แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บทสวดที่เราสวด อภิณหปัจจเวกขณ์ อาตมาเรียกว่าเป็นคาถากันทุกข์ ฟังแล้วมันน่าสนใจบ่ คาถากันทุกข์ เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้เป็นไม่ได้ เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ เราจะพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น มันกันทุกข์อย่างไงนะ ทุกข์ที่ว่านี้ คือทุกข์ใจเด้ ส่วนทุกข์ทางกาย ก็ห้ามไม่ได้อยู่แล้ว อย่างบทที่เราสวดกันเมื่อกี้ เขาบอกแล้วเรามีความแก่เป็นธรรมดา ความแก่ ความเจ็บ ความตาย พวกนี้เป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับทุกคน รวมทั้งการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ รวมทั้งคนรักด้วย
มันจะกันทุกข์ยังไง มันกันทุกข์ใจ หมายความว่า แม้จะป่วย แม้จะแก่ แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องของกาย แต่ว่าใจไม่ทุกข์ทำได้ สูญเสียของรักคนรัก สูญไปแล้ว แต่ว่าใจไม่ทุกข์ ทำได้ เมื่อเรามองว่าเป็นธรรมดา ที่จริงจะต้องพิจารณาอยู่เสมอ ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ตอนที่ยังไม่สูญเสียคนรัก ตอนที่เรายังสบายๆ มีความสุข มีสุขภาพดี มันต้องคิดไว้แล้ว ว่าสักวันหนึ่งก็ต้องแก่ สักวันหนึ่งก็ต้องเจ็บ สักวันหนึ่งก็ต้องพลัดพรากสูญเสีย แล้วสักวันหนึ่งก็ต้องตาย คิดไว้ก่อน ถ้าคิดไว้หรือพิจารณาอยู่เสมอ เห็นคนอื่นเขาป่วย เราก็เตือนใจว่าสักวันหนึ่งเราก็ต้องป่วย เห็นคนแก่ ก็เตือนใจแล้วว่าสักวันหนึ่งเราก็ต้องแก่ เห็นคนที่เขาสูญเสียคนรัก สูญเสียพ่อ สูญเสียแม่ สูญเสียลูก สูญเสียหลาน อย่าปล่อยให้มันผ่านเลยไป ก็มองว่าสักวันหนึ่งมันก็จะเกิดขึ้นกับเรา เพราะมันเป็นธรรมดา รวมทั้งถึงเวลา ได้ยินข่าวคราว ว่าคนโน้นตายคนนี้ตาย ก็นึกเอาไว้บ้าง ว่าสักวันหนึ่งก็ต้องถึงคราวของเรา ตอนที่เรายังสุขสบายดี นึกเอาไว้บ้าง ถึงเรื่องพวกนี้ ไม่ใช่ว่าเอาแต่สนุกสนาน เอาแต่เพลิดเพลิน ตอนที่ยังสุขสบาย ก็ดูหนังฟังเพลง เอาแต่เที่ยว ไม่ได้คิดล่วงหน้าไว้เลย ว่าสักวันหนึ่งจะต้อง เรื่องพวกนี้ก็ต้องเกิดขึ้นกับเรา ถ้าเกิดว่าเรา แม้อายุถึงปูนนี้แล้ว แต่ว่าก็นึกเอาไว้บ้าง ว่าถึงแม้ว่าตอนนี้เราแก่แล้ว แต่ว่าตอนนี้อาจจะยังไม่เจ็บไม่ป่วย ก็คิดเอาไว้ว่าต่อไปเราจะต้องเจ็บต้องป่วย อาจจะเป็นมะเร็ง อาจจะเป็นเบาหวาน ไตวาย เดี๋ยวนี้ สมัยนี้เป็นกันเยอะ คิดเผื่อไว้ก่อน อันนี้มันบ่แม่นแช่งเด้ เป็นการเตือนใจให้ไม่ประมาท อันนี้พอมันเกิดขึ้น ไม่ว่าความเจ็บ ความป่วย ความแก่ บางทีก็อาจจะเดินไม่ค่อยสะดวก ไปไหนก็ลำบาก เพราะความแก่ชรา มันจะได้ไม่ทุกข์ เพราะว่าเตรียมใจไว้แล้ว คิดเผื่อไว้แล้ว เวลาของรักเวลาทรัพย์สมบัติมันหายไป คนขโมยไป หรือเวลาคนรักลูกหลานพ่อแม่ตายจากไป ถ้าเราคิดเผื่อไว้ มันก็ไม่ทุกข์ อันนี้เลยเรียกว่าคาถากันทุกข์
ไม่ใช่คาถาที่จะทำให้ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ตาย ไม่สูญเสียพลัดพราก อันนั้นไม่ใช่ มันไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงหนีพ้นได้ แต่ว่า มันกันไม่ให้ทุกข์ใจได้ เพราะเราระลึกถึงไว้อยู่เสมอ มีคุณยายคนหนึ่ง แกก็มีหลานที่น่ารัก หลานก็ไม่ใช่ตัวเล็กๆ แล้ว เป็นวัยรุ่นแล้ว แล้ววันหนึ่งเกิดตายขึ้นมากะทันหัน แม่ของเด็กก็มา ก็ร้องห่มร้องไห้ แล้วก็มาบอกข่าวว่าหลานตายแล้ว พูดไปก็ร้องไห้ไป ยายก็เลยพูดขึ้นมาว่า มึงเคยเห็นคนที่ไม่ตายไหม เคยเจอหรือเปล่าคนที่ไม่ตาย พูดอย่างนี้แม่ของเด็กก็ได้คิดเลย เคยเจอไหมคนที่ไม่ตาย ก็มีแต่คนที่ตายเท่านั้นแหละ ทุกคนก็ต้องตายทั้งนั้น แม่เสียใจว่าเสียลูก แต่ว่ายายแม้จะรักหลาน แต่ว่าก็ทำใจได้ เพราะรู้ว่าทุกคนมันก็ต้องตาย ทั้งนั้นแหละ
ยายก็สอนแม่ของเด็กว่า เตือนใจว่า ทุกคนต้องตายเท่านั้นแหละ มึงเคยเห็นไหมคนที่ไม่ตาย พูดแบบนี้ได้ยินแบบนี้ แม่ก็ชะงักเลย เออ ก็ได้คิดว่า ความตายของคนที่เรารักมันเป็นธรรมดา ก็หักห้ามใจได้ อันนี้เรียกว่า เป็นคาถากันทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์กาย แต่เป็นทุกข์ใจ คาถานี้ไม่ได้กัน ป้องกันของไม่ให้หาย ของหายก็จริงแต่ใจไม่ทุกข์ เคยมี ผู้ชายคนหนึ่ง เพิ่นก็เป็นนักธุรกิจ ไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ ราคาก็หลายหมื่น แล้วก็ใช้อยู่สักพัก ข้อมูลต่างๆ ก็ใส่ไว้ในโทรศัพท์เยอะแยะเลย แล้ววันหนึ่งโทรศัพท์ก็หาย เพิ่นเดือดเนื้อร้อนใจมาก เพราะว่าในโทรศัพท์มันมีข้อมูลที่สำคัญ แทนที่เพิ่นจะไปแจ้งความ ก็ไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อเขาลือว่านั่งทางในได้แม่น ไปหาทำไม ไปหาเพื่อให้ทายว่า โทรศัพท์มันหายที่ไหน ใครเอาไป จะได้เจอไหม ไปหาหลวงพ่อเสร็จ หลวงพ่อท่านแทนที่จะถามว่า โทรศัพท์ยี่ห้ออะไร หายเมื่อไหร่วันไหน เพิ่นกลับถามว่า มีรถไหม รถยนต์น่ะ มีครับ เออไม่นานก็ไป มีบ้านไหม มีครับ เออไม่นานก็หาย มีแฟนไหม มีครับ เออสักวันหนึ่งก็ต้องตาย พอได้ฟังเท่านี้นะ เพิ่นได้คิดเลย ได้คิดว่ายังไงว่า หนึ่ง โทรศัพท์หายที่เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่ามีอะไรมันก็ต้องสูญต้องหายทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นคนสัตว์สิ่งของ สอง เพิ่นก็ได้คิดว่าเรานะโชคดีนะ ที่หายแค่โทรศัพท์ ดีกว่ารถหาย บ้านหาย หรือว่าเมียตาย เลิกเลยนะ ทำใจได้แล้ว โทรศัพท์หาย ไม่ต้องให้หลวงพ่อมานั่งทางในเเล้ว กราบหลวงพ่อกลับบ้าน หลวงพ่อ ท่านสอนธรรมะอย่างฉลาด สอนให้รู้จักปล่อยวาง แทนที่จะบอกว่า นั่งทางใน แล้วบอกว่า โทรศัพท์จะหาได้เจอที่ไหน เพิ่นกับสอนธรรม สอนแบบไม่ได้พูดตรงๆ แต่สอนด้วยการถาม แล้วเจ้าตัวก็ได้คิด ว่าโทรศัพท์หายเป็นเรื่องธรรมดา แล้วยังดีที่หายแค่โทรศัพท์ พอทำใจได้เป็นไง มันหายทุกข์ใจแล้ว โทรศัพท์หายไม่ได้กลับคืน แต่ว่าใจมันหายทุกข์แล้ว เพราะว่าเข้าใจธรรมะเห็นสัจธรรม อันนี้แหละเขาเรียกว่าคาถากันทุกข์
อันนี้เวลาเราเจ็บป่วยก็ดี หรือว่าของหาย ก็ลองนึกถึงคาถานี้บ้าง บทสวดนี้แหละ ไม่ต้องให้หลวงพ่อ ไปพ่น ไปเสก ไม่ต้องให้ท่านปลุกเสกอะไรทั้งสิ้นแหละ แค่เรานึก อันนี้เป็นคาถาของพระพุทธเจ้า เป็นพุทธภาษิต ประเสริฐมาก วิเศษมาก แต่ว่าถ้าให้ดีมันต้องระลึกนึกถึงทุกวัน ตั้งแต่ยังสุขสบายดี ยิ่งถ้ายังเป็นหนุ่มเป็นสาวก็นึกเอาไว้ ว่าวันหนึ่งต้องแก่ ถึงเวลาก็ผมหงอก หนังเหี่ยว ร่างกายหย่อนยาน ตาก็ไม่ค่อยดี หูก็ไม่ค่อยดี เดินเหินก็ลำบาก มันจะได้ไม่ทุกข์ ไม่ใช่ว่าใช้ชีวิตไปแบบสนุกสนาน เสร็จแล้วพอเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมา อันนี้บางทีก็ไม่ทันการเด้ เสียใจ เพราะป่วยเป็นมะเร็ง ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเป็นฉัน หรือว่าอกหัก คนรักตาย แล้วค่อยไปนึกถึงคาถานี้ มันอาจจะไม่ทันกาล หรือว่ากว่าจะหายจากความทุกข์ความโศกก็ใช้เวลา แต่ก็ดีกว่า ดีกว่าไปเอาอย่างอื่นเป็นที่พึ่ง เอาเหล้าเป็นที่พึ่ง กลุ้มอกกลุ้มใจ ก็ไปหาเหล้า ไปหาอบายมุข อันนี้ไม่เข้าท่าเด้ มันมีแต่จะซ้ำเติม
บทที่เราสวด อภิณหปัจจเวกขณ์ มันยังมีต่ออีก เราทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน เราจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น คือแปลว่า เราเป็นทายาทของกรรม เราเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น มีข้อความตอบมาอีกว่า เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย สำคัญเด้ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย แปลว่าเรามีปัญหาอะไร ก็ใช้กรรมของตัวนี้แหละ เข้าไปแก้ หรือว่าถ้าเราต้องการความสุขความเจริญ ก็อาศัยกรรมนี่แหละหรือการกระทำของเรานี่แหละเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่ไปอธิษฐาน อธิษฐานบน ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้ร่ำรวย ให้ประสบความสุขความเจริญ อันนี้มันไม่ใช่วิสัยของชาวพุทธเด้ ไปเอาเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเป็นที่พึ่ง ชาวพุทธเราต้องเอากรรม หรือการกระทำของตัวเองเป็นที่พึ่ง กรรมในที่นี้หมายถึงกรรมที่มีธรรมะเป็นตัวกำกับ ก็คือกรรมดี อยากทำอยากประสบความสุขความเจริญ ก็ทำกรรมดีไว้ กรรมดีไม่ใช่แค่ไปทำบุญ ถือศีลอย่างเดียวเด้ แต่หมายถึงมีความขยันหมั่นเพียรด้วย อย่าไปหวังพึ่งสิ่งอื่นเด้ โชคชะตา ที่เรียกว่าชะตา ชะตาของเราไม่ได้อยู่ที่โชค เราเรียกว่าโชคชะตาที่มัน มันยังบ่ถูกเด้ ต้องเรียกว่าชะตา ชะตาของเราอยู่ ที่ว่ากรรมหรือการกระทำของเรา ไม่มีอะไรที่จะกำหนด จะมากำหนดได้ แม้จะมีหมอดูแม่นๆ มาทำนายว่า ชีวิตเราจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แม้จะทายแม่นยังไง มันก็สู้กรรมของเราไม่ได้
อย่างในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเคยเล่า มีกษัตริย์สองเมืองทำสงครามกัน กษัตริย์เมืองแรก หลังจากที่จะมีการเตรียมทำสงครามกัน ก็ถามปุโรหิต ว่าสงครามครั้งนี้ใครจะชนะ ปุโรหิตก็มีความสามารถพิเศษ สามารถจะติดต่อพระอินทร์ได้ ก็เลยส่งโทรจิตไปถามพระอินทร์ พระอินทร์ก็บอกว่า พระราชาของเธอแหละ พระราชาของเจ้าแหละจะเป็นผู้ชนะในศึกสงคราม ปุโรหิตก็เลยมาแจ้งให้พระราชาของตัวทราบ พระราชาพอทราบก็ดีใจ เมื่อรู้ว่าจะชนะ เพิ่นก็เลยไม่ได้เตรียมลี้พล ไม่มีการฝึกทหาร ไม่มีการวางแผนอะไร ก็เทวดาขนาดพระอินทร์ยังบอกว่าชนะแน่ พระราชาอีกเมืองหนึ่ง เพิ่นก็มีปุโรหิต ปุโรหิตก็ไปถามพระอินทร์ที่บอกว่า พระราชาของเจ้าแพ้ ในศึกสงครามที่จะเกิดขึ้น ปุโรหิตก็เลยมาบอกพระราชา พระราชาแทนที่จะหวั่นไหว กลับเตรียมการเต็มที่เลย มีการฝึกฝนทหาร มีการเตรียมอาวุธให้พร้อม วางแผนอย่างดี แล้วพอทำสงครามกันจริงๆ ปรากฏว่า พระราชาเมืองที่สองกลับชนะ ทั้งๆ ที่พระอินทร์บอกว่าแพ้ พระราชาเมืองแรกที่พระอินทร์บอกว่าชนะ เรียกว่าผิดหวังมาก โกรธ อ้าว! พระอินทร์ บอกว่าชนะทำไมถึงแพ้ ก็ไปถามปุโรหิต ว่าเจ้านั่งทางใน ทางในดูยังไงถึงบอกว่าแพ้ เอ๊ย! ถึงบอกว่าชนะ ปุโรหิตก็ผิดคาดเหมือนกัน ก็เลยไปถาม พระอินทร์ก็ยอมรับเสียงอ่อยๆ ว่า ความพยายามของมนุษย์ แม้แต่เทวดาก็ไม่สามารถที่จะห้ามได้ เทวดาบอกว่าเมืองนี้แพ้ แต่ถ้าหากว่าพระราชาเมืองนี้มีความเพียร มันก็พลิกโผได้ เป็นผู้ชนะได้ ความเพียรความพยายามของมนุษย์ แม้แต่เทวดาก็กีดกันไม่ได้
อันนี้เป็นเครื่องเตือนใจของเรา พวกเราว่า แม้เทวดาจะหยั่งรู้ล่วงหน้า ว่าใครแพ้ใครชนะ แต่ถ้าเกิดว่า เราทำความเพียร ที่เขาว่าเราแพ้ก็จะเป็นชนะได้ คำทำนายทายทักมันสู้กรรมหรือการกระทำของมนุษย์ไม่ได้ ไม่ว่าคำทำนายทายทักของใคร ที่เขาว่าแม่นแค่ไหน มันก็สู้กรรมหรือการกระทำของมนุษย์ไม่ได้ สมัยก่อนเทวดาทายแม่น แต่สมัยนี้คนที่ทายแม่นเขาก็ว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ เดี๋ยวนี้เราใช้วิทยาศาสตร์ในการทำนาย เช่น ทำนายว่าจะเกิดสุริยุปราคาเมื่อไหร่ ทำนายล่วงหน้าได้เป็นปี ถูก จะเกิดจันทรุปราคาเมื่อไหร่ ทำนายล่วงหน้าหลายเดือนก็ถูก บางทีทำนาย ว่าเด็กที่คลอดออกมา ไม่ใช่แค่เป็นผู้หญิงผู้ชายเท่านั้น แต่ทำนายว่าจะป่วยหรือไม่ สมัยนี้ก็ต้องพึ่ง พึ่งวิทยาศาสตร์ มีผู้หญิงคนหนึ่ง เพิ่นท้อง แล้วก็ไปตรวจ หมอก็ใช้เครื่องมือตรวจ ตรวจทั้งอัลตร้าซาวด์ เอาน้ำคร่ำมาตรวจ ก็บอกว่าเด็กคนนี้ ถ้าคลอดออกมาสมองจะพิการ แม่ได้ฟังก็ตกใจ หมอแนะนำว่าถ้าไม่อยากให้ลูกออกมาพิการ ก็ต้องทำแท้ง หญิงสาวคนนี้กลุ้มใจไปปรึกษาแม่ แม่ก็บอกว่าอย่าทำแท้งเลย ถ้าหลานออกมายังไงแม่ก็จะเลี้ยง ก็จะเลี้ยงดูไม่ว่าหลานจะพิการหรือไม่ แล้วก็บอกให้ลูกสาวคือแม่ของเด็กในท้อง หมั่นทำบุญ รักษาศีล ศีลห้าก็รักษาให้ครบ แล้วก็ทำบุญโดยเฉพาะวันเกิด วันเกิดของตัวก็ทำบุญ ทำบุญ ถวายสังฆทาน ช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ปล่อยนกปล่อยปลา ทำทุกวันโดยเฉพาะวันเกิดของเจ้าของ ลูกสาวซึ่งก็เป็นแม่ของเด็กในท้อง เพิ่นก็ทำ ทำตามที่แม่แนะนำ ก็ทำอยู่หลายเดือนจนกระทั่งเด็กคลอดออกมา ปรากฏว่าเด็กที่คลอดออกมาเป็นเด็กปกติ ไม่พิการทางสมองอย่างที่หมอทำนายไว้ อันนี้ก็แสดงให้เห็นว่า แม้แต่คำทำนายที่แม่นของหมอ มันก็ผิดได้ ผิดเพราะอะไร กรรมของแม่ ของแม่ที่เป็นแม่ของเด็ก เป็นกรรมดี กรรมดีคือทำบุญรักษาศีล รักษาจิตใจให้สงบเป็นปกติ เป็นกุศล คำทำนายของเทวดาก็ดีคำทำนายของหมอก็ดี มันก็สู้กรรมดีไม่ได้ด้วย ถ้าเจอกรรมดีมันก็สามารถจะพลิกได้ เพราะฉะนั้นที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรามีกรรมเป็นที่พึ่งสำคัญมาก ใครเขาจะทำนายอย่างไร ก็อย่าไปหวั่นไหว ขอให้เราตั้งมั่นในการทำความดีไว้
แต่คนไทยสมัยนี้ แม้เป็นชาวพุทธก็ไม่ค่อยเชื่อกรรมเท่าไหร่ เชื่อกรรมก็เชื่อผิดๆ อยากได้อะไร ก็แทนที่จะทำกรรมดี ทำความเพียร ก็ไปอธิษฐานบนบานศาลกล่าว ไปสะเดาะเคราะห์ แล้วเวลาเป็นอะไรขึ้นมา มีเหตุร้ายเกิดขึ้น เอะอะอะไรก็บอกว่าเป็นเพราะกรรมเก่า กรรมเก่าคือชาติที่แล้ว ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราเป็นผู้รับผลแห่งกรรม ไม่ได้แปลว่ากรรมในชาติที่แล้ว เป็นมะเร็งมันไม่จำเป็นที่ต้องเกิดจากกรรมในอดีต อดีตชาติ ถามว่าเป็นมะเร็งอะไร เป็นมะเร็งตับ เป็นมะเร็งตับเพราะอะไร เพราะมีพยาธิใบไม้ในตับ พยาธิใบไม้ในตับมาจากไหน มันก็มาจากการกินปลาดิบ กินที่ไหน กินเมื่อไหร่ ก็กินตั้งแต่ยังสาวหรือยังหนุ่ม กินมาเรื่อย เพราะฉะนั้นพอเป็นมะเร็ง มะเร็งตับ ก็จะไปโทษว่าเป็นเพราะกรรมในอดีตชาติมันไม่เกี่ยวเลย มันเป็นเพราะกรรมคือการกระทำของเจ้าของในชาตินี้ มีพฤติกรรมการกินอาหารที่มันไม่ถูกต้อง เอาความแซ่บเป็นหลัก อยากแซ่บ อยากอร่อย แต่ว่าไม่ได้ดูว่ามันถูกต้องไหม มันดีกับสุขภาพหรือเปล่า หรือคนที่เป็นมะเร็งปอด หรือคนตับแข็ง หลายคนก็บอกว่า เป็นเพราะกรรมในอดีตชาติ แล้วถามว่ากินเหล้าไหม สูบบุหรี่ไหม ก็ยอมรับว่ากินเหล้าสูบบุหรี่ นั่นแหละ กินเหล้าเมื่อไหร่ กินเหล้าตั้งแต่หนุ่ม สูบบุหรี่ก็ตั้งแต่หนุ่มหรือสาว อันนี้คือกรรมเด้ คือการกระทำของเจ้าของ เพราะฉะนั้นก็ต้องรับผลของกรรม กินเหล้าสูบบุหรี่มานานเป็นสิบๆ ปี ก็ต้องรับผล คือเป็นมะเร็ง แต่บางคนก็ไม่ได้กินเหล้า ไม่ได้สูบบุหรี่ แต่ก็เป็นมะเร็งปอด อันนี้ก็อาจจะขึ้นอยู่กับว่า สารเคมี สารพิษในอาหาร หรือในสิ่งแวดล้อม เพราะเดี๋ยวนี้อาหารที่เรากิน น้ำที่เราดื่ม อากาศที่เราหายใจ มันก็มีสารพิษสารเคมีเยอะแยะ สารตะกั่ว สารแคดเมียมสารพัด ยังไม่ต้องพูดถึงคลื่น คลื่นไฟฟ้า คลื่นวิทยุนานาชนิด สารกัมมันตรังสี
เพราะฉะนั้นอยู่ที่การกระทำของเจ้าของ ว่าเลือกไปอยู่ที่ไหน ไปอยู่ในที่ๆ เป็นย่านชุมชนมีสารพิษเยอะๆ มันก็ต้องรับกรรมอันนี้ไป เพราะฉะนั้นคนเราเป็นผู้รับผลของกรรม และกรรมที่ว่านี้คือกรรมในปัจจุบันชาตินี้ ยากจนไม่ใช่เพราะกรรมในอดีตชาติ ก็อาจจะเป็นเพราะว่าไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบ ไม่ขยันขันแข็งในการทำมาหากิน หรือขยันแต่ไม่รู้จักวางแผน ไม่ค่อยใช้ความคิด ใครเขาปลูกอะไรก็ปลูกตามเขา พืชผลก็เลยราคาตกต่ำ ขายก็ไม่ค่อยได้ราคา อย่างนี้ก็จนได้ แต่มันจนเพราะการกระทำของเจ้าของ หรือบางคนอาจจะเจอไฟไหม้บ้าน เจอรถหาย อันนี้อาจจะไม่ใช่เพราะกรรมในอดีตชาติหรอก แต่กรรมในปัจจุบันชาติ อาจจะเคยเป็นคนลักขโมย ยืมเงินคนแล้วไม่คืน บางคนก็บอกว่า โอ๊ย! ยืมเขานิดหน่อยเอง ไม่กี่ร้อยไม่กี่พัน หรือว่าขโมยมาไม่กี่ร้อยไม่กี่พัน ทำไมมันถึงสูญเสียเป็นแสน บางทีเป็นล้าน มันไม่แน่เด้ ขโมยร้อยสูญเสียเป็นหมื่นอันนี้ก็ธรรมดา เพราะว่ามันต้องชดใช้กรรมเด้ วิบากกรรม ขโมยเงินเขาหรือว่ายืมไปแล้วไม่คืน มันก็ต้องจ่ายดอกเบี้ย จ่ายดอกเบี้ยให้กับกฎแห่งกรรม ผ่านไปสิบปีดอกเบี้ยมันก็เพิ่มจากร้อยเป็นหมื่น เพราะฉะนั้นขโมยไปสิบไปร้อย แต่ว่าเสียหายเป็นหมื่นเป็นแสนหรือเป็นล้าน มันก็ธรรมดา ไม่ต้องโทษกรรมในอดีตชาติหรอก โทษกรรมในปัจจุบันชาติ ที่ไปขโมยหรือว่าชักดาบ ยืมแล้วไม่คืน ถือโอกาสเบี้ยวไปเลย อันนี้มันก็ต้องรับกรรม อันนี้เราเป็นผู้รับผลของกรรม
ถ้าอยากประสบความสุขความเจริญก็ทำกรรมดีไว้ รักษาศีล เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละมันก็จะมีความสุขความเจริญได้ เลยถึงจะต้องเจอความสูญเสียความพลัดพราก ก็ไม่ทุกข์ใจ เพราะรู้ว่ามันเป็นธรรมดา คนทำดีมีศีลก็ต้องเจ็บต้องป่วย ต้องสูญเสีย แม้แต่พระพุทธเจ้าทำดี ไม่มีผิด ไม่มีพลาด ไม่มีบาป ก็ยังโดนคนใส่ร้าย ยังโดนคนทำร้ายหมายเอาชีวิต เพราะฉะนั้นธรรมดา ถ้าเราระลึกถึงคาถานี้เอาไว้ คาถาอภิณหปัจจเวกขณ์ มันก็ไม่ทุกข์ เรามีความแก่เป็นธรรมดา เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา เรามีความตายเป็นธรรมดา เรามี เราอาจจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น รวมทั้งข้อที่ห้า เรามีกรรมเป็นของของตน เราเป็นผู้รับผลแห่งกรรม เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย อันเนี้ยเป็นคาถากันทุกข์ คาถาป้องกันความทุกข์ใจ แล้วก็บางทีก็อาจจะช่วยทำให้ แคล้วคลาดจากอันตราย หรือความเสียหายได้ หากเราตั้งใจทำกรรมดีอยู่เสมอ แต่ถึงแม้มันจะมีผิดมีพลาด คือเกิดความเสียหาย ใจก็ยังเป็นปกติได้เพราะรู้ว่ามันเป็นธรรมดา