แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อวานได้ไปแสดงธรรมที่ ยุวพุทธิกสมาคม แสดงธรรมเสร็จก็มีคนส่งคำถามขึ้นมา มีคนหนึ่งถามว่า ตอนนี้เขาไม่มีสามีแล้ว ทั้งพ่อและก็สามีก็เสียชีวิตไปแล้ว อยู่คนเดียว รู้สึกเหงา รู้สึกว้าวุ่นใจ จะทำอย่างไรดี คิดว่าคนที่มีปัญหาแบบนี้ ทุกวันนี้มีมากทีเดียว ความรู้สึกเหงา ชาวบ้านไม่ค่อยมีเท่าไร เพราะว่าเขามีหมู่มิตร มีเครือข่ายในหมู่บ้าน แต่ว่าคนในเมือง เดี๋ยวนี้ก็อยู่กันแบบต่างคนต่างอยู่ ถ้ามีครอบครัวก็แล้วไป แต่ว่าถ้าเกิดคนในครอบครัวล้มหายตายจากไป ก็จะรู้สึกโดดเดี่ยว ที่จริงการอยู่เดียว ก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องเหงาเสมอไป แต่ก็อย่างที่คนโบราณว่า อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด ความเหงามันก็เกิดจากความคิดนั่นล่ะ ก็คือพออยู่คนเดียวไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับใครใจมันก็คิดไปต่างๆ นาๆ และใจที่คิดไปต่างๆ นาๆ มันก็ทำให้ว้าวุ่น เสร็จแล้วถึงจุดหนึ่งก็จะรู้สึกเหงาขึ้นมา
ที่จริงคนเราถึงแม้จะเสียพ่อ เสียแม่ไป หรือว่า เสียสามี หรือไม่มีแฟน มันก็ไม่จำเป็นต้องเหงาก็ได้ ถ้ามีเพื่อน มีเพื่อน มีหมู่มิตร เพราะผู้ชายจะไม่ค่อยมีปัญหานี้เท่าไหร่เพราะว่า ถึงแม้ว่าอยู่คนเดียวแต่ว่าเขามีหมู่มิตร จะเป็นเพื่อนเล่น เพื่อนกิน หรือเพื่อนเที่ยวก็แล้วแต่ แต่ว่าคนสมัยนี้ ถึงแม้มีเพื่อน แต่ถ้ามันฉาบฉวยพอกลับมาอยู่บ้านคนเดียวก็อาจจะเหงาได้ อันนี้เป็นมาก สำหรับคนสมัยใหม่โดยเฉพาะวัยรุ่นหนุ่มสาว อันนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เฟชบุ๊กเป็นที่นิยมมาก เพราะว่าผู้คนรู้สึกเหงา รู้สึกว้าเหว่ รู้สึกโดดเดี่ยว
ธรรมชาติของมนุษย์ก็อยากมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน หลายคนก็ไม่อยากจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด เพราะว่าอยากจะรักษาความเป็นส่วนตัวบางอย่างเอาไว้ จะมีคู่ก็มีคู่แบบไม่ใช่อยู่ด้วยกัน อาจจะมาพบปะกันเป็นครั้งคราว แต่ว่าก็ยังอยากจะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน เพราะฉะนั้นก็เลยใช้เฟชบุ๊กเป็นสื่อ เป็นสื่อในการพบปะ เป็นสื่อในการหาเพื่อน เป็นสื่อในการที่จะแสดงออกตัวตนหรือประกาศตัวตน ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเราเหตุผลหนึ่งที่อยากจะมีความสัมพันธ์กับผู้คน ก็เพื่อว่าเราจะได้แสดงตัวตนหรือประกาศตัวตน หรือว่ามีคนอื่นมาช่วยพะนออัตตาของเรา หลายคนที่รู้สึกว่าอยู่คนเดียวไม่ค่อยได้เพราะว่าต้องการคนที่จะมาพะนออัตตา พะนอตัวตน หลายคนอยากมีแฟน วัยรุ่นหลายคน ถ้าไม่มีแฟนแล้วก็จะรู้สึกว่ามันขาดอะไรไปบางอย่าง ถึงแม้ว่ามีพ่อมีแม่หรือว่าอยู่กับพ่อแม่แต่ก็ยังเหงา ความเหงาส่วนหนึ่งก็เพราะว่าต้องการคนมาพะนออัตตา เพราะว่าถ้ามีแฟนแล้ว แฟนก็จะทำตามใจเรา หรือว่าเขาก็จะแสดงความรักต่อเรา ความรู้สึกว่าเรามีคนรักก็ทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นคนสำคัญ ถ้าไม่มีคู่รัก ไม่มีแฟน ก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่อยู่ในสายตาของใคร ความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสำคัญ มันก็จะเด่นชัดขึ้นและคนก็เป็นอย่างนี้มาก ก็คือต้องการ ต้องการสิ่งที่จะมายืนยัน หรือว่ามาชี้สนับสนุนให้ตัวเองรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ
บางครั้งการที่ไปหาของแพงๆ เช่น สินค้าแบรนด์เนม ราคาแพง ราคาเป็นหมื่นเป็นแสน ไม่ว่าจะเป็นรองเท้า ไม่ว่าจะกระเป๋า นาฬิกา หรือว่ารถยนต์ ก็เพื่อมาทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ หรือทำให้คนอื่นเขามองว่าเราเป็นคนสำคัญ เพราะว่าถ้าเราขับรถธรรมดา แม้แต่ยามก็ไม่สนใจ มีหมอคนหนึ่งเขาเล่า อยู่ชัยภูมินี่ล่ะ เวลาขับรถธรรมดาเข้าไปโรงพยาบาล ยามก็เฉยๆ แต่พอเขาขับรถเบนซ์เข้าไป ยามแสดงความเคารพทันทีเลย ปฏิกิริยาแบบนี้แหละทำให้คนเรามีความรู้สึกว่ามันอยากจะมีของพวกนี้แหละสินค้าแบรนด์เนม เพราะว่าพอมีแล้วคนเขาจะรู้สึกว่าเราเป็นคนสำคัญ เขาจะรู้สึกว่าเราไม่ใช่คนธรรมดา การแสดงอาการของเขาทำให้เรารู้สึกว่าปลื้ม อันนี้ก็เลยเป็นการพะนออัตตาแบบหนึ่ง แล้วในขณะเดียวกันถ้าเกิดไม่มีของ ไม่มีของราคาแพงใช้ ไม่มีสินค้าแบรนด์เนม ก็อาจจะอาศัยการมีความสัมพันธ์กับผู้คนผู้อื่นเพราะว่าความสัมพันธ์กับผู้อื่นก็มีส่วนในการพะนออัตตา ยิ่งถ้าเรามีเพื่อนเยอะ คนที่มีเพื่อนเยอะเขาก็จะรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ แต่ถ้ามีเพื่อนน้อยก็จะรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยเป็นคนสำคัญ ทำไมฉันไม่ค่อยมีเพื่อนเลย งั้นหลายคนหาเพื่อน เอาเพื่อนมาพะนออัตตา มาสร้างความสำคัญให้กับตัวเอง ถ้าไม่มีเพื่อนเลยทำอย่างไร ก็เลี้ยงหมาไง มีสัตว์เลี้ยง เพราะว่าสัตว์เลี้ยงมันก็มีส่วนช่วยในการที่ทำให้เรารู้สึกเป็นคนสำคัญ บางคนมีสัตว์เลี้ยงอาจจะคิดว่าเพราะมีเพื่อน เลี้ยงสัตว์ก็เพื่อจะได้มีเพื่อน แต่ก็ไม่แน่ว่าต้องการเพื่อนหรือพวกกันแน่
คนส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการเพื่อนต้องการพวก มีคนเป็นพวกมีบริษัทบริวารก็ทำให้รู้สึกว่าเราเก่ง เราสำคัญ หลายคนก็ต้องหาพวกด้วยการเอาเงินมาหว่าน เอาเงินมาจากไหน เงินก็อาจจะมาด้วยการเล่นพนันบ้างล่ะหรือก็ไปขโมยเขามา ไปโกงเขามา แล้วเอามาหว่านจะได้มีพวก ถ้ามีคนเป็นพวกไม่ได้ก็เอาสัตว์เป็นพวก ลองดูดีๆ เราอยากจะได้เพื่อนเราแสวงหาเพื่อนจริงๆ เราต้องการเพื่อนหรือเราต้องการพวกกันแน่ และนี่ก็เป็นปัญหาของคนสมัยนี้ให้ความต้องการพวก เดี๋ยวนี้มันก็ต้องการมากจนขนาดพวกยิ่งใหญ่ยิ่งดี
การไปวัดไปวา หลายคนไปวัดก็เพราะว่าต้องการเพื่อน แล้วก็เผลอ ๆ ต้องการพวกด้วย วัดหลายวัดก็ตอบสนองความต้องการอย่างนี้ของคนในเมือง เพราะว่าคนชั้นกลางเขาเหงา แล้วก็หลายคนพบว่าถ้าไปวัดแล้วมีเพื่อนมีพวก อันนี้ก็เป็นเรื่องที่รู้กันในหมู่คนที่ศึกษาบทบาทของวัด หรือว่าศาสนาในสังคมสมัยใหม่ ก็เพราะว่าไม่ว่าเป็นศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพุทธ วัด หรือว่า โบสถ์ หรือว่ามัสยิดก็ตาม หลายแห่งมีคนมามากมายก็เพราะว่าคนต้องการมาหาเพื่อน เขารู้สึกว่าเขาต้องการชุมชนอันนี้พูดแบบวิชาการต้องการชุมชนสังกัด วัดนี้มันก็สามารถจะเป็นชุมชนให้เขาได้มาสังกัดได้ มีบางวัดที่มีคนขึ้นเป็นแสน หรือเป็นล้านเพราะว่ามันตอบสนองความต้องการอย่างนี้ของคนเมืองจึงรู้สึกเหงาแล้วก็เลยต้องมาหาเพื่อน หาพวก หาชุมชน เพื่อที่จะได้คลายความเหงา
ที่จริงคนเราถ้าหากว่ามีฉันทะในการทำอะไรสักอย่าง ความเหงาก็เกิดขึ้นน้อย เช่น คนที่รักการอ่าน คนที่รักการอ่านจะรู้สึกว่าหนังสือเป็นเพื่อนเขา เขาก็จะไม่ค่อยเหงาเท่าไหร่อยู่คนเดียวก็มีหนังสืออ่าน ถึงพูดว่าหนังสือคือเพื่อนคู่คิด ที่เราเคยได้ยินสำนวนนี้ “เพื่อนคู่คิด” คนไทยไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ คนไทยเราเน้นการพูดการคุย เราก็เลยต้องการเพื่อนที่เป็นคนมาก พอไม่มีเพื่อน หรือว่าไม่มีคนในครอบครัวก็จะเหงา แต่ถ้าคนเรารู้จักมีหนังสือเป็นเพื่อนมันก็จะไม่ค่อยเหงาเท่าไหร่ แต่ก็มีปัญหาอีกแบบหนึ่ง ก็คือว่าทำให้ติดหนังสือ พอไม่มีหนังสือ เขาก็กระสับกระส่าย อันนี้ก็เป็นปัญหาเหมือนกัน โดยเฉพาะถ้าเราไปพึ่งพาสิ่งภายนอกมาก
บางคนก็ไม่มีหนังสือเป็นเพื่อนแต่ก็มีงาน มีการ มีงานอดิเรก เช่น ชอบปลูกต้นไม้ ชอบประดิดประดอย คนที่ชอบประดิดประดอยมีฉันทะ ในการทอผ้า ในการสานกระบุงตะกร้า หรือว่าจัดดอกไม้ เขาก็จะไม่รู้สึกเหงา เขาก็รู้สึกว่ามีเพื่อนเหมือนกัน แต่ว่าคนไทยก็นั่นแหละ ฉันทะในการทำสิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยมี เพราะว่าเดี๋ยวนี้เราเน้นเรื่องการใฝ่เสพมากกว่าใฝ่ธรรม ถ้าใฝ่ธรรมเราจะรู้สึกว่าความเหงาไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าไหร่ เพราะว่าเรามีอะไรให้ทำ การที่มีอะไรให้ทำมันก็มีผลต่อจิตใจ ในแง่ที่ว่าจิตมันไม่ฟุ้งซ่าน เพราะว่าจิตมีสมาธิอยู่กับสิ่งที่ทำ ยิ่งถ้าทำด้วยฉันทะก็เกิดความชอบ ไม่ว่าสิ่งที่ทำนั้นคือการอ่านหนังสือ จัดดอกไม้ หรือว่าถักโครเชต์ จิตที่มีสมาธิจะไม่รู้จักคำว่าเหงา
แต่ว่าคนสมัยนี้ก็ไม่ค่อยจะมีสมาธิกับอะไรง่ายๆ หรือว่าถ้าจะมีสมาธิก็จะเป็นสมาธิในเรื่องการเสพ เช่นฟังเพลง ดูหนัง หรือไม่ก็ไปชอปปิง แต่มันก็สร้างปัญหาอีกแบบหนึ่งขึ้นมา ก็คือว่าพอไม่มีสิ่งเสพก็จะติดใจก็จะว้าวุ่น ไม่มีที่เกาะ เสร็จแล้วจิตที่ว้าวุ่นมันก็กลับมาเล่นงานตัวเอง กลับมาเล่นงานตัวเอง ก็คือทำให้รู้สึกว้าวุ่นฟุ้งซ่าน นอนไม่หลับ แล้วก็เหงา เพราะงั้นสุดท้ายมันก็กลับมาลงที่ความคิดนั่น หรือกลับมาลงที่จิตใจ ความเหงาของผู้คน จริงๆ แล้วก็อันนี้ไม่ได้ตอบเขาไป ที่ตอบเขาไปก็คือว่า คนเราถ้าหากว่ารู้จักอยู่กับตัวเองมันไม่มีคำว่าเหงา แต่คนทุกวันนี้ไม่รู้จักอยู่กับตัวเอง อันที่จริงหนีตัวเองอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ทำมาทั้งวันคือการหนีตัวเอง หนีด้วยการไปอยู่กับงานกับการบ้างล่ะ หนีด้วยการไปชอปปิ้ง หนีไปเที่ยวห้างบ้างล่ะ หรือว่าไปคลุกคลีกับเพื่อน ไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์นั่นก็หนีตัวเอง แม้แต่การเล่นเฟชบุ๊ก การเล่นไลน์ก็เป็นการหนีตัวเองอีกแบบหนึ่ง แล้วคราวนี้พอไม่มีอะไรจะให้หนี พอไม่มีอะไรจะให้ทำ พอไม่มีช่องทางที่จะหนี ก็จะรู้สึกเคว้ง รู้สึกว้าวุ่น รู้สึกเหงา อันนี้เป็นปัญหาใหญ่ของคนในยุคปัจจุบัน ไม่สามารถจะอยู่กับตัวเองได้ ทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ เพราะงั้นไม่ว่าจะมีเพื่อน หรือมีหมู่มิตรอย่างไร มันก็เป็นความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวย เปราะบาง เพราะว่าขนาดตัวเองยังอยู่กับตัวเองไม่ได้ หรือว่าไม่สามารถจะเป็นมิตรกับตัวเองได้อย่างแท้จริง แล้วมันจะเป็นมิตรกับคนอื่นได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นถ้าจะพูดแบบฟันธงก็คือว่า ที่เหงาก็เพราะว่าไม่เป็นมิตรกับตัวเอง ไม่เป็นมิตรกับตัวเอง ไม่รู้ว่าจะเป็นมิตรกับตัวเองได้อย่างไร ทุกคนก็พูดว่าฉันรักตัวเอง รักตัวเอง แต่เคยตั้งคำถามมั้ยว่า ทำไมเราทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ ทำไมเวลาอยู่กับตัวเองมันทุกข์เหลือเกิน กระสับกระส่าย ระส่ำระสาย ถ้าอยู่กับตัวเอง อยู่ไม่ค่อยได้ ยิ่งสมัยนี้ถ้าไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีโทรศัพท์มือถือ การอยู่กับตัวเองกลายเป็นเรื่องที่ทรมานเหมือนกับตกนรกเลยทีเดียว คนสมัยนี้ ต้องมีโทรศัพท์เหมือนอวัยวะที่ 32 มันก็มีรากเหง้ามาจากการที่ไม่สามารถอยู่กับตัวเองได้อาศัยโทรศัพท์มือถือนี่แหละ เป็นช่องทางในการหนีตัวเอง แต่ก่อนนี้จะหนีตัวเองได้ ก็ต้องเดินไปห้าง นั่งรถไปหาเพื่อน แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้วอยู่บ้านก็กดโทรศัพท์คุยหรือไม่ก็ส่งข้อความโต้ตอบกัน ไปโต้ตอบกันมา คนเดี๋ยวนี้ส่งข้อความกันวันหนึ่งนี่เป็นร้อยๆ เลย ไอ้ใจที่มันไปอยู่กับสิ่งเหล่านี้มันทำให้ลืมตัวเองชั่วคราว แต่พอกลับมาอยู่กับตัวเองแล้ว ก็รู้สึกเป็นทุกข์เพราะว่าใจที่ไปว้าวุ่นมาทำให้เหมือนกับว่าทะเลาะกันเอง ทะเลาะกับตัวเอง อยู่คนเดียวเมื่อไหร่จะทะเลาะกับตัวเอง ทำให้เกิดอาการกระสับกระส่าย ระส่ำระสายขึ้นมา ถ้าเราไม่รู้จักอยู่กับตัวเองมันแย่ เพราะว่าถึงแม้ว่าเราจะมีเพื่อนมากมายแค่ไหนมันก็ต้องมีช่วงเวลาที่อยู่กับตัวเองเวลาที่เรากลับมาบ้าน เวลาที่เรามานอน
อันที่จริงแล้ว คนเราถึงที่สุดแล้ว เราก็มาอยู่ในโลกนี้ เราก็มาคนเดียว ถึงเวลาตายเราก็ตายคนเดียว แล้วเวลาเราทุกข์ก็ทุกข์คนเดียว เวลาเจ็บเวลาป่วยถึงแม้ว่าเราจะมีเพื่อนมาให้กำลังใจเรา แต่ก็เพื่อนเขาก็ไม่สามารถจะแบกรับความทุกข์หรือว่าเข้าถึงความทุกข์ของเราได้ เขาไม่สามารถจะเข้าใจความทุกข์ของเรา เมื่อวานนี้หลังจากที่ไปบรรยาย ก็ไปเยี่ยมโยมคนหนึ่ง ที่เป็นหลานของเพื่อน แกเป็นมะเร็ง แล้วก็อยู่ในระยะสุดท้าย แล้วก็อาการก็หนัก แต่ว่ามาเยียวยาที่บ้านเพราะว่าโรงพยาบาลบอกว่ารักษาไม่ได้แล้ว แกก็คงมีความทุกข์ทรมานมาก จากความเจ็บป่วย เจ็บปวด พูดไม่ค่อยได้แล้ว แต่ว่ามีบางช่วงที่เธอพูดออกมาทำนองว่า สามีไม่เข้าใจตัวเธอ ความไม่เข้าใจอันหนึ่งคือไม่เข้าใจความทุกข์ของเธอ ไม่เข้าใจว่าเธอเจ็บปวดทรมานแค่ไหน อันนี้มันไม่ใช่เกิดขึ้นกับเฉพาะคนไข้คนนี้ ทุกคนนี้แหละเวลาทุกข์ เราจะรู้สึกว่าความทุกข์ของเรามันใหญ่มาก แล้วเราจะรู้สึกว่าคนอื่นไม่เข้าใจความทุกข์ของเรา แม้จะเป็นคนใกล้ชิดแค่ไหนเขาก็ไม่เข้าใจเรา
อันนี้เรียกว่าป่วย ถึงแม้ว่าป่วย คนมาห้อมล้อมแค่ไหนเราก็ต้องป่วยคนเดียว เราก็ต้องทุกข์คนเดียว ไม่ต้องพูดถึงว่าเวลาตายเราก็ตายคนเดียว ถ้างั้นตอนนี้ตอนที่เรายังสุขสบายดีอยู่ เรายังไม่รู้จักหาทางอยู่กับตัวเองให้เป็น ก็ถึงตอนเวลาที่เราป่วย ตอนที่เวลาเราประสบความทุกข์ ประสบกับความพลัดพรากสูญเสีย แล้วเราจะอยู่อย่างไร เพราะในยามนั้นมิตรที่สุดก็คือตัวเรา ในยามที่เรามีความทุกข์ ที่เราเจ็บปวดมันไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากใจของเรา ใจที่ไม่ซ้ำเติมเรา ไม่ใช่ความเจ็บปวดทางกายเท่านั้น เจ็บปวดทางใจด้วย เวลาประสบความล้มเหลวถูกคนตราหน้า หยามหยัน เวลาตกงาน เวลาที่สูญเสียคนรัก อันนี้เป็นเรื่องความทุกข์ใจทั้งนั้น ในยามนั้นก็จะมีใจเราเท่านั้นล่ะที่จะช่วยเราได้ แต่ว่าใจเราใจบ่อยครั้งมันกับซ้ำเติมเรา ก็คือไปเอาความทุกข์ เอาความโกรธ เอาความเศร้าต่างๆ มาทับถมเล่นงานจิตใจ แทนที่จะปล่อยแทนที่จะวาง เพื่อที่จะรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ก็กลับไปแบกเอาความทุกข์เอาไว้ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวางสักที รวมทั้งเวลาเจ็บปวด กายมันเจ็บปวด แทนที่ใจมันจะแค่เฝ้าดูเฉยๆ มันไม่ มันกลับไปเอาความปวดของกาย มาเป็นความปวดของกู จะรู้สึกว่ากูปวด กูปวด แทนที่จะลืมความปวด ใจแทนที่จะทลายความปวดของกายมันกลับไปจดจ้อง มันกลับไปเอาความปวดของกายมาเป็น ความปวดของใจด้วย
สังเกตไหมเวลาเราปวด ปวดเมื่อยที่มือที่เท้าที่ขาก็ตาม ถ้าใจเราลืมปวด ใจเรามันจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ มันก็จะลืมปวด กายปวดไปแต่ใจไม่รับรู้ แต่มันไม่อย่างนั้น ใจนี่มันเข้าไปจดจ้อง ไปจ้อง ไปเพ่ง ปักตรึงอยู่กับความปวด ก็เลยแปลว่าปวดทั้งกายปวดทั้งใจ มิหนำซ้ำยังไปคิดถึงเรื่องความตายบ้างล่ะ ไปคิดถึงเหตุการณ์ที่ไม่ดีบ้างล่ะ คิดน้อยอกน้อยใจ ไปขุดคุ้ยความทุกข์อะไรต่างๆ มาเล่นงานจิตใจ อันนี้เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะเราไม่รู้จักทำใจให้เป็นมิตร เพราะเราไม่เคยฝึกเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนพาลปัญญาทรามย่อมทำกับตัวเองเหมือนศัตรู ทำกับกับตัวเองเหมือนศัตรู อย่างหยาบๆ ก็คือว่า กินเหล้าสูบบุหรี่ หรือว่ายาเสพติด พวกนี้มันทำร้ายร่างกายของเรา แล้วก็ทำร้ายชีวิตของเราด้วย แต่นั่นมันหยาบ ยังมีละเอียดกว่านั้น เช่นการไปเอา การผิดศีล การผิดศีลก็ยังหยาบอยู่เหมือนกัน แต่ว่ามันก็เป็นการทำร้ายตัวเองเพราะว่าเมื่อผิดศีลแล้วก็คือ การสร้างวิบากให้กับตัวเอง วิบากรออยู่ข้างหน้าแล้ว มันรอที่จะซ้ำเติมเรา แต่ถึงไม่ผิดศีล ถึงแม้ไม่เสพสุรายาเมา หรือยาเสพติด แต่ว่าไอ้การที่วางจิตวางใจไม่เป็นนี่แหละ จิตนี่แหละมันก็จะไปความทุกข์มาซ้ำเติมเรา
แม้แต่อยู่เฉยๆ อยู่สบายๆ มีกินมีใช้ ไม่เจ็บไม่ป่วย มีปัจจัยสี่ มีที่หลับที่นอน ก็ยังกระสับกระส่าย เพียงเพราะว่าเหงา เพียงเพราะว่าไม่มีเพื่อน ที่จริงน่าจะมีความสุข เออเราโชคดี เรามีกินมีใช้เราไม่เจ็บไม่ป่วย แทนที่จะมองแบบนี้ กลับไปมองหา กลับไปเอาปัญหามาเล่นงาน ฉันไม่มีเพื่อนเลย ฉันไม่มีใครมาพะนออัตตาฉันเลย แทนที่จะชื่นชมสิ่งที่มี กลับไปมองเห็นแต่สิ่งที่ไม่มี อันนี้เรียกว่าเป็นการซ้ำเติมตัวเองทำกับตัวเองเหมือนศัตรู พออยู่คนเดียวไม่ได้ ก็เกิดอาการซึมเศร้า หรือบางคนก็รู้สึกว่าฉันไร้ค่า ที่จริงเขาน่าจะมองอีกในแง่ว่า อยู่คนเดียวก็ดีเหมือนกันเพราะว่าเห็นหลายคน มีคนอยู่ด้วยกันมากมายแต่ก็ทะเลาะกัน มีพ่อก็ทะเลาะกับพ่อ มีแม่ก็ทะเลาะกับแม่ มีแฟนก็ทะเลาะกับแฟน ไม่มีก็ดีเหมือนกัน อันนี้ถ้ามองแบบนี้ก็ทำให้ไม่รู้สึกเหงา รู้สึกว่าฉันก็โชคดี อันนี้คือโอกาสที่ฉันจะได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง
คนเราถ้าหากว่าละเลยโอกาสในการที่จะอยู่กับตัวเองให้เป็น อันนี้ถือว่าประมาททีเดียว เพราะว่าไอ้การอยู่กับตัวเองให้เป็น หรือว่าการเป็นมิตรกับตัวเองมันสำคัญมาก ในการที่จะช่วยทำให้เราหลุดจากความทุกข์ได้ ในเวลาที่เราเจอความผันผวนปรวนแปรในชีวิต เจออุปสรรค หรือเจอวิกฤต มิตรที่ดีที่สุดที่จะช่วยเราได้คือ ตัวเรา คือใจที่พร้อมจะสลัด พร้อมที่จะวางความทุกข์ทั้งหลายออกไป หรือถึงแม้จะไม่สามารถจะสลัดวางความทุกข์ที่มีเฉพาะหน้าได้ แต่ก็จะไม่เพิ่มความทุกข์ใจเข้าไป ไม่ซ้ำเติมตัวเอง เช่น เวลาเสียเงิน หรือว่าถูกโกง ก็จะเสียแต่เงินแต่ว่าใจไม่เสีย ปล่อยวางได้ เมื่อใจไม่เสียก็กินได้ นอนหลับ แต่ถ้าปล่อยใจให้เสียแล้ว เสียใจ กลัดกลุ้มใจแล้ว ก็จะเสียสุขภาพกินไม่ได้นอนไม่หลับ เสร็จแล้วก็จะเสียงานทำการทำงานไม่ได้ ไม่ใช่เพราะป่วย
บางคนก็ไม่ป่วยหรอกแต่ว่ามันไม่มีสมาธิทำงาน เอาแต่กลุ้มใจ เงินถูกโกงไป เสียงาน แล้วพอหงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี เพื่อนมาคุยมาหยอกก็โกรธเพื่อน บางทีด่าเพื่อนทางเฟชบุ๊ก ทั้งที่เพื่อนแค่อยากให้ล้อ หรือว่าต่อว่าเขาต่อหน้า ก็เสียเพื่อนไป หรือทำในสิ่งที่ไม่สมควร ก็เสียสัมพันธภาพ อันนี้ก็ซ้ำเติมตัวเองเพราะว่าเวลาเจอปัญหา เจออุปสรรค เจอวิกฤต ใจมันไม่ได้ช่วยเลย มันไม่ได้ช่วยเรา มันกลับซ้ำเติมเรา แต่ถ้าใจเราฝึกเอาไว้ดี ถึงเวลาที่เกิดวิกฤตเจออุปสรรคเจอปัญหาแบบนี้ มันช่วยทำให้เราสามารถจะมีความสุขได้ เช่นมองว่า เออมันก็ดีเหมือนกัน พอมองแง่บวกก็เออตกงานก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าจะได้มีเวลาไปดูแลพ่อแม่ที่อยู่ต่างจังหวัด อันนี้ก็ต้องอาศัยใจ ใจที่มองบวกหรือว่าใจที่ยอมรับธรรมดา ว่ามันก็เป็นธรรมดา เจ็บป่วยก็เป็นธรรมดา ไม่มีใครที่ไม่เจ็บไม่ป่วย แต่ว่าฉันจะจำกัดปัญหาให้เป็นแค่ป่วยกาย แต่ว่าใจไม่ป่วย
คนเราเวลาทุกข์ อย่าไปหวังพึ่งคนอื่นมากนัก ถึงแม้จะมีเพื่อน มีหมู่มิตรมากมายเขาก็ช่วยเราได้ในระดับหนึ่ง เขาจะช่วยได้ในเรื่องเงินทอง ยา หยูกยา เรื่องที่พัก แล้วก็คำพูดที่ไพเราะ ปิยวาจา แต่ว่าจะหมดทุกข์หรือไม่อยู่ที่ใจของเรา แล้วถ้าเราไม่สามารถจะฝึกใจให้เป็นมิตรตัวเราได้ นอกจากมันจะไม่ช่วยลดความทุกข์แล้ว มันยังเพิ่มความทุกข์ให้กับตัวเราด้วย ปัญหาบางทีมีไม่มาก แต่ความวิตกกังวลทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น หรือว่าทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ จนกระทั่งฆ่าตัวตายก็มี เพราะเรื่องเล็กน้อย การที่เรารู้สึกว่าเหงา ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดก็ตามมันเป็นตัวฟ้อง ว่าเรายังฝึกใจไม่ดีพอและในขณะเดียวกันมันก็เป็นการเตือนว่า เราต้องมาฝึกใจของเราให้เข้มแข็ง ฝึกใจให้กลับมาเป็นมิตรกับตัวเราให้ได้
มองในแง่ความเหงามันก็เป็นประโยชน์ รวมถึงความเบื่อด้วยมันก็เป็นประโยชน์ มันกำลังสะท้อนถึงปัญหาว่า เรายังมีจุดอ่อนตรงไหน เรายังฝึกไม่เพียงพอ ถ้าให้มองในแง่นี้ก็ถือว่า เขามาเตือนเราเขามาสอนเรา แต่ถึงแม้ว่าไม่เจอความเหงาแต่มีอารมณ์อย่างอื่นก็ตาม เช่นความท้อแท้ ความน้อยเนื้อต่ำใจ มันก็เหมือนกัน มันก็กำลังฟ้องว่าเราไม่รู้จักเป็นมิตรกับตัวเอง เพราะว่าอาการเหล่านี้มันเกิดจากใจที่หันมาทรยศกับเรา หันมาซ้ำเติมเรา ทำกับตัวเองเหมือนเป็นศัตรูและถึงตอนนั้น และถ้าหากเป็นอย่างนั้น ถึงแม้ว่าเราจะผ่านเหตุการณ์ผ่านปัญหาไปได้ ก็เจอเหตุการณ์ใหม่ๆ แล้วก็จะกลับมาสู่ความรู้สึกเดิมๆ แล้วถึงเวลาที่เจอปัญหาหนักๆ เช่น เจ็บป่วย เจ็บป่วยด้วยโรคร้าย ถึงตอนนี้มันก็จะยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ การที่เรากลับมาเห็นความสำคัญของการฝึกใจ เพื่อมาเป็นมิตรกับตัวเองเป็นเรื่องที่จำเป็นมากทีเดียว และถ้าเราสามารถจะทำให้ใจของเราเป็นมิตรกับตัวเราเองได้ อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่ท่ามกลางผู้คน หรือว่าอยู่คนเดียวก็มีความสุขได้ ที่จริงแล้วนอกจากการที่เรามีสมาธิกับงานกับการ หรือว่าทำใจให้มีสมาธิอยู่กับลมหายใจ การทำให้ใจเป็นมิตรกับตัวเองทำได้หลายอย่าง เช่น สร้างการความรู้สึกตัวให้เกิดมีขึ้น ถ้าเรามีความรู้สึกตัวเวลาทำอะไร ใจมันจะไม่ไปคิดโน่นคิดนี่ ที่ทำให้รู้สึกเหงา ที่ทำให้รู้สึกว้าวุ่น ที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิด แต่เป็นเพราะใจมันว่างเกินไป มันไม่มีสมาธิในการที่จะอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือว่าไม่มีความรู้สึกตัวที่จะทำให้จิตกลับมาอยู่กับปัจจุบัน มันก็เลยปรุงแต่งสารพัด การฝึกจิตทำได้หลายอย่าง ฝึกจิตทำได้หลายอย่าง ทำให้จิตเป็นสมาธิ มีสมาธิกับลมหายใจ เมื่อเรามีสมาธิอยู่กับลมหายใจ อยู่ที่ไหนเราก็ไม่รู้สึกว้าเหว่ เพราะเรามีลมหายใจเป็นเพื่อน เมื่อเราฝึกใจให้มีความรู้สึกตัวอยู่เสมอไอ้ความรู้สึกตัวให้รู้สึกโปร่ง เบา ไม่มีความหลงมาครอบงำใจ การที่ใจจะว้าวุ่น ปล่อยให้กิเลสเข้ามาครอบงำ ปล่อยให้ตัวอัตตาตัวตนเข้ามาก่อกวน มันก็ไม่มีช่องที่จะทำอย่างนั้นได้ เพราะงั้นถ้าเราเข้าใจเรื่องใจของเราดีพอ เราจะรู้การที่ทำให้ใจกลับมาเป็นมิตรกับตัวเรา มันทำได้หลายวิธีมากเลย เราต้องเรียนรู้เรื่องนี้เพราะมันเป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้เราสามารถอยู่ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุขได้"