แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีนักธุรกิจคนหนึ่งเขาเป็นผู้หญิงที่เก่งเรื่องการบริหารกิจการมาก และมักจะคิดโครงการใหม่ ๆ อยู่เสมอ เธอเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมาก และเป็นเรื่องธรรมดาที่คนที่มั่นใจในตัวเองก็จะเห็นว่าคนอื่นไม่มีความสามารถเท่ากับตัวเอง ดังนั้นกิจการต่าง ๆ ที่เธอบริหารอยู่ก็จะควบคุมการตัดสินใจอยู่กับตัวของเธอเอง เพราะฉะนั้นเธอก็ย่อมที่จะเหนื่อยเป็นธรรมดาเช่นกัน แต่ก็อาศัยความสำเร็จที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตให้ทำงานไปได้เรื่อย ๆ และก็มีคราวหนึ่งที่โครงการใหญ่ของเธอเกิดมีปัญหา พูดง่ายๆ ก็คือว่ามันเจ๊งนั่นเอง คราวนั้นหมดเงินไปหลายสิบล้าน ซึ่งคนที่ประสบความสำเร็จมาตลอดและเชื่อว่าตัวเองเก่งตัวเองแน่นั้น พอเจอกับความล้มเหลวเข้าก็รู้สึกแย่ รู้สึกแย่จนกระทั่งถึงขาดความมั่นใจที่เคยมีเลยทีเดียว ความรู้สึกแย่ ความรู้สึกว่าเป็นคนล้มเหลวนี้ สำหรับเธอเป็นเรื่องที่ใหญ่มากจนกระทั่งทำให้เกิดวิกฤติในชีวิตถึงขั้นคิดฆ่าตัวตา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ และความรู้สึกที่เสียศูนย์นี้ก็ทำให้เธอเริ่มที่จะหันมาหาทางออกเกี่ยวกับตัวเอง
คนหลายคนพอเจอเหตุการณ์นี้ก็สนใจเรื่องการปฏิบัติธรรม เรียกว่ากลับมาที่จะหาทางแก้ทุกข์ของตัวเองแต่ว่าเธอไม่ได้ไปเข้าวัดปฏิบัติธรรม เธอเคยได้ยินว่ามีโครงการอบรม เรียกว่า มหาวิทยาลัยชีวิต เธอก็เลยสนใจลองหาเวลาไปเข้าคอร์สนี้ดู คอร์สนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องการปฏิบัติธรรมแต่มีกิจกรรมที่ให้คนได้หันกลับมาทบทวนตัวเอง คล้าย ๆ กับกิจกรรมที่พวกเราหลาย ๆ คนได้ร่วมเมื่อช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ซึ่งพอผู้หญิงคนนี้ได้เข้าร่วมกิจกรรมแล้วก็เริ่มที่จะเห็นปัญหาของตัวเอง อย่างเช่น มีกิจกรรมหนึ่งที่ทำให้คนได้เห็นถึงจุดอ่อนข้อบกพร่องของตัวเองว่ามีอะไรบ้าง และแทนที่จะไปมองออกไปข้างนอกและเห็นปัญหาเกิดขึ้นที่ข้างนอก หรือปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนอื่น ก็หันกลับมาเห็นปัญหาที่มันอยู่ที่ตัวเรา เท่านั้นยังไม่พอทางอาจารย์ที่เป็นเพื่อนอาตมาเขาก็ให้นักศึกษาแต่ละคนได้ทำโครงงานคนละหนึ่งโครงงาน คือ การให้มองว่าทุกคนมีจุดอ่อนมีข้อบกพร่องจุดไหนบ้าง แล้วให้นักศึกษาเลือกมาสักหนึ่งอย่างเพื่อทำโครงงานที่เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือว่านิสัยที่เป็นปัญหานั้น
นักธุรกิจหญิงคนนี้พบว่าตัวเองเป็นคนที่ชอบทำอะไรเร็ว ๆ เเม้กระทั่งการกินข้าวเธอก็เคี้ยวข้าวเร็วมาก หนึ่งมื้อใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีก็ต้องรีบไปทำงาน และในระหว่างที่เคี้ยวข้าวเธอก็คิดถึงแต่เรื่องงาน ซึ่งเธอคิดว่านี่เป็นปัญหาอย่างหนึ่งของเธอ เธอก็เลยตัดสินใจทำโครงงานเคี้ยวข้าวให้ช้าลง ซึ่งโครงงานนี้เมื่อทุกคนตัดสินใจทำ ก็ต้องทำทุกวันและก็ต้องบันทึกไว้ว่าได้ทำอะไร ทำอย่างไร มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรเกิดขึ้นบ้าง และก็ต้องมีการมารายงานหน้าชั้นอย่างสม่ำเสมอซึ่งอาจจะอาทิตย์ละครั้ง สองอาทิตย์ครั้ง เพราะฉะนั้นก็หมายความว่า ถ้าตัดสินใจทำโครงงานใดก็ตามก็ต้องทำจริงจัง เพราะถ้าไม่ทำจริงจังก็จะไม่มีอะไรรายงานหน้าชั้น ไม่มีอะไรจะบันทึก
ดังนั้นเธอก็เริ่มต้นที่จะเคี้ยวข้าวให้ช้าลงตั้งแต่วันแรก ๆ และความรู้สึกแรกที่ได้พบในช่วงวันแรก ๆ ก็คือ ข้าวมันมีรสหวาน ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนไม่เคยสังเกตเลยว่าข้าวมันมีรสหวาน เพราะว่าเมื่อก่อนเวลาเคี้ยวข้าวแล้วใจมันก็ไปอยู่ที่อื่น ใจก็คิดเรื่องงานไปเรื่อยข้าวมีรสชาติอย่างไรก็ไม่รับรู้เท่าไหร่เพราะว่ามันเป็นรสหวานที่ละเอียดไม่เหมือนกับน้ำตาลที่รับรู้ได้ง่าย นักธุรกิจหญิงคนนี้ก็เริ่มแปลกใจว่าข้าวมีรสหวาน เพราะตนเองไม่เคยสังเกตเลย และตอนหลังกลับมาพบว่า พอเคี้ยวข้าวให้ช้าลงก็มีเวลาอยู่บนโต๊ะอาหารนานขึ้น และโอกาสพูดคุยกับคนที่ร่วมโต๊ะมากขึ้น ซึ่งก็คือลูกและสามี
ปกติแล้วเวลากินอาหารเธอไม่เคยได้คุยกับใครเลย กิน ๆ เคี้ยว ๆ แล้วก็รีบไป แต่ตอนนี้พอทำให้ช้าลงจิตก็เริ่มนิ่ง ก็เริ่มสังเกตคนอื่นมากขึ้นและก็เริ่มพูดคุยกับลูกมากขึ้น ทำไป ๆ ความสัมพันธ์กับลูกก็ดีขึ้น แต่ก่อนเธอมีปัญหากับลูก ซึ่งลูกก็ทำงานในบริษัทของเธอ แต่เธอไม่เคยไว้วางใจลูก คอยควบคุมการตัดสินใจไว้กับตัวเองหมด ตอนหลังพอเริ่มโอภาปราศรัยกับลูก คุยกันถึงเรื่องส่วนตัวมากขึ้น ไต่ถามทุกข์สุขกันมากขึ้นก็มีความสนิทสนม แล้วก็มีความไว้วางใจลูก งานการต่าง ๆ ก็เริ่มให้ลูกรับไปทำบ้าง ไม่หวงไว้ทำคนเดียว เมื่อเธอทำไปอย่างนี้ได้สักหนึ่งเดือนก็พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงที่ร่างกายของเธอ เกี่ยวกับโรคปวดท้อง และโรคหายใจไม่ทัน ซึ่งโรคหายใจไม่ทันนี้คนสมัยนี้เป็นกันเยอะ คนสมัยก่อนไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ แต่คนสมัยนี้เป็นกันเยอะ อาการหายใจไม่ทัน หายใจไม่เต็มท้อง หรือว่าหายใจไม่เต็มที่ เธอเป็นมานานนับสิบปี ไม่ว่ากินยาเท่าไหร่หาหมออย่างไรก็ไม่ค่อยหาย แต่พอเคี้ยวข้าวให้ช้าลงทุกมื้อ ๆ พยายามที่จะบังคับให้ตัวเองมีสติอยู่กับการเคี้ยว อาการแบบนี้ก็หายไปเลย
เมื่อเธอเริ่มเห็นอานิสงส์แล้ว ก็เลยตั้งใจทำมากขึ้น พอทำบ่อย ๆ ทำบ่อย ๆ ก็เริ่มมีสติกับการทำกิจกรรมอื่นด้วย ไม่ใช่เพียงแต่เคี้ยวข้าวให้ช้าลงอย่างเดียว แต่ว่าทำอะไรอย่างอื่นก็ทำให้ช้าลงด้วยเพราะมีสติ พอทำอะไรช้าลง และมีสติมากขึ้นก็ทำให้เธอมีอารมณ์เย็นลง แต่ก่อนเธอเคยต่อว่าลูกน้อง และเห็นแต่จุดอ่อนข้อเสียของลูกน้อง ทำให้ไม่ไว้วางใจลูกน้อง ตอนหลังพอเธออารมณ์เย็นขึ้นก็สามารถพูดคุยกับลูกน้องด้วยอารมณ์ที่เย็นขึ้น ความสัมพันธ์กับลูกน้องก็ดีขึ้น และก็ได้สังเกตสังกาลูกน้องมากขึ้น เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกันมากขึ้น และยังมอบหมายงานให้ลูกน้องเพิ่มขึ้นด้วย แต่ก่อนก็อย่างที่เคยว่าตอนต้น ขนาดลูกตัวเองยังหวงงานเลย ไม่ให้ลูกตัดสินใจ ไม่ให้ลูกรับผิดชอบ ตอนนี้กระจายงานให้ลูกแล้ว ตอนหลังก็กระจายงานให้ลูกน้องด้วยเช่นกัน ปรากฏว่าเธอก็มีเวลาว่างมากขึ้น
พอมีเวลาว่างมากขึ้น เธอก็เครียดน้อยลง และพอเธอมีเวลาว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็นึกถึงพ่อเพราะว่าพ่อของเธอแก่แล้ว แต่เธอไม่ค่อยได้มีเวลาไปเยี่ยมพ่อเลยทั้ง ๆ ที่อยู่กรุงเทพฯ เหมือนกัน แต่เธอก็มักจะบอกพ่อว่าไม่มีเวลา แล้วก็ไม่ค่อยมีเวลาจริง ๆ เสียด้วย แต่พอตอนนี้เริ่มมีเวลาแล้วเธอก็เลยกลับไปเยี่ยมพ่อ พาพ่อไปเที่ยว พ่อเคยบอกลูกว่าอยากไปเที่ยวกับลูก ลูกก็รับปาก แต่ไม่เคยทำสักที แต่พอตอนนี้มีเวลาก็สามารถพาพ่อไปเที่ยวได้จริง ๆ และมีความสุข งานการก็ไปได้ดี สุขภาพก็ดี ความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัว เช่น ลูกและพ่อก็ดีขึ้น กับลูกน้องก็ดีขึ้น ส่วนตัวเธอเองก็แปลกใจมากในช่วงเวลาสองสามเดือนนี้เห็นความเปลี่ยนแปลงว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเธอหลายอย่าง ทั้งเรื่องสุขภาพ เรื่องจิตใจ เรื่องความสัมพันธ์ แล้วก็รวมถึงเรื่องงานด้วย
ซึ่งทั้งหมดนี้เริ่มต้นมากจากกิจกรรมเล็ก ๆ ก็คือการเคี้ยวข้าวให้ช้าลง เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อนะว่า แค่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเล็ก ๆ บางอย่างนั้นสามารถที่จะส่งผลกระทบไปได้มากมาย อันนี้เป็นตัวอย่างเลยนะว่า การทำอะไรก็ตาม ถ้าเป็นของดี เป็นเรื่องดี เช่น การคิดก็มีสติมากขึ้น การเจริญสติ การทำงานอย่างมีสติ การเคี้ยวข้าวอย่างมีสติวันละไม่กี่นาทีสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้กว้างไกล และรอบด้านมาก เพราะจะว่าไปแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นรอบตัว ไม่ว่าเรื่องสุขภาพก็ดี เรื่องจิตใจก็ดี เรื่องงานการ หรือความสัมพันธ์ก็ดีก็อาจจะมีจุดเริ่มต้นมากจากปัญหาเล็ก ๆ เช่น การทำอะไรเร็ว ๆ รีบ ๆ โดยที่ไม่มีสติ ดังนั้นการทำเรื่องหนึ่งนั้นส่งผลถึงอีกเรื่องหนึ่งตามมาเป็นลูกโซ่ แล้วพอสิ่งนั้นกลายเป็นนิสัยแล้วก็ก่อปัญหาต่าง ๆ ตามมามากมาย
และในทำนองเดียวกันถ้าเกิดว่าเริ่มที่การแก้พฤติกรรมบางอย่างที่มีปัญหา เช่นการเคี้ยวข้าวให้ช้าลงเป็นต้น พอเคี้ยวข้าวแบบมีสติมากขึ้น การพูดการจาก็มีสติมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนนั้นทำงานชิ้นหนึ่งใจก็นึกไปถึงงานอีกชิ้นหนึ่งแล้ว เช่นกันเหมือนกับเวลากินข้าว ปากก็เคี้ยวแต่ใจก็นึกถึงงาน พอนึกถึงงานแล้วเป็นอย่างไร มีความเครียด กังวล อาหารอร่อยแค่ไหนก็ไม่รับรู้รสไม่มีความสุขกับการกิน อันนี้มันก็ส่งผลไปเรื่อย ๆ สู่พฤติกรรมอย่างอื่น ส่งผลไปสู่การนอนไปสู่การพูดไปสู่การตัดสินใจ
ดังนั้นสิ่งเล็ก ๆ นี้ ถ้าเกิดว่าเราตั้งใจทำ และทำสม่ำเสมอ เราอย่าประมาทการกระทำนั้นเด็ดขาด เพราะมันสามารถที่จะส่งผลกระทบไปได้กว้างมากทีเดียว การออกกำลังกายก็เหมือนกัน เพียงแค่เราพยายามออกกำลังกายทุกวัน มันสามารถส่งผลกระทบไปมากมาย มีตัวอย่างเคยมีการทดลองในเมืองนอกกับคนประมาณอายุ 18-50 ปี พามาเข้าคอร์สให้มีการออกกำลังกายวันละประมาณ 2 -3 ชม. ออกกำลังกายหลายรูปแบบ เช่น ยกน้ำหนัก วิ่ง หรือแอโรบิค ทุกคนที่เข้าคอร์สนี้ก็ต้องร่วมกิจกรรมนี้ เมื่อทุกคนทำไปได้ประมาณ 2-3 เดือนก็เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่สุขภาพที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่พฤติกรรมการใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไปด้วย เช่น การกินอาหารขยะบ้าง การนั่งแช่ดูโทรทัศน์นาน ๆ การกินเหล้า สูบบุหรี่ การจับจ่ายที่ห้างหรือแม้กระทั่งความเครียดจากการทำงานต่าง ๆ นั้นลดลง
และคนที่เข้าทำการทดลองทุกคนล้วนแปลกใจว่า เพราะเหตุใดเพียงแค่ออกกำลังกายอย่างเดียวเท่านั้น แต่ทำไมถึงส่งผลกระทบไปถึงเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องสุขภาพด้วยเช่นกัน เช่น เรื่องการบริโภค เรื่องการทำงาน รวมไปถึงว่าความเครียดที่มีน้อยลง การใช้บัตรเครดิตน้อยลง ใช้บัตรเครดิตแบบที่ว่าซื้อตะบี้ตะบันอย่างนั้น เพราะว่าในที่สุดมันก็เป็นเพราะเหตุนี้เอง คนที่ออกกำลังกายนี้จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ออกกำลังกายอย่างเดียว เขาออกกำลังใจไปด้วย คนที่ไม่ค่อยชอบออกำลังกายก็ต้องเคี่ยวเข็ญตนเองให้ออกกำลังกาย พอเคี่ยวเข็ญตนเองไปเรื่อย ๆ กำลังใจก็เข้มเเข็งขึ้น พอกำลังใจเข้มเเข็งขึ้นก็สามารถจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำในสิ่งที่เห็นควรได้
คนเรานั้นรู้ว่าอาหารขยะไม่ดี หรือว่าการจับจ่ายใช้สอยมากมายนั้นไม่ดี ทำให้เป็นหนี้เป็นสิน ถึงจะรู้แต่ก็ห้ามใจไม่ได้ อย่างที่มีคำพูดว่าไว้ ว่าดีชั่วรู้หมดแต่ว่าอดใจไม่ได้ ดีชั่วรู้หมดนั้นคือมันรู้ด้วยสมองด้วยเหตุด้วยผล แต่ว่าใจมันไม่มีกำลัง เมื่อใจไม่มีกำลังที่จะบังคับให้ทำอย่างที่เห็นดีเห็นงามอย่างที่เห็นว่าดี ขณะเดียวกันใจก็ไม่ได้มีกำลังที่จะหักห้ามตนเองไม่ให้ทำในสิ่งที่เป็นโทษ สิ่งที่ชั่วร้าย อย่างเช่น หลายคนก็รู้ว่ากินเหล้าไม่ดี แต่ว่าห้ามใจไม่ได้ บางคนก็รู้ว่ามีกิ๊กไม่ดี แต่ก็ห้ามใจไม่ได้ การเที่ยวห้างชอปปิ้ง ก็รู้ว่าทำบ่อย ๆ มาก ๆนั้นไม่ดี แต่ก็ห้ามใจไม่ได้สักที แต่พอได้เข้าคอร์สออกกำลังกายทุกวัน วันละ 2 ชั่วโมง กลับต้องเคี่ยวเข็ญจิตใจตัวเอง เคี่ยวไปเคี่ยวมา จิตใจก็เข้มแข็ง รู้จักที่จะทำให้มีกำลังในการที่จะเคี่ยวเข็ญตนเองให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่เป็นประโยชน์
ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนต้องมีคนมาเคี่ยวเข็ญให้ออกกำลังกาย แต่พอทำเป็นนิสัยแล้วนอกจากจะออกกำลังกายโดยอัตโนมัติไม่ต้องมีใครบังคับแล้ว ยังสามารถจะควบคุมตนเองในเรื่องพฤติกรรมการบริโภคและการใช้ชีวิตได้ดีขึ้น อะไรที่ดี อะไรที่รู้ว่าดี อะไรที่รู้ว่ามีประโยชน์ก็สามารถบังคับใจให้ทำสิ่งนั้นได้ อันนี้เรียกว่า เกิดกำลังใจ กำลังใจในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าการที่มีคนมาสนับสนุนมาชม แต่หมายถึงการที่มีจิตนั้นมีพลังในการที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนใหญ่คนเรามักจะทำแต่สิ่งที่ถูกใจ แต่สิ่งที่ถูกต้องนั้นกลับทำไม่ไหวหรือไม่ค่อยอยากจะทำสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะรู้ว่ามันถูกต้องแต่ว่าบังคับใจไม่ได้ บางอย่างก็รู้ว่ามันไม่ดี แต่หักห้ามใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นพอได้ออกกำลังกายทุกวัน ๆ ก็มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในด้านอื่น เพราะฉะนั้นสิ่งเล็กน้อยทั้งหลายนั้น ถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้ว อย่าประมาทโดยเด็ดขาดอย่าประมาทอย่ามองข้ามว่าไม่มีความสำคัญ เพราะเมื่อทำแล้ว และทำทุกวันก็จะเกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของเราในเรื่องอื่น ๆ ได้มากมาย เรื่องการเจริญสติก็เหมือนกัน เราเจริญสติวันละ 5 นาที หรือ 10 นาที แต่พยายามทำทุกวัน ๆ การทำสมาธิก็เหมือนกัน ทำทุกวัน ๆ ก็สามารถจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้
อย่างที่อาจารย์สุรินทร์เล่าไว้เมื่อสองสามวันก่อน มีคนที่ติดเหล้าคนหนึ่งถูกเพื่อนชวนมาหามากราบหลวงปู่ดู่ เพื่อนก็บอกให้สมาทานศีล 5 แล้วก็ทำสมาธิด้วย เจ้าตัวเขาก็บอกว่าจะทำได้อย่างไร จะรักษาศีลได้อย่างไร ทำสมาธิได้อย่างไร ตัวเขายังกินเหล้าอยู่เลย ตอนนั้นหลวงปู่ดู่ก็อยู่ด้วย ท่านก็เลยบอกว่า “แกจะกินเหล้าก็เป็นเรื่องของแก ข้าไม่ว่าอะไร แต่ให้แกทำสมาธิให้ข้าวันละ 5 นาที แค่นี้ก็พอ” เพียง 5 นาทีเท่านั้นแหละ ไม่ได้มากมายอะไร เจ้าตัวเขาก็เลยคิดว่าทำได้ก็เลยรับปากหลวงปู่มา พอรับปากไปแล้วปรากฏว่าก็สามารถทำตามที่พูด ทำตามที่ได้รับปากเอาไว้ ช่วงแรก ๆ นั่งสมาธิเสร็จเพื่อนชวนไปกินเหล้า ก็ยังไปอยู่ ยังกินเหล้าอยู่ แต่ก็นั่งสมาธิไม่ขาดเลย ทำทุกวัน ๆ ปรากฏว่าทีละน้อย ๆ ทุกวันก็เห็นผลใจเริ่มสงบ บางวันกำลังนั่งทำสมาธิอยู่เพื่อนมาชวนไปกินเหล้าก็ไม่ไป เพราะยังนั่งสมาธิไม่เสร็จ
ซึ่งถ้าเป็นแต่ก่อนนั้นเพียงเพื่อนมาชวนก็ไปแล้วเพราะว่าใจมันไปอยู่แล้ว แต่พอทำสมาธิไปจิตใจก็เย็นแล้วก็มีสติมากขึ้น สามารถที่จะบังคับจิตไม่ให้ทำตามอารมณ์ได้ อยากไปก็อยากแต่ว่าต้องนั่งสมาธิให้เสร็จก่อน ไป ๆ มา ๆ ช่วงหลัง ๆ นั่งสมาธินานขึ้น นั่งเสร็จก็ปฏิเสธเพื่อนไม่ไปกินเหล้าเพราะรู้สึกว่านั่งสมาธิดีกว่า กินเหล้านั้นทำให้รู้สึกเลยว่ามีผลเสียต่อจิตใจ ทำให้จิตใจหมอง ทำให้รู้สึกหนักอึ้ง เห็นความแตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างนั่งสมาธิกับการกินเหล้า ความสุขจากสมาธิมันประเสริฐกว่าความสุขจากการกินเหล้าเยอะ ในที่สุดก็สามารถงดเหล้าได้ เลิกเหล้าได้ เท่านั้นยังไม่พอตอนหลังก็ตัดสินใจบวชด้วย จากคนที่เคยรักษาศีลกระพร่องกระแพร่ง ศีล 5 ยังรักษาไม่ครบ อาจจะทำได้แค่ ศีล 3 หรือ ศีล 4 ตอนหลังก็สามารถจะทำได้มากกว่านั้น คือหันมารักษาศีล 227 ได้ หรือถึงแม้อาจจะไม่ครบถึง 227 ข้อ แต่อย่างน้อยก็ 200 ข้อ อันนี้มันก็เริ่มต้นจากแค่การทำสมาธิวันละ 5 นาทีเท่านั้น
ฉะนั้นแล้วความดีเเม้เพียงเล็กน้อยนี้อย่าประมาทน เหมือนกับหยดน้ำหยดเล็ก ๆ รวมกันหลายหยดก็กลายเป็นลำธาร และจากลำธารก็กลายเป็นแม่น้ำ และจากแม่น้ำก็สามารถที่จะเติมมหาสมุทรได้ อย่างที่เวลาเราทำบุญ เราทำบุญให้ทานพระก็จะให้พร ขึ้นต้นด้วยคำว่า ยถา วาริวหา...หมายความว่า ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด ห้วงน้ำนี่มันเป็นห้วงไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่มันสามารถที่จะทำให้ทะเลมหาสมุทรบริบูรณ์ได้ และห้วงน้ำนี่มาจากไหน ห้วงน้ำนั้นก็มาจากน้ำหยดเล็ก ๆ ที่รากต้นไม้แต่ละต้นค่อย ๆ คายออกมา เพราะถ้าเราไปดูต้นกำเนิดของแม่น้ำ เช่น แม่น้ำเจ้าพระยานั้นเราก็รู้ว่ามันเกิดมาจาก ปิง วัง ยม น่าน แต่ถ้าเราดูต่อไปว่า ปิง วัง ยม น่าน นั้นมาจากไหน มันก็มาจากต้นน้ำมาจากลำธารสายเล็ก ๆ ที่มีต้นกำเนิดจากภูเขา ลองไปดูว่าลำธารสายเล็ก ๆ นี้มาจากไหนมันก็มาจากต้นน้ำในป่าลึก
และถ้าเราไปดูต้นน้ำ มันก็เกิดจากน้ำทีละหยด ทีละหยดที่มันค่อย ๆ ซึมมาจากดิน เรียกว่า ต้นไม้นั้นค่อย ๆ ปล่อยน้ำออกมา ซึ่งถ้าเราไปดูต้นน้ำจริง ๆ เราไปดูแล้วจะไม่น่าเชื่อเลยว่าจริง ๆ แล้วต้นน้ำมันเล็กมาก ต้นน้ำทั้งหลายมันเล็ก ๆ แต่มันกระจัดกระจาย อย่างเช่น ดอยอินทนนท์ก็เป็นต้นกำเนิดของเจ้าพระยาก็ว่าได้ เพราะว่าแม่น้ำสายสำคัญที่ก่อให้เกิดแม่น้ำเจ้าพระยาก็มาจากดอยอินทนนท์ ต้นน้ำที่ดอยอินทนนท์มันจะแฉะ ๆ เล็ก ๆ แต่ว่ากระจัดกระจายไปทั่ว ไม่ต้องดูอื่นไกล อย่างต้นน้ำที่ภูหลงก็มาจากคล้าย ๆ อย่างที่ว่า เป็นดินแฉะ ๆ ชื้น ๆ มาจากน้ำทีละหยด ๆ ที่ไหลมาซึมมาตามดินแล้วก็กลายเป็นลำปะทาว แล้วจากลำปะทาวก็กลายเป็นแม่น้ำชี ฉะนั้นความดีที่เราทำนี้ไม่ใช่แค่การทำบุญให้ทานอย่างเดียว แต่เราถือว่าการทำอะไรด้วยสติ กินข้าวอย่างมีสติ ถูฟันอย่างมีสติ อาบน้ำอย่างมีสติ เวลาเดินไปทำงาน ขึ้นตึกก็เดินอย่างมีสติ อาจจะมีหลงบ้าง หลุดบ้าง แต่ทำทุกวัน วันละเล็กวันละน้อย แต่ละกิจกรรมอาจจะมีสติแค่ 10% แต่ว่าหลายกิจกรรมทำอย่างมีสติรวมกันแล้วมันก็เยอะขึ้น ๆ เสร็จแล้วมันก็ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในจิตใจได้
การเจริญสตินั้นบางทีเปรียบได้เหมือนกับการเติมน้ำให้เต็มด้วยกระชอน เติมน้ำให้เต็มได้ด้วยกระชอนคำนี้ยืมคำอุปมาอุปไมยมาจากอาจารย์ชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่ง ชื่ออาจารย์นิชิอิ อาจารย์นิชิอิมาสอนที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เป็นผู้ที่ไม่ได้จบปริญญาตรีมหาวิทยาลัยไหนเลยแต่มีความรู้ด้านภาษาดีมาก ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอิตาลี หรือภาษาโบราณ อย่างเช่น บาลี สันสกฤต เทวนาครีนี่ก็รู้ ส่วนภาษาไทยนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นนักประวัติศาสตร์ไทยที่มีผลงานน่าคนยกย่อง และความรู้ด้านประวัติศาสตร์ของประเทศอื่นก็มี คนก็ชมว่าอาจารย์นิชิอิ เป็นอัจฉริยภาพด้านภาษา ซึ่งความสามารถด้านภาษานี้เป็นเพียงหนึ่งในความสามารถหลายอย่างของท่าน ท่านบอกว่าท่านไม่ใช่อัจฉริยะเลย ที่ท่านรู้ภาษาเยอะได้นั้นเพราะความเพียร อาจารย์นิชิก็บอกว่าเวลาเรียนภาษาต่างประเทศต้องใช้ความเพียรพยายามมาก เหมือนกับการเติมน้ำให้เต็มแก้วด้วยกระชอน เราคงเคยเห็นกระชอนหรือนึกภาพกระชอนออก กระชอนที่ทำด้วยผ้ากว่าจะสามารถเติมให้น้ำเต็มแก้วได้นั้นต้องใช้เวลานานแค่ไหน เช่นกันกับเรียนภาษาต่างประเทศ ต้องเปิดดิกชันนารี เปิดพจนานุกรม ต้องเปิดแล้วเปิดอีกกับการหาแค่คำศัพท์คำเดียว เปิดเป็นร้อยครั้ง เปิดเป็นหลายร้อยครั้ง พันครั้งถึงจะจำเข้าหัวได้ อาจารย์นิชิอิเรียนภาษาต่างประเทศแบบนั้นแหละ คือเรียนโดยอาศัยความเพียรพยายาม แต่ว่าทำบ่อย ๆ ก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ผู้จัดเจนด้านภาษา ไม่ใช่แค่ภาษาเดียวแต่ว่าเชี่ยวชาญหลายภาษาทีเดียวซึ่งนี่ก็เป็นแค่ความสามารถด้านหนึ่งของท่าน ส่วนด้านประวัติศาสตร์หรือด้านสังคมวิทยาท่านก็มีท่านเป็นผู้มีความรู้มาก อันนี้ก็เป็นเรื่องของความเพียร ทำบ่อย ๆ ทำทุกวัน ๆ ทำทีละนิด ๆ ทีละหน่อย การเจริญสติมันก็ไม่ต่างจาการเรียนภาษาต่างประเทศ คือต้องอาศัยสติเหมือนกัน
เราเรียนภาษาต่างประเทศเราก็ต้องมีสติในการที่จะระลึกว่า คำนี้แปลว่าอะไร ยกตัวอย่างเช่น ในภาษาไทยคำว่า discourse นี้ จำไม่ได้ว่าคืออะไร ต้องใช้เวลาสักหน่อยในการจะจำได้ว่า discourse แปลว่า คำพูด บทสนทนา แต่จะจำอย่างนี้ได้ต้องเปิดดิกชันนารีบ่อย ๆ เป็นสิบ เป็นร้อยครั้ง ดังนั้นการเจริญสติก็เหมือนกัน การที่จะรู้กาย รู้ใจต้องอาศัยการทำบ่อย ๆ ก็คือฝึกให้มีสติ รู้กาย รู้ใจบ่อย ๆ เริ่มจากการรู้กายยกมือ การยกมือบางคนทำยกมือไปสิบครั้ง รู้ตัวว่าตัวเองยกมือแค่ครั้งเดียว บางคนทำเป็นร้อยครั้งก็รู้ว่ายกมือแค่ครั้งเดียว ที่เหลือนั้นใจลอย แต่ว่าถ้าทำบ่อย ๆ ยกสิบครั้งก็รู้ประมาณสองครั้ง ทำอีก ๆ ทำไปเรื่อย ๆ ยกสิบครั้งก็รู้สามครั้ง ในที่สุดก็รู้เกือบจะสิบครั้ง เรียกว่าร้อยทั้งร้อย อันนี้เรียกว่าสติมันพัฒนามากขึ้นจากการที่ทำซ้ำ ๆ ไม่ใช่เฉพาะสติอย่างเดียว นิสัยอย่างอื่นด้วยก็เหมือนกัน
การมองแง่บวกหลายคนก็รู้ว่าการมองแง่บวกนี่เป็นของดี แต่เวลาเจออะไรมองลบทุกที เจออะไรที่มากระทบก็เป็นทุกข์ทุกที หงุดหงิดทุกทีเพราะว่าเห็นแต่ลบ แต่ว่ามันต้องฝึกบ่อย ๆ ฝึกมองแง่บวกบ่อย ๆ เช่น รถติดมีข้อดีอย่างไรบ้าง เพื่อนมาสายมีประโยชน์อย่างไรบ้าง หรือว่าแดดร้อนฝนตกดินชื้นแฉะมันมีประโยชน์อย่างไรบ้าง เพื่อนเขาวิจารณ์เรามีข้อดีอย่างไรบ้าง เจ็บป่วยมีข้อดีอย่างไรบ้าง พอมองแบบนี้บ่อย ๆ ต่อไปการมองบวกจะง่ายขึ้น จะสามารถมองบวกได้เป็นอัตโนมัติ และอันที่จริงแล้วความคิดลบก็ยังเห็นอยู่แต่ว่าสามารถเห็นด้านอีกด้านหนึ่งของความจริงที่มันเป็นบวกได้มากขึ้น การมองบวกนี้ไม่ได้หมายถึงการหลอกตัวเองหรือการปรุงแต่ง แต่คือการเห็นความจริงในอีกมุมหนึ่งซึ่งเราอาจจะไม่เคยเห็น ในขณะ เดียวกันคนที่มองบวกบ่อย ๆ บางทีก็ต้องมองลบบ้างนะ
การมองลบหมายถึงว่ามองในเชิงวิจารณ์ว่าสิ่งนี้มีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไขตรงไหนบ้าง หลายคนมองบวกกับตัวเองมากจนกระทั่งไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง ก็ต้องมองให้เห็นข้อบกพร่องของตนเองบ้าง คือต้องวิพากษ์วิจารณ์ตนเองบ้างจึงจะได้มีการพัฒนา แต่โดยส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องคนที่มองลบ ส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องการมองบวก เพราะมองไม่เป็นคือถ้ามองบวกบ่อย ๆ ก็จะเห็นได้ว่าอะไรที่เกิดขึ้นกับเราแล้วดีทั้งนั้น อย่างน้อยก็ดีที่ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้ อย่างเช่นเงินหาย 100 บาทก็ดีเหมือนกันนะ ดีที่ไม่ได้หาย 1,000 บาท หรือโทรศัพท์ไม่หาย หรือเงินหาย 100 บาทก็ดีเหมือนกันช่วยฝึกให้เราไม่ประมาทฝึกให้เรารู้จักปล่อยวาง แต่ก่อนนี้แม่ค้าทอนเงินขาดไปบาทสองบาททำให้คิดแล้วคิดอีก คิดเสียดายไม่รู้จักปล่อยไม่รู้จักวาง แต่ตอนนี้ฝึกให้ปล่อยวางแม้กระทั่งเงินหาย 100 บาท พยายามหาเท่าไหร่หาไม่เจอก็ปล่อยวาง ฉะนั้นหากฝึกการปล่อยวางได้หรือฝึกให้เรารู้จักไม่ประมาท ฝึกให้รู้จักละเอียดละออถี่ถ้วนได้ สิ่งนี้ก็จะเป็นสิ่งที่เราสามารถจะฝึกได้ในชีวิตประจำวันของเรา ไม่จำเป็นต้องเข้าวัด หากไม่มีเวลาเข้าวัด ไม่มีเวลาเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมก็ไม่เป็นไร อย่างเช่นนักธุรกิจหญิงคนที่ว่า เธอก็ไม่ได้เข้าคอร์สปฏิบัติธรรม แต่เธอฝึกตัวเอง ฝึกด้วยความตั้งใจ ฝึกอย่างจริงจัง มันก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับตัวเองได้
มันเริ่มต้นจากการมีนิสัยใหม่ก่อน แล้วพอมีนิสัยใหม่นี่ก็นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่ดีต่าง ๆ อีกมากมาย เพราะฉะนั้นพวกเรากลับไปบ้าน กลับไปที่ทำงาน ลองเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองสักหนึ่งเรื่อง ไม่ต้องสองเรื่องก็ได้ ไม่ต้องสามเรื่องก็ได้ อาจจะเป็นเรื่องการบริโภคหรือจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิตบางอย่าง การลด ละ เลิก บางสิ่ง หรือว่าทำสิ่งดี ๆบางอย่าง และทำทุกวัน เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ เริ่มต้นจากทำน้อย ๆ แต่ว่าตั้งใจทำทุกวัน และเชื่อเลยว่าความเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตของเรามันจะเห็นและปรากฏชัดในที่สุด