แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในสมัยพุทธกาลมีพราหมณี หมายถึงพราหมณ์ผู้หญิงหรือเมียของพราหมณ์ ชื่อ ธนัญชานี เป็นคนที่มีฐาดี และชีวิตของเธอก็รู้สึกว่าราบรื่น เธอก็เลยคิดว่าเราเองเป็นคนเก่ง สามารถรักษาใจไม่ให้ทุกข์ร้อน ไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจเลย ก็หลงภูมิใจในตัวเอง แล้วก็ไปเล่าไปอวดให้ใครต่อใครฟังว่าฉันแน่ ฉันรักษาใจได้ดี ก็มีนางทาสีคนหนึ่ง (นางทาสีคือนางทาส)ได้ยินแล้วก็คงอยากจะลองของ วันหนึ่งก็เลยแกล้งนอนตื่นสาย พอนอนตื่นสายก็ไม่มีใครมาตักน้ำให้นางพารหมณีได้แล้วหน้า จะเช็ดตัว นางตื่นขึ้นมาไม่มีน้ำล้างหน้าก็ไม่พอใจ ถึงกับโกรธ และด่าว่านางทาสีว่าทำไมตื่นสายไม่รู้จักหน้าที่ของตัวหรือไง ก็เรียกว่าน็อตหลุดเลย นางทาสีก็เลยชี้ให้นางธนัญชานีได้รู้ว่า อันที่จริงที่ว่าเธอไม่มีอะไรทุกข์ร้อน มันไม่ใช่เป็นเพราะว่าตัวเองเก่งอะไรหรอก แต่เป็นเพราะว่าทุกอย่างรอบตัวมันราบรื่นและก็มีคนมีบริษัทบริวารรับใช้ดูแลเธออย่างดี ถ้าหากว่ามันเกิดมีอะไรขลุกขลักขึ้นมานิดหน่อยเธอก็เสียศูนย์ทันที
หลายคนก็เป็นอย่างนี้ ก็คือว่า พอชีวิตราบรื่น แล้วก็รู้สึกว่าสุขสบายดี ก็นึกว่า ฉันนี่เก่ง ฉันนี่แน่ คนเหล่านี้เวลามีคนชวนไปปฏิบัติธรรม เขาก็ไม่เห็นว่ามันจะจำเป็นตรงไหนเลย เพราะว่าฉันก็สบายดีอยู่แล้ว แล้วก็ฉันก็ดูแลจิตใจของฉันให้ดีอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องไปปฏิบัติธรรมเลย ฉันก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ไปปฏิบัติธรรมทำไม คนเหล่านี้อาจจะไม่ตระหนักว่าในที่ตัวเองยังสบายดีอยู่ มันก็เป็นเพราะว่าทุกอย่างในชีวิตยังราบรื่น ใครต่อใครที่แวดล้อมก็ยังเอาอกเอาใจ หรือว่ายังเชื่อฟัง แต่เมื่อไรก็ตามที่เกิดมีความผิดปกติขึ้นมาในชีวิตของตัว เช่น อาจจะเจ็บป่วย หรือว่าทรัพย์สมบัติสูญเสียไป หรือไม่ต้องอะไร เพียงแค่ว่างานการล้มเหลว ที่เคยสำเร็จทุกเรื่องทุกราวมันก็เกิดอุปสรรคขึ้นมา ล้มพังครืนลงมา หรือว่าแฟนเกิดปันใจไปให้คนอื่นหรือว่าทิ้งตัวเองไป พอเจอเรื่องแบบนี้เข้าก็เสียศูนย์ทันที ทุกข์ระทมเศร้าโศก อาจจะถึงกับตีโพยตีพายว่าทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเป็นฉัน ถึงตอนนั้นอาจจะสายเกินไปที่จะทำอะไรได้ อันที่จริงไม่ว่าคนเราเกิดวิกฤติในชีวิตแค่ไหนไม่มีคำว่าสายต่อการแก้ไข แต่ว่าข้อสำคัญก็คือว่าอย่าประมาท ชีวิตของเราวันนี้ยังสุขสบายดีอยู่ไม่ได้แปลว่าพรุ่งนี้จะยังสุขสบายเหมือนวันนี้ เพราะว่าวันนี้กับพรุ่งนี้มันไม่เหมือนกัน แม้แต่สีของท้องฟ้า หรือว่าภูมิอากาศ อุณหภูมิก็ไม่เหมือนกัน วันนี้มันมีเมฆครึ้ม พรุ่งนี้ก็อาจจะมีแสงแดดจ้า
ชีวิตของเราวันนี้สุขก็ไม่ได้แปลว่าพรุ่งนี้จะยังสุขเหมือนเดิม อะไรๆ ก็แปลเปลี่ยนไปได้ ตัวเราอาจจะเหมือนเดิมแต่คนอื่นไม่เหมือนเดิม วันนี้เขาเชื่อฟังเรา เขาทำตามใจของเรา พรุ่งนี้เขาอาจจะขัดขืน ต่อต้าน หรือว่าปฏิเสธคำสั่งของเราก็ได้ วันนี้ร่างกายเรายังทำงานได้ปกติ แต่ว่าพรุ่งนี้อวัยวะบางส่วนอาจจะเสียไป แค่เสียไปอย่างเดียวหรือว่าทำงานไม่ปกติ แค่เสียอย่างเดียวนี่ก็อาจจะทำให้ล้มป่วยหรือว่าถึงตายได้ คนเราถ้าหากเผื่อใจไว้บ้างว่าพรุ่งนี้ก็อาจจะมีเรื่องพลิกผัน อาจจะเจ็บป่วย อาจจะพลัดพราก อาจจะสูญเสีย หรือว่าชีวิตอาจจะผันผวน เราต้องถามตัวเองว่าเราพร้อมไหม ถ้าหากว่ามันเกิดแปรปรวนขึ้นมา
คนส่วนใหญ่ประมาท เพราะคิดว่าพรุ่งนี้ก็ยังเหมือนวันนี้ หรืออาจจะคิดต่อไปว่าอาจจะมีความขลุกขลักบ้าง แต่ว่าเอาอยู่ อันนี้ก็อาจจะประมาทก็ได้ เพราะว่าพอเกิดขึ้นจริงๆ ก็ทำใจไมได้ ตีโพยตีพาย แต่ถ้าเราเผื่อใจไว้สักหน่อยว่า เออ วันหน้ามันจะไม่เหมือนวันนี้ วันนี้สุขพรุ่งนี้อาจจะทุกข์ วันนี้สบาย พรุ่งนี้อาจจะเจ็บป่วย พรุ่งนี้มีกินมีใช้ แต่พรุ่งนี้ก็อาจจะลำบาก เมื่อตระหนักเช่นนี้มันก็ต้องถามตัวเองว่า ทำไงถึงจะเตรียมตัวรับมือกับมัน การสะสมเงินทองเอาไว้อันนี้ก็ช่วย ก็ช่วยได้ดี สะสมเงินทองเอาไว้รับมือยามเจ็บไข้ ยามสูญเสีย ยามพลิกผัน บางคนก็อาจจะไปทำประกัน อันนี้ก็เป็นการเตรียมพร้อมอย่างหนึ่ง แต่ว่าแค่นั้นไม่พอ อันนั้นเป็นแค่เตรียมทรัพย์ มันต้องเตรียมตัวหรือเตรียมใจด้วย
การมาปฏิบัติธรรม ก็เป็นการเตรียมใจไปอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ว่ามีความทุกข์เสียก่อนแล้วถึงจะมาปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ว่าจะต้องอกหักหรือว่าสูญเสียคนรัก หรือว่าป่วยเป็นมะเร็งเสียก่อนถึงมาปฏิบัติธรรม ถึงแม้ว่ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ชีวิตยังราบรื่น ก็ควรที่จะมาปฏิบัติธรรมเพราะเหตุผลอย่างที่ว่ามา อะไรๆ ก็ไม่แน่ เตรียมตัวไว้ก่อน
มันมีคำพูดว่ายามสงบเราฝึกยามศึกเรารบ เป็นคำขวัญสำหรับทหาร ในแง่ที่ว่าในยามที่ยังไม่มีศึกสงครามก็ต้องฝึกฝนเอาไว้ก่อน ในยามปกติคือการฝึกฝนสำหรับการเตรียมตัว พวกเราไม่ใช่ทหาร เราไม่เจอศึกสงครามที่เป็นอริราชศัตรูก็จริง แต่ว่าเราจะต้องเจอสงครามชีวิต สงครามชีวิตมันหมายถึงว่าจะต้องเจอกับอุปสรรคที่อาจจะถาโถมเข้ามา อาจจะมาแค่ครั้งสองครั้ง หรืออาจจะมาเป็นกองทัพเลยก็ได้ ในขณะที่มันยังไม่มา เราก็ต้องใช้โอกาสที่มีอยู่ ใช้โอกาสที่มันราบรื่นฝึกฝนเอาไว้ ไม่ใช่นั่งเล่นนอนเล่น ไม่ใช่เสพสุข หรือว่าใช้ชีวิตไปตามปกติธรรมดา
แม้เราอาจจะยังไม่เจ็บไม่ป่วย อาจจะยังไม่แก่และแน่นอนยังไม่ตาย แต่ก็ต้องระลึกอยู่เสมอว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ เรามีความตายเป็นธรรมดาจะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ เราจะต้องพลัดพรากไปจากของชอบใจทั้งนั้น
ถ้าคิดเผื่อตรงนี้ไว้บ้างหรือว่าระลึกถึงตรงนี้อยู่เสมอ มันก็จะทำให้เราขวนขวายในการที่จะเตรียมตัวและก็เตรียมใจ เตรียมตัวนอกจากการทำประกันภัยแล้วบางคนก็จะนึกถึงการทำบุญทำกุศล ใส่บาตรทุกวัน หรือว่ามาถวายสังฆทาน เข้าพรรษาก็มาถวายเทียนพรรษา 9 วัด สงกรานต์หรือว่าปีใหม่ก็ทำบุญ เข้าพรรษาวันศีลวันพระก็จำศีลหรือว่าถือศีลอุโบสถ อันนี้ก็ดีอยู่แต่ว่ามันยังไม่พอ การให้ทาน การรักษาศีล เราเรียกรวมๆ ว่า การทำดี ทำดีนี่ยังไม่พอ มันต้องฝึกใจด้วย
คำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมี 48,000 พระธรรมขันธ์ เยอะแยะไปหมด ถ้าจะสรุปก็มีสาม ก็คือ ไม่ทำความชั่ว ทำความดี และทำจิตให้ผ่องใส หรือว่าฝึกจิตให้ขาวรอบ คนส่วนใหญ่ไปเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าสอนแค่สอง คือ ละชั่วทำดี ก็เลยคิดว่าพระพุทธศาสนาก็เหมือนกับศาสนาอื่น ละชั่วทำดี แต่ที่จริงยังมีข้อสาม คือว่าการชำระจิตของตนให้ขาวรอบ หรือว่าการฝึกจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
ถ้ามัวแต่ทำความดีสร้างบุญสร้างกุศลแล้วก็ไม่ฝึกจิตความทุกข์ก็อาจจะลดน้อยลง น้อยกว่าคนที่ไม่ให้ทาน ไม่รักษาศีล หรือว่าไม่ทำความดี แต่ว่าความดีมันก็ไม่ใช่หลักประกันว่าเราจะปลอดทุกข์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะคนทำดีหรือคนดีก็มีความทุกข์ของเขา อาจจะไม่ใช่ทุกข์เพราะเมา ทุกข์เพราะว่าไปเจ้าชู้ แต่ทุกข์เพราะว่าทำดีแล้วไม่มีคนเห็น ทำดีแต่ว่าเจ้านายเขาไม่ยอมรับ หรือทำดีแต่ถูกคนนินทา ทำดีแค่ไหนก็ต้องมีคนนินทา ทำดีแค่ไหนก็มีคนปองร้าย ขนาดพระพุทธเจ้าก็ยังมีคนลอบเอาชีวิต ลอบฆ่า ไม่ใช่แค่ใส่ร้ายแต่ว่าลอบฆ่าเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่พระองค์ก็ไม่เคยพูดร้ายหรือไม่เคยทำร้ายใคร แต่สิ่งที่พระองค์ทำอาจทำให้บางคนเสียผลประโยชน์ อันนี้เขาก็เลยมุ่งร้ายหมายปองชีวิต
พวกเราเป็นปุถุชนคนธรรมดา ก็ย่อมมีคนรักและมีคนชัง มีคนไม่เข้าใจ แม้จะทำความดีแค่ไหนก็มีคนไม่เห็นด้วย มีคนเข้าใจผิด งั้นทำดีแต่ว่าไม่ฝึกใจไว้เลยพอมีคนนินทา พอมีคนใส่ร้ายก็ย่ำแย่ เสียศูนย์ไปเลย โกรธ โมโห อาละวาด
ทำดีแล้วก็ยังต้องเจ็บต้องป่วย ไม่ใช่ว่าทำดีแล้วจะไม่เจ็บไม่ป่วย ทำบุญให้ทานแค่ไหนก็ยังต้องเจ็บต้องป่วยไม่วันใดก็วันหนึ่ง และยังไงก็ต้องเจอความสูญเสีย อย่างต่ำๆ ก็พ่อแม่ หรือว่าหนักกว่านั้นคือลูก ลูกก็ควรจะไปทีหลังพ่อแม่ แต่ว่าบางครั้งลูกก็ไปก่อนพ่อแม่ คนรักอีกต่างหาก สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
การทำความดียังไม่มากพอที่จะช่วยให้เราจิตใจเป็นปกติได้ ไม่ทุกข์ เมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านั้น แต่สิ่งที่จะช่วยได้คือการฝึกจิต ฝึกจิตให้มั่นคง ฝึกจิตให้ไม่หวั่นไหวในยามที่เจอเหตุการณ์เหล่านี้ สามารถจะมีภูมิคุ้มกันรักษาใจไม่ให้ทุกข์ได้เมื่อเจอพายุกระหน่ำ
ทำได้ไม่ใช่ว่าจะต้องให้ทุกอย่างเรียบร้อยชีวิตเลิศเลอเพอร์เฟคเราถึงจะไม่ทุกข์ ถึงแม้ชีวิตจะผันผวนปรวนแปร ใจก็ไม่ทุกข์ได้ ทุกข์ใจมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีใครทำอะไร เรามีอุปสรรคหรือว่ามีความลำบาก ถึงแม้ว่าทุกอย่างราบรื่นปกติก็ทุกข์ใจได้เพราะว่ามันยังดีไม่พอ เงินเดือนยังไม่มากพอ ขนาดเป็น ผอ. เป็นผู้จัดการก็ยังทุกข์ เพราะว่าอยากเป็นผู้จัดการในบริษัทที่ดังกว่าเด่นกว่า อยากมีรถประจำตำแหน่ง อยากมีรถใหญ่กว่า อยากมีเงินเดือนมากกว่า
ทุกข์ใจนี่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าอะไรต่ออะไรจะมีปัญหาหรือเปล่า ชีวิตปกติก็ยังทุกข์ใจ ทางตรงข้ามแม้ชีวิตไม่ปกติแต่ใจสามารถจะสุขได้ ที่จริงถ้าเราฝึกใจดีไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นใจเราก็เป็นปกติได้ และเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าชีวิตของเราแม้มันจะไม่เจ็บไม่ป่วย แม้จะไม่เกิดอุปสรรคต่างๆ ที่รุนแรง แต่มันก็มีสิ่งที่คอยจะขัดอกขัดใจอยู่เป็นประจำ สิ่งที่ไม่ถูกใจเราก็เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ถ้าเราวางใจไม่เป็นมันก็จะทำให้เกิดผลเสียหายตามมาได้มากมาย
มีเรื่องเล่าว่าครอบครัวหนึ่งมีพ่อแม่ลูก ลูกเป็นลูกสาวอายุประมาณสิบขวบ เช้าวันหนึ่งก็มากินข้าวด้วยกันก่อนจะไปทำงาน คุยกันอยู่ดีๆ ลูกสาวเกิดทำแก้วน้ำตกใส่พื้นแตก พ่อก็โมโหก็ว่าลูกอย่างแรง ลูกก็ร้องไห้ แม่ก็เลยต่อว่าสามี สามีก็เลยมาทะเลาะกับภรรยา พ่อทะเลาะกับแม่ มีปากเสียงกันพักใหญ่ ส่วนลูกก็ร้องไห้อยู่นั่นแหละ ปรากฎว่ากว่าที่จะรู้ตัวมันก็เลยเวลาที่จะพาลูกไปโรงเรียน เลยเวลาที่จะขับรถไปทำงานแล้ว พ่อก็เลยรีบเก็บข้าวเก็บของใส่กระเป๋า เอกสารต่างๆ ที่ยังวางกองอยู่บนโต๊ะก็ต้องรีบเก็บใส่กระเป๋า แล้วก็รีบพาลูกไปโรงเรียน กรุงเทพฯ ถ้าออกช้าไปห้านาทีก็ทำให้ล่าช้าไปอีกยาวเลย รถติดยาวเป็นกิโลเลย ปรากฎว่าไปส่งลูกช้า ลูกก็ถูกครูลงโทษเพราะโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่เข้มงวด ส่วนตัวเองก็ไปที่ทำงานช้า เจ้านายเห็นเจ้านายก็เขม่นเลยเพราะว่าเช้านั้นมีประชุมสำคัญ พอถึงเวลาประชุมลูกค้าก็มารอ ตัวเองจะต้องไปพรีเซนต์ ทำบริษัทโฆษณาไปพรีเซนต์ผลงาน แผนการรณรงค์โฆษณา ปรากฎว่าลืมเอาเอกสารสำคัญมา การประชุมก็เลยล้มเหลว เจ้านายก็เลยต่อว่าเขาก็เลยหัวเสีย บ่ายวันนั้นก็เลยไม่เป็นอันทำงานเลย หงุดหงิดตลอด เพื่อนมากระเซ้าเย้าแหย่ก็ด่าเพื่อน ก็ทะเลาะกัน เป็นอันว่าวันนั้นทำงานไม่ได้เลย เลิกงานก็หัวเสีย ขับรถปรากฎว่าเกิดเฉี่ยวกันขึ้นมา ก็เลยต้องรอประกัน รอประกันก็เสียเวลาเป็นชั่วโมง รถตัวเองก็แย่ รถคนอื่นก็เสียหายไปเยอะ กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำ พอถึงบ้านเห็นหน้าภรรยาก็โวยวายใส่ภรรยา ก็เลยทะเลาะกันอีกรอบ ลูกก็ทนไม่ไหวรีบกลับเข้าห้องร้องไห้ เป็นอันว่าคืนนั้นไม่มีใครนอนหลับอย่างมีความสุขเลย
คราวนี้เกิดว่าเราลองพิจารณาดูดีๆ ว่า สำหรับสายตาคนทั่วไปทุกคนก็มองว่าวันนี้เป็นวันซวยของผู้ชายคนนี้ เพราะว่ามีแต่เรื่องเดือดร้อนตลอด ถามว่ามันเริ่มต้นตรงไหน เราก็อาจจะคิดว่ามันเริ่มต้นตรงที่ว่าลูกทำแก้วน้ำตก พอทำแก้วน้ำตกก็เลยเกิดความซวยต่อเนื่องมาเป็นลูกโซ่ แต่ที่จริงลูกทำแก้วน้ำตกมันยังไม่ใช่เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหา จุดเริ่มต้นมันอยู่ตรงที่ว่าพ่อห้ามใจไม่อยู่ พ่อโกรธแล้วก็ว่าลูก มันก็เลยทำให้เกิดการทะเลาะกันในบ้าน แต่สมมุติว่าเราลองสมมุติใหม่ว่าลูกทำแก้วน้ำตกแล้วพ่อมีสติใจเย็น อาจจะไม่พอใจแต่ว่าสะกดอารมณ์ไว้ได้ หรือว่ารู้ทันว่าใจกำลังโกรธแล้วก็ทำให้ใจปกติได้ ก็ไม่มีการต่อว่าลูก อาจจะมีการแค่แนะนำลูกว่าให้กินอาหารอย่างระมัดระวัง ถือแก้วน้ำก็ให้มีสติ ถ้าแนะนำแบบนี้ลูกก็ไม่ร้องไห้ ภรรยาก็ไม่มาทะเลาะกับตัวเอง ถึงเวลาจะพาลูกไปโรงเรียน ถึงเวลาจะไปทำงานก็เดินไปเก็บเอกสารบนโต๊ะทำงาน เนื่องจากไม่เร่งรีบก็เลยเก็บได้ครบถ้วน ได้เวลาก็พาลูกไปโรงเรียนก็ถึงโรงเรียนตรงเวลา ลูกก็ไม่ต้องถูกครูว่าถูกครูลงโทษ ส่วนตัวเองก็สามารถไปถึงที่ทำงานได้ทันเวลา ถึงเวลาประชุมกับลูกค้าเอกสารที่เตรียมมาก็ครบ การประชุมก็สำเร็จ เจ้านายก็ชมตัวเองก็พลอยยินดีไปด้วย ตอนบ่ายก็ทำงานก็ทำงานได้อย่างมีความสุข เพื่อนมาหยอกล้อก็หยอกล้อกลับ ถึงเวลาเลิกงานก็ขับรถได้ด้วยใจที่สบายไม่เกิดเหตุการณ์เฉี่ยวชน กลับถึงบ้านกันตรงเวลา ถึงเวลากินข้าวก็คุยกับลูกคุยกับเมียได้ราบรื่น ถึงเวลาเข้านอนก็นอนกันอย่างมีความสุข ก็กลายเป็นวันดีขึ้นมา
วันดีกับวันร้ายมันต่างกันตรงไหน มันไม่ได้ต่างตรงที่ว่าลูกทำแก้วน้ำตกหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าพ่อรับมืออย่างไรเมื่อลูกทำแก้วน้ำตก ถ้าพ่อไม่มีสติวันนั้นก็คือวันซวยทั้งวันอย่างที่เล่า แต่ถ้าวันนั้น ช่วงนั้น ขณะนั้น พ่อมีสติ วันนั้นก็กลายเป็นวันดี เราลองพิจารณาดูว่าวันซวยกับวันดีมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่อยู่ที่ว่าเรารับมือกับมันอย่างไร ถ้าเรารับมือไม่ถูกอย่างเหตุการณ์เล็กๆ ก็จะเป็นชนวนไปสู่เหตุการณ์ที่วุ่นวายนำไปสู่เหตุการณ์แย่ๆ ตามมาอีกมากมาย แค่ลูกทำแก้วน้ำตกมันพาทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย แต่ก็ยังดีที่ว่ารถเฉี่ยวชนไม่ถึงกับว่าพลิกคว่ำ หรือว่ารถชนกันอาจถึงตายหรือว่าพิการ แต่ถึงแม้ว่าลูกจะทำแก้วน้ำตกแต่ว่าพ่อมีสติมันก็ทำให้วันนั้นเป็นวันดีได้ ดังนั้น วันร้ายหรือวันดีมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าขึ้นอยู่กับว่าเรารับมือกับมันอย่างไร และขึ้นอยู่กับว่าเราทำใจอย่างไรด้วย หลายคนอยากให้ทุกวันเป็นวันดีก็ไปสวดมนต์ ไปทำบุญอธิษฐานขอให้ไม่มีอุปสรรค ไม่มีความยากลำบาก ทุกอย่างราบรื่นงานการสำเร็จ แต่ไม่ว่าเราอธิษฐานอย่างไรก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่าวันแต่ละวันมันก็ย่อมมีเรื่องขลุกขลักเป็นธรรมดา อยู่ที่ว่าขลุกขลักมากหรือขลุกขลักน้อย อันที่จริงลูกทำแก้วน้ำตกก็เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก มันไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย
แต่ถ้าไม่มีสติเสียแล้วนั่นคือวันร้ายกำลังจะตามมา หรือแม้มีเหตุการณ์ใหญ่ๆ เกิดขึ้นแล้วมีสติ วันนั้นก็อาจจะเป็นวันดีก็ได้ จะว่าไปแล้ววันร้ายหรือวันดีอยู่ที่เรา อยู่ที่การเลือกของเราว่าจะมีสติรับมือกับเหตุการณ์หรือว่าใช้อารมณ์ เอาความหลงในการรับมือกับเหตุการณ์ ถ้าเราใช้ความหลงแม้เหตุเล็กๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ แต่ถ้าเราใช้สติรับมือเหตุการณ์ใหญ่ๆ ก็อาจจะเป็นเรื่องเล็กหรืออาจกลายเป็นดีก็ได้ อย่างบางคนเป็นมะเร็งแต่ว่าเขารับมือกับมันด้วยสติด้วยปัญญา อาจจะพิจารณาว่ามันเป็นธรรมดา คนเราเกิดมามันก็ต้องเจ็บป่วย อย่าไปคิดว่าทำไมเป็นมะเร็ง หลายคนอาจจะบ่นว่าทำไมถึงต้องเกิดขึ้นกับฉัน ทำไมต้องเป็นฉัน แต่ถ้าตั้งสติสักหน่อยอาจจะคิดได้ว่าทำไมจะเป็นฉันไม่ได้ เพราะว่าใครๆ เขาก็เป็นกัน เราทุกคนในเวลานี้ล้วนแล้วแต่มีเพื่อนที่เป็นมะเร็ง ล้วนแล้วแต่มีญาติที่เป็นมะเร็ง หรือบางทีคนที่เป็นมะเร็งก็อยู่ใกล้ตัวเรา อยู่ในบ้านเดียวกับเรานั่นแหละคือพ่อแม่ คนอื่นเขาก็เป็นได้ทำไมเราจะเป็นไม่ได้
เตรียมใจไว้อยู่เสมอว่าเรามีเจ็บป่วยเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บป่วยไปไม่ได้ เตรียมใจไว้อยู่เสมอพอเกิดขึ้นจริงก็มีสติ แล้วก็สามารถจะทรงจิตทรงใจรับมือกับมัน แทนที่จะโอดครวญ หัวเสีย ตีอกชกหัว กินไม่ได้นอนไม่หลับ ซึ่งมีแต่ทำให้โรคมันลุกลามมากขึ้น แล้วก็ถือว่าเขามาสอนธรรมให้กับเรา แต่บางคนก็ทำใจไม่ได้ แต่หลังจากปลุกปล้ำกับมันสักพักก็ยอมรับมันได้ ไม่ใช่ยอมรับเปล่าๆ ขอบคุณมันด้วย ขอบคุณที่เป็นมะเร็งเพราะมะเร็งทำให้มาพบธรรมะ มะเร็งทำให้เห็นความรักที่บริสุทธิ์ของพ่อแม่ มะเร็งทำให้พบว่าสุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ เพราะว่ามะเร็งมันผลักให้เข้าหาธรรมะ อันนี้เรื่องร้ายก็กลายเป็นดีได้ เพราะว่าเกิดสติ เกิดปัญญา หรือว่ามีสติมีปัญญาในการรับมือกับเหตุการณ์นี้
เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการให้วันของเราแต่ละวันเป็นวันดีไม่ใช่วันร้าย สื่งที่ขาดไม่ได้คือการฝึกจิตเอาไว้ การทำบุญทำกุศลก็เป็นปัจจัยหนึ่ง แต่ว่าอย่าไปหวังพึ่งบุญกุศลในแง่ที่ว่าจะทำให้ชีวิตเราราบรื่น ทำบุญทำกุศลอย่างไรก็ต้องมีอุปสรรคมีเรื่องขลุกขลัก อย่างน้อยๆ ความเจ็บความป่วย ความพลัดพราก ความสูญเสีย ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นวันยังค่ำไม่ว่าเราจะทำความดีแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่ามันเกิดขึ้นแล้วเราพร้อมไหม เราฝึกใจมาดีหรือยัง ตรงนี้ต้องอาศัยการภาวนา ต้องอาศัยการทำสิ่งที่เรียกว่าปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะการเจริญสติที่จะทำให้เราสามารถจะรับมือกับมัน และสามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้
วันดีหรือวันร้ายอยู่ที่เรา อยู่ที่เราเลือกรับมือกับมันด้วยสติปัญญา หรือรับมือกับมันด้วยความหลงด้วยอารมณ์ อันนี้เราเลือกได้