แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ศาสนาพุทธแตกต่างจากศาสนาอื่นหลายศาสนา ก็คือเราเชื่อว่าชีวิตนี้ของเราแต่ละคนมันขึ้นอยู่กับกรรม แปลว่าการกระทำของเรา ไม่มีพระเจ้าจะดลบันดาล และไม่มีสิ่งที่เรียกว่าพรหมลิขิต จะมีก็แต่กรรมลิขิต แต่กรรมนี้ก็หมายถึงเจตนา เจตนาในการที่จะทำอะไรสักอย่าง อย่าไปเข้าใจว่าหมายถึงพลังลึกลับบางอย่างที่มันผลักดัน หรือดลบันดาลชีวิตเรา กรรมนี้ก็หมายถึงการกระทำของเรา ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว ดีชั่วก็อยู่ที่เรานั่นแหละว่าเราทำตัวอย่างไร จะสูงจะต่ำก็อยู่ที่ว่าเราทำตัวอย่างไร ไม่เกี่ยวกับว่าชาติตระกูล ไม่เกี่ยวกับวรรณะ
ทีนี้กฎของกรรมมันก็มีหลักง่าย ๆ เป็นพื้นฐานเลยว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ดีในที่นี้ไม่ได้แปลว่าร่ำรวยหรือว่ามีโชคมีลาภ อันนี้มันไม่เกี่ยวกัน ก็เหมือนกับว่าปลูกมะม่วงก็ได้มะม่วง ส่วนปลูกมะม่วงแล้วจะรวยหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ปลูกยางก็ได้ยางแต่ว่าจะรวยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับราคาตลาด ทำดีในบางสังคมก็อาจจะไม่รวยแต่ว่ามีความสุข ทำชั่วในบางวงการก็จะรวยเอารวยเอาแต่ว่าต้องไปชดใช้กรรม เช่น ต่อไปก็จะติดคุกติดตะราง หรือว่าไปชดใช้คือเกิดความทุกข์ เกิดความลำบากใจขึ้นมา
พูดถึงการทำดีหรือกรรมดี ทำดีได้ดีก็จริง แต่ว่าตอนทำอาจจะมีความยากลำบากอยู่บ้าง เช่น อยากจะช่วยเหลือธรรมชาติก็ไปปลูกป่า ไปปลูกป่านี่มันเหนื่อย ขณะที่คนที่อยู่บ้านสบายหรือว่าคนที่ไปเที่ยวชอปปิงเที่ยวห้างก็ดูมีความสุข คนหนึ่งทำดีแต่เหนื่อย อีกคนหนึ่งไม่ทำเลยแต่ว่าสบาย อันนี้มันเป็นไปได้ เวลาคนไปปลูกป่าทำดีแล้วเหนื่อยอย่าไปคิดว่าเขากำลังใช้กรรม ที่จริงเขากำลังทำกรรมดี และกรรมดีนั้นก็จะส่งผล เป็นความสุข หรือว่าประโยชน์สุขในภายภาคหน้า หรือว่าอาจจะเกิดประโยชน์ในขณะนั้นเลยก็ได้ เช่น เมื่อเขาไปปลูกป่า เขากำลังฝึกลดละความเห็นแก่ตัว หรือว่าเขาทำแล้วเขามีความสุข ระหว่างที่ปลูกไปเขาก็มีความสุขไปกายเหนื่อยแต่ใจสุข
เวลาเราได้ยินว่าทำดีได้ดี มันไม่ใช่แบบว่าทำความดีแล้วจะสบายทันที มันก็ต้องเหนื่อยในตอนแรกบ้าง นักเรียนที่ขยันเรียนย่อมเหนื่อยกว่านักเรียนที่ขี้เกียจ นักเรียนที่ขยันเรียนก็ต้องอ่านหนังสือ บางทีตื่นมาตั้งแต่ตี 4 ตี 5 ก็อ่านหนังสือ เวลาทำการบ้านก็ไม่ไปเที่ยวไหน ก็ต้องเรียกว่าตรากตรำกับการเรียน ส่วนเด็กขี้เกียจนี่สบาย ทำการบ้านก็ไม่ต้องทำไปลอกเขา ความสบายแบบนี้ไม่ได้แปลว่าเกิดจากการทำดี ความสบายแบบนี้เพราะว่าเกิดจากการที่ไม่ทำอะไรหรือเกิดจากการทำชั่วด้วย เช่น ไปลอกการบ้านเขาหรือไปขโมยสมุดการบ้านเขาไปส่ง มีนักเรียนบางคนขโมยสมุดการบ้านของเพื่อนไป แล้วก็ลบชื่อของเจ้าของแล้วก็ใส่ชื่อตัวเองแทนส่งครู อย่างนี้สบายไหม สบาย แล้วได้คะแนนไหม บางทีก็ได้คะแนน แต่ว่าอย่างนี้ไม่ใช่เป็นผลของการทำกรรมดี อันนี้มันเป็นกรรมชั่ว แต่ว่ากรรมชั่วนี้ทีแรกทำแล้วสบาย ไม่เหมือนกับทำดี ทีแรกนี้อาจจะลำบากอาจจะเหนื่อย แต่ว่าผลดีหรืออานิสงส์มันจะตามมาภายหลัง ส่วนคนทำกรรมชั่ว หรือว่าคนที่ทุจริต สบายทีแรกแต่ว่าลำบากภายหลัง เวลาเราเห็นเขาสบายนี่คนทำกรรมชั่ว เราเห็นเขาสบายอย่าไปคิดว่ากฎแห่งกรรมไม่มีจริง อย่าไปคิดว่าที่เขาสบายเป็นเพราะเขาเคยทำดีในชาติที่แล้ว ชาตินี้เขาเลยสบาย
เดี๋ยวนี้คนไทยเราเข้าใจเรื่องกรรมผิดเพี้ยนมากเลย มีเพื่อนคนหนึ่ง ลางาน งานก็ดี แต่ลางาน ไม่ใช่ลางาน ทิ้งงานเลย มาดูแลแม่ที่เป็นอัลไซเมอร์ ตอนนั้นแม่ก็เกือบ 70 แล้ว เธอเป็นลูกคนสุดท้อง พี่ ๆ ก็ขอร้องสนับสนุนให้เธอมาดูแลแม่เต็มตัวเพราะว่าพี่ก็มีครอบครัวกันทั้งนั้น ก็รับปากว่าจะส่งเงินมาให้น้อง เป็นค่าดูแล เป็นค่ารักษาพยาบาลแม่ ค่าหยูกค่ายา ค่าอาหาร แล้วก็รวมทั้งค่าใช้จ่าย เพราะว่าเธอทิ้งงานมาเลย มันก็ต้องมีค่าใช้จ่าย มีเงินติดกระเป๋าบ้าง ก็ทีแรกก็ราบรื่นดี แต่ว่าตอนหลังผ่านไปหลายปีเงินที่ช่วยเหลือของพี่ ๆ ก็ค่อย ๆ น้อยลงหรือว่าไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่ ยิ่งตอนหลังรายจ่ายมากขึ้น เพราะว่าแม่ช่วยตัวเองไม่ค่อยได้ก็ต้องมีคนงานจ้างมาเพิ่ม เพื่อมาช่วยยกขึ้นเตียงหรือว่ายกลงจากเตียง คนเดียวทำไม่ไหว ก็ไปขอเงิลนพี่สาว พี่สาวก็อิดออดไม่ค่อยให้ เธอก็ลำบากมากขึ้นเรื่อย ๆ เหนื่อยก็เหนื่อย อยู่กับคนไข้ 24 ช.ม. แล้วอัลไซเมอร์นี่ดูแลยากเหมือนกัน เพราะว่าบางทีไม่รู้เรื่อง กินข้าวก็ไม่กิน เวลาจะพาอาบน้ำก็ต่อต้าน เพราะว่าความจำเลอะเลือนแล้วไม่รู้เรื่อง แม้แต่ลูกตัวเองยังจำไม่ค่อยได้ ก็เหนื่อยทั้งกายใจก็เหนื่อยเพราะเครียด แล้วแถมเงินก็ไม่ค่อยได้เท่าไหร่ บางทีบ้านหลังคารั่วไปขอเงินพี่สาวก็ไม่ยอมให้ ก็เริ่มมีปัญหา พี่สาวก็มาหาแม่บ้างก็เฉพาะวันแม่ พอถึงวันแม่ก็มากราบ ไม่รู้ว่ากราบอกหรือกราบเท้า แต่ถึงกราบเท้ามันก็ไม่มีความหมาย ถ้าหากว่าหลังจากนั้นก็หายไปเลย บางคนได้กราบเท้าแม่ก็รู้สึกภาคภูมิใจว่าเรากตัญญูแต่วันอื่นไม่มาเลย อันนี้มันก็กระไรอยู่
ทีนี้น้องสาวเขาก็มีความทุกข์มาก เขาไปเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนแทนที่จะให้กำลังใจกลับบอกว่าที่เธอเหนื่อยเธอลำบากดูแลแม่มา 10 ปีก็เพราะว่าชาติที่แล้วคงทำอะไรไม่ดีกับแม่ ชาตินี้ต้องมาใช้กรรม ส่วนพี่ที่เขาสบายเป็นเพราะเขาทำกรรมดีในชาติที่แล้ว ชาตินี้เขาเลยสบาย น้องสาวฟังแล้วก็งงเลยว่าทำไมเป็นอย่างนี้ อาตมาฟังก็งงเหมือนกันว่า เดี๋ยวนี้เราเข้าใจเรื่องกรรมแบบนี้กันเชียวหรือ คนที่เหนื่อยเพราะทำกรรมดีกลับถูกมองว่ากำลังใช้กรรมที่ไม่ดีในชาติที่แล้ว ส่วนคนที่ไม่ดูแลแม่จะเรียกว่าไม่มีความกตัญญูต่อแม่ก็ได้ ก็เลยสบาย แทนที่จะมองว่านี่เป็นผลของการที่ไม่ทำหน้าที่ กลับมองว่าชาติที่แล้วเขาทำดี ชาตินี้ก็เลยได้เสวยผลของกรรมที่ทำดีเอาไว้ กลายเป็นว่าคนทำดีถูกมองว่าเป็นการใช้กรรม ส่วนคนไม่ทำดีไม่ทำหน้าที่ คนมองว่าดีเพราะว่าเขาทำดีมาก่อนในชาติที่แล้ว
อันนี้มันเป็นความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนเลย คนไทยโดยเฉพาะชาวพุทธ เดี๋ยวนี้แยกไม่ออกระหว่างการทำดีกับการใช้กรรม การใช้กรรมหมายความว่ามันจำเป็นจำใจต้องทำ เช่น ติดคุกติดตะรางอันนี้ไม่มีใครอยากติดหรอกไม่มีใครเลือก แต่ว่ามันจำเป็น อันนี้เรียกว่าใช้กรรม เพราะว่าอาจจะไปลักขโมยเขา หรือว่าไปฆ่าคนตาย หรือว่าคนที่พิการเพราะว่าขับรถเมาชนต้นไม้ ความพิการนี้เรียกว่าไม่ได้สมัครใจเลย อันนี้เรียกว่าใช้กรรม แต่การที่ใครสักคนช่วยเหลือ จะเป็นการช่วยดูแลแม่หรือว่าช่วยสามีภรรยาที่เจ็บป่วย แต่แทนที่จะทิ้งก็ดูแล มีสามีที่ดูแลภรรยาที่ป่วยเป็นมะเร็ง อุตส่าห์เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ แล้วก็ทำหลายอย่าง งานการก็ทำก็ยังต้องมาดูแลภรรยา เพื่อนบ้านก็บอกว่าเขากำลังใช้กรรม เพราะว่าชาติที่แล้วคงทำไม่ดีกับภรรยาเอาไว้ แทนที่จะมองว่านี่เขากำลังทำดีเพราะว่าเขาสามารถจะเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำ จะทิ้งก็ได้แต่เขาไม่ทิ้ง การที่เขาเลือกที่จะดูแลภรรยาแสดงว่าเขากำลังทำดี ส่วนเพื่อนคนที่ว่าเมื่อกี้นี้ก็เหมือนกัน เขาก็เลือกได้เหมือนกันว่าเขาจะดูแลแม่หรือไม่ เขาเลือกได้ว่าเขาจะกลับไปทำงานก็ได้ แต่เขาไม่เลือก เขาเลือกที่จะดูแลแม่เป็นเวลา 10 ปีจนกระทั่งตอนนี้ก็ 50 แล้วแต่เขาก็ยังทำอยู่ อย่างนี้เรียกว่าเขากำลังทำดี
แต่ว่าเพื่อนซึ่งก็ไม่ใช่มีคนเดียว เดี๋ยวนี้ความคิดแบบนี้ก็มีมากขึ้นว่า เวลาใครทำดีไปมองว่าเขาใช้กรรม แทนที่จะส่งเสริม แทนที่จะอนุโมทนา แทนที่จะให้กำลังใจ กลับไปเหมือนกับซ้ำเติมเขาเพราะว่าเหมือนกับว่าที่เขากำลังทำอยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะถูกลงโทษจากการที่ทำกรรมไม่ดีในชาติที่แล้ว อันนั้นก็แย่แล้ว คราวนี้พี่สาวซึ่งไม่ดูแลแม่ แทนที่จะมองว่าพี่สาวกำลังละเลยหน้าที่กำลังไม่ทำความกตัญญูรู้คุณแทนที่จะตำหนิ กลับมองว่าเขาดีเป็นเพราะเขากำลังได้รับผลบุญจากกรรมดีที่ทำเอาไว้ในชาติที่แล้ว อันนี้เรียกว่าเพี้ยนแล้ว ทำไมถึงมองกันแบบนั้น
อันนี้เข้าใจว่าเป็นเพราะว่า เดี๋ยวนี้ชาวพุทธไทยเรามองว่าเวลาใครลำบากก็ฟันธงเลยว่าเป็นเพราะกำลังใช้กรรม ถ้าใครสบาย ๆ ก็สรุปว่าเป็นเพราะเขากำลังได้รับอานิสงส์ของกรรมดีที่ทำในชาติที่แล้ว คือเรามองว่าความลำบากเป็นของไม่ดี พอเรามองว่าความลำบากเป็นของไม่ดีก็เลยสรุปว่าเป็นเพราะทำความไม่ดีเอาไว้ในชาติที่แล้ว
อันนี้ก็เทียบกับเด็กที่เขาขยันเรียนแล้วเขาเหนื่อยเขาอดหลับอดนอนทำรายงานอ่านหนังสือเตรียมสอบ กับคนที่ไม่ขยันเรียนขี้เกียจ ทุจริตไม่ทำการบ้านไม่ทำรายงานตัดแปะเอาส่งครูหรือลอกการบ้านคนอื่นส่งครู คนนี้สบาย เวลาเด็กที่เขาเหนื่อยเพราะเขาทำงานเขาเรียนหนักก็ไม่มีใครจะบอกว่าเด็กคนนี้กำลังใช้กรรม ชาติที่แล้วเด็กคนนี้ทำกรรมไม่ดีเอาไว้ ชาตินี้เลยต้องเรียนหนัก ส่วนอีกคนหนึ่งชาติที่แล้วทำกรรมดีไว้ ชาตินี้เลยสบาย ไม่ต้องเหนื่อยกับการเรียน เราคงจะไม่พูดแบบนั้น เพราะมันเห็นชัด ๆ อยู่แล้วว่าที่เขาเหนื่อยที่เขาลำบากเพราะว่าเขาทำความเพียร ที่สบายเป็นเพราะเขาขี้เกียจ ซึ่งเป็นของไม่ดีอันนี้เรารู้ แต่เวลาทำไมคนที่เขาดูแลแม่ดูแลแล้วเขาเหนื่อยลำบาก ผู้คนบอกว่านี่เขากำลังใช้กรรม ทำไมไม่มองว่าเขากำลังทำกรรมดีเป็นกรรมเป็นความดีที่น่าสรรเสริญ ส่วนพี่ที่สบายไม่ต้องมาดูแลแม่ แทนที่จะมองว่าเขากำลังละเลยหน้าที่ไม่กตัญญูกลับมองว่าเขาดี อันนี้สะท้อนถึงความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนของชาวพุทธ ซึ่งตอนนี้มีจำนวนมากคิดแบบนี้ได้ยินมาหลายกระแส อย่างที่เล่าว่าคนที่เล่าเขาดูแลภรรยาอย่างดีถึงแม้เหนื่อยอย่างไรก็ดูแล ก็ไปบอกว่าเขากำลังใช้กรรม เดี๋ยวนี้เอะอะอะไรเวลาใครเหนื่อยใครยากหรือว่ามีความลำบาก หลายคนก็จะมองว่าเขากำลังใช้กรรม บางทีเจ้าตัวก็คิดแบบนั้นด้วยซ้ำ
การทำความดีคือ การประกอบเหตุ ส่วนการรับกรรมหรือการใช้กรรมคือ การรับผล การประกอบเหตุกับการรับผลมันต่างกันเยอะเลย แต่ว่าเดี๋ยวนี้ชาวพุทธเรามองแยกแยะไม่ออก แล้วที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือว่าแยกแยะไม่ออกระหว่างการทำดีกับการละเลยการทำดีหรือแยกไม่ออกระหว่างการทำดีกับการทำชั่ว
ตัวอย่างที่ยกมานี้ชี้ให้เห็นเลยว่าแยกไม่ออกแล้ว คนทำความดีก็หาว่าเขาใช้กรรมหรือว่ามีนัยยะว่ากำลังถูกลงโทษจากทำไม่ดีในชาติที่แล้ว ส่วนใครที่ละเลยหน้าที่ไม่กตัญญูพ่อแม่ก็กลับมองว่าเป็นเรื่องดี อันนี้มันเข้าข่ายมิจฉาทิฐิ แล้วเดี๋ยวนี้เราก็สรุปกันง่าย ๆ บางคนแต่ก่อนค้าขายได้เจริญได้มีลูกค้าเยอะ ตอนหลังค้าขายไม่ค่อยดี เจ้าตัวก็สงสัยว่าเรากำลังใช้กรรมหรือเปล่า หรือเรากำลังโดนเจ้ากรรมนายเวรเล่นงานหรือเปล่า เพราะว่าช่วงที่เขามีความเจริญรุ่งเรืองใครเดือดร้อนเขาก็ช่วย บางทีช่วยเงินบ้างบางทีช่วยให้คำแนะนำบ้างอันนี้เป็นความดี แต่พอว่าธุรกิจเขาย่ำแย่ลง คนมาซื้อน้อยลง เขาสงสัยว่าเป็นเพราะว่าเจ้ากรรมนายเวรของเพื่อนคนที่เขาแนะนำคนที่เขาให้ความช่วยเหลือมันมาเล่นงานเขาแทนหรือเปล่า คิดแบบนี้ก็เยอะ คนที่คิดว่าเวลาลำบากเหนื่อยยากเป็นเพราะว่าเจ้ากรรมนายเวรมาเล่นงาน ไปช่วยคนโน้นไปช่วยคนนี้จนกระทั่งเขาสบาย เจ้ากรรมนายเวรของคนนั้นคนนี้ก็เลยมาแก้แค้นเขาแทน
คนที่คิดแบบนี้เดี๋ยวนี้ก็มีมากขึ้น ผลที่ตามมาก็คือต่อไปก็ไม่อยากช่วยใครแล้ว เพราะช่วยใครแล้วเดี๋ยวเจ้ากรรมนายเวรของคนนั้นเขาจะมาเล่นงานเขา อันนี้มันก็สะท้อนให้เห็นถึงความคิดว่าเวลาใครลำบากใครเดือดร้อน ก็เป็นเพราะว่าถ้าไม่ใช่เป็นเพราะกรรมที่ไม่ดีในชาติที่แล้วก็เป็นเพราะโดนเจ้ากรรมนายเวรเล่นงาน ซึ่งสองอย่างนี้ก็สัมพันธ์กัน เพราะเจ้ากรรมนายเวรก็คือคนที่เคยถูกเอาเปรียบถูกกระทำถูกรังแกในชาติที่แล้ว ชาตินี้ก็เลยมาแก้แค้นมาตอบโต้ก็เป็นเรื่องของกรรมในอดีตเหมือนกัน ความคิดแบบนี้ก็เรียกว่าอันตรายเหมือนกันเพราะว่าต่อไปก็จะไม่กล้าไปช่วยใคร ใครเดือดร้อนเป็นหนี้เป็นสินหรือว่าเจ็บป่วยหรือว่าประสบอุบัติเหตุก็ไม่กล้าไปช่วยเพราะไปคิดว่าที่เขาเป็นอย่างนั้นเป็นเพราะเจ้ากรรมนายเวรเล่นงานหรือเป็นเพราะว่าทำไม่ดีในอดีตชาติ
คนไทยเราเดี๋ยวนี้ที่อ้างตัวว่าเป็นชาวพุทธ เดี๋ยวนี้ไปเชื่อเรื่องอดีตชาติมาก คือถ้าใครประสบความทุกข์ยาก ก็ไปเหมาว่าเป็นเพราะกรรมในอดีต ทำนองเดียวกันใครที่มีความสุขความสบายก็ไปเหมาว่าเป็นเพราะกรรมในอดีตเหมือนกัน อันนี้เป็นความคิดที่พระพุทธเจ้าไม่สนับสนุนพระพุทธเจ้าตรัสด้วยซ้ำว่ามันเป็นมิจฉาทิฐิเป็นความคิดนอกพระพุทธศาสนา แล้วที่นอกพระพุทธศาสนามี 3 อย่าง อันที่ 1 ก็คือความเชื่อว่าสุขทุกข์ในปัจจุบัน เป็นเพราะการดลบันดาลของพระเจ้า อันที่ 2 สุขทุกข์ในปัจจุบัน เป็นเพราะว่ากรรมในอดีตชาติ อันที่ 3 สุขทุกข์ในปัจจุบัน เป็นเพราะว่าไม่มีสาเหตุ คนที่เชื่อในข้อ 2 นี้เยอะมาก สุขหรือทุกข์ในปัจจุบันก็ไปโทษว่าเป็นเพราะอดีตชาติ เจ็บป่วยก็เพราะกรรมที่ไม่ดีในอดีตชาติหรือเจ้ากรรมนายเวรมากระทำ แต่ไม่ได้ดูว่าปัจจุบันชาติเราทำอะไรไว้บ้าง เช่น กินเหล้า สูบบุหรี่เยอะ หรือว่ากินอาหารไม่ระมัดระวัง กินตามใจปากจนกระทั่งเป็นโรคหัวใจ เป็นโรคเบาหวานหรือว่าพิการเพราะว่าไปขับรถชนต้นไม้เพราะเมามาย คนพิการแล้วบอกว่าฉันทำกรรมไม่ดีในอดีตชาติในชาตินี้เลยมาใช้กรรม อันนี้เข้าใจผิดแล้ว ใช้กรรมจริงแต่เป็นการใช้กรรมเพราะทำไม่ดีใจปัจจุบัน เช่น ไม่มีศีลข้อ 5 นี่เราต้องสำรวจตัวเราเองว่าที่เรานับถือพระพุทธศาสนาหรือมีความเชื่อเรื่องกรรมมันตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอนหรือเปล่า คนที่เขาเป็นหนี้เป็นสินอาจจะไม่เกี่ยวกับกรรมในอดีตเลย แต่อาจจะเป็นกรรมในปัจจุบัน เช่น ไม่ระมัดระวังในการใช้เงินหรือว่าวางแผนการเงินผิดพลาด ถ้าเกิดเราไปช่วยเขา ช่วยฟื้นฟูเขาจนกระทั่งเขากลับมาลืมตาอ้าปากได้อย่างนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีไม่ต้องกลัวเจ้ากรรมนายเวร เพราะว่าที่เขาแย่ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้ากรรมนายเวรเลย มันเป็นเรื่องของการกระทำของตัวเองล้วน ๆ ความประมาทบ้าง ความเผลอเรอบ้าง คนที่เจ็บป่วยก็เหมือนกัน เขาอาจจะเจ็บป่วยเพราะว่าการไม่รักษาตัวไม่ดูแลตัวเอง โดยเฉพาะกินอาหารที่มันมีพิษ
พระพุทธเจ้าตรัสว่าสาเหตุของความเจ็บป่วยมีหลายสาเหตุ เช่น มีดีเป็นสมุฏฐาน มีลมเป็นสมุฏฐาน มีเสมหะเป็นสมุฏฐาน หรือเป็นเพราะอาหาร เป็นเพราะอากาศ เป็นเพราะการบริหารกายที่ไม่ถูก เป็นเพราะถูกผู้อื่นมากระทำหรือเป็นเพราะผลกรรม ผลกรรมนี้หมายถึงผลกรรมในอดีต ก็ไม่ปฏิเสธว่าผลกรรมในอดีตก็มีผลต่อปัจจุบันได้แต่ไม่ใช่เป็นปัจจัยเดียว มีเหตุปัจจัยเยอะ ฉะนั้นเวลาใครเจ็บป่วยก็อย่าไปคิดว่าเป็นเพราะเขาทำกรรมไม่ดีในอดีตชาติ แต่เป็นผลจากการไม่บริหารกาย เป็นผลจากการที่อยู่ในที่สิ่งแวดล้อมที่มันเป็นโทษต่อร่างกาย เช่น มีมลพิษเยอะ ที่ไปช่วยเขาให้หายเจ็บหายป่วยมันก็เป็นสิ่งสมควรทำ แต่เดี๋ยวนี้มีการสอนกันในหมู่หมอพยาบาลว่าอย่าไปช่วยคนที่ใกล้ตาย เพราะว่าเกิดช่วยให้เขาไม่ตายขึ้นมา เจ้ากรรมนายเวรของคนนั้นจะมาเล่นงานเรา ความคิดนี้มันผิดพลาดมากเลยเพราะว่าที่เขาป่วยอาจจะไม่ใช่เป็นเพราะว่าเจ้ากรรมนายเวร หรือถึงเจ้ากรรมนายเวรมีจริงไปช่วยเขามันก็เป็นบุญเป็นกุศลที่ควรส่งเสริมควรอนุโมทนา ต่อไปถ้าสอนกันมาก ๆ ว่าอย่าไปช่วยใครที่กำลังจะตายเพราะเดี๋ยวเจ้ากรรมนายเวรจะมาเล่นงาน มันก็ทำให้คนไทยกลายเป็นคนที่ไม่มีน้ำใจ
เห็นคนประสบอุบัติเหตุกำลังจะตายก็ไม่ช่วยเขาเพราะไปคิดว่าเจ้ากรรมนายเวรของคนนั้นจะมาเล่นงานเรา คนจะตกน้ำก็ไม่ช่วยเพราะคิดว่าที่เขาตกน้ำใกล้จะตายเพราะเจ้ากรรมนายเวร คนกำลังจะถูกข่มขืนก็ไม่ช่วยเพราะคิดว่าที่เขาเจอแบบนี้เพราะกำลังใช้กรรมหรือว่ากำลังเจอเจ้ากรรมนายเวร แล้วต่อไปเมืองไทยจะเป็นอย่างไร ก็กลายเป็นมิคสัญญีหรือกลายเป็นเมืองนรกเพราะคนไม่มีน้ำใจ เดี๋ยวนี้ก็ขยายไปจนถึงขั้นว่าแม้กระทั่งพ่อแม่ การไปดูแลพ่อแม่เป็นการใช้กรรมอีกแบบหนึ่งแทนที่จะมองว่าเป็นความกตัญญู ชาวพุทธเราให้ความสำคัญกับความกตัญญูมาก การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ในยามชราเป็นสิ่งที่ดีเป็นบุญเป็นกุศลมาก แต่เดี๋ยวนี้ชาวพุทธเราจำนวนไม่น้อยมองว่ากำลังใช้กรรม แล้วต่อไปใครจะอยากไปดูแลพ่อแม่เพราะกลัวว่าเดี๋ยวจะถูกมองว่าเป็นการใช้กรรมไป
คนไทยเราเดี๋ยวนี้มีทัศนคติที่มองว่าความลำบากเป็นเรื่องไม่ดี แต่บางทีอาจจะเกิดจากความเพียรก็ได้ เกิดจากการทำความดีก็ได้ ใครที่สบายนั่งเล่นนอนเล่นมองว่าดี อันนี้คงเป็นอิทธิพลของวัตถุนิยมบริโภคนิยมที่มันแพร่หลายมากขึ้น ใครรวยก็มองว่าเขาดี ใครที่ไม่รวยหรือจนก็อาจจะมองว่าเขากำลังทำกรรมไม่ดีเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่เขาอาจจะทำกรรมดีก็ได้ อย่างอนาถบิณฑิกเป็นเศรษฐีช่วยคน ช่วยเหลือพระศาสนามากจนกระทั่งยากจน อันนี้มันไม่เกี่ยวกับกรรมในอดีตชาติแต่เกี่ยวกับกรรมในปัจจุบัน แล้วเกิดจากการให้ทานซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีน่าอนุโมทนา พระพุทธเจ้าก็สรรเสริญ ที่จริงก็ไม่ได้จนมากเพียงแค่กลับมาพออยู่พอกินเท่านั้นแหละ จากคนที่เป็นมหาเศรษฐีมาพออยู่พอกินมันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
แต่ทีนี้ชาวพุทธเราพูดเรื่องกฎแห่งกรรมเยอะ แต่ว่าความเข้าใจผิดพลาดมีเยอะมากจนกระทั่งทำให้กลายเป็นไม่ทำความดีหรือว่าละเลยการทำความดี นอกจากจะไม่ช่วยคนที่เดือดร้อนแล้ว แม้กระทั่งพ่อแม่เองที่เจ็บป่วยก็เริ่มจะไม่ช่วยแล้ว เริ่มจะทำตัวเหมือนกับพี่สาวของเพื่อนคนนี้ก็คือว่าก็ชีวิตไปตามปกติ แม่ป่วยอย่างไรก็ไม่สนใจให้แต่เงินแล้วก็ให้ตามใจชอบไม่ได้ดูว่ามันมีความจำเป็นที่ต้องให้มากน้อยแค่ไหน อันนี้ก็น่าเป็นห่วงว่าในขณะที่คนปฏิบัติธรรมกันมากขึ้น ๆ แต่ว่าความเข้าใจผิดเรื่องกฎแห่งกรรมมันก็มากขึ้นไปด้วย เพื่อนคนที่แนะนำหรือบอกเพื่อนว่าเธอกำลังใช้กรรมที่ดูแลพ่อแม่ คนนี้ก็เป็นคนสนใจธรรมะ หลายคนพอสนใจธรรมะแล้วความเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมนี่ผิดเพี้ยนหนักกว่าเดิม อันนี้อาจจะเป็นเพราะว่าไปได้รับคำสอนคำแนะนำที่มันผิดพลาดกันมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการกลัวลำบาก พอกลัวลำบากก็เลยไม่กล้าทำอะไร พอทำดีกลายเป็นเรื่องกลัวว่าจะเป็นการใช้กรรมหรือว่าเป็นการทำให้เจ้ากรรมนายเวรโกรธ อันนี้ต้องระมัดระวังมาก
ทีนี้ความเข้าใจคลาดเคลื่อนมีเยอะ แม้กระทั่งเรื่องการทำบุญเวลาจะอุทิศส่วนกุศลไปให้ก็มีคนสอนคนแนะนำว่าอย่าอุทิศส่วนกุศลไปให้ใครมากนัก อย่าไปอุทิศให้กับสรรพสัตว์ เทวดา มาร พรหมณ์มากนัก เพราะว่าเดี๋ยวบุญกุศลของเธอจะน้อยลง ยิ่งให้ยิ่งหมด สอนกันแบบนี้ก็มี อันนี้แสดงว่าไม่เข้าใจเรื่องพระพุทธศาสนาเลย นอกจากไม่เข้าใจแล้วยังแสดงความเห็นแก่ตัวด้วย ก็คือว่างกแม้กระทั่งบุญ ไม่ยอมให้ อันนี้เป็นเพราะว่าไปคิดว่าบุญเหมือนกับเงินคือว่ายิ่งให้ยิ่งหมด แต่ที่จริงแล้วบุญกับเงินมันต่างกันเยอะ บุญนี่ยิ่งให้ยิ่งได้ มันมีบุญชนิดหนึ่งเรียกว่า ปัตติทานมัย ก็คือบุญที่เกิดจากการอุทิศส่วนกุศลไปให้ แปลว่ายิ่งให้ยิ่งได้ แล้วคนที่สอนว่าอย่าไปให้อุทิศบุญกุศลคนอื่นมาก อันนี้แสดงว่าไม่เข้าใจเรื่องบุญในพุทธศาสนาซึ่งเป็นคำสอนพื้นฐานเลย แล้วก็มีความเห็นแก่ตัวเป็นเจ้าเรือน เพราะฉะนั้นก็เลยไม่ยอมให้ไม่ยอมแบ่งปัน อันนี้ก็น่าเป็นห่วงว่าความเข้าใจผิด เดี๋ยวนี้มันก็แทรกซึมในหมู่ชาวพุทธมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งการทำดีกลาย เป็นของไม่ดีไป การทำไม่ดีกลายเป็นของดีไป