แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนรุ่นใหม่สมัยนี้อาจจะไม่ค่อยได้ยินชื่อหลวงปู่บุดดา ถาวโร เพราะว่าท่านมรณภาพไป 20 กว่าปีแล้ว ตอนที่มรณภาพก็อายุ 101 ก็เรียกว่าเป็นพระที่มีอายุยืนนานมาก ท่านเป็นพระแบบโบราณ มีเมตตา อ่อนน้อมถ่อมตนมาก แล้วก็เชื่อว่าท่านได้เข้าถึงธรรมะขั้นสูง แต่ว่าดูจากภายนอกท่านก็เหมือนหลวงปู่หลวงตาธรรมดา มีครั้งหนึ่งท่านได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์ธรรมาสน์คู่ อีกรูปหนึ่งก็เป็นพระราชาคณะ เป็นพระมหาเปรียญ พระรูปนี้เป็นพระหนุ่ม เห็นหลวงปู่บุดดาก็นึกว่าเป็นพระหลวงตาธรรมดา ในใจก็นึกดูถูกว่าจะมีภูมิรู้แค่ไหนจะมาเทศน์กับตนเองซึ่งเป็นเจ้าคุณ แล้วก็มีความรู้สูงด้านปริยัติธรรม เห็นหลวงปู่บุดดาก็เลยถามว่า หลวงปู่ วันนี้จะเทศน์เรื่องอะไร ท่านก็ตอบว่าเทศน์เรื่องตัวโกรธ เทศน์เรื่องกิเลสตัณหา พระรูปนั้นก็เลยซักว่ามันเป็นอย่างไร ท่านก็เลยตอบว่าส้นตีนแน่ะ พระรูปนั้นโกรธเลย ไม่พูดไม่จาเลย แล้วก็ตกลงว่าวันนั้นก็เลยไม่ขึ้นเทศน์
หลวงปู่ก็เลยเทศน์คนเดียว เทศน์เสร็จ ลงจากธรรมาสน์ ท่านก็ไปขอขมาท่านเจ้าคุณรูปนั้นซึ่งก็อายุน้อยกว่าท่านมาก แล้วก็บอกว่า นี่แหละ ตัวโกรธมันเป็นอย่างนี้แหละ หน้าแดง ๆ ตัวร้อน ๆ ตัวโกรธนี่มันพอเกิดขึ้นแล้วมันสู้ใครไม่ได้หรอก จะเทศน์ก็เทศน์ไม่ได้ มันคอแข็งหมด แล้วก็ขอขมาว่าที่ต้องพูดอย่างนี้ก็เพื่อจะได้รู้จักว่า ความโกรธมันเป็นอย่างไร เพราะท่านถามเองว่าตัวโกรธมันเป็นอย่างไร
คนเราจะรู้จักความโกรธได้มันต้องเจอด้วยตัวเอง สิ่งที่พูดมามันก็ไม่ใช่ความโกรธอย่างแท้จริง จะเห็นว่าเมื่อเจอแล้วก็ต้องระวัง เพราะว่าถ้าเราเข้าไปเป็นผู้โกรธก็จะไม่เห็นความโกรธ หรือไม่รู้จักความโกรธอย่างแท้จริง จะรู้จักความโกรธต้องออกมาจากความโกรธ เห็นความโกรธ ไม่มีความโกรธเลยก็ไม่รู้จักความโกรธ แต่มีความโกรธแล้วเข้าไปเป็น มันก็ไม่รู้จักเหมือนกัน มันต้องเห็น ถ้าเข้าไปในความโกรธมันก็เหมือนกับเราอยู่ในศาลานี้ ก็ไม่เห็นหรอกศาลานี้หน้าตาเป็นอย่างไร เราจะรู้จักศาลานี้ได้ก็ต้องออกมาจากศาลานี้ ออกมาเดินหรือมายืนอยู่ไกล ๆ ก็จะรู้ว่าศาลานี้มันมีสองชั้น หลังคาเป็นรูปทรงจั่ว เรียกว่าเราจะเห็นศาลานี้ชัดเจนก็ต้องออกมาจากศาลานี้ ถ้าเข้าไปอยู่ข้างในก็ไม่เห็นไม่รู้จัก ความโกรธก็เหมือนกัน เราจะรู้จักความโกรธได้อย่างแรกคือต้องเกิดให้เราเห็นก่อน แต่ก็ต้องเห็นจริง ๆ ไม่ใช่เข้าไปเป็น
หลวงปู่บุดดานี้จะว่าไปท่านไม่ใช่เพียงแค่สอนให้คนรู้จักความโกรธ ตัวท่านเองก็รู้จักดี แล้วก็สามารถที่จะเอาชนะมันได้ ท่านเล่าว่าตอนที่ท่านบวชใหม่ ๆ ท่านก็เป็นคนที่โกรธมากตามประสาวัยรุ่น ตามประสาคนหนุ่ม แต่ว่าท่านก็พยายามเอาชนะมัน ท่านมีวิธีเอาชนะความโกรธ เวลาโกรธท่านจะไหว้พระ ถ้าโกรธ 1 ครั้งก็จะไหว้ 3 ครั้ง โกรธ 2 ครั้งก็ไหว้พระ 6 ครั้ง โกรธ 100 ครั้งก็ไหว้ 300 ครั้งเลย คือเอาจนกระทั่งมันไม่อยากจะโกรธแล้วเพราะเบื่อที่ไหว้พระ เบื่อที่จะกราบพระ หรือเพราะว่าการที่กราบพระบ่อย ๆ ก็ทำให้มีสติรู้ทันความโกรธ
คนปกติเวลาโกรธมันจะไม่คิดเรื่องการกราบพระ คิดแต่ว่าจะทำสิ่งตรงข้ามก็คือจะด่าหรือว่าจะทำร้ายคนอื่นได้อย่างไร ตอนนั้นแม้จะเป็นชาวพุทธ แม้จะประกาศตัวว่านับถือพระรัตนตรัย แต่ตอนนั้นไม่ได้นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นึกถึงแต่ว่ากูจะด่ามันอย่างไรดี กูจะแก้แค้นมันอย่างไรดี แต่ถ้าเกิดว่าเรานึกว่าโกรธแล้วต้องกราบพระ การนึกและทำบ่อย ๆ มันก็ทำให้รู้ทันความโกรธได้ไวขึ้น อย่างน้อย ๆ ความคิดที่จะไปด่าไปทำร้ายก็น้อยลงเพราะว่าได้สร้างนิสัยใหม่คือหันมากราบพระ กราบจริง ๆ อันนี้เป็นการสร้างนิสัยใหม่ให้กับจิตใจ ยิ่งโกรธบ่อย ๆ กราบพระบ่อย ๆ ใจที่จะส่งออกนอกเพื่อที่จะไปตอบโต้แก้แค้นก็จะเปลี่ยนมาเป็นการกราบพระเพื่อทำให้ใจสงบ เราลองทำแบบนี้ดูก็ได้ หรือมิฉะนั้นก็นึกถึงพระในใจก็ได้ กราบพระในใจ นึกภาวนาพุทโธก็ได้ หายใจเข้าหายใจออก หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ไม่ใช่เป็นที่พึ่งในความหมายคือกราบไหว้ แต่เอามาใช้ระงับความโกรธ เอามาใช้ระงับกิเลสตัณหา เวลามันเผาลนจิตใจ เวลามันบีบคั้นจิตใจก็นึกถึง อันนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นชาวพุทธ ถึงจะเรียกว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง
อาจารย์ท่านก็มีวิธีการจัดการความโกรธแปลก ๆ หลวงพ่อปานท่านเป็นพระรุ่นเดียวกับหลวงปู่บุดดา แต่ว่าอายุไม่ยืนเท่า อายุท่านแค่ 60 ก็มรณภาพแล้ว ท่านเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเคยเล่าว่าตอนเป็นพระหนุ่มเคยไปเรียนหนังสือกับพระรูปหนึ่ง สมัยก่อนพระเราจะเรียนหนังสือได้ ไม่ใช่ว่าไปเข้าโรงเรียน มันไม่มีโรงเรียน ต้องไปอยู่วัดหรืออยู่สำนักเดียวกับท่านที่จะเป็นครูบาอาจารย์ได้ แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านไปหาก็คือหลวงพ่อจีน แถวอยุธยา วัดเจ้าเจ็ด ท่านสอนหนังสือเก่ง แต่เป็นที่รู้กันว่าเป็นคนดุร้ายโกรธง่าย เวลาลูกศิษย์ซึ่งก็คือพระหรือเณรตอบไม่ถูกหรือไม่ถูกใจท่าน ท่านก็ตบเลย ท่านเป็นคนปากว่ามือถึง ตบเอาเลย แล้วท่านก็รู้ตัวว่าแบบนี้มันไม่ดี เป็นพระสอนเรื่องละโลภโกรธหลง แต่ว่ามาแสดงความโกรธ ท่านก็พยายามหาทางแก้ แต่แก้เท่าไรก็ยังห้ามใจไม่ได้
อันนี้มันก็ตรงกับสำนวนที่ว่า ดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ได้ รู้ว่าโกรธไม่ดีแต่ห้ามใจไม่ได้ แล้วท่านทำอย่างไรรู้ไหม เวลาท่านสอนหนังสือท่านจะเข้าไปสอนในกรงเหล็ก มีกรงเหล็กอยู่ในศาลาหน้าห้อง เวลาจะสอนหนังสือท่านจะเข้าไปในกรงเหล็กแล้วก็ปิดล็อค ให้ลูกศิษย์ถือกุญแจไว้ แล้วท่านก็สอนในกรง เวลาลูกศิษย์ตอบไม่ถูกหรือว่าขี้เกียจ ไม่เอาใจใส่ สัปหงกนี่ท่านจะโกรธมาก แล้วถ้าห้ามไม่อยู่ ท่านจะโกรธอย่างหนัก บางทีโกรธถึงขนาดจับลูกกรงเขย่าเลย นึกถึงกอริลลาเขย่า แต่ตัวท่านผอม ท่านก็เขย่ากรงด้วยความโกรธ ห้ามใจไม่ได้ แต่อย่างน้อยห้ามไม่ให้ตัวเองไปทำร้ายลูกศิษย์ได้ด้วยการขังตัวเองไว้ในกรง ลูก-ศิษย์ก็ยินยอมอยู่แล้ว เพราะถ้าลูกศิษย์ไม่ทำตามก็เจ็บตัว นี่ก็เป็นวิธีการแปลก ๆ ของหลวงพ่อจีน ซึ่งอย่างน้อยท่านก็รู้ว่าโกรธไม่ดี แล้วโกรธทีไรมีเรื่องทุกที ท่านก็เลยหาทางพยายามปิดกั้นโอกาส อันนี้ก็เป็นวิธีที่พวกเราจะเอาไปใช้ก็ได้ แต่ว่าอาจจะต้องพลิกแพลงหน่อย
หลายคนมีความอยาก เป็นคนที่ชอบชอปปิ้งมาก ชอบซื้อของมาก ชอบเข้าห้าง เห็นของเขาโฆษณาเป็นไม่ได้ สมัยนี้มันไม่ได้โฆษณาตามโทรทัศน์แล้ว มันโฆษณาตามออนไลน์ด้วย เห็นแล้วก็อยากได้ แล้วสมัยนี้เดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปเข้าห้างแล้ว ซื้อของทางอินเทอร์เน็ตได้เลย เพียงแค่มีเครดิตการ์ด บัตรเครดิต แล้วผู้หญิงคนหนึ่งแกเป็นคนที่ซื้อเยอะมากจนกระทั่งเป็นหนี้ ใช้เงินจนครบวงเงินในบัตรเครดิตแล้วไม่มีเงินจ่าย ก็ไปสมัครบัตรเครดิตใหม่ ฝรั่งบางคนมีบัตรเครดิต 10 ใบ 20 กว่าใบ ที่มีเยอะเพราะว่าใบหนึ่งหมดก็ไปขอบัตรใหม่ ขอวงเงินใหม่ แล้วก็ไม่มีเงินจ่าย เป็นหนี้ เรียกว่าหนี้ล้นพ้นตัวเลย แต่ว่าก็ห้ามใจไม่ได้
วิธีแก้เขาทำอย่างไร เขาเอาบัตรเครดิตใส่ไว้ในแก้วน้ำ แก้วน้ำนี้ก็เติมน้ำให้เต็มแก้วแล้วก็เอาแก้วน้ำพร้อมบัตรเครดิตใส่เข้าไปในตู้เย็น freezer ตู้น้ำแข็งให้มันแข็งเลย เพื่ออะไร เพื่อว่าเวลาเห็นของอยากจะซื้อ อยากจะเข้าห้าง หรือว่าอยากจะสั่งสินค้าทางอินเทอร์เน็ตออนไลน์ก็ต้องใช้บัตรเครดิต แต่ว่าเอาบัตรเครดิตออกมาไม่ได้เพราะว่าติดน้ำแข็ง ต้องรอให้น้ำแข็งละลายก่อน กว่าน้ำแข็งจะละลายก็ 10 นาที 15 นาทีถึงจะใช้บัตรเครดิตได้ ถึงตอนนั้นความอยากก็ลดลงแล้ว จะเอาบัตรเครดิตไปละลายในตู้ไมโครเวฟก็ไม่ได้ มันละลายเร็วจริงแต่ว่าบัตรเครดิตก็จะเสียหายด้วยเพราะมันเป็นพลาสติก
อันนี้เป็นวิธีคล้าย ๆ หลวงพ่อจีน คือว่าห้ามใจไม่ได้แต่ห้ามพฤติกรรม ทำให้ไม่สามารถจะทำตามความโลภได้สะดวกสบายหรือได้รวดเร็ว กว่าบัตรเครดิตจะใช้การได้ ความอยากก็หายไปแล้ว หรืออย่างหลวงพ่อจีนที่ท่านห้ามความโกรธไม่ได้ แต่ก็ห้ามการกระทำหรือว่าห้ามพฤติกรรมได้ ด้วยการเอาตัวเข้าไปขังอยู่ในกรง แต่ว่าถ้าให้ดีพยายามห้ามใจดีกว่า ทำอย่างที่หลวงปู่บุดดาทำก็ได้ กราบพระทุกครั้ง โกรธทุกครั้งก็กราบพระทุกครั้ง หรือว่าถ้าไม่มี ไม่สะดวก ไม่ถนัด ก็ใช้วิธีปรับตัวเองก็ได้ ถ้าโกรธทีไรก็บริจาคเงิน 100 บาท โกรธ 1 ครั้งก็ 100 โกรธ 2 ครั้งก็ 200 โกรธ 3 ครั้งก็ 300 หรือไม่ก็เอาเงินนั้นไปเลี้ยงเพื่อนก็ได้ ก็ทำให้เกิดความสามัคคีเกิดความกลมเกลียวกัน ตัวเองก็ได้กินด้วย ถ้าเอาไปบริจาคตัวเองไม่ได้เลย แต่ว่าเอาไปเลี้ยงเพื่อนเอาไปสังสรรค์กัน ก็เรียกว่าตัวเองก็ได้ประโยชน์จากเงินที่ถูกปรับด้วย เพื่อนก็ชอบด้วย เพื่อนก็จะบอกว่าโกรธบ่อย ๆ จะได้มีเลี้ยง เพื่อนจะได้ให้อภัย โกรธบ่อย ๆ แต่ว่ามีการเลี้ยงกันก็ถือว่าให้อภัยได้ ลองปรับตัวเองดูก็ได้ มันก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยได้