แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ที่วัดป่าสุคะโตสมัยก่อน บริเวณด้านหน้าของศาลาหน้านี้จะมีหินอยู่แผ่นหนึ่งมีข้อความว่า “ที่นี่ไม่มีคนแปลกหน้า มีแต่มิตรที่เพิ่งรู้จัก” เดี๋ยวนี้หินแผ่นนั้นก็สูญหายไปแล้ว แต่ว่าข้อความนี้ก็ยังเป็นข้อเตือนใจ หรือคำบอกกล่าวที่ยังมีความหมายอยู่จนทุกวันนี้ เวลาพวกเราแต่ละคนมาที่วัดป่าสุคะโต แม้ว่าจะมากันจากคนละทิศคนละทาง มีภูมิหลังแตกต่างกัน หลายคนเพิ่งมาเจอกันที่นี่เป็นครั้งแรก ก็ให้ถือว่าคนที่เราได้มาพบปะกันที่นี่ ล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนของเรา ข้อความนี้ยังมีความหมายรวมไปถึง พระ หรือแม่ชี หรือว่าผู้ที่อยู่ประจำที่นี่ ก็ล้วนแล้วแต่มีใจเป็นมิตรกับพวกเรา
แม้จะไม่เคยได้รู้จักกันมาก่อน เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก แต่ก็ให้ถือว่าเป็นเพื่อนกัน หลวงพ่อคำเขียนท่านพูดอยู่เสมอว่า ให้ถือว่าเป็นบ้านของเรา คำว่าบ้านของเราย่อมหมายความว่า ผู้ที่อยู่ด้วยกันที่นี่ไม่ใช่เป็นแค่เพื่อนเท่านั้น แต่เป็นถึงขั้นพี่น้องเลย ให้เรารู้สึกว่าผู้คนที่เราได้พบปะกันที่นี่ ไม่ว่าจะเพิ่งมาก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่อยู่มานานก็ตาม เช่น พระ แม่ชี หรือว่าผู้ปฏิบัติ อุบาสก อุบาสิกา เป็นกัลยาณมิตรของพวกเรา ที่จริงมิตรที่เพิ่งรู้จักไม่ได้มีแต่คนเท่านั้น ธรรมชาตินี่ก็อยากให้เรามองให้เห็นเป็นมิตรของเราเหมือนกัน เป็นเพื่อนของเรา หลายคนไม่เคยมาอยู่ป่า ไม่เคยมา นอนป่า หรือว่าไม่เคยมาสัมผัสกับวัดป่า ที่นี่บางส่วนก็เป็นเหมือนกับชุมชนน้อย ๆ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังมีสภาพเป็นป่าอยู่ เรียกว่าเป็นชุมชนท่ามกลางป่า เวลานึกถึงป่าเราอาจจะนึกไปถึงพวกสัตว์ต่าง ๆ ที่เราไม่คุ้นเคย รวมทั้งงูเงี้ยวเขี้ยวขอ สัตว์มีพิษต่าง ๆ พอคิดไปแล้วก็เกิดความกลัว
แต่ที่จริงธรรมชาติที่นี่ ก็เป็นมิตรกับพวกเราเหมือนกัน เขาก็ช่วยกันทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นป่า ทำให้วัฏจักรของธรรมชาติที่นี่อยู่ได้ สัตว์ทุกชนิดต่างทำหน้าที่ของตัวทั้งนั้น แม้แต่งู เขาก็มีหน้าที่ของเขา เพราะถ้าไม่มีงูก็อาจมีสัตว์บางชนิดแพร่พันธุ์มาก ทำให้เสียสมดุลไป เช่น อาจจะมีหนูเยอะ พอหนูเยอะก็ทำให้สมดุลในธรรมชาติ แม้กระทั่งในป่า เล็ก ๆ อย่างที่นี่เปลี่ยนไป สัตว์ทุกชนิดสัตว์ทุกตัวเขาก็ทำหน้าที่ และหน้าที่โดยรวมก็ทำให้ป่าแห่งนี้ดำรงอยู่ได้ เมื่อมีป่า ก็มีบรรยากาศที่เอื้อต่อการปฏิบัติ แล้วสัตว์เหล่านี้ก็ไม่ได้คิดจะมารบกวนเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาที่นี่ ให้มาด้วยความรู้สึกปลอดภัย มอบความไว้วางใจ ไม่ใช่กับเฉพาะคนที่เราเพิ่งพบเห็นเท่านั้น ให้ความไว้วางใจแม้กระทั่งกับธรรมชาติ อยู่ไป ๆ จะรู้สึกเป็นมิตรกับธรรมชาติที่นี่ อยู่ไป ๆ หลายคนที่เคยกลัวตุ๊กแกจะเริ่มเป็นมิตรกับตุ๊กแก จะพบว่าตุ๊กแกไม่ใช่สัตว์แปลกหน้า มันก็เป็นมิตรที่เพิ่งรู้จักเหมือนกัน
ในการมาอยู่ป่าที่นี่ อยู่ที่วัดป่าสุคะโตเปิดโอกาสให้เราได้รู้จักเพื่อนใหม่ ๆ เยอะ และเพื่อนใหม่ที่สำคัญ ที่เราน่าจะรู้จัก และควรจะรู้จักนานแล้ว แต่ก็ไม่สายเกินไปที่เพิ่งมารู้จัก ก็คือใจ จิตใจของเรานี่แหละ ใจเป็นมิตรที่ประเสริฐที่สุด แต่คนส่วนใหญ่รู้สึกเหินห่างหมางเมิน หรือว่าแปลกแยกกับใจของตัวเอง คนเราถ้าหากว่ามีใจเป็นมิตรมีจิตเป็นเพื่อน จะรู้สึกอบอุ่น คำว่าเหงา คำว่าว้าเหว่ คำว่าโดดเดี่ยวอ้างว้างจะไม่รู้จัก เพราะว่ามีเพื่อนแล้ว คือมีใจนี่แหละเป็นมิตร มีจิตเป็นเพื่อนจะไม่รู้จักคำว่าเหงาโดดเดี่ยวอ้างว้าง แต่ทุกวันนี้ความเหงา ความโดดเดี่ยวอ้างว้าง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนมากมาย ทั้ง ๆ ที่อยู่ท่ามกลางผู้คน ทั้ง ๆ ที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน ทั้ง ๆ ที่มีเทคโนโลยีครบครัน แต่ก็ยังรู้สึกเหงา ยิ่งถ้าเกิดอยู่คนเดียวด้วยแล้ว ยิ่งเหงาเข้าไปใหญ่ อันนี้มันส่อมันแสดงว่าขาดเพื่อน และเพื่อนที่สำคัญที่ทำให้เรารู้สึกอ้างว้างในยามที่ขาดเขาไป ก็คือใจ ไม่ใช่ใจของใคร ใจของเรา
ทุกคนทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่จะรู้สึกเป็นทุกข์มากเวลาที่ต้องอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ได้เหมือนกัน ถ้ามีโทรศัพท์มือถือ ถ้ามีหนังสือหนังหา มีโทรทัศน์ มีคอมพิวเตอร์ แต่ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เลยจะรู้สึกทุกข์ทรมานมาก แม้อยู่ท่ามกลางผู้คน ถ้าไม่ได้พูดไม่ได้คุยกันจะรู้สึกทุรนทุรายขึ้นมาทันที อย่างที่หลายคนอาจจะรู้สึกในช่วงวันสองวันที่ผ่านมา หรือว่ารู้สึกมากขึ้นเวลาที่ต้องปลีกตัวไปอยู่คนเดียว เช่น ปลีกวิเวกอยู่ในกุฏิ แม้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่ถ้าไปไหนไม่ได้ พูดคุยกับใครก็ไม่ได้ จะใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อโลกภายนอกก็ทำไม่ได้ จะรู้สึกกระอักกระอ่วนกระสับกระส่ายทุรนทุรายขึ้นมาทันที การอยู่คนเดียว หรือว่าการอยู่กับตัวคนเดียวกลายเป็นความทุกข์ทรมานมาก นั่นเพราะอะไร
ก็เพราะว่าไม่มีใจเป็นมิตรไม่มีจิตเป็นเพื่อน เลยรู้สึกเหงารู้สึกโดดเดี่ยวตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่มีอะไรต่ออะไรเยอะ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ หลายคนก็ยังรู้สึกเหงา หลายคนต้องแสวงหาคนที่จะมาเป็นคู่ครองเป็นคู่รัก ถามหลายคนว่า ทำไมถึงอยากมีแฟน ทำไมถึงทุกข์เวลาที่ตัวเองไม่มีแฟน คำตอบคือ เพราะว่าเหงา หรือเพียงเพราะกลัวเหงา ทำให้หลายคนต้องพยายามดิ้นรนไขว่คว้าหาแฟนมา ทั้ง ๆ ที่ได้มาแล้วก็ไม่ใช่เป็นคนที่น่ารัก บางทีผู้ชายก็เอาเปรียบผู้หญิง ทำทีเจ้าชู้ หรือว่าพูดจาดูถูกเหยียดหยาม แต่ผู้หญิงก็ทิ้งเขาไปไม่ได้ รู้ว่าเขาไม่ใช่เป็นคนดิบดีอะไร แต่สลัดไม่ได้ทิ้งไม่ไป ไม่ยอมทิ้งเพราะว่ากลัวเหงา อันนี้เป็นปัญหา คือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนในทุกวันนี้ เพราะว่าเขาไม่รู้จัก หรือเขายังไม่ค้นพบเพื่อนที่แท้จริง ก็คือใจของตัว
คนเราถ้าหากว่ามีใจเป็นมิตร หรือสามารถเป็นมิตรกับใจของตัวเองได้ อยู่คนเดียวก็มีความสุข ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ไม่รู้สึกอ้างว้าง ไม่รู้สึกว่าต้องไปเรียกร้องไปแสวงหาให้ใครมาอยู่ด้วย ไม่ต้องยอมเป็นน้ำใต้ศอก หรือเบี้ยล่างเพียงเพื่อว่าจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกต่อไป คนเราถ้าหากว่าสามารถเป็นมิตรกับใจของตัวเองได้จะมีความสุข ไม่ใช่แค่ไม่เหงา จะมีความรู้สึกเต็มอิ่มสามารถค้นพบเข้าถึงความสุขที่ประเสริฐ เพราะไม่สามารถพบความสุขในใจ ผู้คนจึงไปแสวงหาความสุขจากสิ่งนอกตัว นอกจากดิ้นรนไขว่คว้าหาใครสักคนมาเป็นแฟนแล้ว ยังดิ้นรนไขว่คว้าหาวัตถุเงินทอง ข้าวของเครื่องใช้ เพื่อทำให้ตัวเองมีความสุข ต้องมีเงินเยอะ ๆ ต้องมีรถ ต้องมีบ้าน ต้องมีสถานะ ต้องมีตำแหน่ง หากขาดสิ่งเหล่านี้ไปจะรู้สึกเคว้งคว้าง การที่ผู้คนดิ้นรนแสวงหาสิ่งเหล่านี้ มันสะท้อนหรือฟ้องอยู่ในตัวว่า เขาไม่สามารถพบความสุขภายในได้ และที่เขาไม่สามารถค้นพบความสุขภายใน เพราะว่าเขาไม่มีใจเป็นมิตร เขาไม่สามารถค้นพบเพื่อนที่แท้จริง เลยไม่สามารถสัมผัส หรือเข้าถึงความสุขอันปราณีต
ถ้าหากว่ามีใจเป็นมิตรจะรู้สึกอบอุ่นมั่นคงในจิตใจ ไม่ต้องเอาอะไรมาเป็นเครื่องค้ำยัน เพื่อสร้างเสริมความมั่นใจของตัวเอง เดี๋ยวนี้หลายคนต้องพยายามที่จะหาอะไรมา เพื่อทำให้ตัวเองมั่นใจ เช่น ถ้ามีสินค้าแบรนด์เนมหลายคนจะรู้สึกมั่นใจ ถ้าได้สะพายกระเป๋าราคาเป็นหมื่นเป็นแสนยี่ห้อดังจะรู้สึกมั่นใจ เดี๋ยวนี้หลายคนเวลาประชุมแล้วไม่มีไอโฟนอยู่ ข้างตัวจะไม่ค่อยมั่นใจ อันนี้ไม่ใช่พูดลอย ๆ เขามีการวิจัยพบว่าเวลาประชุม คนที่มีโทรศัพท์ไอโฟนอยู่ข้างตัวจะรู้สึกมั่นใจ ถ้าไม่มีจะกระสับกระส่ายเลย เดี๋ยวนี้เราเอาความมั่นใจของเราไปผูกติดไว้อยู่กับสิ่งอื่นมากมาย รวมทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ถ้าหากไม่ได้ใส่เสื้อผ้าสวย ๆ ให้เตะตาผู้คนจะรู้สึกไม่มั่นใจ ต้องเป็นเสื้อผ้าราคาแพงมียี่ห้อมีระดับ หน้าตาก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ต้องไปพยายามดึงหน้า พยายามทำให้หน้าตาสะสวยรูปทรงงดงาม เพื่อว่าจะได้มั่นใจ
เมื่อเร็ว ๆ นี้เราได้ข่าวใช่ไหม นักร้องชื่อดัง สุรชัย สมบัติเจริญไปยกเครื่องเปลี่ยนหน้าใหม่ ไม่ใช่แค่ดึงเฉย ๆ ไม่ใช่แค่เอาไขมันออก เปลี่ยนหน้าใหม่ทั้งหน้าเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นหน้าที่พ่อแม่ให้มาก็เปลี่ยน เพื่อให้หนุ่มขึ้นกว่าเดิม 20 ปี 30 ปี เขาให้สัมภาษณ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ที่เขาเปลี่ยนหน้าใหม่ทำให้เขารู้สึกมั่นใจมากขึ้น เวลาเขาร้องเพลง เขาจะร้องเพลงด้วยความมั่นใจทำให้เขาสามารถมอบความสุขให้กับผู้อื่นได้ เพราะว่าอาชีพของเขาเป็นอาชีพให้ความสุขกับผู้คน การร้องเพลงของเขาถ้ามีความมั่นใจในการร้อง เขาจะสามารถให้ความสุขกับผู้คนได้ และเหตุผลที่เขาเปลี่ยนหน้าตาของตัวเอง ก็เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจ ซึ่งน่าห่วง เพราะว่าหน้าตาของเขาในที่สุดก็ต้องเสื่อมไป คนเราถ้าเอาความมั่นใจไปผูกติดกับเสื้อผ้าหน้าผม เมื่อเสื้อผ้าหน้าผมมันเริ่มล้าสมัย หรือมันเริ่มเหี่ยว ก็หมายความว่าจะต้องสูญเสียความมั่นใจหรือ?
ความมั่นใจสามารถเกิดขึ้นได้จากใจของเรา ใจที่เรารู้สึกแนบแน่น หรือว่าเข้าถึงสิ่งที่มันเป็นคุณสมบัติส่วนลึก คนเดี๋ยวนี้ขาดความมั่นใจหลายอย่าง จึงเกิดปรากฏการณ์อย่างเช่นตุ๊กตาลูกเทพ มีรายการโทรทัศน์ไปสัมภาษณ์ผู้หญิง ยังสาวอยู่เลยเป็นนักศึกษา หรืออาจจะเพิ่งจบ บอกว่าเวลามีตุ๊กตาลูกเทพแล้วเกิดความมั่นใจ เวลาไปทำงาน เวลาพูดจาเจรจาก็มีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลว่า ทำไมมีตุ๊กตาลูกเทพแล้วการงานก้าวหน้า ไม่ใช่เพราะอำนาจ ดลบันดาลของตุ๊กตาลูกเทพโดยตรงหรอก แต่เป็นเพราะว่าเจ้าตัวพอมีแล้วเกิดความมั่นใจ พอมั่นใจแล้วการพูดการจา หรือว่าสติปัญญามันก็พรั่งพรูออกมาได้ง่าย แต่ว่าคนเราไม่จำเป็นต้องมีสิ่งนู้นสิ่งนี้มาเพื่อเสริมสร้างค้ำจุนความมั่นใจ ถ้าเราเข้าถึงจิตใจของตัวเราเอง หรือว่าเรารู้จักตัวเราเองดีพอ เราก็จะมีความมั่นใจ
จริง ๆ โจทย์คำถามหลายอย่างในชีวิตที่ผู้คนสับสนที่ผู้คนแสวงหา มันไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย หาจากใจของเรา นี่แหละ เคยอ่านบทสัมภาษณ์ของนักดนตรีคนหนึ่งชื่อซานตาน่า ไม่รู้พวกเรารู้จักหรือเปล่า ซานตาน่าเขาดังมาก เมื่อสมัยอาตมายังอายุ 15-16 มันก็ 40 ปีมาแล้ว เขายังดังอยู่นะ แม้จะผ่านไป 40 ปี เขายังเป็นนักดนตรีที่มีชื่อระดับโลก เขาเคยมาแสดงสดที่เมืองไทย ก็มีสื่อไทยไปสัมภาษณ์ว่า ถ้าหากมีวัยรุ่นที่เล่นดนตรีมาปรึกษาคุณ มาขอคำแนะนำว่าทำอย่างไรจึงจะค้นพบแนวทางของตัวเอง อันนี้เป็นคำถามที่หลายคนสนใจ วัยรุ่นนักดนตรีอยากจะมีแนวทางของตัวเอง ไม่อยากจะไปเลียนแบบใคร ซานตาน่าเขาตอบดี คำแนะนำเขาพูดสั้น ๆ ให้วางโทรศัพท์ เก็บคอมพิวเตอร์ ปิดโทรทัศน์ ฟังเสียงหัวใจคุณ แล้วหัวใจคุณมันจะบอกเองว่าแนวทางดนตรีของคุณคืออะไร น่าสนใจนะ เพราะแทนที่ซานตาน่าเขาจะแนะนำให้ไปฟังดนตรีคนนั้นคนนี้ ซึ่งหมายความว่าต้องไปเปิดยูทูป เปิดคอมพิวเตอร์เพื่อดูว่าดนตรีคนนู้นคนนี้เป็นแนวไหนบ้าง เขาก็บอกให้ปิดโทรศัพท์ ปิดโทรทัศน์ เก็บคอมพิวเตอร์แล้วฟังเสียงหัวใจของคุณ ไม่รู้บังเอิญหรือเปล่า ไปตรงกับที่ท่านติช นัท ฮันห์ ท่านได้พูดเอาไว้
ติช นัท ฮันห์ท่านเป็นธรรมาจารย์ที่มีชื่อมาก ชาวพุทธที่มีชื่อเป็นที่รู้จักทั่วโลกถ้ารองจากท่านดาไล ลามะก็คือท่านติช นัท ฮันห์ เป็นพระชาวเวียดนามซึ่งมีลูกศิษย์ทั่วโลก มีสถานปฏิบัติธรรมมากมาย รวมทั้งที่เมืองไทยด้วย หมู่บ้านพลัมก็อยู่ในสำนักของท่านติช นัท ฮันห์ ท่านเป็นธรรมาจารย์ที่มีชื่อมากสอนเรื่องกรรมฐาน ท่านพูดเหมือนกันว่า คนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีเวลาฟังเสียงหัวใจของตัวเอง หัวใจส่งเสียงแต่เราไม่ได้ยิน ท่านพูดเหมือนซานตาน่า ทั้ง ๆ ที่วิถีชีวิต คนละทางกันเลย แต่ว่าคำตอบเหมือนกันคือกลับมาที่ใจของเรา เสียงของหัวใจไม่ได้ออกมาเป็นคำพูด มันออกมาเป็นความรู้สึก อย่างนักดนตรีที่จะค้นพบแนวทางของตัวเอง มันต้องเป็นดนตรีที่ออกมาจากใจของตัวเอง ไม่ใช่ออกมาจากเสียงของคนอื่นที่อยู่ในหัวเรา ไม่ใช่เกิดจากการจดจำ เสียงดนตรีอะไร หรือแนวดนตรีอะไรที่มันสะท้อนจิตวิญญาณของเราได้ดีที่สุด นั่นแหละคือแนวทางของเรา จะฟังเสียงหัวใจของตัวเองได้ต้องอยู่ในความเงียบ ซานตาน่าถึงบอกว่าให้วางโทรศัพท์ เก็บคอมพิวเตอร์ และปิดโทรทัศน์เสีย คำตอบมันอยู่ที่ใจของเรา ไม่ใช่เฉพาะคำตอบในเรื่องของการหาดนตรีที่เป็นแนวทางของตัวเอง คำตอบในเรื่องอื่นด้วย
แม้กระทั่งคำตอบในเรื่องคู่ครอง คำตอบเรื่องคู่ครองมันต้องออกมาจากใจของเราว่า คนนี้ใช่หรือไม่ คำว่าใช่ไม่ได้ออกมาจากไหน มันออกมาจากใจของเราว่าใช่ แต่ส่วนใหญ่เราเลือกตามคำบงการของคนรอบข้าง หรือของกระแสสังคม เช่น ถ้าเป็นผู้หญิงจะเลือกผู้ชาย ก็ต้องเป็นคนหล่อ ต้องเป็นคนมีฐานะมีชื่อเสียง ต้องจบปริญญา ถ้าจะเลือกผู้หญิงก็ต้องเป็นคนสวย หรือว่าเป็นคนมีเสน่ห์ ซึ่งไม่ใช่เป็นเสียงที่ออกมาจากใจของตัวเอง แต่เป็นเสียงที่ออกมาจากคนอื่นมากกว่า ที่เขาพูดใส่หัวเรา อาจจะรวมถึงสื่อต่าง ๆ ที่เขาพูดใส่หัวเรา แล้วเราก็ไปหลงคิดว่านั่นคือเสียงจากใจเรา เป็นเพราะคน สมัยนี้ไม่ค่อยมีเวลาฟังเสียงหัวใจของตัวเอง มันถึงดำเนินชีวิตผิดทิศผิดทางไปเยอะ เล่นดนตรีก็ไปลอกแบบคนอื่นมา หรือว่าจะไปเลือกคู่ ก็ไปเลือกคนที่เสียงในใจไม่ได้บอกว่าใช่เลย แต่เป็นเพราะว่ากระแสสังคมเขาบอกว่าใช่ ๆ บางทีอาจจะเป็นพ่อแม่ด้วยซ้ำ
ความสุขของคนเราก็เหมือนกัน คนเราจะมีความสุขอย่างแท้จริง ก็เพราะว่าเราได้ฟังเสียงจากหัวใจของเรา อย่างแท้จริง หลายคนคิดว่าจะมีความสุขได้ต้องมีเงินมีทองต้องมีชื่อเสียง ต้องมีสถานภาพตำแหน่งต่าง ๆ อันนั้นไม่ใช่เสียงมาจากใจของเรา แต่เป็นเสียงของคนอื่นที่บอก เขากรอกใส่หัวเรา อาจจะตั้งแต่เด็กเลยก็ได้ หรือจากเพื่อนของเรา หลายคนเวลาเลือกเรียนมหาวิทยาลัย คณะที่เรียนไม่ได้ออกมาจากใจของตัวเองเลย แต่ว่าออกมาจากเสียงชักชวน ของเพื่อน เลือกตามเพื่อน หรือไม่ก็เลือกตามพ่อแม่ จบมาแล้วยังไม่รู้เลยว่าจะทำอาชีพอะไร บางทีต้องให้พ่อแม่ช่วยหา นี่ก็เหมือนกัน เพราะว่าเขาไม่ได้ฟังเสียงหัวใจของเขา ถ้าเขาเพียงแค่รู้จักฟังเสียงหัวใจของตัวเอง ก็จะรู้ว่า นี่ใช่หรือไม่ใช่ ชอบหรือไม่ชอบ ซึ่งชอบของเราอาจจะไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นชอบก็ได้ ใช่ของเราอาจจะไม่ใช่เป็นใช่ของคนอื่นก็ได้ แต่สิ่งที่ไม่ใช่ของคนอื่น อาจจะเป็นใช่ของเราก็ได้
ท่านติช นัท ฮันห์ ท่านพูดเหมือนซานตาน่าอย่างที่บอกไว้แล้วว่า ให้เราฟังเสียงหัวใจของเรา แล้วคำตอบ จะออกมา ไม่ใช่เฉพาะเรื่องความสุขเท่านั้น บางทีเสียงหัวใจเราจะบอกเรื่องความทุกข์ด้วย ว่าที่เราทุกข์อยู่นี่ ทุกข์เพราะอะไรกันแน่ บางทีเราจะค้นพบคำตอบได้ จากการที่เราหันมาดูใจของเรา อ่านใจของเรา ถ้าเราหมั่นดูใจของเรา พูดแบบศิลปินคือฟังเสียงหัวใจ มันเหมือนกันนะ เราหมั่นมาดูใจของเราหมั่นมาอ่านใจของเรา เราก็จะพบว่า ที่เราทุกข์นี่ มันเป็นเพราะคนอื่นแน่หรือ ? หรือเป็นเพราะว่าความยึดมั่นถือมั่นในใจของเรา ความทุกข์มันมีประโยชน์ ถ้าหากว่าเรารู้จักมอง รู้จักดู และเวลาความทุกข์เกิดขึ้นในใจ ถ้าเราดูให้ดี ใจเราก็จะบอกเลยว่าทุกข์เพราะอะไร ไม่ใช่ทุกข์เพราะคนอื่น แต่ทุกข์เพราะวางใจไม่เป็นวางใจไม่ถูก
ทุกวันนี้เราดูอะไรเยอะ เราอ่านอะไรมากมาย เราฟังเสียงอะไรมากมาย แต่ว่าเราไม่ค่อยได้ฟังเสียงหัวใจของเรา เราไม่ค่อยได้อ่านใจของเรา เราไม่ค่อยได้หมั่นดูใจของเรา การภาวนามันก็เป็นวิถี หรือเป็นหนทางที่เราจะได้ยินเสียงจากหัวใจของเรา ได้ยินเสียงจากเมตตากรุณาที่อยู่ในใจเรา ได้ยินเสียงของสติที่คอยทักท้วงเรา มีเสียงเหล่านี้ที่คอยบอกเรา คอยทักท้วงเรา หรือคอยให้กำลังใจเรา แต่เราไม่ได้ยิน เพราะว่าในหัวเรามันระงมไปด้วยเสียงต่าง ๆ มากมาย มันมีเสียงรบกวนเยอะในหัวเรา อันนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถได้ยินเสียงจากหัวใจเราได้ ขณะที่เราเดินจงกรม ขณะที่เราสร้างจังหวะจะรู้สึกเลยว่ามีเสียงดังอยู่ในหัวเราตลอดเวลา เสียงเหล่านี้ทำให้เราไม่สามารถได้ยินเสียงจากหัวใจเราได้ พอเสียงในหัวมันดังไม่หยุด บางทีหลายคนก็ไปคิดว่านั่นแหละคือเสียงจากใจของเรา มันไม่ใช่ เสียงดังในหัวมันเสียงจากปากของคนอื่น บางทีมันก็เป็นเสียงที่ถูกกรอกใส่หัวเราตั้งแต่เรายังเด็ก ทำให้ผู้คนมีความทุกข์ เพราะเสียงในหัว
ท่านติช นัท ฮันห์บอกว่าในหัวเรามีสถานีวิทยุชื่อว่า คิดไม่หยุด หรือว่าไม่หยุดคิด nonstop thinking NST เพราะว่าเสียงมันดังตลอดเวลา มันก็เลยกลบเสียงจากใจเรา กลบเสียงจากสติที่มีอยู่แล้วในใจเรา เสียงของเมตตากรุณา เสียงของคุณธรรมหลายอย่างที่อยู่ในใจเรา บางทีเราเห็นคนยากจนหรือว่าคนที่เป็นลม คนป่วยเป็นลมเราก็เดินผ่าน ทั้ง ๆ ที่ในใจเรามีเสียงร้องว่าให้ช่วยเขาหน่อย อันนั้นคือเสียงของมโนธรรม เสียงของเมตตากรุณา แต่เราก็เดินผ่านโดยไม่สนใจ อาจจะเพราะว่าใคร ๆ เขาก็ทำอย่างนั้น มันมีเสียงหนึ่งบอกในหัวเราว่า ใคร ๆ ก็ทำอย่างนั้นกัน ก็คือเดินผ่าน เสียงในใจเสียงจากมโนธรรมบอกว่าช่วยเขาหน่อย ๆ แต่ว่าเสียงในหัวมันดังกว่า ก็เดินผ่าน หรือบางทีเจอเงิน เจอโทรศัพท์ของใครไม่รู้วางอยู่ เสียงในหัวก็บอกหยิบไปเลย ๆ มันไม่มีเจ้าของ เราก็กำลังขาดเงินอยู่พอดี แต่เสียงจากมโนธรรมก็บอก อย่าทำ ๆ แต่เสียงมันเบา เสียงในหัวมันดังกว่าก็หยิบไปเลย ทุกวันนี้เสียงในหัวมันดังมาก และออกมาตลอดเวลา ทั้งในยามตื่น และยามหลับ
แต่ถ้าหากเราพยายามที่จะเริ่มต้นฟังเสียงจากหัวใจเรา ภาวนานี่แหละจะช่วยได้ การเจริญสติ คือการที่เรารับรู้ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าเสียงดังอยู่ในหัว เราก็รับรู้ รู้แล้วก็เฉย รู้แล้วก็วาง มันจะพูดมันจะบ่นอย่างไรก็ช่างมัน หลวงพ่อคำเขียนท่านบอกว่า คิดดีก็ช่าง คิดไม่ดีก็ช่าง ปล่อยมันไป แล้วเดี๋ยวทำไป ๆ เสียงในหัวจะค่อย ๆ เงียบลง ๆ เสียงที่เคยดังระงม แม้กระทั่งเสียงบ่นเสียงโวยวายจะค่อยเงียบลง ๆ ถ้าเราไม่สนใจมัน คือแค่รู้แล้วก็วาง รู้แล้วก็วาง ในระหว่างที่เราปฏิบัติ 2-3 วันมานี่ หรือว่าหลายวันก็แล้วแต่ มันจะมีเสียงบ่นอยู่นั่นแหละ เสียงบ่นโวยวาย เสียงบอกไม่ไหว ๆ อย่าไปสนใจมันเดินไปเรื่อย ๆ ทำไป แค่เพียงรู้แล้วก็วาง รู้แล้วก็วาง เดี๋ยวมันจะค่อย ๆ เงียบหายไปค่อย ๆ หายไป มันไม่หายไปทีเดียว แต่จะแผ่วลง ๆ แล้วก็ทิ้งช่วงนานขึ้น ๆ ช่วงว่างนั่นแหละที่เสียงจากหัวใจเราจะออกมา ทำให้เราได้เห็นได้รู้จักตัวเรา มากขึ้น รู้จักตัวเรามันไม่ใช่แค่เห็นหน้าตา เห็นเงาตัวเองในกระจก ก็บอกได้ว่านี่คือเราไม่ใช่คนอื่น อันนั้นเป็นการเห็น ด้วยตา ซึ่งต้องอาศัยกระจก เป็นความสามารถอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่สัตว์อื่นทำได้ยาก มีสัตว์ไม่กี่ชนิดที่เห็นหน้าตัวเอง ในกระจก แล้วรู้ว่าเป็นตัวเองไม่ใช่ตัวอื่น เช่น กอริลล่า อุรังอุตัง ปลาโลมา นกขุนแผน พวกนี้พอเห็นหน้าตัวเองในกระจก ก็รู้ว่านี่คือตัวมันไม่ใช่ตัวอื่น หมาก็ทำไม่ได้ แมวก็ทำไม่ได้ หมาเจอเงาตัวมันเองในกระจกบางทีมันเห่า แต่การที่เราเห็นหน้าตัวเราเองในกระจกแล้วรู้ว่านั่นคือหน้าเราไม่ใช่หน้าคนอื่น ยังไม่ใช่การรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง
การรู้จักตัวเองไม่ได้เกิดจากการเห็น ใช้ตาเนื้อเห็น หรือใช้ตาเนื้อมอง แต่คือการใช้ตาใน ใช้สตินี่แหละ จะเห็นความคิดเกิดขึ้นในใจ เห็นอารมณ์เกิดขึ้นในใจ เห็นแล้วก็ผ่าน ๆ แต่ก่อนนี้ไม่ผ่าน พอเจอปุ๊บก็เสร็จปั๊บเลย พอมีความคิดเกิดขึ้นมาในใจ ก็โดนความคิดนี้ลากลู่ถูกังไป พอมีอารมณ์เกิดขึ้นก็หมกจมอยู่ในอารมณ์นั้น ชีวิตเลยหาความสงบไม่ได้ หาความเงียบไม่เจอ แต่พอเรารู้จักดูมันเฉย ๆ เสียงความคิดที่เกิดขึ้นก็ดูมันไป ดูแล้วก็วาง ๆ ผ่านตลอดเหมือนนั่งรถทัวร์ ไม่มีการจอดไม่มีการแวะ ผ่านตลอด ปฏิบัติธรรมเจริญสติจะเป็นลักษณะแบบนั้น คือนั่งรถทัวร์ผ่านตลอด เจอชายหาด เจอศูนย์การค้า เจอบิ๊กซี เจอเดอะมอลล์ก็ผ่าน ไม่เหมือนนั่งรถส่วนตัวแวะอยู่เรื่อย แวะชอปแวะซื้ออยู่นั่นแหละ
ทีนี้พอเราผ่านเสียงต่าง ๆ ก็รู้ รู้แล้วก็วาง ๆ เสียงมันก็ระงมดังน้อยลงไป ๆ แผ่วเบามากขึ้นเรื่อย ๆ ในระหว่างที่เราเห็นนู่นเห็นนี่ เราก็ผ่านบางทีมันก็ไม่ได้ผ่านเลยนะ เพราะมันทำให้เราได้เห็น อ๋อ เรามีนิสัยแบบนี้ เรามีนิสัยเจ้าคิด เจ้าแค้น เรามีนิสัยชอบขี้บ่น หลายคนมารู้จักตัวเองว่าเป็นคนขี้บ่นก็ตอนภาวนา เห็นเสียงต่าง ๆ ในหัวที่มันระงมดัง เสียงเหล่านี้บอกส่อถึงนิสัยของตัวเองซึ่งมีประโยชน์ เห็นว่าเป็นคนขี้บ่น เห็นว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์ หรือเป็นคนชอบมองอะไรในแง่ลบ เพราะเมื่อเราเห็นมัน ๆ จะเล่นงานจิตใจเราครอบงำจิตใจเราได้น้อยลง และทำให้เราเห็นความสำคัญของการรักษาใจให้มากขึ้น รักษาใจไม่ให้อารมณ์เหล่านี้เข้ามาครอบงำจิตใจ
ใจจะเป็นมิตรกับเรา เราก็ต้องช่วยเขาด้วย นอกจากรู้จักหมั่นฟังเสียงจากหัวใจเราแล้ว หรือว่ารู้จักรับรู้รับฟัง อ่านจิตอ่านใจของตัวเองแล้ว เราต้องรู้จักรักษาใจของตัวเราด้วย ไม่ให้อารมณ์เหล่านี้เข้ามาครอบงำ เราจะเห็นความสำคัญของการรู้สึกตัว การสร้างความรู้สึกตัว การมีสติ เพราะเป็นเครื่องรักษาใจที่ดีมาก และถ้าเรารักษาใจดี ต่อไปใจก็จะรักษาเรา ใจก็จะเอื้อเฟื้อเกื้อกูลเรา นำพาความสุขนำพาความสงบเย็นมาให้กับตัวเรา แม้ว่าจะจนทรัพย์ แม้ว่าจะ ไม่มีลาภสักการะมาก แต่ก็ยังมีความสุข เพราะการที่เราหมั่นรักษาใจ จนกระทั่งใจมาเป็นมิตรกับเราอย่างแท้จริง ให้การมาที่สุคะโตในช่วงไม่กี่วันของเรา เป็นโอกาสที่ทำให้เราพบเพื่อนใหม่จริง ๆ สำหรับคนที่ยังไม่เคยได้พบเพื่อนใหม่ ก็คือใจของเรา ได้พบว่าใจเป็นมิตรที่ประเสริฐของเรา คือสามารถทำให้ใจกลับมาเป็นมิตรของเราได้ การที่เรารู้จักมีใจเป็นมิตร มีจิตเป็นเพื่อน ถือว่าเป็นโชคอันประเสริฐมาก ยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง ยิ่งกว่ามีหน้าใหม่ที่กระชากวัยยิ่งกว่าเดิม หรือยิ่งกว่าการมีลูกเทพหลายตัวด้วยซ้ำ