แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พวกเรา…ใครที่อยากทุกข์บ้างคงไม่มี มีแต่อยากสุข ถ้าอยากสุขก็ต้องฝึกจิต ฝึกจิตให้ดีอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตที่ฝึกไว้ดีแล้วนำสุขมาให้ ความสุขไม่ได้มาจากที่ไหน ไม่ได้มาจากคนที่อยู่รอบข้าง ไม่ได้มาจากดินฟ้าอากาศ ไม่ได้มาจากการดลบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ แต่มันมาจากจิตที่ฝึกไว้ดีแล้ว ถ้าเราเป็นชาวพุทธเราก็ต้องเชื่อ แต่ก่อนจะเชื่อก็ต้องใคร่ครวญเสียหน่อย ไม่ใช่ว่าได้ยินปุ๊บก็เชื่อปั๊บ ต้องใคร่ครวญคือพิจารณา
อย่างแรกเราต้องคิดดีก่อน จิตที่ฝึกไว้ดีแล้วคือจิตที่คิดดี คิดดีก็คือคิดในทางเสียสละเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ก็คือคิดจะทำดี เมื่อจิตคิดจะทำดีแล้วการพูดหรือการกระทำมันก็ดีตามมาด้วย
ดีอย่างไรอย่างน้อย ๆก็มีด้วยศีล โดยเฉพาะศีลห้าเป็นขั้นต่ำ เมื่อจิตอยากทำดี การกระทำมันก็จะมีศีลไปในตัว จะสมาทานหรือไม่สมาทานก็แล้วแต่ อันที่จริงก็ไม่ต้องรอสมาทานด้วย พอคิดปุ๊บก็ทำปั๊บเลย ทำเดี๋ยวนั้นเลย ไม่ต้องมาวัดมาหาหลวงพ่อให้หลวงพ่อให้ศีล เมื่อเราทำดีมีศีลมันก็จะมีความสุข เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจก็จะมีน้อยลง
คนเรานี้แค่รักษาศีลห้าข้อสุดท้ายข้อเดียวก็คือว่าไม่กินเหล้า ไม่เสพยา สุรายาเมาไม่แตะต้อง เรื่องทุกข์เรื่องเดือดร้อนลำบากอะไรหลายอย่างก็จะหายไป เช่น อุบัติเหตุเพราะความเมามายไม่ว่าจะเป็นขับรถชนคน ขับรถลงคูหรือว่าไปกับรถเฉี่ยวชนคนอื่นก็ตัดทิ้งไปได้ อาจจะเดินตกบันไดเพราะเมาจนหัวร้างข้างแตกหรือจนกระทั่งต้องไปผ่าสมองเสียเงินเป็น100,000 ก็ตัดทิ้งไปได้ เรื่องทะเลาะเบาะแว้งต่อยตีกันจนบาดเจ็บจนพิการเพราะเมามายก็ตัดทิ้งไปได้ ทะเลาะกับเมียเพราะว่ามัวแต่เมาหรือว่าทะเลาะกันเพราะว่าผัวกลับบ้านดึกหรือไม่เป็นอันทำงานก็ตัดทิ้งไปได้ เรื่องรายได้รายจ่ายหรือว่าเป็นหนี้เพราะว่าเอาแต่เมาไม่ทำงานมีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อเหล้าหมดอันนี้ก็ตัดทิ้งไปได้
ลองคิดดูความวุ่นวายความลำบาก เดือดร้อนต่างๆ มันจะหายไปเยอะเลย ถ้าเพียงแต่รักษาศีลข้อห้าเพียงข้อเดียว แต่ถ้าหากว่าจิตที่คิดดีเขาจะไม่ทำแต่ศีลข้อห้าข้อเดียว ทำข้อ1 2 3 4 ด้วย เพราะฉะนั้นการที่จะมีคนเกลียดชังอยากทำร้ายหรือว่าถูกตำรวจจับเพราะทำชั่วผิดกฎหมายไปลักขโมย หรือว่าไปลอบฆ่าเพราะไปเป็นชู้กับเมียเขา พวกนี้ก็ตัดทิ้งไปได้ ก็จะมีแต่คนรัก โดยเฉพาะถ้าเป็นจิตที่เอื้อเผื่อแผ่เสียสละด้วย ไม่ใช่แค่รักษาศีลห้าข้อเท่านั้น แต่ยังมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบทำบุญจิตก็จะสงบเย็น จิตที่คิดจะให้จะเป็นจิตที่มีความสุขมากกว่าจิตที่มีความโลภที่จะเอา อันนี้เรียกว่า คิดดี เป็นความคิดที่ไม่ถูกครอบงำด้วยความโลภด้วยความพยาบาทด้วยความมุ่งร้ายหรือความเกลียดชัง เป็นจิตที่ไม่คิดร้าย พอไม่คิดร้ายก็คิดดีได้ง่าย อย่างที่เราเรียกว่าสัมมาสังกัปปะ ซึ่งเป็นหนึ่งในอริยมรรคมีองค์แปด อันนี้พูดง่ายง่ายคือ คิดดี เป็นจิตที่ไม่ถูกครอบงำกำกับด้วยความโลภความมุ่งร้ายหรือว่าจิตที่คิดพยาบาท
นอกจากคิดดีแล้วก็ต้องคิดถูกด้วย อันนี้ก็ต้องฝึกเพราะว่าถ้าไม่ฝึกมันก็คิดผิด คิดถูกเช่นอะไรบ้าง เช่น เรามีกรรมเป็นที่พึ่ง อันนี้พูดไปแล้วเมื่อวาน ถ้าเราอยากมีความสุขความเจริญเราก็ต้องพึ่งการกระทำของเรา กรรมแปลว่าการกระทำ การกระทำที่ดีก็คือความขยัน หมั่นเพียร คิดถูกก็คือว่า รู้จักพึ่งตนเอง ไม่มัวแต่วิงวอนร้องขอเทวดาอารักษ์หรือพึ่งพาอิทธิปาฏิหาริย์หรือวัตถุมงคล อันนี้เรียกว่าคิดถูกคิดถูกตามธรรมหรือถูกธรรม คิดถูกก็มีอีกเยอะ เช่นว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว หรือว่าการคิดหรืออะไรอะไรก็ไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นของชั่วคราวคนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตาย เกิดมาทั้งทีก็ต้องทำดีให้ได้ เวลาตายก็จะได้ตายสงบใจสบาย อันนี้เรียกว่าคิดถูก คิดถูกธรรม รวมทั้งเห็นว่าจิตเป็นนายกายเป็นบ่าว เพราะฉะนั้นจะเอาแต่ปรนเปรอร่างกายแต่ละเลยจิตใจไม่ได้
ต้องดูแลรักษาจิตใจให้ดี จิตใจที่ดีก็จะทำให้กายสุขกายสบาย หรือกายไม่สุขแต่ใจสบายก็วิเศษแล้ว อย่างที่เขาว่าคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก คับที่ก็พออยู่ได้ คนอยู่ในคุกหลายคนก็อยู่อย่างมีความสุข คนบางคนก็ติดคุกเพราะถูกกลั่นแกล้งเพราะกฎหมายไม่เป็นธรรม คนดีก็ติดคุกกันหลายเพราะว่าถูกผู้มีอำนาจกลั่นแกล้ง แต่ก็อยู่ได้อย่างมีความสุขเพราะว่ามันคับแต่ที่ แต่ใจเป็นอิสระ ใจคิดดีฝึกใจให้เป็นปกติ
คิดถูกคือความสุขที่แท้มันอยู่ที่ใจ ความสุขที่เกิดจากทรัพย์สมบัติเรียกว่ากามสุข ความสุขที่เกิดจากทรัพย์การเสพทางตาหูจมูกลิ้นกาย พวกนี้เป็นของชั่วคราว เป็นของที่เจือไปด้วยทุกข์ไม่ใช่ความสุขที่แท้ พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนกับว่าไต้ที่ใช้จุดให้แสงสว่าง ไต้ที่ทำด้วยหญ้าแห้ง จุดแล้วก็ให้แสงสว่าง แต่แสงสว่างก็ไม่สว่างมากแถมมีควันควัน ควันเข้าตาก็คันตาเข้าจมูกก็ระคายเคือง อันนี้ก็คือกามสุขสุขที่เกิดจากการเสพทางตาหูจมูกลิ้นกาย ความสุขจากวัตถุ มันให้ความสุขแต่มันก็เจือไปด้วยทุกข์ไม่ใช่สุขที่แท้ สุขที่แท้สุขที่ปราณีตอยู่ที่ใจ คนที่คิดแบบนี้นี้เรียกว่าคิดถูก
คิดดีแล้วคิดถูกแล้วก็ต้องมีอีกอย่างหนึ่งคือคิดบวก คิดบวกคิดอย่างไร คนเราคิดบวกก็คิดแบบพระปุณณะ วันหนึ่งพระปุณณะก็มาทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อไปยังเมืองสุนาปรันตะ พระพุทธเจ้าท้วงว่าคนสุนาปรันตะดุร้าย ถ้าเขาว่าท่านเขาด่าท่านจะคิดอย่างไร พระปุณณะตอบว่าถ้าเขาด่า ก็ดี ดีที่เขายังไม่ทุบตี ถ้าเขาทุบตีท่านจะว่าอย่างไร พระปุณณะตอบว่าถ้าเขาทุบตี ก็ยังดี ดีที่เขาไม่เอาก้อนหินมาขว้าง แล้วถ้าเขาเอาก้อนหินมาขว้างท่านจะคิดอย่างไร เขาเอาหินมาขว้างก็ดี ดีที่เขาไม่เอาไม้มาฟาด แล้วถ้าเขาเอาไม้มาฟาดท่านจะคิดอย่างไร พระปุณณะตอบว่า เขาเอาไม้มาฟาดก็ยังดี ที่เขาไม่เอามีดมาแทง แล้วถ้าเขาเอามีดมาแทงท่านจะคิดอย่างไร เขาเอามีดมาแทง ก็ยังดีที่เขาไม่ฆ่าให้ตาย พระพุทธเจ้าก็เลยถามต่อว่าถ้าเขาฆ่าท่านให้ตายท่านจะคิดอย่างไร พระปุณณะตอบว่า คนบางคนอยากจะตายก็ต้องไปหามีดมาฆ่าตัวเองไม่เช่นนั้นก็ต้องไปจ้างคนมาฆ่า ถ้าเป็นอย่างพระพุทธเจ้าว่า ก็ดีคือไม่เหนื่อยไม่วุ่นวาย พระพุทธเจ้าก็เลยอนุญาตพระปุณณะไป ไปแล้วก็ปรากฏว่าก็ไม่มีเรื่องเดือดร้อนอย่างที่คิด อันนี้พระปุณณะก็คือคิดบวก อะไรเกิดกับเราก็ดีทั้งนั้นดีที่มันไม่แย่ไปกว่านี้ เขาด่าก็ดีที่ไม่ทุบตี เขาทุบตีก็ดีที่เขาไม่เอาก้อนหินมาขว้าง ให้ลองคิดแบบนี้บ้างแล้วจะมีความสุข
คนที่คิดลบก็จะมีแต่ความทุกข์แม้จะได้โชค อย่างเช่น ใกล้จะหน้าหนาวแล้ว สมมุติว่ามีคนเอาผ้าห่มมาแจก บางบ้านก็ได้ผืนหนึ่ง แต่ก็มีบางบ้านได้สองผืน ทีแรกบ้านที่ได้บ้านคนละผืนก็ดีใจ แต่พอเห็นบ้านนั้นได้สองผืนก็เสียใจโกรธ อันนี้เรียกว่าคิดลบแล้ว น่าจะดีใจว่าเราได้ผ้าห่มฟรีฟรีมาหนึ่งผืน แต่ก่อนไม่มีตอนนี้ได้มาหนึ่งผืน คนที่คิดลบก็คือไปมองว่าเขาได้สองฉันได้หนึ่ง อันนี้คิดลบ แล้วเป็นไง ไปอิจฉาเขา เหมือนกับมีคนหนึ่งไปแทงหวยสามตัวได้ 600 บาท ก็ดีใจ ไปบอกใครต่อใครว่าวันนี้ฉันโชคดีแทงหวยถูกได้600 แต่พอไปเจอเพื่อนอีกคนหนึ่งเขาบอกว่าเขาก็แทงเหมือนกันและก็ถูกด้วย แต่เขาแทงมากกว่าเขาก็เลยได้2,000 พอไปเจออีกคนที่ได้ 2,000 เป็นไง ที่เคยยิ้มก็เหี่ยวเลย นึกในใจกูไม่น่าเลย กูน่าจะแทงมากกว่านี้ คือคิดลบ คนที่คิดบวกคิดอย่างไร สมมุติว่าอันนี้สมมติว่า เพื่อนๆ เขาแทงหวยถูก ได้คนละ 2000 ได้คนละ 3000 แต่มีคนหนึ่งแทงไม่ถูกไม่ได้เลย ทีแรกเขาก็เสียใจ ใครๆ ก็แทงถูกทั้งนั้น มีเราคนเดียวที่ไม่ถูก ทำไมซวยแบบนี้ สักพักก็แลเห็นคนจนไปเก็บขยะเพื่อไปขายหรือบางทีก็เก็บขยะเพื่อหาของกิน เมื่อเห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกว่าเขาโชคดีที่เขาไม่ยากจนไม่ถูกหวยก็จริงจิ๊บจ๊อยแล้ว ฉันโชคดีที่ฉันไม่ยากจน ยังมีกินอิ่มนอนอุ่น
ส่วนคนยากจนเขาก็อาจรู้สึกน้อยเนื้อในโชคชะตา แต่พอมองไปสักพักก็เห็นคนจรจัดไร้บ้านเดินเตร็ดเตร่หาที่หลับที่นอนเขาก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันทีว่า เราโชคดีเรายังมีบ้าน เขาไม่มีบ้านอยู่ อันนี้คนจรจัดที่เดินหาที่นอนก็จะคิดว่าวันนี้เรายากลำบาก แต่สักพักก็เห็นอุบัติเหตุคนข้ามถนนโดนรถชนขาหักแขนหักเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าฉันโชคดีที่ไม่พิการไม่เจ็บไม่ป่วย ส่วนคนที่โดนชนถูกพาเข้าโรงพยาบาลแขนหักขาหัก ในใจก็คิดว่าฉันโชคร้าย แต่สักพักเห็นพยาบาลเข็นเตียงเข็นเปลมีคนตาย เพิ่งตาย จึงนึกขึ้นมาว่าฉันโชคดีที่ยังมีชีวิตยังไม่ตาย คนเหล่านี้เขามีความสุขได้เพราะเขาคิดบวก ไม่ถูกหวยแต่ฉันก็ยังกินอิ่มนอนอุ่นไม่ยากจน หรือคนยากจนก็ยังมีความสุขเพราะมีบ้านอยู่มีบ้านคุ้มหัวไม่เหมือนคนจรจัด ส่วนคนจรจัดก็มีความสุขรู้สึกโชคดีที่ฉันไม่เจ็บไม่ป่วยไม่พิการ ส่วนคนเจ็บคนป่วยก็คิดว่าโชคดีที่ยังไม่ตาย แค่นี้แหละคิดบวกเป็นอย่างนี้
คนเราถ้าคิดบวกเป็นอย่างไรก็มีความสุขได้ อย่างมีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคเลือดธาลัสซีเมีย คนอีสานเป็นกันหลาย ถ้าพ่อมีเชื้อตัวนี้แม่ก็มีเชื้อตัวนี้ลูกก็จะเป็น 100% คนอีสานนี้มีเชื้อตัวนี้อยู่ในเลือด แต่ที่ไม่เจ็บไม่ป่วยเพราะว่ามีตัวเดียว คือได้จากแม่หรือได้จากพ่อ แต่ถ้ามี 2 ตัวคือถ้าได้จากทั้งแม่และทั้งพ่อจะเป็นธาลัสซีเมียทันที เป็นโรคเลือด หมอบอกว่า ตอนที่เพิ่นเกิดใหม่ๆ หมอบอกว่าอยู่ได้ไม่เกินอายุ 20 แต่เพิ่นก็อยู่ได้จนกระทั่ง 30 กว่า แต่ก็ไม่ใช่สบายเพราะว่าตัวเล็กแคระแกรน ตาโปน กระดูกเปราะ หกล้มเมื่อไหร่ก็แขนหักขาหัก เพิ่นหกล้มแขนหักขาหักใส่เฝือกมาสิบกว่าครั้ง 20 กว่าครั้ง แต่เพิ่นก็มีความสุขทั้งๆ ที่ไม่รู้จะตายเมื่อไหร่ เป็นคนมีความสุขยิ้มแย้มแจ่มใส เพิ่นบอกว่าถึงแม้เลือดฉันจะแย่ แต่ฉันยังมีตายังเห็นสิ่งสวยงาม มีจมูกดมกลิ่นหอมได้หูก็ยังฟังเพลงกินอะไรก็ยังอร่อย เดินเหินไปไหนมาไหนก็ได้ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว อันนี้เรียกว่ามองบวก
คนที่มองลบจะเห็นแต่เลือดที่ไม่ดี เห็นแต่ความเจ็บความป่วยของเจ้าของ แต่คนที่มองบวกเพิ่นเห็นแต่ของดีที่เพิ่นมี คนเป็นมะเร็งถ้ามองลบแล้วก็จะเห็นแต่ปอดที่เป็นมะเร็ง กระเพาะที่เป็นมะเร็ง หรือว่าตับที่เป็นมะเร็ง หรือคนที่เป็นเบาหวานก็เห็นแต่เลือดที่มีน้ำตาลเยอะ เห็นแก่ความเจ็บความป่วยเจ้าของ แต่คนที่มองบวกเขายังมองว่าฉันยังโชคดีตาก็ยังมองเห็น ยังเห็นลูกเห็นหลานเห็นพ่อเห็นแม่ หูก็ยังได้ยินเสียงคนรักได้ยินเสียงเพลงได้ยินเสียงพระสวด กินอะไรก็ยังอร่อย พูดได้ไม่เป็นใบ้ ไม่พิการเดินไปไหนก็ได้ จะมาวัดก็ได้ จะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ เมื่อคิดบวกแล้วก็มีความสุข แม้แต่เจ็บป่วยก็มีความสุข แต่ถ้าคิดลบแม้จะได้โชคได้ลาภได้ของฟรีได้ผ้าห่มก็ยังทุกข์
นอกจากคิดดีคิดถูกคิดบวกแล้วการไม่คิดบ้างก็ดีเหมือนกันก็คือมีความรู้สึกตัว จิตที่รู้ทันความคิด รู้จักปล่อยรู้จักวางได้ คือมีสตินั่นแหละ มีสติ จิตที่มีสติรู้ทันความคิด รู้จักวางความคิด คนเราถ้าคิดอย่างเดียวทั้งวันมันก็แย่ วางความคิดไว้บ้าง มีความรู้สึกตัว จิตที่รู้สึกตัวเป็นจิตที่สุข สบาย เพราะตอนนั้นความทุกข์ความโกรธความโลภความเครียดความสุขมันไม่มาครองจิตครองใจ จิตสบาย รู้จักไว้บ้างความรู้สึกตัว คิดดีคิดถูกคิดบวกก็ดีแล้วแต่ยังไม่พอ เพราะบางทีเราก็ต้องวางความคิดลงบ้าง ตอนจะนอนไม่ต้องคิดแล้ว อย่ามาคิดถูกคิดดีคิดบวก ไม่ต้องคิดแล้ว วางความคิดลงแล้วมันก็จะหลับไปได้ อันนี้เพราะมีสติ แต่ว่าตอนตื่นมันก็ต้องรู้สึกตัวไว้บ้าง รู้สึกตัวบ่อยๆ เพราะถ้าไม่รู้สึกตัวหรือหลงก็จะเกิดอันตราย เช่น เดินลงบันไดใจลอยคิดโน่นคิด ไม่ได้เดินอย่างมีสติ เดี๋ยวก็ตกบันได อยู่ในห้องน้ำโดยเฉพาะคนแก่ ถ้าเป็นห้องน้ำบ้านเรายังไม่เท่าไหร่ ห้องน้ำคนในเมือง พื้นมันเรียบเดินไม่มีสติก็หกล้มได้ง่าย ที่จริงไม่ต้องห้องน้ำหรอก ทางเดินที่สุคะโตนี่ ถนนแต่ก่อนก็เดินสบาย แต่ช่วงนี้ต้องระวังไว้เพราะว่ามีตะไคร่น้ำ ตะไคร่น้ำมาเกาะถนนจากที่เคยสากๆ มันก็กลายเป็นถนนเรียบๆ พอเรียบมากๆ ก็กลายเป็นลื่น เดินบางทีก็หกล้ม โดยเฉพาะถ้าเดินไม่มีสติ เดินไปใจลอย หกล้มเลย แต่ถ้าเดินอย่างมีสติมีความรู้สึกตัวมันไม่หกล้มง่ายง่าย ยิ่งเป็นผู้เฒ่าผู้แก่แล้วยิ่งต้องระวังต้องมีสติมีความรู้สึกตัว
คนเรานี้ถ้าไม่รู้สึกตัว มันก็โกรธง่าย ลูกหลานพูดอะไรไม่ถูกใจก็โกรธ ลืมตัว พอโกรธแล้วลืมตัวก็ด่าว่าแรงๆ แล้วก็มาเสียใจ บางทีมันก็เกิดทิฐิมานะ มีแม่คนหนึ่ง ลูกชายมาหาแม่ในวันแม่ ลูกชายเป็นทหารอายุ 22-23 ปี มาหาแม่ในวันแม่ เอาพวงมาลัยมาจะมากราบแม่แต่ว่าแทนที่จะกราบทันทีแต่ก็คงคิดว่าวันนี้วันที่ 11 ไว้กราบวันพรุ่งนี้ที่ 12 ก้อแล้วกัน ก็เอาพวงมาลัยใส่ตู้เย็น รอกราบวันรุ่งขึ้น แม่เห็นลูกแทนที่จะมาลัยมากราบแม่แต่ไม่ทำเอาพวงมาลัยใส่ตู้เย็น แม่ก็น้อยใจพูดไม่ดีกับลูกจะเรียกว่างอนก็ได้ ลูกเจอแม่ทำอย่างนี้ลูกก็เลยมึนตึงกับแม่ ตั้งใจจะมากราบเท้าแม่ แต่แม่งอนน้อยใจ ลูกก็เลยไม่คุยกับแม่ วันรุ่งขึ้นกินข้าวเสร็จก็กลับไป พวงมาลัยก็อยู่ในตู้เย็นนั้นเอง ต่างคนต่างมีทิฏฐิมานะ แล้วก็ไม่นานนักลูกก็ประสบอุบัติเหตุตาย แม่เสียใจมากที่ไม่มีโอกาสที่จะได้พูดดีกับลูก ขนาดวันแม่แม่เป็นผู้ใหญ่ก็ทำเป็นน้อยใจ ลูกตั้งใจจะมากราบเท้าแม่ เพียงแค่ลูกไม่ได้เอาพวงมาลัยมากราบเท้าทันทีแม่ก็น้อยใจแล้ว แล้วก็ทำให้ลูกจากไปโดยที่ไม่ได้คุยดีๆ ด้วยกัน ก็ร้องห่มร้องไห้มาเล่าเรื่องนี้ โอ้เราไม่มีโอกาสที่จะได้จากกันด้วยดี แม่ที่ใช้ไม่ได้ ฉันเป็นแม่ที่ใช้ไม่ได้ อันนี้เพราะอะไร เพราะลืมตัว ตอนที่เห็นลูกเอาพวงมาลัยใส่ตู้เย็นมันน้อยใจทำไมไม่มากราบเท้าฉันทันที อันนี้คือลืมตัว ถ้ารู้สึกตัวแล้วจะปล่อยวางได้เรื่องพวกนี้มันจิ๊บจ๊อยรอได้ แต่พอไม่มีสติมันก็ปล่อยให้ความงอนโตแล้วยังงอนอายุแม่ก็ 50 แล้วยังงอน งอนลูกแล้วก็ยังต้องมารับกรรมเสียใจ โทษตัวเอง ถ้าวันนั้นได้ให้ลูกกราบเท้าแม่ แม่ก็ยินดีอวยชัยให้พรจากกันด้วยดี ถ้าลูกตายไปก็ยังทำใจได้ว่าอย่างน้อยพบกันครั้งสุดท้ายก็ยังได้คุยกันด้วยดี ให้ความรักต่อกัน
ดังนั้นความรู้สึกตัวนี้สำคัญ ต้องฝึกไว้ด้วย ถ้าไม่ฝึกไว้กิเลสหรือว่าความอิจฉาความน้อยใจความโกรธมันก็จะเล่นงานได้ มันคอยเล่นงานใจเราเวลาไม่มีสติเป็นเครื่องรักษา สติกับความรู้สึกตัวนี้เป็นของคู่กัน เมื่อมีสติความรู้สึกตัวก็มา ดังนั้นจิตที่ฝึกไว้ดีแล้วนี้ก็ต้องฝึกให้มีความรู้สึกตัว มีสติแล้วที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือต้องมีปัญญาเห็นความจริง เห็นความจริงว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดาเราจะหนีความแก่ไปไม่ได้ เรามีความป่วยไข้เป็นธรรมดาจะล่วงพ้นความป่วยไข้ไปไม่ได้ เรามีความตายเป็นธรรมดาจะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น เป็นความคิดแบบนี้มันก็เป็นสุขได้ แม้แก่แม้เจ็บแม้ป่วยแม้พลัดพรากสูญเสียคนรักของรักหรือแม้แต่เมื่อเจอความตาย อันนี้พูดไปแล้วเมื่อวาน
เมื่อเราเห็นความจริงคือมีปัญญา เห็นว่าไม่มีตัวกูไม่มีอะไรที่เป็นของกู อันนี้ก็ยิ่งเป็นสุขเข้าไปใหญ่ เพราะเป็นจิตที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นกับอะไร อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่ทุกข์ กายป่วยก็ไม่ทุกข์ ข้าวของสมบัติมันสูญหายไปก็ไม่ทุกข์ เพราะรู้แล้วว่ามันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ไม่มีความยึดมั่นว่าต้องเที่ยงต้องสุขต้องอยู่ไปตลอดกาล เมื่อไม่ยึดมั่นไม่คาดหวังมันจะเป็นอย่างไรก็ไม่ทุกข์ อันนี้คือความหมายของคำว่าจิตที่ฝึกไว้ดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ เมื่อมองแบบนี้แล้ว พิจารณาแบบนี้ ก็จะเห็นว่าใช่ ถ้าฝึกจิตเอาไว้แล้วมันจะมีความสุข เวลาได้ฟังพุทธภาษิตก็ลองใคร่ครวญดูพิจารณาดู แล้วก็จะเห็นจริง ทำให้เกิดความตั้งใจที่จะฝึกจิตฝึกใจของเจ้าของ ให้คิดดี คิดถูก คิดบวก ให้มีสติ มีความรู้สึกตัว มีเมตตากรุณา และมีปัญญาด้วย