แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมาขับรถไม่เป็น แต่คนที่ขับรถเป็น หลายคนจะมีประสบการณ์แบบเนี้ย คือเวลารถติดแล้วก็รถมันค่อยๆ เขยื้อนขยับทีละนิดๆ แล้วเกิดมีรถเลนซ้ายเขาอยากจะเบียด อยากจะขอทางเข้ามาในเลนของเรา ถ้าเกิดว่าเราเปิดทางให้รถคันนั้นแซงแล้วก็เข้ามาอยู่ในเลนของเรา อยู่ข้างหน้าเรา เรามักจะรู้สึกดี แต่ถ้าเกิดว่ารถข้างหน้าเรา ทำแบบเดียวกับเรา ก็คือเปิดทางให้รถทางเลนซ้ายเขาเข้ามา อยู่ในเลนเดียวกัน เราซึ่งอยู่ข้างหลัง จะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ จะรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ แล้วก็อาจจะไม่พอใจคนรถคันหน้าที่เปิดทางให้รถเลนซ้ายเข้ามา อาจจะนึกบ่นในใจว่ามีเมตตาแบบไม่รู้จักกาลเทศะ เคยเป็นอย่างนี้บ้างหรือเปล่า เวลาเราทำเอง เรารู้สึกดีแต่คนอื่นทำเหมือนเรา เรากลับรู้สึกแย่ อันนี้ก็มีคนอธิบาย ว่าเวลาเราเปิดทางให้รถเลนซ้ายเข้ามาอยู่ข้างหน้าเรา มันเป็นการตัดสินใจของเราเอง มันเป็นเจตนาของเรา เราเป็นคนเลือกเอง เพราะฉะนั้นเราจึงไม่รู้สึกแย่ ถึงแม้ว่าการทำเช่นนั้น จะทำให้เรารอนานขึ้น ไปได้ช้ากว่าเดิม อีกอย่างหนึ่งรถคันที่เขามาเบียดแล้วก็เข้ามาอยู่ในเลนเราเพราะเราเปิดทางให้เขา ส่วนใหญ่เขาจะยิ้มให้ แสดงอาการขอบคุณ เราก็เลยพลอยสบายใจ เพราะอันนี้เหมือนกับเป็นรางวัล รางวัลที่เราได้มีเมตตา ได้ทำความดี แต่ถ้าเกิดคนอื่นที่อยู่ข้างหน้าเราทำอย่างนั้นบ้าง มันทำให้เรารอนานขึ้น ทำให้เราไปได้ช้าขึ้น มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดจากการตัดสินใจของเรา แต่เป็นเพราะอยู่ในสภาพจำยอม ขณะเดียวกันรถคันที่เขาแซง และเข้ามาอยู่ในเลนของเรา เวลาเขาขอบคุณเขาไม่ได้ขอบคุณเรา เขาขอบคุณรถข้างหน้าเรา ที่เขาเปิดทางให้ พูดง่ายๆ คือว่าเรารอรถ เราต้องรอนานขึ้น แต่เราไม่ได้รับรางวัล อันนี้แหละคือเหตุผลว่าทำไมเวลาเราทำ เรารู้สึกดี แต่เวลาคนอื่นทำเหมือนเรา เรารู้สึกแย่ อันนี้ก็ใช้ได้กับเวลาเราเข้าคิว ถ้ามีคนมาขอ มาขอเข้าคิวข้างหน้าเรา เขาอาจจะรีบและถ้าเราอนุญาตให้เขามาอยู่ข้างหน้าเรา แซงเรา เรารู้สึกดี เพราะว่าเราเป็นคนตัดสินใจเอง ขณะเดียวกันเขาก็ขอบคุณเรา เราก็มีความยินดี แต่ถ้าคนอื่น คนที่อยู่ข้างหน้าเรา เปิดช่องให้อีกคนมาแซง เราจะไม่พอใจ ทั้งคนแซงและคนที่ยอมหรืออนุญาตให้มาแซง หาว่ามาละเมิดสิทธิของเรา มาเอาเปรียบเรา ไม่เข้าท่าเลย ใจดีแบบมีกาลเทศะ เหตุการณ์แบบนี้มันก็น่าพิจารณา
แง่คิดอันหนึ่งก็คือว่าเวลาเรามีความทุกข์เพิ่มมากขึ้น เช่นรอรถนานขึ้น เข้าคิวนานขึ้น ถ้าเกิดว่ามันเป็นการตัดสินใจของเรา เราจะไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจกับมัน แต่ถ้าเกิดว่ามันเกิดจากการที่เราถูกอยู่ในสภาพที่จำยอมเพราะมีคนทำเราจะแย่ ลองสังเกตดู ความยากลำบาก ถ้ามันเป็นความยากลำบากที่เราเลือกเอง เราจะรู้สึกว่ามันทนได้ เช่นเรียนหนังสือ ถ้าเราเรียนการบ้านก็เยอะ และเราตัดสินใจที่จะทุ่มเทกับมัน อาจจะเป็นเพราะเราเห็นคุณค่าของมัน เราจะรู้สึกว่ามันไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดว่าเราต้องเรียนเพราะถูกบังคับ พ่อแม่ก็ดี หรือว่าผู้ใหญ่ก็ดี เราจะรู้สึกว่าทรมานมาก ออกกำลังกายก็เหมือนกัน ถ้าเราเป็นคนออกกำลังกายเอง ตัดสินใจเอง เลือกทำเอง มันยากแค่ไหนเราก็ไหว แต่ถ้าเราถูกบังคับ เราจะบ่นปอดแปดเลย ทั้งๆ ที่อาจจะไม่เท่าไหร่
เวลาเดินธรรมยาตรา เดินตากแดด หลายคน ไม่เคยเดิน แต่พอเดินตากแดดแล้ว ความรู้สึกไหว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาถูกบังคับให้ต้องเดิน เขาก็จะมีความทุกข์ทรมารมาก พอเดินธรรมยาตรา บ้างทีก็ถอดรองเท้า คนที่สมัครใจถอดรองเท้า เจ็บ พื้นมันก็ร้อน ทางมันก็มีกรวด มีหิน แต่หลายคนจะทนไหว แต่ถ้าเมื่อไรก็ตาม มันมีข้อบังคับว่า คนนี้มาเดินธรรมยาตราทุกคน ต้องถอดรองเท้า อันนี้เป็นเรื่อง เจอความทุกข์แบบเดียวกัน แต่เราทนไหวถ้าเราเลือกที่จะทำ เราสมัครใจทำเอง แต่ถ้ามันเป็นความไม่สมัครใจของเรา เราจะบ่น จะโวยวาย ไม่ไหวๆ ๆ และการเราตัดสินใจเองมันมีผลต่อความสามารถในการที่จะทนกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ หรือมีความรู้สึกดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือเปล่า
คนที่ป่วยแล้วก็เจอทุกขเวทนา มีความปวด หลายคน อยากจะได้ยาระงับปวด แต่ถ้าเกิดว่าบอกคนไข้ว่า คุณเลือกได้ว่าคุณจะทนก็ได้ หรือคุณไม่ทน ถ้าคุณไม่ทนหรือทนไม่ไหว มียาให้ ยาอยู่ข้างเตียง คุณทนไม่ไหว คุณกินเลยยา เราจะพบว่าคนไข้เหล่านี้จะมีความอดทนต่อความเจ็บปวดได้นานกว่า แต่ถ้าเกิดคนไข้อีกคนหรืออีกกลุ่มหนึ่ง ไม่มียาวางไว้ใกล้ๆ คือต้องทนอย่างเดียวเลย เขาจะทนไม่ค่อยไหว เขาจะเรียกร้องขอยา หมอเมื่อไหร่จะให้ยาสักที ไม่ไหวแล้วๆ ทั้งๆ ที่ความเจ็บความปวดมันก็ระดับเดียวกัน แต่ทำไมคนหนึ่งทนได้อีกคนทนไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเขาปฏิบัติธรรมได้มากกว่า แต่เป็นเพราะว่า คนแรกเขาทนได้เพราะว่าเขาเลือกได้ว่าเขาจะทนหรือไม่ทน การที่เขาเจ็บปวด เพราะเขายอมเลือกที่จะทน เขาไม่เลือกก็ได้เพราะเขามียาอยู่ข้างเตียง ทนไม่ไหวก็กินยา แต่ส่วนใหญ่ก็จะทนได้นาน นานกว่าคนที่ไม่มียาอยู่ใกล้ๆ เพราะคนที่ไม่มียาอยู่ใกล้ๆ เขารู้สึกว่าเขาถูกบีบครั้น ถูกบีบบังคับ อยู่ในสภาวะจำยอมที่ต้องทน เขาไม่ได้เลือกที่จะทนเอง เขาก็เลยทนไม่ไหว ใจสำคัญมาก อันนี้ก็มาใช้ได้ อธิบายได้
เวลา ถ้าเราต้องรอ ต้องเดินทางนานขึ้นเพราะว่าเราเปิดทางให้อีกคนหนึ่งเขามาแซงเราข้างหน้า อันนี้เราโอเค แต่ถ้าเกิดว่าคนอื่นทำ และเราต้องรอนานขึ้น อันนี้เราอยู่ในสภาพจำยอม เราก็จะทนไม่ค่อยไหว คราวนี้คนที่แนะนำเรื่องนี้ คนที่อธิบายเรื่องนี้ เขาก็อธิบายต่อไปว่า เวลาคนอื่นเขายอมให้รถเลนซ้ายเขามาแซง เพื่อได้มาอยู่เลนเดียวกับเขา ถ้าเกิดเราอยู่ข้างหลัง เมื่อไรก็ตามที่เราอยู่สึกไม่ค่อยสบายใจ รู้สึกขุ่นเคือง ว่าถูกเอาเปรียบ ก็ลองแผ่มุทิตาจิต ว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเราที่เขาอนุญาตให้รถเลยซ้ายมาแซง เขากำลังทำสิ่งที่ดี เขามีเมตตา และเขาก็กำลังได้รับสิ่งดีๆ คืน ได้รับคำขอบคุณจากคันที่มาเบียดมาแซง ก็ยินดีแทนเขา อันนี้มันก็ช่วยทำให้หายทุกข์ได้ อันนี้ก็ เป็นข้อแนะนำที่ดีมาก เพราะในเมื่อเราต้องรอนานขึ้น และเราจะไปซ้ำเติมตัวเองทำไม ซ้ำเติมตัวเองด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองว่าถูกเอาเปรียบ หรือว่าโมโหคนที่เปิดทางให้รถคันข้างหน้าว่ามีน้ำใจแบบไม่รู้จักกาลเทศะ คิดแบบนี้มันทุกข์ เราทุกข์เอง แต่ถ้าเรามอง เขากำลังทำสิ่งที่ดีๆ อันนี้เรียกว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง
การยินดีในความดีที่ผู้อื่นได้ทำ ปัตตานุโมทนามัย ไม่ว่าเขาจะทำดีในรูปแบบใดเช่น ใส่บาตร ถวายสังฆทาน หรือว่ามีความเอื้อเฟื้อผู้อื่น หรือว่ามาทำงานเช้ากว่าเรา ตื่นเช้ากว่าเรา ขยันปฏิบัติกว่าเรา อย่าไปอิจฉาเขา อย่าไปมองว่าเขาเกินหน้าเกินตาเรา ให้มองว่าเขากำลังทำดี และอนุโมทนาให้ บางคนนี้ไม่ได้ ถ้าใครขยันกว่าเรา ปฏิบัติธรรมมากกว่าเรา ตื่นเช้ากว่าเรา จะเขม่นเขาแล้ว เพราะอะไร เพราะว่าเขากำลังดีกว่าเรา เขากำลังดีเกินหน้าเกินตาเรา ตัวมานะมันไม่ยอม มานะมันอยากจะดีอยากจะเด่นเหนือคนอื่น ถ้ามีคนดีกว่าเรา เด่นกว่าเรา กิเลสทั้งหลายมันไม่ชอบ อันนี้เขาเรียกว่าอิโก้ อัตตา อันนี้เราก็ต้องระวัง บ้างทีคนทำดี เราไม่ชอบ ทั้งๆ ที่เราทำอย่างนั้นบ้างเรากลับมีความสุข