แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก เดี๋ยวนี้มีคนสังเกตหรือเปล่าว่าเด็กขายหนังสือพิมพ์ตามสี่แยกในกรุงเทพฯไม่มีเลยก็ว่าได้ แต่ก่อนนี้ตามสี่แยกก็จะมีเด็กขายหนังสือพิมพ์อยู่เยอะแยะ เดี๋ยวนี้หายไปไหนหมด ก็เป็นเพราะคนไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์กันแล้วอ่านกันน้อยมาก นิตยสารที่มีชื่อหลายแห่งเคยขายดิบขายดีตอนนี้ก็ต้องปิดตัว โทรทัศน์คนก็ดูกันน้อยลง แม้แต่โทรทัศน์ดิจิทัลก็ไม่ได้รับความนิยมอย่างที่คิดเพราะคนไปดูหนังผ่านโทรศัพท์มือถือผ่านแท็บเล็ต โทรศัพท์สาธารณะเดี๋ยวนี้ก็แทบจะหาไม่ได้แล้ว ต่อไปโทรศัพท์บ้านก็จะสูญพันธุ์ไปด้วย แม้แต่รถที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันไม่แน่อีก 20 ปีก็จะหายไปจากท้องถนนเหมือนกัน ตอนนี้หลายประเทศในยุโรปมีแผนเลยว่าภายใน 10 ปีบางแห่งก็ 8 ปีจะงดผลิตงดขายรถที่ใช้น้ำมัน ต่อไปก็จะห้ามใช้ขับเคลื่อนบนถนนเลย เพราะอะไร เพราะมีรถไฟฟ้า รถไฟฟ้านี้กำลังจะเข้ามาแทนที่รถที่ขับด้วยน้ำมัน
ตอนที่อาตมาไปนอร์เวย์เมื่อสองเดือนก่อนก็เห็นรถจอดเรียงเป็นแถวและมีสายไปเชื่อมติดอยู่กับเสา ถามเขาว่าอะไร เขาบอกว่าเป็นการชาร์ตแบตเตอรี่ก็คือรถไฟฟ้าเขาชาร์ตเอาไว้ เดี๋ยวนี้มันเจริญมาก แบตเตอรี่รถไฟฟ้าทุกวันนี้สามารถจะขับเคลื่อนรถเป็นพันกิโลได้ในการชาร์ตเพียงครั้งเดียว ไกลนะพันกิโล กรุงเทพ-หาดใหญ่ แค่ชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็มครั้งเดียวไปได้ถึงเลย เพราะอย่างนั้นต่อไปรถที่เราเห็นที่ขับด้วยน้ำมันก็จะหายไปแล้วค่อย ๆ หายไปแบบไม่ทันรู้ตัวเหมือนกับเด็กขายหนังสือพิมพ์ ยิ่งกว่านั้นต่อไปรถที่ไม่มีคนขับก็คงจะมาแทนหรือว่าเห็นเกลื่อนกลาดเต็มถนนเหมือนกันอาจจะภายใน 20 ปีข้างหน้าหรืออาจจะเร็วกว่านั้น รถที่ไม่มีคนขับตอนนี้ก็เริ่มทดลองใช้แล้ว อันนี้คือความเปลี่ยนแปลงของโลกที่มันเร็ว ซีดี แผ่นซีดีที่เราใช้ฟังธรรมะกันอีกไม่นานก็คงจะเลิกผลิตแล้วเพราะคนไม่ค่อยใช้กันแล้ว คนเวลาจะฟังธรรมะก็ไปโหลดเอาทางยูทูปทางอินเทอร์เน็ต เครื่องเล่นซีดีตอนนี้ก็หายากขึ้นเรื่อย ๆ คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ ตอนนี้ก็ไม่มีที่ใส่ซีดีแล้ว ที่มีอยู่ก็น้อยมาก
อะไรที่เราคิดว่ามันเป็นของทันสมัยมันจะล้าสมัยในเวลาไม่นาน เร็วมาก ชีวิตคนเราเอาแค่ 10 ปีข้างหน้านี่คงจะเปลี่ยนไปเยอะ ตอนนี้ก็เริ่มมีการคุยกันแล้วว่า ใน 20 ปีข้างหน้าคนคงจะตกงานกันเยอะมากเพราะว่ามันมีหุ่นยนต์ มันมีปัญญาประดิษฐ์ เขาเรียกว่า “AI” (เอไอ) ที่กำลังจะมาแทนที่คน ตามโรงงานต่าง ๆ เขาก็ใช้หุ่นยนต์กันเยอะแล้ว คนก็ไปทำงานด้านอื่นแทน แต่ว่างานที่ไปทำแทน เช่น งานบัญชีหรืองานที่ใช้สมอง ปัญญาประดิษฐ์ก็จะมาแทน เดี๋ยวนี้ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการวินิจฉัยโรคได้แล้ว ใช้ปัญญาประดิษฐ์เขียนสำเนา เขียนคำแถลงสำหรับทนายความ สำนวนกฎหมาย แต่ก่อนต้องใช้คนต้องใช้ทนายความแต่ว่าต่อไปไม่ต้องใช้แล้ว ทนายความไม่ต้องมาทำงานด้านนี้แล้ว เอไอ ปัญญาประดิษฐ์จะมาแทน เดี๋ยวนี้มันเขียนนิยายก็ได้แล้ว มันแต่งเพลงก็ได้แล้ว แล้วเพลงก็ไพเราะด้วย เพราะมันไปวิเคราะห์จากเพลงดัง ๆ ที่คนนิยมกัน แล้วมันก็จะหาหลักว่าคนนิยมเพลงดัง ๆ นี้ที่เป็นที่นิยมได้อย่างไร มันก็แต่งตามสูตรนั้น เพราะฉะนั้นต่อไปนักแต่งเพลงก็ตกงานกัน
ในอเมริกาเขากะประมาณว่าอาชีพที่เป็นแรงงานจะเป็นไร้ฝีมือหรือมีฝีมือก็แล้วแต่ 80 เปอร์เซ็นต์จะตกเป็นของเครื่องจักรหรือปัญญาประดิษฐ์แทน ก็คือตกงานนั่นเอง 80 เปอร์เซ็นต์ตกงานภายใน 20 ปีข้างหน้า แล้วก็อาชีพทั้งหมดประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ก็จะตกงานในช่วงเวลาเดียวกัน หมายความว่านอกจากกรรมกรมีฝีมือหรือไม่มีฝีมือแล้ว อาชีพอื่นที่เคยใช้หัวสมอง เช่น พนักงานบัญชี พนักงานธนาคารหรือว่าทนายความในบางเรื่องบางตำแหน่งก็จะต้องยกให้ปัญญาประดิษฐ์ทำงานแทน การวินิจฉัยโรคต่อไปก็ไม่ต้องใช้หมอ ปัญญาประดิษฐ์ทำงานแทน 47 เปอร์เซ็นต์หรือเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์อาชีพนี้จะหายไปเลย เครื่องยนต์หรือว่าปัญญาประดิษฐ์มาทำงานแทน แล้วคนที่ถูกเครื่องจักรหุ่นยนต์หรือปัญญาประดิษฐ์มาทำงานแทนนี้จะทำงานอะไรจึงจะมีรายได้มีเงินในเมื่อหน้าที่อาชีพต่าง ๆ หรือแม้แต่ขับรถก็ไม่ต้องใช้แล้วคนขับรถแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงครอบครัวมาเลี้ยงตัว
ตอนนี้ก็เริ่มมีการพูดกันแล้วว่าควรจะมีการให้เงินกับประชาชนทุกคนเลยเปล่า ๆ เรียกว่าเป็นรายได้พื้นฐานที่พอทำให้มีชีวิตอยู่ได้ ทุกวันนี้เรามีค่าแรงขั้นต่ำแต่รายได้พื้นฐานหรือ basic income นี้ก็มีข้อเสนอพูดกันหนาหูมากขึ้นว่าประชาชนทุกคนต้องได้รับจากรัฐเพราะว่าคนส่วนใหญ่จะไม่มีงานทำหรือถึงมีงานทำก็เป็นงานที่รายได้ไม่มาก ฉะนั้นถ้าปล่อยให้คนพวกนี้ยากจนไม่มีรายได้หรือมีรายได้น้อยเดี๋ยวสังคมมันวุ่นวาย เพราะฉะนั้นรัฐบาลก็ต้องมีหน้าที่ให้เงินกับประชาชนเปล่า ๆ เลย
อันนี้ก็คล้าย ๆ กับการมีบริการสุขภาพให้เปล่า ในเมืองไทยเราก็มีสุขภาพถ้วนหน้า ใครไปโรงพยาบาลก็มีหลักประกันพื้นฐานว่าไม่ต้องเสียเงินก็ได้และได้รับบริการจากรัฐในด้านสาธารณสุขเปล่า ๆ ถ้าไม่เกินเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ต่อไปก็คงต้องมีการจัดรายได้พื้นฐานให้กับประชาชนทุกคนที่อยู่ในวัยทำงานคือได้ฟรี ๆ เลย อันนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องตลกแต่ตอนนี้เขาคิดกันจริงจังมาก ในอเมริกาเริ่มมีทำโครงการโดยธุรกิจเอกชนไม่ใช่รัฐบาลจ่ายเงินให้กับประชาชน เขาเลือกมาประมาณ 100 ครอบครัวในอเมริกาแล้วให้เงินไปเลยเปล่า ๆ ประมาณเดือนละ 1,500 เหรียญไม่ว่าใครจะทำงานหรือไม่ทำงานก็ให้ไปเลย แล้วก็ให้สักระยะหนึ่งเพื่อทำการศึกษาวิจัยว่าการให้เงินเปล่า ๆ แก่ประชาชนนี้มันจะมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ตอนนี้มีการใช้นโยบายนี้ในหลาย ๆ ประเทศ ในอินเดีย ในเคนย่า อย่างในเคนย่าเขาเลือกมาประมาณ 6,000 คนแล้วให้เงินเปล่า ๆ เลย ให้กับชาวบ้านที่ยากจนครอบครัวละ 700 บาทหรือ 22 เหรียญ เขากะว่าจะให้ทุกเดือน 12 ปีเพื่อศึกษาดูว่าการให้เงินเปล่า ๆ กับประชาชนที่ยากจนมันจะมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง ทีแรกก็คิดว่าคนที่ได้เงินโดยเฉพาะคนยากจนคงจะเอาเงินไปซื้อเหล้า ไปเล่นหวย ไปเล่นการพนัน ไปแทงม้า อะไรอย่างนี้ แต่ที่เขาวิจัยพบว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น คนก็เอาเงินที่ได้ไปซื้อเครื่องมือทำมาหากินอาจจะไปซื้อรถมอเตอร์ไซค์แล้วก็เอามาใช้ในการทำอาชีพ บางทีก็ทำให้เขามีอาหารกินเพิ่มขึ้นมีเงินซื้ออาหารให้ลูกมากขึ้น ลูกที่ต้องไปทำงานก็ไม่ต้องทำงานแล้ว ไปเรียนหนังสือ พ่อแม่ก็มีรายได้เพิ่มขึ้นมา นี่ก็เป็นตัวอย่างว่าตอนนี้คนกำลังพูดกันมาก กำลังถือเป็นเรื่องจริงจังมากว่าในอนาคตเมื่อคนตกงานการที่ให้คนมีรายได้พื้นฐานแบบได้เงินฟรี ๆ จากรัฐบาลมันจะมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง
อันนี้ก็เป็นความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เราอาจจะนึกไม่ถึงว่ามันจะมาถึงจุดนี้ในเร็ว ๆ นี้ว่าคนไม่ต้องทำงานก็ได้เงินแต่ถ้าทำงานมันก็เรียกว่ามีรายได้เสริมเข้ามา สมัยก่อนเราคิดว่าการแจกเงินให้กับประชาชนเป็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นสิ่งที่อาจทำให้เกิดผลเสีย แต่ตอนนี้เขาไม่คิดอย่างนั้นแล้วเพราะว่าการวิจัยในหลายประเทศพบว่ามันดีกว่าการเอาของไปให้ประชาชน เอาของไปให้ชาวบ้านนี่บางทีก็ไม่รู้ว่าเขาใช้หรือเปล่าให้เงินไปเลยง่าย ๆ ดี อันนี้ก็กำลังเกิดขึ้นทั้งในประเทศที่ยากจนและประเทศที่ร่ำรวย เขากำลังศึกษาอยู่ เมืองไทยไปถึงตรงนั้นก็คงอีกหลายปี
ที่พูดมานี่เพื่อที่จะบอกว่าตอนนี้โลกมันเปลี่ยนแปลงเร็วมากหลายสิ่งหลายอย่างที่เรานึกไม่ถึงหรือคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันกำลังจะเป็นไปได้เร็ว ๆ นี้ และสิ่งที่เราคุ้นเคยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องทันสมัยต่อไปจะเป็นของที่ล้าสมัยในเวลาไม่นาน เช่น รถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ภายในรุ่นของเรา คือภายใน 10-20 ปีนี้ก็จะเห็นว่ากลายเป็นของล้าสมัยไปแล้วหรือว่าใช้กันน้อย แต่ว่าสิ่งที่ไม่ล้าสมัยไม่เคยตกรุ่นเลยไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็คือ ธรรมะ ธรรมะนี้เช่น ความดี ความมีน้ำใจเกื้อกูล มันทันสมัยตลอดเวลาไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน สมัยพุทธกาล 2,600 ปีหรือถอยหลังไปไกลกว่านั้น สมัยอียิปต์ก็ได้ 5,000 ปีคุณธรรมความมีน้ำใจ เมตตากรุณามันเป็นสิ่งสำคัญ สำคัญอย่างไรในสมัยนั้นเดี๋ยวนี้ก็สำคัญอยู่แล้วก็จะสำคัญมากขึ้นเพราะคนเรานี้ไม่ว่าจะมีเทคโนโลยีก้าวหน้าแค่ไหนเราก็ต้องอยู่ร่วมกัน และการอยู่ร่วมกันนี้ถ้าหากว่าคนไม่มีน้ำใจไม่มีศีลไม่มีคุณธรรมมันก็อยู่ไม่ได้ สมัยพุทธกาลคนมีคุณธรรมจำเป็นอย่างไรที่ช่วยให้สังคมอยู่สงบสุข สมัยนี้ก็เช่นกัน
ไม่ว่าโลกจะพัฒนาไปอย่างไรรวดเร็วแค่ไหน คนก็ยังรักสุขเกลียดทุกข์และคนก็ยังต้องมีความทุกข์ ทุกข์กายอาจจะน้อยลงแต่ว่าทุกข์ใจไม่เคยน้อยลงเลย ความโศกความ ร่ำไรรำพัน ทุกข์โทมนัส ความคับแค้นใจ รวมถึงความเจ็บ ความป่วย ความแก่ ความพลัดพรากสูญเสีย และความตาย ยังต้องเกิดขึ้นกับคนทุกคนและคนทุกยุคทุกสมัย เพราะฉะนั้นถ้าหากคนไม่มีธรรมะ นอกจากไม่มีน้ำใจไม่มีความเอื้อเฟื้อแล้ว ไม่มีสติ ไม่มีปัญญามันก็จะหลุดพ้นหรือออกจากความทุกข์ใจไม่ได้ แม้จะสุขกายสะดวกสบายมากมาย แต่ถ้าไม่มีธรรมะเป็นเครื่องกำกับความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้อื่นแล้วก็เป็นเครื่องรักษาใจมันก็หาความสุขได้ยาก ความต้องการในทางวัตถุของคนเราก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ 10 ปีก่อนไม่มีใครต้องการโทรศัพท์มือถือไม่มีใครต้องการแท็บเล็ต แต่เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นของจำเป็นขึ้นมาแล้ว เพราะรู้จัก แต่ก่อนที่ไม่ต้องการเพราะไม่เห็นไม่รู้จัก พอเห็นแล้วก็อยากได้ แต่ต่อไปสิ่งเหล่านี้ก็จะกลายเป็นของล้าสมัย เราก็จะไปแสวงหาสิ่งอื่นมาแทน แต่ว่ามันก็ยังหนีทุกข์ไม่พ้นหากว่าเราไม่มีธรรมะ
ความสุขของคนเราต้องอาศัย 2 อย่างเป็นเรื่องความสัมพันธ์ 1) หนึ่งสัมพันธ์กับผู้อื่น 2) สัมพันธ์กับตัวเอง สัมพันธ์กับผู้อื่นก็คือความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ความมีน้ำใจ การไม่เบียดเบียน สัมพันธ์กับตัวเองก็คือการรักตัวเอง รู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง เป็นมิตรกับตัวเองได้ คนสมัยนี้มีอะไรมากมาย สามารถติดต่อกับคนข้ามทวีปได้อย่างรวดเร็ว แต่ว่าก็ยังทุกข์เพราะว่าเหินห่างกับคนในบ้านไม่มีเวลาพูดคุยกันเอาแต่ก้มหน้าดูจอโทรทัศน์ดูจอแท็บเล็ต ขณะเดียวกันก็แปลกแยกกับตัวเองด้วย แปลกแยกกับตัวเอง ไม่เข้าใจตัวเอง ไม่รักตัวเอง รังเกียจตัวเอง อยู่คนเดียวก็กระสับกระส่าย อันนี้เรียกว่ามีปัญหาความสัมพันธ์กับตัวเอง
ธรรมะนี้มันช่วย 2 อย่าง ช่วยทำให้เราสัมพันธ์กับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น นำความสุขมาให้ ขณะเดียวกันก็ทำให้เราอยู่กับตัวเองได้อย่างมีความสุขได้พบกับความสงบ ทุกวันนี้โลกมันจะพัฒนาไปแค่ไหนแต่คนก็ต้องการความสุขและความสุขอย่างหนึ่งที่คนต้องการคือความสงบใจ เดี๋ยวนี้ความสงบกลายเป็นของหายาก หายากขึ้นเรื่อย ๆ ไปที่ไหนก็มีแต่เสียงดัง บางทีก็ไม่ใช่เสียงที่ทำให้ไม่สงบ ข้อมูลข่าวสารข้อความต่าง ๆ พวกนี้บางทีไม่มีเสียงเป็นแค่ตัวอักษร แต่พอเราเห็นแล้วเราก็ร้อนเราก็โกรธเราก็ว้าวุ่นขุ่นมัว เห็นข้อความทางโทรศัพท์มือถือทางแท็บเล็ตที่มันมาตามสัญญาณอินเทอร์เน็ต เดี๋ยวนี้ทุกหนแห่งก็มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต ข้อความข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ทั้งบวกและลบทั้งข่าวลือข่าวลวงมันก็พรั่งพรูมาสู่การรับรู้ของเรา
แม้จะอยู่ในที่ที่เงียบสงบไม่มีเสียงดังแต่จิตใจมันว้าวุ่น เพราะว่าไปเจอไปเห็น ไปรับรู้ข้อมูลข่าวสารเหล่านั้น และเดี๋ยวนี้คนปิดไม่ได้ โทรศัพท์มือถือนี่ปิดไม่ได้ ไม่อยากปิด มันปิดไม่ลง เปิดทั้งคืนเลย หรือมิฉะนั้นพอตื่นขึ้นมาอย่างแรกที่ทำก็คือการเช็คข้อความ ขณะที่ปากก็บอกว่าต้องการความสงบต้องการความสงบแต่พฤติกรรมมันล้วนแล้วแต่ไปทำลายความสงบในจิตใจทั้งสิ้น เพราะว่าตกเป็นทาสของข้อมูลข่าวสารตกเป็นทาสของโทรศัพท์มือถือ เวลาทำงานถ้าเกิดเอาโทรศัพท์มาวางบนโต๊ะข้างหน้าแม้จะคว่ำไม่เห็นจอแต่ใจก็พะวง เคยมีการทดลองว่าให้ทำงานให้แก้โจทย์ง่าย ๆ โดยมีโทรศัพท์วางไว้ข้างตัวหรือวางไว้บนโต๊ะ แม้จะคว่ำหน้าแต่ปรากฏว่าพะวงไม่ค่อยมีสมาธิต่อเนื่องในการแก้โจทย์ เขารู้ได้อย่างไร เขารู้เพราะมีการเปรียบเทียบกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง เอาโทรศัพท์ไปวางไว้อีกห้องหนึ่งไม่ให้เห็นเลย กลุ่มนี้ทำโจทย์ได้ดีกว่า แสดงว่าสมาธิดีกว่าเพราะว่ามันไม่ใช่โจทย์ยาก แค่อาศัยสมาธิก็ทำได้ ทำโจทย์ได้ดีกว่าเพราะมีสมาธิ ส่วนกลุ่มที่มีโทรศัพท์มือถือวางไว้ข้างหน้าแม้จะคว่ำแต่ว่าสมาธิมันไม่ต่อเนื่องเพราะคอยพะวงว่าเดี๋ยวมีข้อความอะไรเข้ามาไหม นิสัยที่มันอยากจะพลิกดูข้อความ เพราะเดี๋ยวนี้เราพลิกดูข้อความหรือเปิดดูข้อความนี่เฉลี่ยแล้วนี่ทุก 6 นาทีเลยหรืออาจจะมากกว่านั้นทุก 3 นาทีพอวางไว้ไม่ถึง 2 นาที มันก็จะอยากดูละเดี๋ยวมีข้อความอะไรเข้ามาไหมหรือแม้แต่ความพยายามสะกดใจว่าอย่าไปเปิดดู แค่นี้ก็ไม่มีสมาธิแล้ว นี่คือความไม่สงบในจิตใจที่อาจจะเกิดขึ้นแม้จะอยู่ในห้องที่ไม่มีเสียงรบกวนเลย
ทุกวันนี้ความสงบเป็นสิ่งที่หาได้ยาก และก็ราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ จะไปในที่ที่สงบไม่มีสัญญาณมือถือ สัญญาณโทรศัพท์เลยนี่หายากมาก เดี๋ยวนี้คนก็แห่กันไป ไปพักในช่วงเวลาศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ลองวีคเอนด์ ก็ไปพักในที่ที่เป็น รีสอร์ตหรือโรงแรมที่ไม่มีสัญญาณเพราะเขาตัดสัญญาณหรือกันสัญญาณไม่ให้เข้ามา คนเป็นลูกค้ารีสอร์ตหรือโรงแรมแบบนี้เยอะนะคนรวย ๆ ทั้งนั้น พวกนี้ที่จริงก็ไม่ได้ยากอะไรแค่ปิดโทรศัพท์เท่านั้นแหละ แต่นี่ปิดไม่ได้ปิดไม่เป็น ถ้ามีโทรศัพท์ทีไรก็อยากจะเปิด บังคับตัวเองไม่ได้ก็เลยต้องอาศัยไปอยู่ที่ที่มันไม่มีสัญญาณจ่ายเงินเพิ่ม ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปเร็วอย่างไรความสงบทั้งทางกายคือ ไม่มีเสียงดัง และความสงบในจิตใจเป็นสิ่งที่ไม่เคยล้าสมัย และยิ่งจะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ และเราจะสงบใจได้อย่างไรมันก็ต้องมีธรรมะ มีสติ มีปัญญา รักษาใจ มีสติรู้ทันอารมณ์ที่มากระทบ ใจกระเพื่อมก็มีสติ รู้จักวางอารมณ์นั้น ไม่ว่าอารมณ์ที่เห็นทางตาคือ รูป อารมณ์ที่ได้ยินทางหูคือ เสียง รวมทั้งอารมณ์ที่มันนึกขึ้นมาในใจ เช่น ธรรมารมณ์ ถ้าไม่มีสติมันก็ทำให้ใจกระเพื่อม พอใจกระเพื่อมปุ๊บก็ไม่สงบแล้วโดยเฉพาะกระเพื่อมลงหรือว่ามีความยินร้าย
สติยังช่วยทำให้เรารู้จักเสพพอประมาณ รู้จักประมาณในการเสพในการบริโภค ไม่ว่าจะบริโภคทางปากหรือบริโภคทางตาก็คือหนังหรือว่าข่าวสาร เดี๋ยวนี้มีสิ่งล่อตาล่อใจเยอะ ทุกวันนี้เราสามารถดูหนังตลอด 24 ชั่วโมงหนังเรื่องใดในโลกนี้เพียงแต่เราสมัครจ่ายเงินเป็นรายเดือนให้กับเน็ตฟลิกซ์ให้กับที่นั่นที่นี่บ้างเดือนละ 300 ก็ดูได้ 24 ชั่วโมง เรื่องไหนก็ได้ ซีรีส์ไหนก็ได้ เคยมีคนถามซีอีโอของเน็ตฟลิกซ์ซึ่งเป็นผู้จัดหาหนังทุกประเภททุกประเทศด้วยให้กับผู้บริโภค ถามว่าอะไรคือคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของเน็ตฟลิกซ์ ซีอีโอเน็ตฟลิกซ์บอกว่า คู่แข่งสำคัญก็คือเวลานอนของทุกคน หมายความว่าถ้าทุกคนนอนก็จะไม่มีใครเปิดดูเน็ตฟลิกซ์ เขาไม่กลัวคู่แข่งอื่น HBO, Amazon เขาไม่กลัว เขากลัวเวลาหลับของเรา เพราะถ้าเราหลับก็จะไม่มีทางดูรายการของเขาได้เลย เพราะงั้นเขาก็ต้องหาทางให้เราหลับน้อยลงตื่นมากขึ้น ถ้าเราตื่นเมื่อไหร่เขาก็จะยั่วให้เราชักชวนให้เราไปเปิดดูรายการของเขาจ่ายเงินให้เขา เพราะถ้าเราดูมากก็จ่ายเงินมาก เขาไม่กลัวคู่แข่ง เขากลัวว่าเราจะหลับ
เพราะฉะนั้นเขาจึงหาทางปลุกหรือกระตุ้นให้เราตื่น คนเดี๋ยวนี้นับวันแม้กระทั่งเวลาหลับก็จะน้อยลงไปเรื่อย ๆ เพราะมีสิ่งยั่วยุมาก หลายคนติดซีรีส์ ทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น อเมริกัน อังกฤษ มีคนนึงปรารภว่านิพพานก็อยากได้ แต่ทำอย่างไรมันติดหนังเกาหลีซีรีส์เหลือเกิน อยากจะได้นิพพานแต่ว่าเลิกไม่ได้เกาหลีซีรีส์ อันนี้เป็นปัญหาของนักปฏิบัติธรรม นิพพานก็อยากได้ ไม่ต้องนิพพานเอาความสงบก็ได้ ความสงบก็อยากได้ แต่ว่ามันติดหนังทำอย่างไร ดูตั้งแต่หัวค่ำจนสว่างเลยไม่มีเวลาภาวนา มันติดในความสนุกสนานน่าติดตามเพราะเดี๋ยวนี้หนังเขาทำให้มันน่าติดตาม แม้หนังจะมีตอนละชั่วโมงแต่ดูจบแล้วก็อยากดูต่อ บางคนก็ติดสามก๊ก 50 ตอน 100 ตอน มีบางคนดูตลอดเลยดูติด ๆ กันเลยทั้งวัน 24 ชั่วโมงไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยแล้วก็ยังไม่จบด้วยไปต่ออีกวันรุ่งขึ้น อย่างนี้อย่าว่าแต่ความสงบใจเลยแม้แต่สุขภาพก็คงจะไม่ไหว
นี่เป็นความทุกข์ของคนสมัยนี้มันมีสิ่งที่ยั่วยวนมากมายที่หักห้ามใจไม่ได้ ที่จริงหักห้ามใจได้ถ้าหากว่ามีสติ มีขันติ และมีปัญญา ปัญญาคือเห็นโทษของมันว่ามันเป็นของที่ไม่ได้ให้ความสุขอย่างเที่ยงแท้มันมีโทษอย่างไรบ้าง แล้วก็ต้องมีสติในการที่จะรู้ทันความอยากและก็ไม่หลงไม่หลงเสพจนมึนเมา เดี๋ยวนี้ความมึนเมามันไม่ได้เกิดจากเหล้าไม่ได้เกิดจากยาอย่างเดียว มันเกิดจากความบันเทิงที่เขาทำได้อย่างน่าติดตามมากจนลืมตัว ดูแล้วลืมตัวต้องดูต่อตอนที่ 1 จบดูตอนที่ 2 จบ 3 ต่อ 3 ต่อจะนอนก็นอนไม่ได้อยากจะรู้ตอน 4 เป็นอย่างไร สุดท้ายก็ต้องดูต่อทั้งคืนจนสว่างต่อตอนเช้าอีก น่าสงสารคนสมัยนี้มันถูกล่อถูกหลอก
เพราะฉะนั้นสติและปัญญาสำคัญมากจึงจะรักษาตัวให้รอดได้และนำพาให้เรามีความสุขมีความสงบใจ นี่ยังไม่ได้พูดถึงว่าถ้าไม่มีสติแล้วอาจจะหาเรื่องใส่ตัวได้ง่าย ๆ ไม่ใช่แค่ไปเสพความบันเทิงจนไม่มีเวลาพักผ่อน บางทีไปเจอข้อความอะไรทางเฟสบุคเห็นแล้วโกรธไม่พอใจหรือเห็นเรื่องราวของใครบางคนที่ไม่ถูกใจเรา เราก็เขียนด่าพิมพ์ข้อความลงไป เดี๋ยวนี้ยังพิมพ์ข้อความ ต่อไปไม่ต้องพิมพ์แล้ว พูดใส่โทรศัพท์เลย โทรศัพท์มันพิมพ์ขึ้นมาเองเดี๋ยวนี้มีโปรแกรมนี้แล้วไม่ต้องพิมพ์ พูดไปเลยมันจะเปลี่ยนเป็นข้อความ ถ้าพูดดีก็ดีไปแต่ถ้าไปด่าเขาเกิดเรื่องเลย บางทีไม่พอใจก็คีย์พิมพ์หรือพูดด่า บังเอิญเป็นดารา คนอ่านเขาก็ไม่พอใจเขาก็ด่ารุมประณาม บางทีเผลอพูดไปด้วยอารมณ์ อารมณ์ก็มีอารมณ์หลายแบบ อารมณ์โกรธ อารมณ์คะนองหรือว่าดูถูกเหยียดหยาม พูดไปแล้วเดือดร้อนตามมาเพราะว่ามีคนเขาไม่พอใจอันนี้เราก็เห็นอยู่
สมัยนี้ จำเป็นต้องมีสติมากในการใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต อาตมาเรียกว่าเป็นอันตรายที่ปลายนิ้วเพราะว่าถ้าพิมพ์อะไรสุ่มสี่สุ่มห้าเดือดร้อนบางทีเสียอนาคตเลย แล้วพวกนี้มันไม่ใช่แค่เดือดร้อนวันสองวัน บางทีมันเก็บสะสมเป็นปี ๆ วันนี้พิมพ์ไปอาจไม่มีคนสนใจเพราะว่ายังไม่ดัง แต่พอผ่านไป 10 ปีพอดังขึ้นมาหรือพอเริ่มจะไปทำงานเขาก็จะสืบประวัติจะค้นว่าเรามีทัศนคติอย่างไร มีความคิดอย่างไร พิมพ์ข้อความอะไรที่มันน่ารังเกียจไหม เขาก็จะตามหาสิ่งที่เรียกว่ารอยนิ้วมือดิจิทัล digital fingerprint รอยนิ้วมือเหมือนกับหารอยนิ้วมือเพื่อตามหาอาชญากรเขาก็ดูรอยนิ้วมือ แต่ทีนี้รอยนิ้วมือของคนเรามันประทับไว้อยู่ในคอมพิวเตอร์ในฐานคอมพิวเตอร์ พูดอะไรไปเขียนอะไรไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วเขาสาวสืบหาได้หมด เขาก็ไปสืบว่าเราเคยพูดดูถูกเหยียดหยามผู้หญิง เคยไปดูถูกคนดำ ไปพูดเชิดชูสนับสนุนความรุนแรง อันนี้เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจในหลายประเทศ เขารู้เขาก็โจมตี บางทีถ้าไปสมัครงานเขาก็ไม่รับ เพราะฉะนั้นต้องระวัง บางคนพูดอะไรไปดูเหมือนธรรมดา ๆ แต่คนทำใจไม่ได้เขาก็ด่า มีดาราอิตาลีคนหนึ่งเป็นผู้หญิงพูดทำนองสนับสนุนรักร่วมเพศปรากฏว่าคนรุมด่าคนอิตาลี เธอเสียผู้เสียคน สุดท้ายฆ่าตัวตาย เครียดมาก อันนี้เป็นอันตรายที่ปลายนิ้วที่เกิดขึ้นได้เมื่อไม่มีสติ
เพราะฉะนั้นสติสำคัญมากสำหรับโลกยุคนี้ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงเร็วแค่ไหนสติปัญญาและธรรมะจะยังสำคัญและจะสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ