แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ได้อ่านบทความเป็นภาษาต่างประเทศ คนเขียนได้ตั้งชื่อไว้อย่างน่าสนใจว่า “เหตุผล 7 อย่างที่ทำให้ความร่ำรวยเป็นสิ่งที่น่ากลัว” ใครๆ ก็อยากรวย ไม่ว่าคนไทยหรือว่าคนที่ใหนในโลก เราคิดว่ารวยแล้วจะมีความสุข แต่ว่า ฝรั่งที่เขียนบทความนี้เขาไปสัมภาษณ์ ผู้คนมากมาย ทั้งคนรวยแล้วก็พวกนักธุรกิจ แล้วเขาก็สรุปว่า เป็นเศรษฐีเงินล้าน ไม่ว่าจะเพราะฝีมือหรือมีโชคมาหล่นทับ มันไม่ได้มีความสุข อย่างที่คนอื่นเข้าใจ อาจจะทุกข์เท่าเดิม หรือจะทุกข์กว่าเดิมก็ได้ เขาบอกว่าคนที่ร่ำรวย อันนี้เขาพูดเฉพาะตัวอย่างในอเมริกา หรือยุโรป อาจจะไม่ตรงกับเมืองไทยทีเดียว แต่เมืองไทยก็จะไป มุ่งหน้าไปสู่จุดนั้น พวกคนรวย มีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้อง ถูกฟ้องโน้นฟ้องนี่ คนก็จะหาเรื่อง ในเมืองนอก ฟ้องได้ง่ายอยู่แล้ว พูดจาลวนลามก็ถูกฟ้อง พูดจาดูถูกเพราะเหตุผลทางเชื้อชาติ สีผิวก็ถูกฟ้อง จะมีเหตุให้ฟ้องได้ง่ายมาก และยิ่งรวยเขาก็จะฟ้องเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย เพราะงั้นคนยิ่งรวยเท่าไหร่ โอกาสที่จะต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นคดีความเพราะถูกฟ้องโน้นฟ้องนี่ มีความเสี่ยงสูง มีโอกาสเป็นไปได้มาก พอเราถูกฟ้อง ไม่อยากมีเรื่องมีราวก็ต้องยอมความ ยอมความก็ต้องจ่ายเงินให้เขา ซึ่งก็จะทำให้คนอื่นก็อยากจะทำตามเอาแบบบ้าง ก็เรียกว่าไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่
ข้อที่ 2 จะมีคนที่หวังผลประโยชน์ส่วนตัวมาสมัครเป็นลูกน้อง มาประจบสอพลอ มาเข้าใกล้ พวกนี้ตอนที่เรามีเงิน ก็มากราบกรานแหนแห่ เราพูด เราชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ แต่ว่าเผลอเมื่อใหร่ เขาก็อาจจะโกงเรา ให้รับผิดชอบเรื่องงานเรื่องการ เรื่องธุรกิจ ก็อาจจะเอาชื่อเราไปแอบอ้าง หาผลประโยชน์ หรือว่าถ้าให้คุมให้ดูแลเรื่องการเงิน ก็อาจโกง มารู้ตัวอีกทีก็หมดไปแล้วหลายสิบล้าน อันนี้ก็จะเป็นความทุกข์ที่ทำให้ คนรวยต้องคอยหวาดระแวงว่าคนที่ทำงานกับเรา จะซื่อสัตย์แค่ใหน มีความสุจริตหรือเปล่า
ข้อที่ 3 ก็คือว่า จะได้แต่เพื่อนเทียม มิตรแท้ก็มีอยู่หรอก แต่ว่าพอรวยแล้ว ก็จะมีเพื่อนเทียม เพื่อนปอกลอกเข้ามา อันนี้ก็เหมือนกัน พอเรามีเงิน เขาก็จะมาอยู่ใกล้ มาประจบสอพลอ พอไม่มีเงินก็จะห่างหาย แล้วเดี๋ยวนี้ก็ดูยากว่าใครเป็นมิตรแท้มิตรเทียม เพราะบางคนก็ฉลาดมาก แต่คนส่วนใหญ่มักจะอยากจะได้รับคำป้อยออยู่แล้ว ใครมาป้อยอ ใครมาสรรเสริญ ก็จะเคลิ้มคล้อย มิตรแท้จะไม่ประจบสอพลอ เขาก็จะคอยติคอยติงบางทีก็คอยเตือนเวลาเราทำอะไรผิดพลาด คนเธรรมดาเรามักจะไม่อยากฟังคำติคำเตือน เพราะฉะนั้น พอเจอมิตรแท้เข้าจริงๆ ก็อาจจะรำคาญ อาจจะ ไม่ชอบ ใจก็จะหันเหไปยังมิตรปอกลอกมิตรเทียม ที่คอยชมคอยสรรเสริญ ว่าเราหล่อเราสวย เราเก่ง เราเป็นคนที่มีความสามารถ เราฉลาด พวกนี้ทีแรกเราฟังเราก็เฉยๆ อาจจะมีสติเตือนใจว่า อย่าไปหลงเชื่อ มันเป็นโลกธรรม แต่พอได้ยินได้ฟังถูกกรอกหู บ่อยๆ ก็เชื่อ อยากฟังอยากได้ยินมากขึ้นเรื่อยๆ อยากได้บ่อยๆ มากขึ้น เป็นการเสพติดแบบหนึ่ง อยากได้ฟังคำชม ทั้งที่ก็รู้ว่ามันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นแต่ธรรมดาคนเรา ความจริงก็เป็นเรื่องหนึ่ง คำสรรเสริญก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผู้หญิงหลายคนก็ล้วนแต่ไม่สวย แต่ก็อยากได้รับคนชมว่าสวย ผู้ชายก็เหมือนกัน ก็อยากให้คนชม ถึงแม้ว่า อาจจะรู้ว่า ทั้งที่รู้ว่าตัวเอง ไม่เก่ง ไม่ฉลาด ไม่หล่อ แต่อยากให้คนชม อยากฟัง อยากให้คนเหล่านี้อยู่ใกล้ๆ คนเหล่านี้พอเผลอเขาก็ปอกลอกเรา
ข้อที่ 4 คนรวยมากๆ เขาจะมีความรู้สึกผิด รู้สึกผิดที่รวย ก็จะพยายามแก้บรรเทาความรู้สึกผิดด้วยการบริจาคเงิน รู้ว่าที่นั่นที่นี่เขามีความยากลำบากก็อยากช่วย เพราะรู้สึกว่าเรารวยแล้วคนอื่นจน มันน่าเกลียด อันนี้เมืองไทยไม่ค่อยมีเท่าไหร่ แต่เมืองนอกเขามีกันมากะถ้ารวยแล้วไม่บริจาคเงิน มันน่าเกลียด ไม่ให้ก็ไม่ได้ ที่ให้ ก็ให้ไปให้ไปก็ร่อยหรอ บางทีก็ไม่สบายใจ เพื่อนร่วมชั้นเรียนเขาอยู่กันอย่างลำบาก เราอยู่สบายเกิดความรู้สึกผิดไม่สบายใจ แต่แปลก อยู่กับคนที่เขาจนกว่าเราก็ไม่สบายใจ อันนี้ฝรั่ง อยู่กับคนที่เขารวยกว่าก็รู้สึกทุกข์ ทุกข์ที่เขารวยกว่าเรา เป็นความทุกข์ของคนรวยอีกแบบหนึ่ง
ข้อต่อมาก็คือว่า รวยมากๆ ก็จะต้องจ่ายหนี้ จ่ายภาษีมาก อันนี้ก็อาจจะเป็นปัญหาของฝรั่ง คนไทยเรา ภาษีไม่ค่อยโหดร้ายเท่าไหร่ ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้เท่าไหร่ เรื่องภาษี
ข้อสุดท้ายเขาบอกว่า คนรวยต้องพยายามที่จะรักษาชีวิตแบบเดิมให้คงอยู่ให้ได้ พูดง่ายๆ เหมือนขี่เสือ
พอรวยมากๆ ขี่เสือลงไม่ได้ ก็คือว่า พอรวยมากๆ ก็มีชีวิตที่สะดวกสบาย มีรถอย่างดี มีคนขับ บ้านก็หลังใหญ่ กินอะไรก็ของราคาแพง ต้องใช้สินค้าแบรนด์เนม พอใช้ไป ใช้ไป มันก็คุ้นกับชีวิตแบบนี้ เพราะฉะนั้นก็ต้องหาเงินมาหล่อเลี้ยงชีวิตแบบนี้เอาไว้ ต้องหาเงินมากๆ มาค้ำจุนวิถีชีวิตแบบนี้ จะให้จนกว่านี้ ก็ทำไม่ได้ล่ะ มันเหมือนขี่เสือ มันไม่คุ้นล่ะ จะกลับมากินข้าวแกง ก็ทำไม่ได้ จะกลับมารถเอง หรือขับรถญี่ปุ่น มันก็ไม่สะดวกใจ เพราะงั้นมันก็ต้องใช้ชีวิตที่หรูหรา ฟุ่มเฟือย หาเงินมา ก็เหนื่อยกับการหาเงิน นำมาหล่อเลี้ยงวิถีชีวิตที่ร่ำรวยหรูหรา ให้เท่าเดิม แต่บางคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ แค่จะอยากให้ชีวิตเท่าเดิม อยากจะให้หรูหรายิ่งกว่าเดิม เพราะเวลารวยมากๆ ก็มีความคาดหวังสูง แต่ก่อน มีเงินอาจเที่ยวแค่ญี่ปุ่น ตอนหลังพอมีเงินมาก เราต้องไปไกลกว่านั้น แต่เดิมรวย ก็นั่งใช้จ่ายพักในโรงแรมสี่ดาว พอรวยมากๆ ก็เราต้องห้าดาว หกดาวละนะ มันมีความคาดหวังสูงขึ้นเรื่อยๆ ว่า มันก็คือความอยากล่ะนะ อันนี้จมไม่ลงล่ะ ก็ต้องไปหาเงินให้มันรวยขึ้นกว่าเดิม มีชีวิตที่หรูหรายิ่งขึ้นกว่าเดิม เหนื่อย ต้องทำงาน เจ็ดวัน เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้หยุด จะได้มีเงินมาหล่อเลี้ยง มาค้ำจุนชีวิตที่มันร่ำรวย หรือมาตอบสนองความอยากที่มันมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ทำการวิจัย ไปสอบถาม คนรวย ปรากฏว่า ส่วนใหญ่แล้วก็เครียด แล้วก็ทุกข์ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไปเท่าไหร่ แล้วที่เหตุผลอันหนึ่ง แล้วก็อันที่เป็นมากเลย คือ พอเห็นคนอื่นรวยกว่า มันก็ไม่มีความสุขล่ะ คนที่จนกว่าก็ทุกข์ เพราะรู้สึกผิดว่าเรารวยกว่าเขา อันนี้ฝรั่งเป็นมากแต่คนไทยไม่ค่อยเป็นหรอกแต่กลับภูมิใจว่าฉันรวยกว่า เราชอบอวดรวยอยู่แล้ว แต่พอไปเจอคนที่รวยกว่ามันทุกข์เลย เพราะอยากจะรวยเหมือนเขา อยากจะรวยเท่าเทียมกว่าเขา เพราะฉะนั้นก็ต้องมีมากขึ้นเรื่อยๆ เคยมีคนสอบถามฝรั่งว่า มีเงินแค่ใหนถึงจะมีความสุข เราเคยถามคำถามนี้ใหม ว่า เรามีเงินเท่าไหร่ เราถึงจะมีความสุขมากกว่าเดิม ส่วนใหญ่ตอบว่า มากกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ได้บอกจำนวน ไม่ได้บอกว่าสิบล้าน ร้อยล้าน แต่บอกว่าต้องมากกว่าที่เป็นอยู่ ถ้ายังเท่าเดิมก็จะไม่มีความสุข อย่าว่าแต่สุขกว่า สุขเท่าเดิมก็ไม่มีแล้ว มันคุ้นเคย มันเคยชิน เพราะฉะนั้นต้องมีเงินมากกว่าเดิม มีสิบล้านก็ต้องหายี่สิบล้าน มีร้อยล้านก็ต้องหาสองร้อยล้าน ยิ่งอยู่บนลาน ลานวิ่งที่มันเคลื่อนอยู่ไปเรื่อยๆ ต้องวิ่งให้ได้ วิ่งให้ทันลานนั้น วิ่งไม่ทันก็ตกขบวนไป เพราะความทุกข์อย่างที่ฝรั่งเจอ คนไทยก็จะเจอมากขึ้นเรื่อยๆ คือมีคนอิจฉา มีคนอิจฉามากขึ้นเรื่อยๆ มิตรปอกลอก มิตรเทียมก็มาก คนอิจฉา คนมุ่งร้ายก็มาก เมื่อกี้ก็บอกไว้แล้วว่า บางคนก็หาทางฟ้อง เพื่อเอาค่าเสียหาย ที่ไม่ฟ้องก็คอยด่าอยู่ในใจ หรือบางทีก็เขียนข้อความด่าทางเฟซบุ๊ก เพราะอิจฉา เราคิดว่าเราเป็นคนโลภ ความอิจฉาเกิดขึ้นกับคนที่ร่ำรวย เห็นคนอื่นเขาร่ำรวย ตัวเองก็จะอิจฉาคนอื่นที่รวยกว่า
ขณะเดียวกันคนที่เขาเห็นว่าเรารวย เขาก็อิจฉาเรา เขาก็หาทางกระแนะกระแหน ดูถูกเหยียดหยาม สรุปแล้ว รวยก็ไม่ได้มีความสุขกว่าเท่าไหร่ อันนี้คือเหตุผลเจ็ดประการที่เขาว่าทำให้ความร่ำรวยเป็นสิ่งที่น่ากลัว อันนี้ก็น่าสนใจ เพราะฝรั่งเขาเขียนเอง เขาสอบถามคนร่ำรวย พวกนักธุรกิจต่างๆ แล้วก็พบว่า จริง ความร่ำรวย ไม่ได้เป็นสิ่งที่หอมหวาน หรือว่าน่า หรือมีสเน่ห์เท่าไหร่ แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คิด ไปมองแต่ภายนอก คนรวย เขาเท่ เขามีความสุข เขาใช้ของดี เขาใช้ของราคาแพง แต่ไม่ได้รู้ว่าข้างในใจเขามีความทุกข์ มีความเคียดแค้นอะไร บางทีก็เจ็บปวดง่ายขึ้น โดยเพราะคนที่ถูกแวดล้อมด้วยคนที่รวยกว่า เขาพบว่าคนที่ถูกแวดล้อมหรือมีเพื่อนที่รวยกว่ามีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากกว่าคนปกติ ประมาณ 10-20 เปอร์เซนต์ อันนี้แสดงว่า มีเงินมากก็ไม่ได้มีความสุขเพราะว่ามันจะอยากมีมากกว่าเรื่อยๆ เห็นคนอื่นเขามีมากกว่าก็อดรนทนไม่ได้ ไม่สบายใจ มีความเครียด ต้องดิ้นรนหาเงินมาให้มาก หาเงินมาให้มากก็เหนื่อย ได้มาแล้วก็ทุกข๋ในการรักษา หรือถ้าไม่ได้มาก็เครียด อันนี้ก็มาเล่าให้ฟังนะว่า จริงๆ แล้ว ความสุขที่ดีกว่าความร่ำรวยก็มี มีมากกว่านั้นมาก แต่คนไม่ค่อยมองเท่าไหร่ เอาหละเตรียมรับพร