แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ยุคนี้เป็นยุคที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย เดี๋ยวนี้เราจะทำอะไรก็ไม่ต้องออกแรงมาก มันมีเทคโนโลยีที่ช่วยทำงานแทนเรา หรือทุ่นแรงของเรา รวมทั้งทุ่นเวลาด้วย เช่นการเดินทางอย่างมาวัดป่าสุคะโตเดี๋ยวนี้ก็ใช้เวลาน้อยลง เพราะถนนหนทางดีขึ้น รถก็เร็วขึ้น จะหาอะไรก็ง่าย อยากจะกินอะไร สมัยก่อนก็เป็นเรื่องยาก เพราะมันผิดฤดูกาลบ้าง เช่น ฤดูนี้จะกินมะม่วง ทุเรียน แต่ก่อนนี่ยาก แต่เดี๋ยวนี้เขาหาง่าย เดี๋ยวนี้แม้กระทั่งอาหารต่างประเทศ เราอยู่กรุงเทพเราอยู่ที่ไหนก็อาหารนานาชาติหาได้ไม่ยาก อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น อาหารอิตาเลี่ยน สเปน โปรตุเกส รัสเซีย อาหารแขก หาได้ง่าย คนไทยอยู่เมืองนอก แต่ก่อนแม้แต่กะทินี่ก็ยาก
อาตมาเคยไปอยู่อเมริกา ยุโรปอยู่พักหนึ่ง เมื่อ 40 ปีที่แล้ว เวลาจะทำแกง แกงเขียวหวาน แกงเนื้อ หาซื้อกระทิยากมาก มันก็ต้องอาศัยนม นมกล่อง หรือนมขวดมาแก้ขัด แต่เดี๋ยวนี้อยู่เมืองนอก อย่าว่าแต่กระทิเลย แม้แต่ปลาร้า หรือว่าอาหารรสชาติอื่นๆ ก็หาได้ง่าย เรียกว่ายุคนี้อะไรๆ มันก็ง่าย ง่ายกว่าเดิมแม้แต่เงินกู้ เงินยืมนี่อยู่ในหมู่บ้าน อย่างที่นี่ก็ยังมีประกาศ เงินด่วน เงินยืม ติดต่อได้เร็วติดต่อทางโทรศัพท์มือถือทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวเงินด่วน เงินติดล้อก็มาแล้ว อยู่ที่ แม้กระทั่งพิซซ่าก็ไม่ได้หายากเลย กาแฟอเมริกาโน่ ลาเต้ อะไรพวกนี้ เดี๋ยวนี้ก็สามารถจะหาได้ง่าย
แต่ในเวลาเดียวกันมันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่หาได้ยากขึ้น เช่น น้ำสะอาด อากาศบริสุทธิ์ แม้กระทั่งบนเขา น้ำบริสุทธิ์ น้ำสะอาด มันก็หายาก แต่ก่อนน้ำฝน ก็เป็นน้ำที่สะอาด แต่เดี๋ยวนี้มันก็ไม่ใช่แล้ว ชาวบ้านหรือคนทั่วไปก็พึ่งพาน้ำขวด น้ำบรรจุขวดมากขึ้น ซึ่งก็ไม่ได้มีหลักประกันเลยว่ามันจะสะอาด เผลอๆ มีเชื้อโรคด้วย อากาศบริสุทธิ์ก็เหมือนกันนะ ยิ่งอยู่ในเมืองจะหาอากาศบริสุทธิ์นี่ยาก น้ำสะอาดก็เหมือนกัน สิ่งที่ได้ยากที่หาได้ยากอีกอย่างหนึ่ง ก็คือความสงบ ความสงบกลายเป็นสิ่งที่หาได้ยากขึ้นทุกทีๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเดียวนี้ไปที่ไหนๆ มันก็มีคนมีชุมชน พอมีคนมีชุมชน มีบ้านมีเมืองมันก็มีการใช้เสียง เสียงรถยนต์ หรือว่าเสียงวิทยุ เสียงโทรทัศน์ เสียงประกาศ หรือแม้กระทั่งเสียงผู้คนเฮฮากัน ใช้เสียงกัน ไม่เป็นเวล่ำเวลาก็มี
ความสงบเป็นสิ่งที่หาได้ยากขึ้นทุกทีๆ แม้กระทั่งที่ภูหลง ภูหลงนี่เรียกว่าสงบกว่าที่นี่มาก แต่ว่าบางครั้งก็จะได้ยินเสียงมหรสพดัง จากหมู่บ้านอีก 4-5 กิโล บางทีเสียงดังก็มาจากสำนักงานป่าไม้ที่ติดวัดเขามีฉลองกัน เขามีการละเล่นกัน บางทีก็เปิดโทรทัศน์ดูฟุตบอลแข่งกันตอนดึกๆ มันก็มีเสียงดังเข้ามาถึงในวัด อันนี้ขนาดภูหลงนะ ไม่ต้องพูดถึงสุคะโต ซึ่งมีหมู่บ้านอยู่ติด ยิ่งในเมืองนี่ยิ่งแล้วใหญ่ หาความสงบได้ยาก อันนี้มันเป็นกันไปทั่วเลย ในเมืองนอกก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้มันมีคำพูดว่า ความสงบมีค่าเหมือนทองคำ silence is golden ความเงียบ ความเงียบสงบมีค่าเหมือนทองคำ ที่จริงมันไม่ใช่เฉพาะเสียงดังนะ แม้เราอาจจะหลีกเร้นไปยังที่ ที่มันไม่มีเสียงดัง เสียงอึกทึก เช่นอาจจะไปอยู่ในป่า หรือว่าไปอยู่ในเกาะ แต่ว่ามันอาจจะมีอย่างอื่นมาเร้าแทน ปัจจุบันมันมีเสียง มีสี มีภาพ มีข้อความ
ความสงบถูกทำลายไม่ใช่เพราะมีเสียงดังอย่างเดียว บางทีแสงสี แม้ไม่มีเสียงเลย พอเราไปเจอเข้าใจเราก็ไม่สงบแล้ว ไม่สงบเพราะอะไร เพราะถูกเร้า ทีนี้เกิดขึ้นอาจจะเป็นความอยาก ความอยากก็จะทำให้ใจไม่สงบเหมือนกัน แสงสี และเดี๋ยวนี้มีภาพมีข้อความมันล่องลอยมาทางอากาศ มาตามสัญญาณเน็ต สัญญาณโทรศัพท์ เพราะฉะนั้นแม้อยู่ในที่ๆมันไม่มีเสียงรบกวนเลย แต่จิตใจคนก็ไม่สงบแล้ว พอเปิดโทรศัพท์เข้า ความไม่สงบก็ตามมาเลย จากภายนอกมาสู่จิตใจของเรา ครั้นจะปิดโทรศัพท์ เดี๋ยวนี้ก็ปิดยาก หลายคนเปิดโทรศัพท์ 24 ชั่วโมงเลย แม้กระทั่งเวลานอน เวลาปิดก็ไม่อยากปิด ครั้นปิดแล้วก็พะวงว่า จะมีใครส่งข้อความมาหาเราไหม ถ้าเราไม่ตอบมันจะเสียมารยาทหรือเปล่า เขาจะเข้าใจเราผิดไหม เพราะฉะนั้นใครที่ส่งข้อความมาเขาก็อยากให้เราตอบรับเร็วๆ ส่งสติกเกอร์มาก็ยังดี แต่นี่เงียบหายไปเลยแปลว่าอะไร เราก็เกิดความกังวล บางทีมาอยู่ป่า มาปฎิบัติธรรมหรือไปรีสอร์ทที่ไกลๆ ก็กังวลวิตกก็ทำให้ต้องเปิดโทรศัพท์ พอเปิดโทรศัพท์ก็ทำให้ข้อความต่างๆ ก็พรั่งพรูเข้ามา พอได้อ่าน ได้เห็นใจก็ไม่สงบ อาจจะไม่ได้เกิดอารมร์โกรธโมโหแต่ว่ามันฟุ้งซ่าน รอบตัวสงบ ภายนอกสงัด แต่ว่าจิตใจไม่สงบเลย ไม่สงบเพราะอะไร เพราะใจมันกระเพื่อม มีความคิดสารพัดต่างๆ ที่เราเรียกว่าความฟุ้งซ่าน แถมมีอารมณ์เกิดขึ้นด้วย
ความไม่สงบ ที่เกิดขึ้นในใจตรงนี้คือปัญหาที่สำคัญกว่าเสียงดังข้างนอก และความไม่สงบที่มันเกิดขึ้นในใจก็เกิดขึ้นกับคนสมัยนี้อยู่ตลอดเวลา หรือว่าเกือบทั้งวันบางทีก็ตามไปถึงตอนกลางคืนด้วย ทั้งที่บ้านก็ติดแอร์ ปิดกระจก ติดกระจกไม่ให้เสียงดังรบกวนจากข้างนอก แต่มันมีเสียงดังอยู่ในหัว ที่เขาว่าความสงบมันมีค่าดั่งทองคำก็เพราะเหตุนี้แหละ มันไม่ใช่แค่ว่ามันมีเสียงดังรบกวนจากภายนอก ต่อให้ข้างนอกไม่มีเสียงดังในหัวมันก็มีเสียงดังอยู่ เรียกว่าแทบทั้งวันเลย จนนอนไม่หลับก็มี คนเรานี่เกิดมาทั้งทีนอกจากมีกินมีใช้ กินอิ่ม นอนอุ่น มีงานมีการที่มั่นคง มีครอบครัวที่ดีแล้ว สิ่งหนึ่งที่มันควรมีที่จริงก็ขาดไม่ได้ก็คือความสงบนี่แหละ
แม้แต่ความสุขที่เราแสวงที่เราอยากได้มันก็เทียบไม่ได้กับความสงบที่เกิดขึ้นในใจ อย่างพระพุทธเจ้าตรัสว่าสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี คนที่เขามีความสุขทางกาย มีทรัพย์สมบัติเหลือล้น แต่ว่าก็ยังมีความไม่พอใจกับชีวิตของตัว แม้จะมีอำนาจมีบริษัทบริวารมากมาย แต่ว่าก็ยังกระสับกระส่ายอันนี้เพราะว่าเขาไม่สามารถพบความสงบในใจ ที่จริงความสงบในใจมันถูกทำลายไปเพราะ หนึ่งมันมีเสียงอยู่ในหัวอันนี้คือความคิด สองมันมีอารมณ์รบกวนจิตใจ เช่น ความเศร้า ความโศก ความโกรธ สองอย่างนี้แหละคือสิ่งที่ทำให้เราพบความสงบได้ยาก แม้ว่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตพรั่งพร้อมบริบูรณ์ด้วยวัตถุ ต้องรู้จักนะหาความสงบในจิตใจให้ได้ เริ่มต้นตั้งแต่การรู้จักการทำให้เสียงในหัวลดน้อยลง เรารู้เยอะแยะ เรารู้มากมาย แต่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ว่าจะทำยังไงถึงจะทำให้เสียงในหัวมันหายไป เสียงมันดังอยู่ตลอดเวลา อันนี้เพราะว่าเราคิดไม่หยุด
คนทุกวันนี้ถูกฝึกมาให้ คิด คิด คิด แล้วก็ถูกเร้าด้วย ถูกเร้าด้วยสิ่งภายนอกต่างๆ มากมาย เราถูกฝึกให้คิดเก่ง ถูกฝึกให้คิดได้เร็วได้นาน เด็กๆ นี่ต้องไปโรงเรียนเข้าห้องเรียน ถูกฝึกให้ท่อง ถูกฝึกให้คิด จันทร์ถึงศุกร์ ไม่พอ เสาร์อาทิตย์ก็ไปเรียนพิเศษก็ถูกฝึกให้คิด คิดเร็ว แล้วก็จำได้นานๆ จะได้ไปสอบเข้าโรงเรียนที่มีชื่อ หรือเข้ามหาวิทยาลัยที่เด่นดังได้ ถูกฝึกให้คิดจนกระทั่งหยุดความคิดไม่ได้ อย่าว่าแต่เด็กเลยนะ เดี๋ยวนี้ผู้ใหญ่ก็หยุดความคิดไม่ได้ เราไม่ได้ใช้ความคิดแล้วเดี๋ยวนี้ความคิดมันใช้เรา มันใช้เราให้ คิด คิด มันใช้เราให้ผลิตตัวมันซ้ำ พอเราบอกว่าฉันเหนื่อยแล้วหยุดได้แล้วความคิดมันก็ไม่ยอม มันก็สั่งให้เราคิดต่อบางทีมันก็อ้อนวอน คิดหน่อยนะ คิดอีกหน่อยนะ ใกล้จะจบแล้ว เรื่องนี้ดีนะ เป็นความคิดที่เลิศมากเลย อย่าเพึ่งหยุดนะ คิดต่อ แม้แต่เวลาเรามาสวดมนต์ มาเจริญสติ เราพยายามวางความคิดแต่ความคิดมันก็ยังสั่งเราอ้อนวอนเราขอให้คิดน่า อย่าใจร้ายกับฉันเลย แล้วเราก็เชื่อมันก็คิด ผลิตซ้ำความคิด อันนี้เรียกว่ามันใช้เรานะ
คิดเก่งคิดดีอันนี้มีประโยชน์ แต่ถ้าหยุดคิดไม่เป็นอันนี้เป็นโทษ การกินไม่ได้การนอนไม่หลับเพราะความคิด กลายเป็นปัญหาของคนมากมาย ต้องหาเวลาหรือว่าเรียนรู้การที่หยุดคิดบ้าง รู้จักวางความคิดบ้าง การที่เราจะวางความคิดได้มันไม่ใช่เป็นการไปบังคับจิตให้หยุดคิดนะ กำลังคิดอยู่เนี่ยไปบังคับมันให้หยุด แล้วทำบ่อยๆ จะเครียด จะปวดหัว จะหน้ามืด มันต้องมีศิลปะในการที่จะวางความคิดลง
วิธีที่นิยมใช้กันก็คือว่าเอาจิตมากำหนดอยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะเป็นสิ่งนอกตัวก็ได้ เช่น เสียงน้ำหยด เสียงลำธารไหล พอจิตเราไปเพ่งอยู่ตรงนั้น ถ้ามันนิ่งมันก็หายฟุ้งซ่าน มันก็หายปรุงแต่ง หยุดคิดหรือเอาจิตมากำหนดอยู่ที่ลมหายใจ หายใจเข้า หายใจออกก็รู้ หรือว่ากำหนดอยู่ตรงนั้น พอจิตมันนิ่ง ความคิดต่างๆ ที่มันดังระงมอยู่ในหัว มันก็ค่อยหายไป ที่จริงจิตมันก็ไม่ได้นิ่งทีเดียว เดี๋ยวมันก็แวบไป พอเรามีสติรู้ก็ดึงมันกลับมา จิตมาเพ่งอยู่ตรงนั้น มันก็สงบได้ แต่ว่าสิ่งที่รบกวนความสงบในใจเรามันก็ไม่ได้มีแค่เสียงดังในหัว บางทีมันมีสิ่งรบกวนจิตใจเช่นอารมณ์ ความโกรธ คนเราเวลาโกรธเราก็ไม่ค่อยรู้ตัว ทั้งที่ความโกรธมันเผา มันเผาใจ แต่เรามักจะสร้างปัญหาเพิ่มด้วยการไปทะเลาะ ไปทะเลาะไปด่า เขาก็ด่ากลับก็เลยไปทุ่มเถียงมีการวิวาทกัน ยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่ คนไม่ค่อยตระหนักว่าเวลาที่โกรธ ใจมันร้อน เพราะว่าเราไม่ค่อยสังเกตจิตใจของตัวเองเท่าไร เรามันแต่ส่งจิตออกนอก ไปเพ่งอยู่กับคนที่ทำให้เราโกรธ ไปเพ่งอยู่กับคนที่ว่าเรา แต่ถ้าเราเริ่มรู้จักที่จะสังเกตใจของเรา ว่ามันร้อนนะตอนที่โกรธ แล้วก็หันไปแก้ที่ตรงนั้น ก็คือทำให้ใจมันสงบ ทำให้ใจหายโกรธ ทำให้ใจเย็นจากความโกรธ
มีเด็กคนหนึ่งชื่อปลาวาฬ อายุ 4-5 ขวบ ถูกแม่ว่า ปลาวาฬปกติก็จะเถียงกลับ เถียงเพราะว่าเป็นเด็กฉลาด รู้จักตอบ รู้จักแก้ตัวหรือว่ารู้จักโต้ แต่มีวันหนึ่ง พอแม่ว่า ปลาวาฬก็มีสีหน้าไม่พอใจ แต่แทนที่แกจะไปเถียงหรือต่อว่าแม่แกก็เดินออกไป แม่แปลกใจ แม่ก็เลยถามว่าปลาวาฬไปไหน ปลาวาฬตอบว่าไปสงบสติอารมณ์ครับ ที่จริงไม่ใช่สงบสตินะ แค่สงบอารมณ์ เพราะสติถ้าสงบยิ่งแย่นะ มันต้องปลุกสติให้ตื่น แต่ที่ควรสงบคือสงบอารมณ์ แต่ปลาวาฬก็พูดตามภาษา ไปสงบสติอารมณ์ครับ ปลาวาฬทำอย่างงั้นเพราะเขารู้ว่าใจตอนนั้นมันร้อน ร้อนเพราะอะไรเพราะความโกรธ และเมื่อใจมันร้อนเพราะความโกรธก็ต้องแก้ทุกข์ ด้วยการไปสงบอารมณ์คือการไปสงบความโกรธ ปลาวาฬอาจจะออกไปเพื่อที่จะตามลมหายใจให้ใจมันสงบลง อันนี้ก็คือวิธีที่ทำให้ใจมันสงบ ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้นึกเท่าไร มีแต่จะไปเพิ่มความรุ่มร้อนให้แก่จิตใจมากขึ้น ด้วยการไปเถียงไปต่อว่าไปทะเลาะ
การที่เรารู้จักทำสมาธิมันก็ทำให้ใจปลอดจากอารมณ์หรือคลี่คลายจากอารมณ์ได้ ความสงบก็กลับมานอกจากเสียงในหัว อารมณ์ในจิตใจแล้ว บางทีมันก็มีความเจ็บความปวดในกาย ซึ่งทำให้ใจไม่สงบ ไม่มีเสียงดัง ไม่มีข้อความที่จะทำให้จิตใจกังวล รุ่มร้อน แต่ว่ามันมีความปวด ความเมื่อย และคนก็ไม่ค่อยรู้เวลาปวด เวลาเมื่อย เวลาเจ็บที่กาย ใจก็มักจะเจ็บ ใจมันก็ปวดด้วย และใจปวดนี่แหละที่มันทำให้ความไม่สงบเกิดขึ้นกับใจ คนไปคิดว่าที่ไม่สงบใจเพราะว่ามันมีความปวด แต่ที่จริงไม่ใช่แค่ปวดกายปวดใจด้วย ปวดใจก็ไปซ้ำเติมความปวดใจให้หนัก แต่ถ้าเราเพียงแต่รู้จักทำใจให้สงบหรือทำใจไม่ให้โวยวายตีโพยตีพาย มันก็ช่วยลดความเจ็บความปวดก็ทำให้ใจสบายขึ้น
มีเด็กคนหนึ่งชื่อน้องไอซ์ อายุ 3-4 ขวบเหมือนกัน ไล่ๆ กับปลาวาฬวิ่งเล่นสนุกสนาน ปรากฎว่าวิ่งไปชนประตูกระจก ประตูมันเป็นกระจก เด็กนึกว่าประตูมันเปิดโล่งวิ่งออกไปนอกบ้านชนกระจกชนประตูดังตึง เสียงดัง น้องไอซ์ก็ร้อง แม่อยู่ในครัวได้ยินตกใจรีบวิ่งมาหาจะกอด จะโอ๋จะปลอบลูกให้หายปวด แต่มาเห็นลูกนั่งสมาธิพอแม่เข้าใกล้น้องไอซ์ก็บอกว่าแม่อย่างเพิ่งๆ ให้น้องไอซ์นั่งสมาธิก่อน น้องไอซ์นั่งสมาธิทำไม น้องไอซ์นั่งสมาธิเพราะรู้ว่าตอนนั้นใจมันทุกข์ ใจมันทุกข์เพราะอะไร เพราะว่าใจมันปวด ปวดที่ไหน ปวดที่กายปวดที่หัว แต่ก็รู้นะว่าใจมันทุกข์ด้วย และเมื่อใจมันทุกข์ นั่งสมาธิก่อนให้ใจมันสงบ อันนี้เด็กฉลาด ก็รู้ว่าเวลาปวดกายใจมันก็ไม่สงบไปด้วย ไม่สงบเพราะอะไรเพราะเกิดโทสะ เกิดการโวยวายตีโพยตีพาย พอทำให้ใจสงบหยุดบ่นหยุดโวยวายมันก็ช่วยได้ หัวที่บวมก็ทายาไป
ส่วนใหญ่ผู้ใหญ่ก็ทาแต่ยา ก็ทายาแต่เฉพาะตรงที่หัวมันโนหรือบวม แต่ไม่ค่อยสนใจจิตใจเท่าไร ทั้งที่จิตใจมันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน แต่น้องไอซ์ก็ฉลาด เพราะรู้ว่าใจมันทุกข์ด้วยและเขาก็รู้ว่าทำให้ใจมันหายทุกข์ก็คือการทำสมาธิ อย่างไรก็ตามสมาธิก็เป็นวิธีหนึ่ง ในการทำให้ใจสงบไม่ทำให้เสียงในหัวมันรบกวน ไม่ให้อารมณ์มันมาเล่นงานจิตใจ หรือไม่ทำให้ความเจ็บความปวดมันมารบกวนจิตใจ แต่นอกจากสมาธิแล้วมันมีอันหนึ่งคือสติ สติที่จะช่วยทำให้ใจสงบได้ แล้วมันมีเสียงอยู่ในหัว มันมีความคิด ความคิดรบกวน
วิธีการที่จะทำให้ความคิดมันหยุด มันไม่ใช่วิธีการห้ามคิดหรือนอกเหนือจากการที่เอาจิตมาเพ่งอยู่ที่ลมหายใจแล้ว การที่รู้ทันว่ามันมีความคิดเกิดขึ้นในหัว หรือมีเสียงดังในหัวก็จะช่วยได้ เวลามันเผลอคิดไปมันฟุ้งซ่านไป เรามีสติรู้ทันรู้ว่าใจมันคิดไปแล้ว พอสติมานะความคิดมันก็จางหายไป และถ้าเราฝึกให้มีสติรู้ทันอยู่บ่อยๆ เสียงที่จะมาดังระงมอยู่ในหัวมันก็จะน้อยลงๆ เราไม่จำเป็นต้องไปบังคับจิตให้มันหยุดคิด เพราะมันบังคับได้ยาก แล้วก็ไม่ใช่แต่เพียงว่าไปเพ่งเอาจิตไปเพ่งอยู่ที่ลมหายใจ มันถึงจะหยุดคิดแต่เพียงแต่เรารู้ รู้ทันว่ามันเกิดขึ้น เสียงในหัวหรือความคิดในใจ ถ้าเราฝึกสติให้ไวมันจะทำงานแทนเราอันนี้เรียกว่าสงบเพราะมีสติรู้ทัน มันต้องรู้จักวิธีนี้บ้าง ซึ่งเราก็สามารถทำให้ใจสงบได้
วางจากความคิดแม้ในชีวิตประจำวัน ไม่จำเป็นว่าจะต้องหลีกเร้นมาอยู่ที่วัดหรือว่าไปเก็บตัวอยู่ในห้องพระ ไม่รับรู้อะไรเลยหรือว่าเอาแต่ไปเพ่งอยู่ที่ลมหายใจอย่างเดียว โดยเฉพาะคนเราส่วนใหญ่ก็ต้องไปทำงาน เราจำเป็นต้องมีสติมีความรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา แม้แต่เวลาขับรถถ้าเรามีสติรู้ตัว เวลาใจมันคิดนึกอะไรเช่นวางแผนเรื่องงาน วางแผนไปเที่ยว มีสติรู้มันวาง ใจก็อยู่กับการขับรถได้ดีขึ้น บางคนก็รู้ว่ามันมีความคิดรบกวนอยู่ในหัวขณะขับรถ แต่ถ้าจะให้จิตมากำหนดอยู่ที่ลมหายใจมันก็ทำให้ขับรถไม่สะดวก กำลังขับรถอยู่บนทางด่วน เอาจิตมาเพ่งที่ลมหายใจอันนี้มันก็อันตรายนะ ในสถานการณ์อย่างนั้นก็ควรจะขับรถอย่างมีสติ และถ้าเรามีความรู้สึกตัว ความคิดฟุ้งซ่านมันก็จะมาแทรกได้ยาก หรือถ้ามันเกิดโผล่เข้ามามันก็จะปรุงแต่งได้ไม่นาน เพราะว่ามีสติรู้ รู้แล้วก็พอรู้ทันปุ๊ปมันก็วาง
ให้เรารู้จักนะการทำความสงบให้กับใจทั้งด้วยสมาธิ และก็ด้วยสติ การเจริญสติ เราก็สร้างขึ้นจากการปฎิบัติ เช่นยกมือสร้างจังหวะหรือว่าเดินจงกรมเป็นการฝึกให้มาดูกายมารู้กาย กายมันยกแขน ก็รู้ โดยไม่ไปเพ่งมัน รู้ไปซักพักมันเผลอไปคิด ตอนนั้นเรียกว่าลืมตัว ตอนนั้นเรียกว่าไม่มีสติ ครั้นสติเรากลับมา มันก็ไม่ลืมตัวละ มันรู้ตัวขึ้นมาจิตมันก็กลับมาอยู่ที่เนื้อที่ตัว มารับรู้ว่ากำลังยกมือ ตอนนั้นเรียกว่าเห็นกายเคลื่อนไหว เห็นกายเคลื่อนไหวมันไม่ได้เห็นด้วยตา แต่เห็นด้วยใจคือเห็นด้วยสติ เห็นกายเคลื่อนไหว แต่บางทียกมือเมื่อมันไม่เห็นกายเคลื่อนไหว เพราะใจมันไปอยู่ที่บ้านแล้ว ไปคิดถึงลูกไปนึกถึงพ่อแม่ที่โรงพยาบาล ตอนนั้นตัวมันยก ยกมือหรือว่าตัวกำลังเดินแต่ใจไม่รับรู้ อย่างนั้นเรียกว่าไม่เห็นกายเคลื่อนไหว มันเคลื่อนไหวแต่ตัว แต่ว่าใจไม่ไปรับรู้ด้วย
แต่ถ้าเราฝึกให้เห็นกายเคลื่อนไหวบ่อยๆ คือมีสติรู้ ว่ากายทำอะไร เวลาใจมันคิดนึก มันคิดโน่นคิดนี่ สติก็จะไปตามรู้ พอรู้ปุ๊ปความคิดมันก็เลือนหายไป เพราะว่าตอนนั้นรู้ตัวแล้วไม่เผลอไม่ลืมตัว ที่คิดฟุ้งเพราะมันเผลอ เผลอคิดไป มันคิดเพราะเผลอ แต่พอไม่เผลอรู้ตัวขึ้นมาความคิดก็หายไป หรือมีอารมณ์เกิดขึ้นความโกรธความเศร้า อันนี้ก็ไม่รู้ตัว ลืมตัวเหมือนกันปล่อยให้มันมาครอบงำจิตใจ พอเรารู้ตัวเรามีสติปุ๊ป มันก็จะคลายหายไปอันนี้เรียกว่ารู้ใจคิดนึก งั้นถ้าเราเจริญสติเห็นกายเคลื่อนไหวรู้ใจคิดนึก ความสงบก็จะเกิดขึ้นกับใจของเราได้ ไม่จำเป็นต้องไปหลีกเร้นหลบหน้าผู้คนหรือเก็บตัวอยู่ในห้องแอร์ หรือว่าเอาจิตไปเพ่งอยู่ที่ลมหายใจหรือที่ท้องหรือว่าเอาจิตไปอยู่กับคำบริกรรมที่เรานึกขึ้นมาอย่างเดียว มันทำได้หลายวิธี โดยเฉพาะถ้ามันเป็นการเจริญสติเป็นการทำรู้สึกตัว ความสงบก็เกิดขึ้นได้แม้อยู่ท่ามกลางผู้คน แม้กระทั่งอยู่บนถนน เพราะว่าใจกระเพื่อมทีไร ก็รู้และก็วาง เสียงที่ดังในหัวมันก็จะค่อยๆ ลดลง อารมณ์ที่มันรบกวนจิตใจก็จะคลายๆ ไป ความเจ็บความปวดที่กาย มันก็ไม่ทำให้ใจเป็นทุกข์ได้ ใจเป็นปกติไม่บ่นไม่โวยวายเพราะมีสติเป็นเครื่องรักษาไว้ อันนี้แหละคือหนทางแห่งการสร้างความสงบในใจ ในท่ามกลางการดำเนินชีวิตประจำวันของพวกเรา