละ เอาเรื่องของเขามาเป็นเรื่องของเราก็เลยทำอะไรก็ไม่ถูกต้องหรือบางทีก็ทำร้ายตัวเองอย่างเช่น เวลามีคนทำไม่ดีกับเรา ถ้าเราโกรธ เราก็ทุกข์เอง เราต้องรู้จักให้อภัย ถึงแม้เขาจะเบียดเบียนเราอย่างไรก็ตาม เพราะถ้าเราโกรธ ความโกรธมันก็จะเผาใจเรา บางคนก็บอกว่าจะให้อภัยได้อย่างไร เขายังไม่สำนึกผิดเลย เขายังไม่มาขอโทษเราเลย เขาจะขอโทษหรือไม่เป็นเรื่องของเขา แต่หน้าที่ของเราก็คือการให้อภัย เพราะว่ามันจะทำให้เรามีความสุข เราให้อภัยไม่ใช่เพราะว่าอะไรเลยแต่เป็นเพราะว่าเรารักตัวเอง ถ้าเรามีความโกรธมันก็มีแผล คนเราเมื่อมีแผลเราก็ต้องเยียวยารักษาตัวไม่ว่าแผลนั้นมันจะมาจากใครก็ตาม
เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนกับว่าเราเดินข้ามถนนแล้วมีรถเฉี่ยวชน แล้วรถคันนั้นก็ขับหนีไป ไม่มีความสำนึกที่จะมาช่วยเราเลยเรียกว่าตีนผี อันนี้เราถูกรถชนเราก็บาดเจ็บอาจจะกระดูกหัก เมื่อเราอยู่ในสภาพเช่นนี้เราควรทำอย่างไร ถ้ามีรถพยาบาลมามารับเรา เราก็ควรจะให้ความร่วมมือ เพราะว่าหน้าที่ของเราตอนนี้คือเยียวยารักษาตัวเอง แต่ถ้าเกิดว่าเราปฏิเสธรถพยาบาลมาเราไม่ขึ้นรถ เราบอกว่าต้องให้ไอ้รถตีนผีคันนั้นมาขอโทษฉันก่อนฉันถึงจะขึ้นรถไปรักษาไปโรงพยาบาล พูดแบบนี้ฉลาดหรือเปล่า ใครที่พูดแบบนี้ถือว่าโง่ ถือว่าไม่รักตัวเอง ในเมื่อเราบาดเจ็บ ถ้าเรารักตัวเอง เราก็ต้องรีบรักษาก่อน ไม่ว่าความบาดเจ็บนั้นมันจะมาจากใคร แล้วคนนั้นจะมาขอโทษเราหรือไม่นั้นเอาไว้ทีหลัง เราต้องรักษาตัวของเราก่อน ถ้ามีหมอมีพยาบาลมีรถมารับ เราก็ต้องไป
แต่คนส่วนใหญ่เวลามีแผลที่ใจกลับทำสิ่งตรงข้าม มีแผลที่ใจก็ต้องทำตามสิ่งที่ควรจะเป็นก็คือ รักษาใจของเราด้วยการให้อภัย หากว่าแผลนั้นเกิดจากความโกรธ ความเกลียด ก็ต้องรีบ ใช้การให้อภัยนี่แหละ เพราะการให้อภัยเป็นยารักษาใจ แต่หลายๆ คนก็ทำตัวคล้ายๆ กับคนที่ถูกรถเฉี่ยวชนแล้วบอกฉันไม่ไปโรงพยาบาลจนกว่ามันจะมาขอโทษฉัน อันนี้เรียกว่าไม่ฉลาดเวลาใครทำร้ายเรา เขาจะมาสำนึกผิดหรือไม่เป็นหน้าที่ของเขา หน้าที่ของเขาคือควรจะสำนึกผิดควรจะมาขอโทษขอขมา แต่ถ้าเขาไม่มาขอโทษขอขมาก็เป็นเรื่องของเขา หน้าที่เราก็คือเยียวยาจิตใจให้มีความสุข เยียวยาอย่างไร ก็คือให้อภัย เพราะถ้าไม่ให้อภัย จิตใจมันก็จะถูกไฟเผาร้อนรน คนที่ปล่อยให้ความโกรธเผารนจิตใจ แสดงว่าไม่รักตัวเอง ถ้ารักตัวเองต้องรีบเยียวยา อันนี้เป็นหน้าที่ต่อจิตใจ เหมือนกับเมื่อมีแผลก็ต้องรักษา อันนี้เป็นหน้าที่ต่อกาย หน้าที่ต่อจิตใจก็เหมือนกัน
ถ้าใจมันเจ็บปวดก็ต้องรักษาและวิธีรักษาที่ดีที่สุดก็คือการให้อภัย ต้องแยกให้ดี เขาจะขอโทษหรือไม่เป็นเรื่องของเขา ที่จริงมันเป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องให้อภัย แต่ถ้าเขาไม่ทำมันก็เป็นเรื่องของเขา หน้าที่ของเราคือดูแลตัวเองและจิตใจให้มีความสุข เป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักแยกแยะว่าหน้าที่ใครหน้าที่มัน มันก็เลยเป็นทุกข์โกรธแค้นพยาบาทอยู่นั่น เพียงเพราะเหตุผลว่าเขาไม่มาขอโทษเรา ลองดูดีๆ หลายครั้งเราชอบเอาเรื่องคนอื่นมาเป็นเรื่องของเรา ทั้งที่มันไม่เกี่ยวกับเราเลย เวลาเราเจริญสติ เวลาเรามาวัดมาปฏิบัติธรรม นักปฏิบัติธรรมบางคน ปฏิบัติธรรมอยู่ดีๆ ไปเหลียวเห็นคนข้างๆ เขาไม่ปฏิบัติก็ไปว่าเขา หรือบางทีก็เขม่นอยู่ในใจ นึกตำหนิอยู่ในใจว่าไม่มาปฏิบัติ บางคนมาฟังคำบรรยายอยู่ในหอไตรก็ยกมือสร้างจังหวะ ส่วนคนข้างๆ เขาไม่สร้างจังหวะก็นึกตำหนิเขาในใจว่าเขาไม่ปฏิบัติ ที่จริงเขาอาจจะปฏิบัติก็ได้ เขาอาจจะมีสติอยู่กับการฟัง แต่สมมุติว่าเขาไม่ปฏิบัติ เราก็ควรจะถือว่ามันเป็นเรื่องของเขา เขาไม่ปฏิบัติเขาก็ไม่ได้ประโยชน์จากการมาที่นี่ หน้าที่ของเราคือดูจิตดูใจของตัว
นักปฏิบัติหลายคนคอยไปเป็นทุกข์ คอยไปรำคาญคนอื่นที่เขาไม่ปฏิบัติ ลืมทำหน้าที่ของตัว หน้าที่ของตัวคืออะไร คือดูจิตดูใจคือปฏิบัติ สับสนไปหมด หน้าที่ของตัวเองไม่ทำ ไปตำหนิว่าเขาไม่ทำหน้าที่ของเขา เขาไม่ทำหน้าที่ไม่ปฏิบัติมันก็เป็นเรื่องของเขา แต่เราอย่าลืมอย่าละเลยหน้าที่ของเรา นักปฏิบัติเป็นอย่างนี้มากเลยไปวุ่นวายกับคนอื่นทั้งๆ ที่คนอื่นเขาก็ไม่ได้มีอะไร การที่เขาไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้เดือดร้อนอะไรเราเลย เสร็จแล้วเป็นอย่างไร ก็เลยไม่ได้ปฏิบัติ เจอความหลงมันเล่นงาน เพราะว่าชอบไปมองคนอื่น อันนี้เรียกว่าไม่แยกแยะว่าหน้าที่ใครหน้าที่มัน เรื่องของเขาก็เป็นเรื่องของาเขา อย่าเอามาเป็นเรื่องของเรา เวลาใครมีปัญหามาปรึกษาเรา ถ้าวางใจไม่เป็นก็ทุกข์ เขาเอาเรื่องมาปรึกษาก็ทุกข์ เพราะว่าความหวังดี ลืมตัวลืมสติ เขาเอาปัญหามาปรึกษาเราก็ทุกข์ เอาความทุกข์ของเขามาเป็นความทุกข์ของเรา แต่คนฉลาดเขาแยกแยะออก
มีคนเคยถาม อาจารย์กำพล อาจารย์กำพลนอนอยู่บนเตียงก็จะมีคนมาปรึกษาเอาปัญหาชีวิตมาเล่าให้ อาจารย์กำพลฟัง คนที่มาปรึกษาก็อาการก็ครบ 32 ไม่ได้พิการตรงไหนไม่ได้ป่วยตรงไหน แต่ว่ามีความทุกข์มาก ก็ชอบมาปรึกษา อาจารย์กำพล อาจารย์กำพลก็สามารถให้คำแนะนำ แล้วหน้าตาก็ยังแจ่มใสทั้งๆ ที่แต่ละคนก็เอาความทุกข์หนักๆ มาเล่าทั้งนั้น วันหนึ่งมีหลายคน มีคนสงสัยว่า อาจารย์กำพลทำไมไม่รู้สึกเป็นทุกข์หรือหนักอกหนักใจบ้างเลยเหรอ เพราะคนที่มาปรึกษาก็เยอะเหลือเกิน ความทุกข์ก็มาก อาจารย์กำพลก็บอกว่าก็ทำใจให้เหมือนกับกระโถนก้นรั่ว ความทุกข์ของเขาก็เป็นเรื่องของเขา อย่าเอามาเป็นของเรา หน้าที่เราก็ฟังแล้วก็ให้คำปรึกษาไป ตั้งใจฟัง แต่ว่าไม่เอาความทุกข์ของเขามาเป็นของเรา มันก็เหมือนกระโถนก้นรั่วทิ้งขยะลงไปเท่าไหร่มันก็ไม่เต็ม เพราะว่าก้นมันรั่วรู้จักปล่อยรู้จักวาง อันนี้เป็นวิสัยของคนฉลาด คือไม่เอาความทุกข์ของคนอื่นมาเป็นความทุกข์ของเรา มีการแบ่งแยกชัดเจน ความทุกข์ของเขาก็เป็นเรื่องของเขาไป หน้าที่เราคือรับฟังแต่ไม่ใช่เอามายึด ไม่ใช่ยึดความทุกข์ของเขามาเป็นของเรา แต่พอแบ่งแยกไม่ชัดเจนสับสนไปหมดก็เอาความทุกข์ของเขามาเป็นความทุกข์ของเรา เอาเรื่องของเขามาเป็นเรื่องของเรา เขาไม่ปฏิบัติธรรมก็เอามาเป็นปัญหาของเรา อันนี้ก็เรียกว่าโง่ เขาไม่ปฏิบัติธรรมมันก็เป็นเรื่องของเขาไม่ใช่ปัญหาของเรา เราก็ปฏิบัติของเราไป เขาทำไม่ดีอย่างไรก็เรื่องของเขาเรายังทำดีต่อไป เขาจะเบียดเบียนเราอย่างไรมันก็เป็นเรื่องของเขา แต่เราก็ยังทำความดี มีน้ำใจกับเขาต่อไป เพราะว่าทำดีย่อมได้ดี เพื่อนเรา ครูบาอาจารย์ของเรา พ่อแม่เราจะเมาเหล้า เล่นการพนันอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าเขาเคยมีบุญคุณกับเรา หน้าที่ของเราคือกตัญญูรู้คุณเขา ตอบแทนบุญคุณของเขา
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเดียวกันหมดเลย คือว่าอย่าเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นเรื่องของเรา เรื่องของใครก็เรื่องของมัน เราไม่ลืมหน้าที่ของเราที่ควรทำ แต่ว่าไม่ได้หมายความว่าถ้ามันเป็นเรื่องของส่วนรวม เราละเลย เพราะถ้าเป็นเรื่องของส่วนรวม เราละเลยไม่ได้ เราก็ต้องทำต้องรับผิดชอบอันนี้ต้องแยกแยะให้ถูก ถ้าเป็นเรื่องของคนอื่น เขาจะทำตัวไม่ดีอย่างไรเป็นเรื่องของเขา แต่ถ้าเขามีความทุกข์เราต้องช่วยเขาเพราะนี่คือหน้าที่ของเรา หน้าที่ของมนุษย์ หน้าที่ของชาวพุทธ หน้าที่ของคนดี และถ้าเป็นเรื่องของส่วนรวมเราก็ต้องช่วยต้องดูแล ไม่ใช่ว่าเรื่องของส่วนรวมไม่ใช่เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยว นี่ไม่ใช่ บางคนเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นเรื่องของส่วนรวม ฉันไม่ยุ่ง ถ้ามันเป็นเรื่องของฉันเมื่อไหร่ ฉันถึงจะยุ่ง อันนี้ก็ไม่ถูกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็ต้องแยกแยะให้ดี เพราะถ้าแยกแยะไม่ดีแล้ว เราก็จะละเลยหน้าที่ของเรา หรือมิเช่นนั้นก็เอาความทุกข์ของคนอื่นมาเป็นความทุกข์ของเรากลายเป็นทุกข์ไป