แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนเราประกอบไปด้วยกายกับใจเป็นพื้นฐาน กายต้องอาศัยปัจจัยสี่ที่จริงรวมไปถึงอากาศด้วย อากาศ น้ำ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย อันนี้เป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย แล้วอะไรที่จำเป็นต่อจิตใจ ต้องตอบว่าความสุข มีอาหาร มีน้ำ มีอากาศ มีปัจจัยสี่ ถ้าหากขาดความสุขก็อยู่ยาก พวกที่อยู่ในคุกก็มีปัจจัยสี่ แต่สิ่งที่ขาดหายไป หรือมีน้อยมากคือความสุข ก็อยู่อย่างทุกข์ทรมาน หรือแม้แต่ไม่ได้อยู่ในคุก แต่ไม่มีความสุขเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงใจ มีกินมีใช้ทุกอย่างแต่ขาดความสุข ความสุขในที่นี้คือความสุขใจ ก็ไม่อยากอยู่ หลายคนคิดฆ่าตัวตาย คนที่ฆ่าตัวตายจำนวนไม่น้อยเขามีกินมีใช้ ความสุขกายมีแต่ที่ไม่มีคือความสุขใจ พูดได้ว่าความสุขเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับจิตใจ เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตด้วย
ทีนี้ความสุขจะได้มาจากไหน สิ่งที่คนนึกถึงง่าย ๆ อาจจะนึกถึงได้แค่อย่างเดียว คือความสุขที่เกิดจากการกิน การเที่ยว การดื่ม ได้ทำอะไรตามใจอยาก เป็นความสุขจากการเสพ ได้ดูหนัง ฟังเพลง กินอาหารที่อร่อย รวมทั้งได้ไปเที่ยวชอปปิงจับจ่าย เป็นความสุขที่เดี๋ยวนี้เป็นที่นิยมมาก จะไปหาความสุขในวันปีใหม่ ความสุขวันเกิดก็ต้องไปกินเที่ยวดื่ม ศุกร์เสาร์อาทิตย์ก็ไปชอปกัน ลงท้ายด้วยการกินการสนุกสนาน แต่มันไม่พอ อันนี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความสุขใจได้อย่างแท้จริง หลายคนเขาก็มีกินมีใช้มีเงินไปช้อป แต่ไม่ค่อยรู้สึกพอใจกับชีวิตเท่าไร รู้สึกชีวิตมันว่างเปล่า ทั้ง ๆ ที่รอบตัวมีทรัพย์สิน มีเงินทองมีข้าวของเยอะแยะ เนื้อตัวมีเฟอร์นิเจอร์ ทอง เพชร แต่ก็รู้สึกว่างเปล่า พวกนี้จะมีอาการกระสับกระส่ายอยู่ข้างใน มันดิ้นรนมันแสวงหา ซึ่งอย่างที่พูดเมื่อวานหลายคนยังคิดว่าที่ฉันว้าวุ่นข้างใน เพราะฉันมีไม่พอ ก็ไปหามาก็ไปซื้อมา แต่ก็ยังไม่มีความสุข ยังไม่มีความรู้สึกเต็มอิ่ม หรือว่าพึงพอใจกับชีวิตสักที ต่อเมื่อเขาได้ลงมือทำอะไรบางอย่าง ทำในสิ่งที่ดี ๆ จึงจะเริ่มรู้สึกมีความสุข มีความพอใจในชีวิต
ที่ประเทศไต้หวันมีชายชราคนหนึ่ง เขาไปเป็นอาสาสมัครของฉือจี้เป็นมูลนิธิที่ใหญ่มากในไต้หวัน เรียกว่าเป็นสำนักก็ได้ เป็นสำนักที่มีคนนับถือ 1 ใน 5 หรือ 1 ใน 4 ของประเทศไต้หวัน ถ้าพูดถึงเงินทองเขาก็มีเยอะ เรียกว่ายิ่งใหญ่กว่าธรรมกายมาก แต่เขาเอาเงินนั้นไปทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ สร้างโรงเรียน สร้างมหาวิทยาลัย มีทั้งมหาวิทยาลัยแพทย์ หรือวิทยาลัยสอนพยาบาล ทำสถานีโทรทัศน์ที่มีชื่อ คนดูก็เรียกว่าทั่วโลกเลย เพราะคนไต้หวันกระจายไปทั่วโลก แล้วเขายังทำสถานีแยกขยะ ป่านนี้คงจะประมาณ 10,000 แห่งแล้วกระมัง เมื่อ 10 ปีที่แล้วมีประมาณ 5,000 แห่ง แยกขยะทั่วประเทศก็อาศัยอาสาสมัครมาทำงาน อาสาสมัครเป็นคนอายุมากส่วนใหญ่เรียกว่าเป็นอาแปะ อาซิ้ม แต่พวกนี้ เคยเป็นวิศวกร เคยเป็นผู้จัดการ เคยเป็นสถาปนิก บางคนอาจเคยเป็นหมอ เกษียณแล้วก็มาเป็นอาสาสมัคร มีคนหนึ่ง พูดว่า “ผมนี่คือขยะคืนชีพ”
ขยะคืนชีพก็คือว่า ตอนที่เขาไม่ได้มาเป็นอาสาสมัครเขาอยู่บ้าน เกษียณแล้วก็อยู่บ้านมีกินมีใช้ ไม่ต้องให้ลูกเลี้ยง เงินที่ตัวเองสะสมหามาได้ก็มากพอ แต่มันเบื่อ คือชีวิตมันว่างเปล่าเหมือนกับเป็นขยะ ถามว่าความสุขกายมีไหม? โอ้...มีเพียบ มีเงินจับจ่ายใช้สอยไปเที่ยวก็ได้ แต่รู้สึกตัวเองไร้ค่าเหมือนขยะ พอไปเป็นอาสาสมัครให้กับฉือจี้ วัน ๆ ไม่ได้ทำอะไรมาก อาจจะฉีกกระดาษเป็นแผ่น ๆ เพื่อไปใช้ในการรีไซเคิล หรือว่าดึงแยกหัวจุกขวดน้ำกิน แยกออกมาเพราะว่าเอาไปใช้ประโยชน์ได้ บางทีไปแยกเอาทองแดงจากเครื่องไฟฟ้าเก่า ๆ นั่งยอง ๆ ทำงานตามกำลัง บางคนครึ่งวัน บางคนทำได้ทั้งวัน สถานีก็ไม่ได้ติดแอร์อะไรเลยอย่างมากก็มีพัดลม เขาก็มีความสุข กายอาจไม่ค่อยสุขเท่าไร เพราะว่าอย่างที่บอกทำงานเหมือนอยู่ในโกดัง แต่เขามีความสุขใจ สุขใจที่ได้ทำประโยชน์ ทำบุญ เอาเงินไปช่วยบำเพ็ญประโยชน์แล้วก็ช่วยโลกด้วย รีไซเคิลทำให้โลกนี้มีมลพิษน้อยลง เรียกว่าเป็นความสุขใจ เป็นความภาคภูมิใจ
ความสุขใจสามารถเกิดขึ้นได้จากการทำงาน ทำงานที่เป็นประโยชน์ไม่จำเป็นว่าต้องได้เงินเดือนหรือไม่ ไม่ได้เงินเดือนไม่มีค่าตอบแทน แต่ว่ามีความสุขใจเป็นความภาคภูมิใจ อย่างพวกเราทำงานเป็นพยาบาล เรียกว่ามีโอกาสได้เก็บเกี่ยวความสุขจากการทำงาน ความสุขจากการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจให้สามารถทำงานไปได้อย่างต่อเนื่องและทำได้ดี หลายคนทำงานเพราะอยากได้เงิน เพราะว่าจะได้มีเงินเป็นเครื่องเลี้ยงชีพ จึงเรียกว่าอาชีพ แต่ว่าเงินก็เป็นแค่ผลตอบแทนที่มีคุณค่าน้อยกว่าความสุข ถ้าทำงานเพราะเงินก็จะไม่ค่อยมีความสุขกับการทำงานเท่าไร แต่ที่ต้องทำก็เพราะเงิน คนจำนวนมากทำงานแบบซังกะตาย ทำเพราะรอค่าจ้างรอเงินเดือน เช้าจรดเย็นก็ทำงานแบบเหนื่อย ๆ มีความหวังตอนเลิกงานได้ค่าจ้าง ตรงนั้นแหละมีความสุขสำหรับคนจำนวนหนึ่ง หรือว่ารอวันเงินเดือนออก แต่ตลอดทั้งเดือน 1 ถึง 30 ไม่ค่อยมีความสุข ทำงานแบบเหี่ยวเฉา เพราะเขาไม่สามารถหาความสุขจากงานได้ เขาทำงานเพื่อเงิน
แต่ถ้าเรารู้จักหาความสุขจากการทำงาน มันจะมีความสุขตั้งแต่วันแรกเลย ตั้งแต่วันที่ 1 หรือตั้งแต่วันจันทร์ ทำไปจนถึงศุกร์ก็จะมีความสุข ไม่ใช่รอความสุขเอาตอนเย็นวันศุกร์ คนเราถ้ามีความสุขจากการทำงาน ความซื่อสัตย์สุจริต ความตรงต่อเวลา หรือคุณธรรมที่เรียกร้องกันว่า ทำงานควรจะมีคุณธรรม มันมาเอง เดี่ยวนี้มีโรงพยาบาลหลายโรงพยาบาลประกาศตัว หรือมีนโยบายเป็นโรงพยาบาลคุณธรรมต้นแบบ อย่างวันก่อนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้ไปพูดให้กับโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ผู้อำนวยการเป็นเพื่อนนักเรียนตั้งแต่ชั้นป. 1 เรียนมาด้วยกันจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สิบสองปี เขาไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ก็ประกาศเป็นโรงพยาบาลคุณธรรมต้นแบบ โรงพยาบาลคุณธรรมจะเกิดขึ้นได้ คนทำงานต้องมีความสุข เพราะพอมีความสุขแล้วความซื่อสัตย์สุจริตมันมาเอง ไม่ต้องไปบังคับ ไม่ต้องไปควบคุม และที่ไม่ซื่อสัตย์ก็เพราะว่าไม่มีความสุขจากงาน แต่มีความสุขจากเงิน
คนเราถ้าความสุขไปผูกติดอยู่ที่เงิน ช่องทางอะไรที่สามารถจะทำเงินได้หาเงินได้มันก็เอา แม้จะเป็นช่องทาง ที่ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้จิตใจเขามีความสุข ความทุจริตเกิดขึ้นจากการที่เราเอาความสุขไปผูกติดไว้กับ เงินทอง ที่เอาความสุขไปผูกติดไว้กับเงินทอง หรือโหยหาเงินทอง เพราะไม่มีความสุขอย่างอื่นที่จิตใจจะรู้จักหรือได้มา แต่ถ้าเรามีความสุขจากทางอื่น เช่น ความสุขจากการทำงาน เงินทองข้าวของทรัพย์สินก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจน้อยลง เหมือนคนเราเวลากินอิ่มแล้ว อาหาร ขนม มันก็ดึงดูดใจเราน้อยลงเพราะเราอิ่มแล้ว จะเอาอาหารดี ๆ ขนมอร่อย ๆ มาวางไว้ ต่อหน้าเรา เราก็เมินเพราะท้องเราอิ่ม แต่ถ้าท้องเราหิว อย่าว่าแต่ขนมดี ๆ อาหารอร่อย ๆ เลย แม้แต่ก๋วยเตี๋ยวราคา ถูก ๆ ข้าวแกงราคาไม่กี่บาท หรือแม้แต่ขนมที่มีสีสันสวยงามเพราะสารเคมี เราก็กิน รู้ทั้งรู้ว่าสีมันเป็นโทษต่อร่างกาย เราก็กินเพราะมันหิว เพราะฉะนั้นคนเราถ้ามีความสุขจากการทำงาน ใจมันก็เติมเต็ม พอเต็มแล้วการที่จะทุจริต โกง เพื่อจะได้มีเงินมีทองเยอะ ๆ หรือเพื่อมีชื่อเสียงมีตำแหน่งมันก็ยาก ความสุขจากการทำงานเป็นความสุขชนิดหนึ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงใจ รู้สึกภูมิใจที่ได้ทำงาน รู้สึกภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น
อย่างพวกเราทำงานพยาบาล เห็นคนไข้เขาหายดี เขายิ้ม เขามีความสุข หรือว่าญาติพี่น้องเขาดีใจที่คนรัก ของเขากลับบ้านแล้วมีความสุข หรือถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถกลับบ้านได้ เพราะอยู่ในระยะท้าย แต่ช่วยทำให้เขาได้พบกับความสงบในวาระสุดท้าย อันนี้ก็เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงใจเราให้มีความสุขได้เหมือนกัน เพราะว่าคนเรานี่ความสงบในวาระสุดท้ายของชีวิต มันมีค่ายิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ความสุขในวันปีใหม่วันเกิดมันไม่มีค่า มีค่าน้อยกว่าความสุขความสงบในวาระสุดท้าย ญาติหลายคนเขาก็น่าจะร้องไห้เพราะคนรักจากไป แต่ว่าเขาก็มีรอยยิ้ม เรียกว่ายิ้มทั้งน้ำตาที่เห็นคนรักของเขาจากไปอย่างสงบไม่ทุรนทุราย อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เรามีความสุขได้เหมือนกัน เป็นความสุขจากการทำงาน เป็นความภาคภูมิใจ หรือเกิดจากการที่เราได้ทำสิ่งที่เรารัก คนเราถ้ารักอะไรแล้วทำสิ่งนั้นมันก็มีความสุข เป็นความสุขจากฉันทะ ฉันทะคือความพอใจ รักในงานมีความสุขที่ได้ทำ เหมือนกับพ่อแม่ดูแลลูก พ่อแม่ก็มีความสุข เพราะพ่อแม่มีฉันทะในการดูแล ดูแลทำอาหาร ทำความสะอาดบ้านให้ลูก ขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียน พวกนี้เป็นงานทั้งนั้น แต่พ่อแม่ก็มีความสุข เพราะว่าเขามีฉันทะ มีความพอใจ
ความสุขอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความสุขที่เกิดจากความสงบ สงบใจ ซึ่งความสงบส่วนหนึ่งต้องอาศัยการทำ เช่น การทำสมาธิ คนเราสมัยนี้จะหาความสงบมันก็ยาก เพราะรอบตัวมีแต่เสียงดังเสียงอึกทึกจอแจ บางทีก็เสียงเพลง เสียงรถเสียงรา แต่ว่าเราสามารถจะหาความสงบใจได้ ใหม่ ๆ ใจจะสงบได้ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อม หลายคนศุกร์เสาร์อาทิตย์หยุดยาวต้องออกต่างจังหวัด ไปสัมผัสธรรมชาติ ไปเขาใหญ่ ไปภูกระดึง ไปเที่ยวทะเล หัวหิน เพราะอะไร? เพราะเขาปรารถนาความสงบ ทีแรกอาศัยความสงบกายก่อน คือความสงบของสิ่งแวดล้อม และอาศัยสิ่งแวดล้อมที่สงบสงัดมาช่วยกล่อมเกลาใจให้สงบไปด้วย พอใจสงบก็เกิดความสุขขึ้นมา แต่ความสงบในใจไม่ได้เกิดจากสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว มันเกิดจากการทำคือการทำจิต ทำจิตให้เป็นก็สงบได้ และวิธีการทำจิตที่คนนึกถึงบ่อย ๆ คือการทำสมาธิภาวนา พอได้สัมผัสความสงบปุ๊บ มันติดใจเลย
อุ๋ย บุดดาเบลส ที่เป็นนักร้องนักแต่งเพลง ชีวิตเขาน่าสนใจ เพราะแต่ก่อนเขาเกเร เวลาแม่ว่าบางทีก็เถียงแม่กลับ บางทีแม่ตี โมโหก็ตีแม่กลับ ตอนเด็ก ๆ เฮี้ยวมาก เรียนก็ไม่อยากเรียน แต่ชีวิตเขาเริ่มเปลี่ยนตอนที่บ้านไฟไหม้ พ่อแม่ก็เสียใจ เขาไม่รู้จะทำยังไงให้แม่สบายใจ แม่เป็นคนชอบทำบุญทำกุศล เห็นแม่เป็นทุกข์เพราะไฟไหม้บ้าน จึงลองทำความดีให้แม่เห็น ไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม ใหม่ ๆ ก็ไม่มีความสุข เพราะว่าคนที่เคยกินเคยเที่ยวมานั่งปฏิบัติธรรม นั่งแล้วก็เดินจงกรมทั้งวัน คุยกับใครก็คุยไม่ได้ โทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้ ก็อยู่อย่างหงุดหงิด เวลาเดินจงกรมก็เดินเป็นแถว มีคนเดินข้างหน้าข้างหลัง บางครั้งเขารู้สึกอยากจะถีบคนข้างหน้า เพราะเดินช้าเหลือเกิน “ทำไมเดินช้าอย่างนี้วะ เดินเร็ว ๆ เด้” ในใจอยากจะถีบ ในขณะนั้นขนาดไปเข้าคอร์สก็ไม่เห็นประโยชน์ว่าทำไปทำไม แต่อยู่ ๆ ไป นั่งสมาธิปรากฏว่ามันสงบ จากเดิมที่พลุ่งพล่าน หงุดหงิด วุ่นวาย ว้าวุ่น พอจิตพบความสงบ ชอบเลยติดใจ ก็หันมาทำสมาธิ บ่อยขึ้น ตอนหลังก็ไปบวช ทำให้เขาหันมาสนใจธรรมะ เพราะติดใจความสงบ ไม่คิดว่ามันจะให้ความสุขแบบนี้
ขนาดคนที่เรียกว่าชอบเที่ยวชอบดื่ม เคยผูกติดพึ่งพาความสุขจากวัตถุ พอมาเจอความสงบใจ ก็ทำให้ชีวิตเปลี่ยนได้ เพราะลึก ๆ คนเราต้องการความสงบใจ เป็นความสุขที่จิตใจส่วนลึกโหยหา แต่คนเราบางครั้งพอไม่มีความ สงบใจ ก็ว้าวุ่นมันก็เรียกร้องแสวงหา แต่คนไปเข้าใจว่าความว้าวุ่น หรือความรู้สึกพร่องข้างใน เกิดจากการที่มีเงินไม่พอ ก็เลยต้องหาเงินอีก แต่ที่จริงเพราะยังสงบไม่พอต่างหาก คนเราเวลามีความทุกข์ข้างใน แยกแยะไม่ออกว่าทุกข์เพราะยังมีไม่พอ หรือทุกข์เพราะยังสงบไม่พอ แต่ถ้าคนเราลองนิ่ง ๆ สักพัก ลองใคร่ครวญจิตใจตัวเอง จะพบว่าที่มันว้าวุ่นอยู่ข้างใน โหยหาอะไรบางอย่าง มันไม่ได้โหยหาเงินทอง ไม่ได้โหยหารสชาติเอร็ดอร่อย มันโหยหาความสงบ แต่คนส่วนใหญ่เรียกว่า 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่มีความพอใจกับชีวิต แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ก็เดาหรือสำคัญผิดว่าเป็นเพราะยังรวยไม่พอ ถึงบอกว่าหลายคนบางทีทำมาทั้งชีวิต ได้เงินมากมาย ถึงรู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ชีวิตต้องการ หาปลามาทั้งชีวิตพบว่าปลาที่ได้มาเยอะแยะ ไม่ใช่ปลาที่ตัวเองต้องการ เรียกว่าเป็นโศกนาฏกรรมของคน ชีวิตเกิดมาก็หาได้ยากอยู่แล้ว ปรากฏว่าสิ่งที่ทุ่มเทไปมันสูญเปล่า เพราะสิ่งที่ได้มาไม่ใช่สิ่งที่ชีวิตจิตใจต้องการ
ความสงบใจไม่ใช่เป็นสิ่งที่ได้มา เพราะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สบายที่สงบ อันนั้นมันเปลือกนอก สิ่งสำคัญคือการที่เรารู้จักทำจิต ทำจิตก็ไม่ใช่แปลว่าทำสมาธินั่งหลับตาอย่างเดียว ถ้าเราหมั่นสร้างความรู้สึกตัว หมั่นทำความรู้สึกตัว หรือว่าเจริญสติอยู่ จนกระทั่งสติเราเจริญทำงานได้รวดเร็วฉับไว ก็ทำให้สงบได้แม้ว่ารอบตัวจะอึกทึกจอแจ สติทำหน้าที่อยู่ 2-3 อย่างใหญ่ ๆ อันที่หนึ่งคือทำให้ระลึกได้ เราระลึกได้ เราจำได้ว่าวางรองเท้าไว้ตรงไหน เข้าประตูไหน ออกประตูไหน กุฎิอยู่ไหน เรียกว่าอาศัยสติความระลึกได้ บางทีทำอะไรทำงานไปก็นึกขึ้นมาได้ว่าเราตั้งน้ำร้อนเอาไว้ น้ำร้อนเดือดไปตั้งนานแล้ว หรือว่าเรามีประชุมอีก 10 นาทีข้างหน้า หรือว่านัดเพื่อนเอาไว้ บางทีดูหนังฟังเพลงจนเพลิน นึกขึ้นมาได้ว่าต้องไปรับลูก คำว่านึกขึ้นมาได้ คือสติ การระลึกได้ การจำได้ คือสติ
อีกอันหนึ่งหน้าที่ของสติ คือการรู้ทัน รู้ทันเวลาความคิดอารมณ์เกิดขึ้นในใจ ที่เราว้าวุ่นเรามีความทุกข์ ความโศก ความโกรธรบกวนจิตใจ เป็นเพราะเราไม่มีสติ เป็นเพราะเราไม่มีความรู้สึกตัว ถ้าเรามีสติ เราก็จะรู้ว่าความโกรธมันเข้ามาเล่นงานจิตใจ หรือว่ากำลังฟุ้งซ่าน พอรู้สึกตัวปุ๊ปมันหายไปเลยพวกนี้หายไปหมดเลย จะเกิดความรู้สึกโปร่งโล่ง เมื่อใด ก็ตามที่เราไม่โปร่ง ไม่โล่ง แสดงว่าเราไม่รู้สึกตัวเราไม่มีสติ สติมันไม่ทำงาน ปล่อยให้อารมณ์พวกนี้มาครอบงำ พอเรารู้ตัวว่ากำลังโกรธ รู้ตัวว่ากำลังเศร้า พวกนี้มันหลุดไปเลย แต่มันอาจจะหลุดไปชั่วคราว เพราะสติเราอ่อน รู้ตัวได้ประเดี๋ยวเดียวแล้วก็หลงใหม่ จมอยู่ในอารมณ์ จมอยู่ในความคิดฟุ้งซ่าน
ความรู้ตัวของเราส่วนใหญ่มันเป็นแค่ชั่วแวบ ๆ เหมือนกับไฟที่ร้อน แล้วเราฉีดน้ำด้วยปืนฉีดน้ำ มันฉีดน้ำออกมาแค่นิด ๆ หน่อย ๆ อารมณ์หรือกองไฟมันก็ดับ หรือเบาลงประเดี๋ยวเดียวแล้วมันก็ลุกโพลงขึ้นมาใหม่ ไฟนี่ก็เปรียบเหมือนอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธ อารมณ์เศร้า อารมณ์เกลียด หรือว่าความหงุดหงิดงุ่นง่าน ถ้าสติเราอ่อนก็เหมือนกับ น้ำน้อยไปดับไฟ ยังไงก็ดับไม่ได้ บางทีแค่ทำให้ไฟมันฟู่ลง หรือว่าเบาลงประเดี๋ยวเดียว แต่ถ้าเรามีสติรู้ทันปุ๊ปมันวางเลยถอนจิตออกมาจากอารมณ์นั้น สิ่งที่ตามมาคือความสงบ สงบเพราะไม่มีอารมณ์มาครอบงำ เรียกว่าหลุดจากอารมณ์ หรือว่าถอนจิตออกจากอารมณ์ได้ บางทีเราก็เรียกว่า “วาง” เพราะว่าอารมณ์ต่าง ๆ เกิดจากเราไปหมกมุ่นครุ่นคิดในบางเรื่อง เรียกว่าไปยึดติดถือมั่น แต่พอเราวางเรื่องนั้นลง วางเรื่องงาน วางเรื่องลูก วางเรื่องเรียน เรื่องทำรายงาน ใจมันสงบ ใจมันเบา
เวลาเราทำงานจำเป็นมากที่ต้องมีสติมาช่วยรักษาใจ เพราะว่าเวลามีอะไรมากระทบ กระทบทางตา กระทบทางหู ใจมันกระเพื่อม ยินดีไม่เท่าไรแต่มันยินร้าย เกิดความหงุดหงิด เกิดความไม่พอใจ เกิดความโมโห พอมีสติรู้ทันปุ๊ปอารมณ์จะค่อย ๆ หรี่ลง ๆ แล้วก็ดับไป หรือถ้าเรามีสติไวมันดับไปเลย คนส่วนใหญ่จะมีสติได้ต้องมีคนมาทักท้วง เช่น เรากำลังใจลอยอยู่ กำลังคิดถึงลูก กำลังห่วงพ่อ มีคนมาทักมีคนมาเรียก พอเรียกปุ๊ปเราหลุดเลย หลุดจากเรื่องที่กำลังหมกมุ่นอยู่ มันวางทันทีความเครียดความหงุดหงิดหายไปเลย เพราะเราหยุดคิดเรื่องนั้น เพราะได้สติได้ความรู้สึกตัว แต่ว่าเราจะรอให้ใครมาทัก รอให้ใครมาเรียก หรือทำให้เราได้สติก็คงไม่ทันกาล เราต้องรู้จักสร้างสติฝึกสติ ด้วยตัวเราเอง ถ้าเราฝึกสติดี สติมันจะทำงานทันที เพราะฉะนั้นการเจริญสติเป็นเรื่องสำคัญ เราเจริญสติเพื่อให้สติของเราทำงานได้เร็ว ทำงานได้ฉับไว
พระพุทธเจ้าเปรียบสติเหมือนกับยาม หรือว่านายทวาร ทวารบาลหรือยามรักษาประตูเมือง เมืองมีจุดอ่อน อยู่ตรงประตู เพราะว่ามันไม่เหมือนกำแพง กำแพงมันปิดตายตลอดเวลา แต่ประตูเปิดแล้วก็ปิด เวลาศัตรูยกกองทัพมาบุกเมือง ก็บุกทางประตู เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องมีทหารยามที่เก่งกล้าสามารถ รู้ว่าใครเป็นศัตรู รู้ว่าใครเป็นมิตร ถ้าเป็นศัตรูก็ไม่ให้เข้า เพราะถ้าปล่อยให้เข้าไปได้มันก็วุ่นวาย เมืองคงจะพินาศ เมืองในที่นี้เปรียบเหมือนกับจิตใจ จิตใจก็มีสติเป็นเครื่องรักษา ถ้าสติดี ความทุกข์อารมณ์อกุศลจะเข้าไปก่อความปั่นป่วนในเมืองก็ยาก
ที่เรามีความทุกข์ มีความกลัดกลุ้ม มีความว้าวุ่น พูดง่าย ๆ จิตไม่สงบ เพราะว่าสติเรายังทำงานไม่ดี ยิ่งเราทำงานเพื่อช่วยเหลือคนทุกข์คนยาก บางทีคนที่ทำงานในผับในบาร์เห็นคนมาสนุกสนาน คนมาเที่ยวล้วนแต่สนุกสนาน คนที่ทำงานในผับในบาร์ยังเครียดเลย พวกเราทำงานในโรงพยาบาล ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีแต่คนทุกข์ถึงมา หน้าตาเศร้าหมองอิดโรย บางทีก็เจ็บปวดร้องครวญคราง เวลาเราเห็นพวกนี้จิตใจเราถ้าไม่มีสติ ก็พลอยเศร้าหมองพลอยหดหู่ไปด้วย เพราะเห็นแต่ภาพที่ไม่ค่อยเจริญตาเจริญใจเท่าไร
แต่ถ้าเรามีสติ ก็ช่วยทำให้จิตใจเราไม่พลอยหม่นหมอง แล้วถ้าเราวางจิตวางใจเป็น โดยอาศัยสติเป็นตัวกำกับ เราก็สามารถเก็บเกี่ยวสิ่งที่จะช่วยเติม เพิ่มความสุขให้กับจิตใจเราได้ อย่างเช่นแม้คนไข้ยังไม่หายป่วย แต่ว่าเราเห็นรอยยิ้มของเขา เราก็สัมผัสรับรู้ได้ถึงความรู้สึกดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับเขา แม้เขาจะป่วยกายแต่ใจของเขาสงบ เราก็พลอยได้รับความสุข หรือว่าในบางกรณีเขาหายเจ็บหายป่วย มีความสุข เราก็พลอยได้รับความสุขด้วย ถึงแม้เขายังป่วยอยู่ แต่เราก็มีความสงบใจได้ถ้าเรามีสติ อยู่กับเขาด้วยใจเต็มร้อย พอเรามีความรู้สึกตัว ใจอยู่กับเขาด้วยความรู้สึกเต็มร้อย ความเมตตากรุณาก็ออกมา ความเมตตากรุณาเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ใจเราพอมีเมตตากรุณามันมีความสุข มันเป็นกุศล อยู่กับคนไข้เมตตากรุณาก็หลั่งไหลออกมา เพราะว่าเรามีสติ เราอยู่กับคนไข้ด้วยใจเต็มร้อยก็เกิดความสุขได้เหมือนกัน แม้ว่าคนไข้เขายังไม่ได้หายกลับบ้านได้ ที่จริงพอเราได้ทำด้วยความรัก ด้วยความเมตตากรุณา ความภูมิใจก็เกิดขึ้นเหมือนกัน มีช่องทางแห่งความสุขที่จะไปหล่อเลี้ยงใจได้ เรียกว่าตลอดเวลาที่เราทำงานก็ได้ แม้ว่าเราทำงานกับคนป่วยคนทุกข์คนยากก็มีความสุขได้
สิ่งสำคัญคือการมีสติ เพราะสติช่วยทำให้อารมณ์ที่เป็นอกุศลรบกวนครอบงำปั่นป่วนจิตใจได้น้อยลง และช่วยกำกับใจเราให้มองอะไรที่เป็นบวกได้ง่ายขึ้น คนเราบางทีก็มองลบ มองลบบ่อย ๆ มองลบโดยไม่รู้ตัว พอมองลบทีไร ก็มีแต่ความทุกข์ใจความหดหู่ ความเกลียดความหงุดหงิด แต่พอเรามองบวกจะมีสิ่งที่เรียกว่าประเทืองอารมณ์ ทำให้จิตใจชื่นบานได้เหมือนกัน จะมองบวกได้ต้องมีสติเป็นเครื่องกำกับ เขาเปรียบเหมือนกับสติเป็นหางเสือ หางเสือเป็นเครื่องกำกับทิศทางของเรือหรือมุมมอง เราจะมองบวกก็ขึ้นกับว่าเรามีสติหรือเปล่า ถ้าเราไม่มีสติก็มองลบ เห็นแต่ลบ เห็นแต่สิ่งที่ไม่เจริญหูเจริญตาหรือเจริญใจ แต่ถ้าเรามองบวก ก็มีสิ่งที่ช่วยจรรโลงใจประเทืองอารมณ์ได้ ทำให้เกิดความชุ่มชื่น เกิดความสุขในการทำงาน หรือแม้อยู่ท่ามกลางสิ่งต่าง ๆ ที่ดูเหมือนวุ่นวาย ว้าวุ่น นอกจากความรู้ นอกจากทักษะในการทำงานแล้ว สติเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับการทำงาน และสำหรับชีวิตด้วย เพราะเป็นที่มาหรือบ่อเกิดของความสุขที่หล่อเลี้ยงใจไม่ว่าอยู่ที่ไหน หรือทำอะไรก็ตาม