แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ที่นี่เรามีทำวัตรเช้าแล้วก็ทำวัตรเย็นเป็นประจำ เป็นโอกาสที่สมาชิกในวัดไม่ว่าจะเป็นพระ ชี โยม สมาชิกเก่า สมาชิกใหม่มาร่วมกันทำกิจกรรมด้วยกัน กิจกรรมที่ร่วมกันทำในวัดนี้ก็มีสองอย่างใหญ่ๆ ก็คือช่วงเวลาทำวัตรกับช่วงเวลาฉันหรือทานอาหาร ช่วงเวลาทานอาหารเราก็มาทานด้วยกัน อันนั้นเป็นเรื่องของอาหารกาย ส่วนการมาทำวัตรแล้วก็ฟังธรรมอันนี้เป็นเรื่องของอาหารใจ คนเราก็ต้องการทั้งอาหารกายและอาหารใจ การที่เรามาทำกิจกรรมร่วมกันไม่ว่าเช้าหรือเย็นอันนี้ก็มีส่วนในการที่ช่วยเสริมกำลังใจในการปฏิบัติ โดยเฉพาะผู้มาใหม่ ที่นี่ก็มีสมาชิกใหม่หมุนเวียนเปลี่ยนหน้าเข้ามาอยู่เป็นประจำ ก็ถือว่าไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่ว่าเป็นมิตรที่เพิ่งรู้จัก
หลายคนที่มาวัดป่าสุคะโตก็มาวัดป่าเป็นครั้งแรก บางคนไม่เคยนอนวัด ไม่เคยค้างวัด การมาวัดป่าสุคะโตสำหรับหลายคนก็เป็นประสบการณ์ครั้งแรก บางคนก็อาจจะมาด้วยความเต็มใจ รู้ว่าจะมาทำอะไรที่วัดหรือว่าจะมาพบอะไรที่วัด แต่บางคนก็ไม่แน่ใจว่าจะมาได้ประโยชน์อะไรบ้างหรือจะมาเจออะไรบ้าง แต่ว่า ถึงแม้จะยังไม่ชัดหรือว่ามีความลังเลก็ขอให้มา มาวันนี้ดีกว่ามาวันหน้า และถึงไม่มาวันนี้อย่างไรวันหน้าก็ต้องมา อาจจะไม่ใช่ที่นี่ แต่อาจจะเป็นวัดอื่น อาจารย์พยอมท่านพูดดี ท่านพูดเตือนใจกระแทกใจได้ดีว่าเราจะมาวัดเองหรือจะรอให้คนอื่นหามเราเข้ามา เราจะสวดมนต์เองหรือว่าเราจะให้พระสวดมนต์ให้ เราจะประนมมือไหว้พระเองหรือว่าจะรอให้สัปเหร่อจับประนมมือให้ อย่างไรก็ต้องมาอยู่แล้ว แต่ว่าจะมาในลักษณะไหน แล้วคิดว่าถ้าเลือกได้เราก็คงจะเลือกมาเอง เดินเข้ามาเองหรือขับรถเข้ามาเอง ไม่ต้องรอให้คนอื่นหามเราเข้ามา เพราะถึงตอนนั้นมันก็สายไปแล้ว เราจะรอไหว้พระเองหรือว่าเราจะให้สัปเหร่อประนมมือเรา เพราะฉะนั้น ถ้าเรามาได้เสียแต่วันนี้ก็มาเลย อย่ารอ
ทีนี้มาทำไม ไม่ได้มาแค่สวดมนต์ แล้วก็ไม่น่าจะมาเพียงแค่มาทำบุญใส่บาตรหรือว่าถวายสังฆทาน วัดมีประโยชน์มีคุณค่ามากกว่านั้นก็คือการมาเพื่อจะได้พบตัวเอง และพบว่าเรามีสิ่งสำคัญลึกซึ้งทรงคุณค่าอยู่ในใจของเรา และสิ่งเหล่านี้สามารถที่จะน้อมนำชีวิตของเราให้มีความสุขได้ ความสุขนี้หลายคนก็คิดว่าจะไปหาเจอที่ห้างสรรพสินค้า ไปหาเอาตามรีสอร์ทตามแหล่งชอปปิง แต่นั่นไม่ใช่ความสุขที่แท้ อาจจะช่วยบรรเทาความเครียดความกลัดกลุ้มของเราได้ก็ชั่วขณะ แต่ว่าไม่มีอะไรที่ได้มาเปล่าๆ ฟรีๆ ความสุขแบบนั้นจะได้มาก็เสียเงินเสียเวลาแล้วก็อาจจะได้พิษภัยกลับมา เช่น ไปกินเหล้าก็เกิดโรคเกิดภัย อาจจะติดเหล้าหรือว่าเกิดเมามายขึ้นมา
จริงๆ ความสุขไม่ต้องหาจากไหน หาจากใจของเรานี่แหละ ที่ใจของเรานี้เป็นเสมือนต้นธารแห่งความสุข แต่ว่าคนไม่ค่อยรู้เพราะว่าไม่ค่อยได้สนใจจิตใจของตัวเอง เราไปคิดแต่การหาเงินหาทอง แสวงหาชื่อเสียงเกียรติยศความสำเร็จและคิดว่าสิ่งนั้นจะทำความสุขให้เราได้ แต่ถ้าเรามองข้ามจิตใจอันนั้นเป็นอันตราย เพราะว่าจิตใจที่ถูกมองข้ามถูกละเลยสามารถจะก่ออันตรายเป็นพิษภัยให้กับเราอย่างคาดไม่ถึง พระพุทธเจ้าตรัสว่าโจรทำร้ายโจรด้วยกันหรือว่าศัตรูทำร้ายศัตรูด้วยกันก็ไม่ก่อความเสียหายหรือความฉิบหายมากเท่ากับจิตที่ฝึกฝนไว้ผิดหรือจิตที่วางไว้ผิด ใจของเราถ้าเราฝึกผิดหรือวางใจผิดก็สามารถจะก่อความพินาศให้กับเรา หรือว่าจะสามารถจะก่อความพินาศเลยไปถึงคนอื่นด้วย เป็นเพราะละเลยจิตใจ ปล่อยให้จิตใจถูกครอบงำด้วยความทุกข์ ปล่อยให้ความเครียดความเศร้ากัดกินใจ หลายคนก็เลยทำร้ายตัวเอง ฆ่าตัวตาย บางทีทำร้ายตัวเองไม่พอก็ยังเอาลูกเมียไปด้วย อันนั้นเพราะความหลงความลืมตัวชั่ววูบหรือความทุกข์ที่มันสะสมกัดกินใจ คนเราไม่จำเป็นต้องลงเอยแบบนั้น ถึงแม้ว่าจะมีปัญหา ถึงแม้ว่าชีวิตจะมีอุปสรรค แต่ปัญหาไม่สามารถทำให้ใจเราทุกข์ได้ถ้าหากว่าเราไม่ไปแบกมัน ปัญหาเขามีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้กลุ้ม คนเราทุกคนก็มีปัญหากันทั้งนั้น แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักแก้มัน ถึงเวลาเราก็แก้ ถึงเวลานอนเราก็นอน วางมันลงได้ ถึงเวลาอยู่กับลูกอยู่กับพ่อแม่ เราก็วางมันลง ใจเราก็อยู่กับพ่ออยู่กับแม่อยู่กับลูกเต็มร้อย ถึงเวลาเที่ยวใจเราก็อยู่กับสถานที่สิ่งแวดล้อมวิวทิวทัศน์เฉพาะหน้า ความกลุ้มอกกลุ้มใจก็ไม่สามารถจะกัดกินใจเราได้ แต่ทุกวันนี้เป็นเพราะว่าเราไม่รู้ทันใจของเรา เราไม่ดูแลจิตใจของเรา ปล่อยให้ความทุกข์เข้ามาครอบงำกัดกินใจ โดยเฉพาะความเครียด แล้วเดี๋ยวนี้ก็มีความกลัวตามเข้ามาด้วย
ได้คุยกับหมอและพยาบาลหลายคน เมื่อเช้านี้ก็มีกลุ่มหนึ่งเพิ่งกลับไป เขาก็ยอมรับว่าทุกวันนี้เวลารักษาคนไข้มีความกลัวเหมือนกับว่าจะหลอกหลอน เพราะกลัวว่าคนไข้จะฟ้อง เกิดอาการตึงเครียด แพทย์จะทำอะไรก็กลัวว่าจะผิดจะพลาด เกิดความเครียด พยาบาลก็เหมือนกัน โดยเฉพาะในห้องคลอดห้องผ่าตัดจะกลัวมาก ไม่ใช่กลัวผิดพลาดเท่านั้น กลัวคนไข้ฟ้อง กลัวญาติฟ้อง ซึ่งก็ทำให้มีความเครียดมาก ในขณะที่เราพยายามช่วยให้เขามีความสุข พ้นจากความทุกข์ แต่เรากลับมีความทุกข์เสียเอง มันไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นก็ได้ ถึงแม้ว่าเราจะทำงานที่เป็นเรื่องความเป็นความตาย เราไม่จำเป็นต้องอาศัยความกลัวคอยบีบคั้นให้เราต้องระมัดระวังจนกระทั่งกลายเป็นความเครียด เพียงแค่เรามีสติอยู่กับสิ่งที่เราทำ เวลาทำอะไรใจก็อยู่กับสิ่งนั้น มีสติกับสิ่งที่เราทำ ถ้าเรามีสติอยู่กับสิ่งที่เราทำเฉพาะหน้า ความเครียดก็เข้ามาครอบงำใจเราไม่ได้ ที่เราเครียดเพราะว่าใจเราไม่มีสติ ใจเราไม่ได้อยู่กับสิ่งที่เราทำข้างหน้า แต่เราไปนึกถึงผลที่จะเกิดขึ้น ไปนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่มีการฟ้องร้องกัน เรื่องราวในอดีตก็คอยหลอกหลอนใจ หรือไม่ก็ไปนึกถึงอนาคตว่าเกิดมีความผิดพลาดขึ้นอะไรจะตามมา อันนี้เรียกว่าใจไม่อยู่กับปัจจุบัน อันนี้เรียกว่าเผลอไปแล้ว ไม่มีสติ เพราะเมื่อใดก็ตามที่ใจไม่มีสติมันก็จะไหลไปอดีตบ้างลอยไปอนาคตบ้าง แต่ถ้าเรามีสติอยู่กับงานที่เราทำมันจะไม่มีความเครียดไม่มีความกังวล มันจะมีแต่ความนิ่ง แต่เป็นความนิ่งที่ไม่ใช่หลับ นิ่งที่เป็นความตื่นและเป็นความโปร่งเบา อันนี้เป็นพลังของสติ เป็นอานุภาพของสติที่พวกเรายังรู้จักกันน้อย แต่ว่าเราสามารถจะทำให้เกิดมีได้เพราะว่าสตินั้นก็มีอยู่แล้วในใจเรา การมีสติกับงานการ พูดง่ายๆ ก็คือการเอาใจใส่ลงไปในงานนั้น ไม่ใช่ใจเหม่อลอยไปที่โน่นที่นี่ เอาใจใส่ลงไปงานนั้นก็จะกลายเป็นงานที่ดีและก็จะมีคุณภาพเท่าที่เราจะสามารถทำได้ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเครียด งานก็มีคุณภาพได้เมื่อเรามีสติ เอาใจใส่ลงไปในงาน
เมื่อ 2-3 เดือนก่อนได้ไปที่ประเทศฮอลแลนด์ แล้วก็ไปพักกับคนไทยโยมคนหนึ่ง ฐานะก็พอใช้ได้ แต่ว่าอยากจะทำงานอดิเรกคือเปิดร้านอาหารแบบอาหารไทยง่ายๆ เป็นอาหารที่ใส่ห่อไปกินที่บ้านได้ แกเวลามาเมืองไทยก็คอยศึกษาตามร้านอาหารต่างๆ ที่ทำอาหารแล้วอร่อย มีร้านหนึ่งเป็นร้านข้าวขาหมูแถวแจ้งวัฒนะ แกติดใจมากเพราะว่าร้านนี้ฝีมือดี ก็คอยสังเกตว่าเจ้าของร้านคือผู้ปรุงอาหารเรียกว่าเป็นอาม่าแกปรุงอาหารอย่างไร ก็ศึกษาแล้วก็คอยสังเกต แต่ก็รู้สึกว่ายังไม่รู้เคล็ดลับมากพอ ไปมาหลายครั้งแล้ว วันหนึ่งก็เลยไปถามตรงๆ ว่าอาม่าทำอาหารอร่อยได้อย่างไร ข้าวขาหมูนี้ใส่อะไรลงไป แกตอบสั้นๆ ว่าอั๊วะใส่ใจ ใส่ใจลงไป สำคัญมากเลย จะใส่อย่างอื่นก็ตาม ถ้าไม่ใส่ใจลงไปมันก็ไม่อร่อย แล้วแกก็จำไว้เลย โยมคนนี้ก็จำเลย ใส่ใจลงไป ก็ไปเปิดร้านที่บ้านอูเทรค(Utrecht) ก็ขายดีถึงจะทำเล่นๆ เปิดเฉพาะตอนเย็น 3-4 ชั่วโมง
ทำอะไรก็ตามถ้าไม่ใส่ใจลงไปมันก็ไม่มีคุณภาพ อันนี้ไม่ใช่เฉพาะอาหาร แม้แต่เรื่องงานบริการ ใจก็สำคัญ มีผู้หญิงคนหนึ่งแกเล่าว่ามีช่วงหนึ่งของชีวิตที่รู้สึกแย่ วันหนึ่งประมาณตอนบ่ายก็โทรศัพท์ไปนัดกับช่างทำผม ช่างคนนี้ทำเก่งแล้วก็มีลูกค้าเยอะ แต่ว่าแกก็จัดเวลาให้ เรียกว่าลัดคิว เพราะว่าผู้หญิงคนนี้บอกว่ามีธุระด่วนตอนเย็น แกก็เลยจัดคิวให้มาทำในตอนบ่ายแก่ๆ พอลูกค้ามา ช่างแต่งผมคนนี้แกก็ทำผมให้ด้วยความใส่ใจมาก ระหว่างที่ทำก็พูดคุย พูดถึงว่าผมคุณสวย ระหว่างที่ทำเขาก็ใส่ใจไม่ใช่กับผมเท่านั้น ใส่ใจลูกค้า พูดคุยทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ เขาก็ทำอยู่ประมาณสัก 45 นาทีแล้วเขาก็ไป ประมาณ 3-4 วันต่อมาช่างตัดผมก็ได้จดหมายจากลูกค้าคนนี้ ลูกค้าคนนี้เขาบอกว่าคุณรู้ไหมที่ฉันมาทำผมนี้ก็เพราะว่าฉันตั้งใจจะฆ่าตัวตายเย็นวันนั้น แล้วฉันอยากจะตายในรูปลักษณ์ที่สวยที่สุด เมื่อจะตายทั้งทีก็ขอให้ตายในบรรยากาศที่ดีที่สุด แต่ว่าพอได้มาเจอช่างแต่งผมคนนี้แกดูแลเอาใจใส่ แกถาม คุณให้กำลังใจฉัน คุณสัมผัสผมฉันอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน มันทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันมีคุณค่าขึ้นมาใหม่ เป็นคนสำคัญ แล้วทำให้ความคิดที่จะฆ่าตัวตายก็เลยเลิก กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ก็เลยเขียนจดหมายมาขอบคุณช่างแต่งผมคนนี้ ช่างแต่งผมคนนี้ก็ตกใจ เพราะว่าตอนที่ทำผมก็ไม่ได้คิดอะไร เธอก็ทำอย่างที่เคยทำกับคนก่อนๆ แต่ทำด้วยความใส่ใจ เมื่อใส่ใจก็จะเห็นแง่งามของลูกค้าแต่ละคนๆ และการพูดชมลูกค้าก็ไม่ใช่พูดเอาใจ แต่ว่าเกิดจากมุมมองที่เธอได้เห็นด้านดีของลูกค้า
อันนี้ก็เป็นตัวอย่างว่าคนเราเมื่อเราตั้งใจทำอะไรแล้วทำด้วยความใส่ใจ ไม่ใช่ทำรีบๆ หรือว่าไม่ใช่ทำเพราะกลัว ไม่ใช่ทำเพราะว่าอยากจะได้เงิน แต่เพราะว่าเห็นคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองทำ แล้วก็มีใจใส่ลงไปเต็มที่ มันก็กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่คนอื่นเขาสามารถจะรับรู้ได้ แล้วเราเองซึ่งเป็นผู้ทำก็จะพลอยมีความสุขด้วย การฝึกใจของเราให้สามารถที่จะมีสติอยู่ในสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเล็กน้อยแค่ไหน มันจะมีคุณค่าทั้งกับคนอื่นแล้วก็กับเราเอง อาตมาเชื่อว่าถ้าหากว่าเราดูแลรักษาใครด้วยใจที่มีสติ เขาก็สามารถจะรับรู้ได้ถึงใจของเรา ความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันหรือความระแวงต่อกันก็จะน้อยก็จะหมดไป
การเจริญสติเป็นเรื่องสำคัญ ช่วยทำให้ใจเรามีความอบอุ่น ช่วยรักษาใจของเราไม่ให้ทุกข์ ถ้าว่าไปแล้วที่ใจของเราทุกข์ก็เพราะใจของเราระหกระเหิน ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไร ความเครียดความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับใจของเราเป็นเพราะว่าใจเราไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ใจที่ระหกระเหินก็จะนำพาความทุกข์มาให้ อย่างน้อยๆ ก็รู้สึกเหนื่อยล้า เหนื่อยล้าเพราะความคิด เหนื่อยล้าเพราะความวิตกกังวลจนนอนไม่หลับ
จะว่าไปแล้วการเจริญสติก็ไม่ต่างจากการหาบ้านให้กับใจของตัวเอง ใจเราเหมือนกับเด็กใจแตกหรือคนไร้บ้าน มันระหกระเหิน พวกเราถ้าหากว่าใครเคยเป็นคนไร้บ้านหรือไม่มีบ้านอยู่จะรู้สึกว่ามันว้าเหว่เหนื่อยล้า ใจของเราก็อย่างนั้นเหมือนกัน มันท่องเที่ยว ทีแรกก็สนุกเพราะว่าการฝันกลางวัน การใจลอยมันก็เป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง แต่บ่อยครั้งมันไม่ใช่ไปนึกถึงสิ่งที่สวยงาม มันไปนึกถึงสิ่งที่เจ็บปวดย่ำแย่ นึกถึงงาน นึกถึงภาระ เสร็จแล้วก็เอาความทุกข์กลับมา ใจที่ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ มันก็ระเหเร่ร่อนแล้วก็ระหกระเหิน สุดท้ายก็กระเซอะกระเซิงเหนื่อยล้า แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักหาบ้านให้ใจ ใจเราจะอบอุ่น ใจเราจะได้พัก ใจเราจะได้ผ่อนคลาย และบ้านก็จะช่วยปกป้องไม่ให้เกิดอันตราย พายุมา ฝนฟ้ามา ก็มีบ้านคอยให้ที่พักพิง
ถามใจของเราเองว่ามีบ้านหรือยัง ถามตัวเองว่าเรามีบ้านให้ใจหรือยัง หรือว่าปล่อยใจให้ตากแดดตากฝน ทุกข์ร้อน บ้านของใจก็ไม่ใช่อะไรเลย ก็คือกายนั่นแหละ บางคนก็เอาลมหายใจเป็นบ้านของใจ หรือเราจะเอากาย เวลาเรายกมือสร้างจังหวะ เวลาเดินจงกรม อันนั้นไม่ใช่รูปแบบ อันนั้นคือการฝึกให้ใจกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ให้กายเป็นบ้านของใจ แล้วเมื่อใจอยู่กับกายมันก็เกิดความรู้เนื้อรู้ตัวขึ้น แล้วเกิดความอบอุ่น อย่างเวลานี้ตอนนี้ถ้าหากว่าใจเราอยู่กับเนื้อกับตัว เราก็จะไม่รู้สึกเครียด ไม่รู้สึกกังวล ไม่รู้สึกวิตกอะไรเลย แต่ถ้าใจเราเผลอออกไปคิดถึงงาน คิดถึงลูก คิดถึงพ่อแม่เมื่อไร จะเกิดความกังวล เกิดความเศร้า เกิดความกลัว เกิดความวิตก หรืออาจจะเกิดความโกรธก็ได้เวลานึกถึงใครบางคนที่เขาทำไม่ดีพูดไม่ดีกับเรา คำถามคือคิดไปทำไม คิดไปแล้วได้อะไร แต่ใจก็ยังไม่ยอมที่จะอยู่กับเนื้อกับตัว แต่ถ้าเราฝึกให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัว เอากายนี่แหละเป็นบ้านของใจ ใจเราก็จะอบอุ่น เมื่อเราปฏิบัติเราก็จะเริ่มรู้ว่ากายเป็นบ้านของใจที่ดีได้ เอาใจมาอยู่กับกาย เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกัน เกิดความสามัคคีกัน มันก็จะเกิดความรู้เนื้อรู้ตัว เกิดความตื่นขึ้นมา แล้วก็เกิดความเบา แต่ว่าใจก็คอยไม่อยู่กับบ้านเท่าไร ใจก็ชอบท่องเที่ยวจนกระทั่งหายไปก็มี ตกหล่นหายไป เราก็ต้องหาใจให้เจอ คนเราไม่ค่อยทำใจหล่นหายไปให้มันจมอยู่ในความทุกข์ จมอยู่ในความเครียด แต่ก็ไม่ค่อยที่จะพาใจกลับมา หาบ้านให้ใจแล้วก็ต้องหาใจให้เจอด้วย อย่าปล่อยให้หล่นหายไปหรือว่าหลงทาง ใจเราหลงทางวันหนึ่งหลายครั้ง บางคนหลงจนกระทั่งกลับมาไม่ได้ก็กลายเป็นบ้าไป
เราต้องฉลาด เราต้องไวในการหาใจให้เจอและพาใจกลับบ้าน ถ้าเรารู้วิธีในการพาใจกลับบ้าน เริ่มต้นด้วยการไม่ปล่อยให้ใจตกหล่นหายไปไหน หาให้เจอแล้วกลับมา การปฏิบัติก็คือการฝึกให้เรามีความเร็วในการหาใจเจอโดยที่ไม่ปล่อยให้มันพลัดตกหล่นไปในปลักแห่งความทุกข์ แล้วต่อไปใจเขาก็จะไว เขาก็จะรู้ เขาจะไม่หลงง่ายๆ เวลาใจมันพลัดหลงไปในอดีตบ้างลอยไปในอนาคตบ้างเขาก็จะรู้ตัวขึ้นมาทันทีแล้วกลับมาเพราะว่าได้รับการฝึก ถ้าเราไม่สนใจเรื่องนี้ เราไม่สนใจจิตใจของเราเลย ใจของเราก็จะระหกระเหินแล้วจมอยู่ในความทุกข์วันแล้ววันเล่า เวลาทำงานก็ไม่มีความสุข เวลาอยู่กับบ้านก็ไม่มีความสุข ใจมันแบกทุกข์ตลอดเวลา จมอยู่ในห้วงอารมณ์ สิ่งเหล่านี้การเที่ยวหรือว่าการสนุกสนานมันก็ไม่ได้ช่วยเท่าไร พระพุทธเจ้าตรัสว่าจิตที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้ เป็นสุขที่ยั่งยืน เป็นสุขที่ไม่มีพิษไม่มีภัย สุขอย่างอื่นมันมีพิษมีภัย สุขจากการเที่ยวการเล่น สุขจากการขับรถซิ่ง สุขจากการกินเหล้าเมายาหรือสุขจากการที่ได้ไปเที่ยวเมาหัวราน้ำ อันนี้เต็มไปด้วยพิษภัย หรือแม้แต่สุขจากการกินโน่นกินนี่มันก็เป็นของชั่วคราว แม้แต่ไปดูหนังฟังเพลงมันก็สุขประเดี๋ยวประด๋าว แต่ถ้าเราสามารถจะฝึกใจของเราให้มีสติ ให้รู้จักกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เอาปัจจุบันเป็นบ้านหรือเอากายเป็นบ้าน จิตเราก็จะนิ่ง จิตเราก็จะตื่น เวลาทำงานก็ทำงานอย่างมีความสุข เวลาอยู่กับใครก็อยู่กับเขาด้วยใจเต็มร้อย อยู่กับลูก ลูกก็มีความสุขที่จะอยู่กับเรา ไม่ใช่ว่ารำคาญที่จะอยู่กับเราเพราะเราคอยบ่นชอบบ่นชอบจ้ำจี้จ้ำไช เราทำอย่างนั้นเพราะเราไม่รู้ตัว เพราะว่าเราเครียด เครียดจากงาน เสร็จแล้วพอมาถึงบ้านก็วางไม่ได้ ความเครียดก็สั่งให้เราระบายความทุกข์ใส่คนอื่น แล้วเราก็ทำ บางทีก็ระบายใส่พ่อแม่ใส่คนรัก เสร็จแล้วก็มาเสียใจ
ฉะนั้น ถ้าเราเห็นว่ามันไม่ควรจะเกิดกับชีวิตของเรา ชีวิตของเราควรจะมีควรจะเจอสิ่งที่ดีกว่านี้ ควรจะทำอะไรที่ดีกว่านี้ เกิดมาทั้งทีก็ควรจะมีความสุข ไหนๆ มีอาชีพที่ช่วยเหลือคนให้พ้นจากความทุกข์แล้วเราก็ต้องมีความสุข ไม่ใช่ว่าช่วยให้เขาสุขแต่เราทุกข์ อันนั้นก็เสียโอกาส
เพราะฉะนั้น การที่เรามาวัดถ้าเรารู้จักหาโอกาสมาฝึกใจของเรา ไม่ใช่แค่มาทำบุญ ไม่ใช่แค่มาสวดมนต์เท่านั้น แต่มาฝึกใจให้มีสติ ให้มีความตื่นรู้ หรือพูดอีกอย่างก็คือว่าให้ใจเรามีบ้าน มีบ้านที่แท้จริง มีบ้านที่อบอุ่น ไม่ใช่มีแต่บ้านคุ้มกายแต่ว่าบ้านของใจไม่มีเลย อันนั้นมันก็เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างเหลือเกิน เกิดมาทั้งทีก็ควรจะได้สิ่งดีๆ จากชีวิต ไม่ใช่ว่าต้องทุกข์ไปกับการทำงาน ทุกข์ไปกับครอบครัว จนกระทั่งหาความสุขไม่ได้