แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เราได้สาธยายภาษิตของพระพุทธเจ้าที่ชื่อว่า ปัทมพุทธภาษิต คือภาษิตแรกสุดที่พระองค์ได้ตรัส หรือว่าได้ปรารภขึ้นมา
คำว่าการเกิดทุกคราว เป็นทุกข์ร่ำไป การเกิดมีความหมาย 2 อย่าง ที่เราควรทำความเข้าใจ เกิดอย่างแรกคือการเกิดทางกาย คนส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าเป็นทุกข์เท่าไหร่ เวลาเด็กทารกคลอดมาพ่อแม่ดีใจ การเกิดของลูกเป็นความสุขของพ่อแม่ ปู่ของย่า ตายาย ถึงวันครบวันเกิดทีไรก็ชื่นชมยินดี มีการจัดปาร์ตี้ มีการฉลอง มีการจัดงานแฮปปี้เบิร์ธเดย์ อันนี้คือความเข้าใจของชาวโลก คือการเกิดเป็นเรื่องดี นำมาซึ่งความสุข แต่ที่จริงแล้ว ถ้าพิจารณาดูให้ดี ๆ ทุกข์ตั้งแต่วันแรกที่เกิดแล้ว พ่อแม่ดีใจ แต่ตัวเด็กกว่าจะคลอดออกมาได้เหนื่อยทีเดียว ต่อสู้ดิ้นรนขณะที่อยู่ในท้องเพราะเด็กไม่อยากออกมา เด็กอยากอยู่ในท้องแม่ แต่ต้องถูกดึงถูกลากออกมา เรียกว่าทุกข์ทั้งแม่ทั้งลูก ออกมาแล้วเด็กร้องไห้เหมือนกับบอกว่าฉันไม่อยากเกิด เหมือนกับจะรู้ว่าการเกิดตามมาด้วยความทุกข์ เพราะว่าไม่ว่าจะมี จะได้ ไม่ว่าจะเป็นอะไร หลังจากเกิดมาในที่สุดหมดไป สูญไป หายไป ลมหายใจที่มีที่ได้มาสักวันหนึ่งต้องหมดไป ร่างกายที่เติบโตสักวันหนึ่งค่อย ๆแก่ชรา ตามมาด้วยความเจ็บ ความป่วย ไม่ต้องรอให้แก่ เจ็บ ป่วย เกิดขึ้นเป็นครั้งเป็นคราว เป็นระยะ ๆ ทุกชีวิตล้วนแล้วแต่ลงเอยด้วยการเรียกว่า จบด้วยขาลงทั้งสิ้น
ไม่ว่าใครที่ประสบความสำเร็จ เจริญก้าวหน้า ร่ำรวย มีชื่อเสียง มียศ มีอำนาจ แต่เรียกว่า ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน คือจบไม่สวยทั้งนั้น คือไม่สามารถที่จะร่ำรวย หรือว่า มีชื่อเสียง คงอยู่ในภาวะที่เป็นขาขึ้นได้ ล้วนแล้วแต่จบด้วยการเข้าสู่ภาวะขาลงทั้งสิ้น คือ แก่ เจ็บ แล้วตายเห็นอยู่ว่าการเกิดทางกายตามมาด้วยความทุกข์ เชื่อไหมว่าในระหว่างนั้นอาจจะ มีสุข อาจจะมีความสำเร็จ อาจจะมีการครอบครองการได้มาซึ่งอะไรต่ออะไรมากมายแต่สุดท้ายปลายทางหมด เสื่อมสลายไป อย่างนี้เรียกว่าจบไม่สวย ถ้าเป็นหนังไม่ใช่แฮปปี้เอ็นดิ้ง อันนี้มองแบบชาวโลกถ้าเรามองตลอดสาย พบว่าไม่มีใครที่จบสวยสักคน คือในที่สุดต้องตายมีคนเปรียบเทียบว่าทุกชีวิตเปรียบเหมือนกับเรือ เรือที่แล่นออกสู่ ทะเลกว้าง ไม่ว่าจะเป็นเรือเดินสมุทร หรือว่าเรือรบ หรือว่าเรือสำราญ สุดท้ายอับปางกลางทะเลทั้งสิ้น เรือจะยิ่งใหญ่มโหฬารแค่ไหน จบเหมือนกันหมดคืออับปาง จมกลางทะเล มีคนเปรียบเทียบชีวิตคนเป็นแบบนั้น คือการเกิดทางกาย
แต่มีการเกิดอีกอย่าง คือการเกิดทางจิต การเกิดทางจิตจะเกิดขึ้นที่เรียกว่า เกิดกันอยู่ตลอดเวลาว่าได้ ต้องพูดว่าลืมตัวเมื่อไร การเกิดทางกายปรากฏขึ้นมาทันที คือมีตัวกูขึ้นมา คนเราลืมพอตัวเมื่อไหร่ตัวกูโผล่ขึ้นมาทันที เกิดจากความหลง พอหลงปรุงตัวกูขึ้นมา แล้วจิตยึดเอาไว้ว่ากู กูมีหลายลักษณะ บางครั้งกูเป็นพ่อ เป็นแม่ บางครั้งกูเป็นพี่เป็นน้อง บางครั้งกูเป็นฆราวาส บางครั้งกูเป็นคนไทย บางครั้งกูเก่ง บางครั้งกูดี บางครั้งกูแย่ จะมีอาการลักษณะอาการต่างๆ ของกูเกิดขึ้น อันนี้เราเรียกว่า เป็นการเกิดเหมือนกัน เกิดเป็นพ่อแม่ไม่ใช่ว่า เมื่อลูกคลอดออกมา ความเป็นพ่อ ความเป็นแม่จึงปรากฏ อันนั้นเป็นส่วนหนึ่ง แต่ว่าบางครั้งความเป็นพ่อแม่ไม่ใช่ว่าจะเป็นอยู่ตลอด เวลาอยู่กับลูก เราเกิดความรู้สึกว่าเราเป็นพ่อ เป็นแม่ อันนี้ความเป็นพ่อแม่เกิดขึ้น แต่เวลาเจอพ่อ ความเป็นพ่อแม่หายไป ความเป็นลูกมาแทนที่ เวลาเราอยู่กับลูก เรามีความสำคัญมั่นหมายแบบหนึ่งว่าฉันคือพ่อ ฉันคือแม่ เวลาเจอพ่อเจอแม่ ไปหาพ่อแม่ที่บ้านซึ่งแก่ชรา ความเป็นลูกปรากฏ มาแทนที่ความเป็นพ่อ ความเป็นแม่ ไปเจอครูความเป็นลูกศิษย์ปรากฏ แม้ไม่ได้เรียนกับครูคนนี้ มานาน 40-50 ปี แต่ว่ายังรู้สึกว่าเราเป็นลูกศิษย์ พอเจอลูกศิษย์ ความเป็นครูปรากฏในใจ หรือพอเกิดความสำคัญมั่นหมายว่า กูเป็นครู เจอลูกศิษย์แม้ว่าลูกศิษย์จะโตแล้วอดไม่ได้ที่จะสอน ที่จะแนะนำ หรือภูมิใจว่าเราสอนเขามา ตอนนี้เขาได้ดิบได้ดีแล้ว เจอฝรั่ง เจอคนญี่ปุ่น ความเป็นคนไทยปรากฏขึ้นมาในใจ อันนี้เรียกว่าการเกิด
เกิดเป็นคนไทยทันที เกิดเป็นคนไทยไม่ใช่เกิดเมื่อยังเล็ก พอเจอฝรั่ง เจอญี่ปุ่นความเป็นคนไทยเกิดทันที กูเป็นคนไทย แต่พอเจอคนใต้ ความเป็นคนอีสานปรากฏว่ากูเป็นคนอีสาน กูเป็นคนกรุงเทพ พอเจอคนขอนแก่น ความเป็นคนเป็นชัยภูมิปรากฏ เจอคนชัยภูมิด้วยกัน แต่คนละอำเภอ คนนี้จตุรัส เรานี้เทพสถิต ความเป็นคนเทพสถิตปรากฏ เห็นว่าความเป็นตัวกูเกิดขึ้นตลอดเวลา แล้วเปลี่ยนไปเรื่อย ความเป็นนั่นเป็น เรียกว่า ตัวกูไม่เที่ยงอย่างนี้ เปลี่ยนไปเรื่อย วันหนึ่งความเป็นตัวกูเปลี่ยนไปเรื่อย เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นลูกศิษย์ เป็นฆราวาส เป็นอาจารย์ เป็นลูกวัด เป็นเจ้าอาวาสบ้าง เป็นคนไทยบ้าง เป็นผู้ชายบ้าง เรียกว่า ตัวกู หรือการเกิดทางจิต เกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ วันหนึ่งไม่รู้กี่ครั้ง เป็นร้อยเป็นพันครั้ง ยังไม่ต้องพูดถึงว่า กูเก่ง กูแน่ กูดี กูประเสริฐ กูเป็นคนเก่ง กูเป็นผู้แพ้ กูเป็นนักกีฬา ที่บอกว่าตัวกูไม่เที่ยง แม้กระทั่งว่า ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนเพราะเหตุนี้ คือว่าไม่มีตัวกูที่เที่ยงแท้ยั่งยืน เปลี่ยนไปตามเหตุ ตามปัจจัย เหตุปัจจัยที่ว่าเจอใคร เจอพ่อ เจอแม่ ความเป็นตัวกูเปลี่ยน เป็นลูก เจอลูกความเป็นตัวกูเปลี่ยนเป็นพ่อแม่ อันนี้เรียกว่าเปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะนั้นไม่มีความเที่ยงแท้หรือไม่มีความตายตัวเป็นอนัตตา แต่อันนี้พอเกิดขึ้นมาแล้วทุกข์ เพราะเราเกิดทุกครั้ง ไม่ว่าเกิดทางกายหรือว่าเกิดทางจิต จะมีตัวกิเลส ความอยาก เกิดขึ้นอยู่เสมอเป็นพ่อเป็นแม่ อยากจะให้ลูกเชื่อฟัง อยากจะให้ลูกเรียนเก่งๆ เชื่อฟังพ่อแม่
วันก่อนมีสามีภรรยาคู่หนึ่งมาหาแล้วเล่าว่า ตอนนี้ลูกเป็นหมอ 2 คนเป็นฝาแฝดด้วย ลูกเรียนดีถามแล้วลูกเรียนดี แต่สีหน้าของแม่มีความกังวล เพราะว่าอะไรเพราะว่าลูกคนหนึ่งมีแฟน ที่จริงมีแฟนไม่เสียหาย ถามว่าการเรียนเสียไหม แม่บอกว่าการเรียนของลูกไม่ได้เสียอะไร แต่แม่อดเป็นห่วงไม่ได้ ที่จริงไม่ได้เป็นห่วงอย่างเดียว บางทีแม่มีความเสียใจด้วย ฟังดู เพราะว่าลูกไปเชื่อไปใกล้ชิดกับแฟนมากกว่าใกล้ชิดกับแม่ แม่เริ่มน้อยใจว่า แต่ก่อนนี้ลูกใกล้ชิดกับแม่ แต่เดี่ยวนี้ไปใกล้ชิดกับแฟนสาว แล้วเหินห่างกับแม่ เท่านั้นไม่พอลูกยังไปใส่ใจกับพ่อแม่ของแฟน แล้วห่างเหินพ่อแม่ของตัวไป คนที่เป็นแม่ คนที่เป็นพ่อ มีความเสียใจ ความน้อยใจ ดูๆ แล้วไม่ใช่เป็นความกังวล ลูกจะสอบ จะเรียนไม่ดี บางทีเป็นความเสียใจ ความน้อยใจ ลูกไปใช้เวลาอยู่กับแฟน บางทีพ่อแม่จะมาค้างคอนโดกับลูก ลูกมีสีหน้าไม่ค่อยเต็มใจ บางทีบอกแม่พ่อว่าถ้าจะมาต้องบอกก่อน แม่เสียใจ ที่จริงไม่น่าเสียใจเพราะว่าลูกไม่ได้ทำอะไรที่แย่ ไม่เหมือนลูกคนอื่น ไม่เหมือนครอบครัวอื่น กลุ้มใจลูก เรียนไม่เป็นท่า ติดยา เที่ยวดึก
บางคนเป็นผู้หญิง กินเหล้ากลับบ้านดึก ฟังจากที่เขาเล่าลูกดูไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าความที่ลูกไปให้ความสนใจกับแฟนสาว ไม่ค่อยใกล้ชิดกับแม่เหมือนเมื่อก่อน แถมไปเอาอกเอาใจพ่อแม่ของแฟนแต่ว่าไม่ค่อยเอาอกเอาใจพ่อแม่ของตัว นั่น คือทุกข์ของพ่อแม่ ไม่ว่าลูกจะดียังไง จะเรียนดี จะเรียนเก่งแต่ยังมีเรื่องให้ทุกข์อยู่นั่น ราวกับว่าความดีของลูกไม่เคยเป็นที่พอใจของพ่อแม่ ไม่ว่าดีแค่ไหนพ่อแม่ยังไม่พอใจนั่น ว่ายังดีไม่พอควรจะใส่ใจกันบ้าง ควรจะใกล้ชิดกับฉันเหมือนเดิม อะไรแบบนี้เป็นต้น ดูท่าทางกังวลมากเป็นทุกข์มากราวกับว่าลูกนั้นติดยา หรือว่าลูกทำตัวเสเพล อย่างที่มักจะเห็นจากพ่อแม่หลายคนมาหา ทุกข์ของพ่อแม่ ไม่ว่าเป็นอะไรทุกข์ทั้งนั้น เป็นพระทุกข์แบบพระ เป็นโยมทุกข์แบบโยม เป็นเศรษฐีทุกข์แบบเศรษฐี คนเป็นเศรษฐีทุกข์จะไปเที่ยวที่ไหนดี เวลามีไม่มากจะไปเที่ยว ญี่ปุ่น หรืออเมริกาดี จะใส่เสื้อสีอะไรดีวันนี้ออกงาน จะใส่เสื้ออะไรใส่เสื้อใส่กระโปรง เครื่องแต่งกายให้ดูดี ทัดเทียมหรือว่าให้เด่นกว่าคนอื่นในงาน จะสวมเพชรหรือว่าสายสร้อยอะไรดีให้เหมาะสมกับงาน อะไรต่างๆเป็นความทุกข์ของคนรวย ไม่ต้องพูดถึงว่า เงินทองจะเบไว้ที่ไหน ที่ได้มามากมาย ยังไม่ต้องพูดว่า เรายังรวยไม่พอ คนอื่นเขารวยกว่าเรา การเกิดทางจิตไม่ว่าเป็นอะไรทุกข์ทั้งนั้น
และที่เราสวดการเกิดเหมือนกับการอยู่บ้าน บ้านหมายถึงอะไร บ้านหมายถึงภพ ส่วนผู้สร้างบ้านคือตัณหาแสวงหาอยู่ซึ่งนายช่างปลูกเรือนคือตัณหาผู้สร้างภพ ตัณหาเปรียบเสมือนกับนายช่างผู้สร้างบ้าน บ้านคือภพ มีบ้านต้องมีคนอยู่ เรียกว่าชาติ การเกิดได้ยินอยู่เสมอว่าภพชาติ ภพจะเรียกว่าภาวะได้ มีตัณหาสร้างภพ พอมีภพเกิดความสำคัญว่า พออยู่ในภาวะใด เราเกิดความสำคัญมั่นหมายว่าเราอยู่ในภาวะนั้น เรียกว่าชาติคือการเกิด เช่น อยากจะเป็นนักร้อง เรียกว่า ตัณหา ไปฝึก ไปซ้อม ไปเรียน ไปแข่ง ยิ่งถ้าได้รางวัลยิ่งรู้สึกว่า ความเป็นนักร้องปรากฏ พอเกิดความสำคัญมั่นหมายว่าฉันเป็นนักร้อง อันนี้เรียกว่าการเกิดทางจิตเริ่มเกิดขึ้นแล้ว ต้องมีภพก่อน แล้วค่อยมีชาติ คือว่าเกิดภาวะ เป็นนั่น เป็น แล้วจึงเกิดความสำคัญมั่นหมายว่าฉันเป็นนั่นเป็น หรือว่าตัวกูคือ นักร้อง ตัวกูคือพระ ตัวกูคือฆราวาส อันนี้เรียกว่า ชาติ หรือ การเกิด
สนใจธรรมะ อยากมาปฏิบัติธรรมมาวัด รับศีล 5 สมาทานศีล 8 นุ่งขาวห่มขาว มาวัดมาเข้าคอร์ส อยู่บ่อยๆ เพื่อได้พบกับความสงบ ทำไปเรื่อย ๆความเป็นนักปฏิบัติธรรมเกิดขึ้น ค่อย ๆก่อรูปขึ้นมา แล้วเกิดความสำคัญมั่นหมายว่าฉันเป็นนักปฏิบัติธรรม ฉันเป็นผู้มีศีล อันนี้เรียกว่าเกิดแล้ว เกิดขึ้นมาเมื่อเกิดภพ เกิดภาวะ ภาวะนี้เกิดจากการกระทำได้ การกระทำบ่อย ๆ ทำให้เกิดภาวะ หรือความเป็นนั่นเป็นขึ้นมา อันนี้เรียกว่าอุปปัตติภพ ภพมีอยู่ 2 อย่าง อุปปัตติภพ กับ กรรมภพ
กรรมภพ หมายถึง การกระทำที่นำไปสู่ภพ หรือความเป็นนั่นเป็น และพอภพปรากฏสำเร็จขึ้นเรียกอุปปัตติภพ อยากเป็นนักกีฬา ออกกำลังกายอยู่เสมอ ไปแข่ง ไปซ้อมอยู่เป็นประจำ ซ้อมบ้าง แข่งบ้าง ทีละน้อยๆความเป็นนักกีฬาปรากฏ อาจจะปรากฏในลักษณะที่ร่างกายแข็งแรง มีเรี่ยวแรง มีพละกำลัง แล้วได้รับการชื่นชม ใครๆเรียกว่านักกีฬา และพอสำคัญมั่นหมายว่าฉันเป็นนักกีฬาเรียกว่าการเกิดทางจิต ปรากฏแล้วเกิดชาติขึ้นมา พอเกิดชาติขึ้นมามีความทุกข์ มีความสุขไปตามประสานักกีฬา ตามประสานักปฏิบัติธรรม มีคนชมว่าเราเป็นนักปฏิบัติธรรมเราปลื้ม พอมีคนบอกว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมภาษาอะไรยังโกรธอยู่ ยังโลภอยู่ ทุกข์ ทั้งโกรธ ทั้งผิดหวังเสียใจ บางทีเกิดสงสัยเรานักปฏิบัติธรรมจริงหรือเปล่า ทำไมยังโกรธอยู่ ทำไมยังโลภ ทำไมยังอิจฉาคนอยู่ ตรงนี้เขาเรียกว่าถูกกระแทก ถูกกระทบ เรียกว่าเกิดชรามรณะขึ้น เกิดชราก่อนพอถึงจุดที่เกิดความรู้สึกว่า โอ๊ย ฉันไม่ได้เป็นนักปฏิบัติธรรมแล้ว ฉันไม่ได้เรื่อง เลิกแล้วปฏิบัติธรรม อันนี้มรณะ ความเป็นนั่น เป็น ล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยง
ที่จริงพอเปลี่ยนสถานการณ์ เปลี่ยนไปแล้ว ชรามรณะปรากฏทันที เช่น ตอนที่อยู่กับลูกเราเป็นพ่อเป็นแม่ พอไปเจอแม่เจอพ่อ ไปเยี่ยมพ่อแม่ที่โรงพยาบาลความเป็นพ่อแม่หายไป ความเป็นลูกมาแทนที่ เรียกว่ามรณะดับไป อันนี้คือความเกิดทางจิตที่สำคัญมากที่ทำให้คนเราเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาแล้วทุกข์ ทุกข์เพราะว่าเขาไม่ชมเราว่าเราเป็นนักปฏิบัติธรรม ทุกข์เพราะว่าเล่นกีฬาแล้วแพ้ ความเป็นนั่นเป็นถูกคลอนแคลนถูกกระทบ อันนี้เพราะว่าตัณหา ตัณหานี้ซึ่งถ้าเราศึกษาปฏิจจสมุปบาทเราจะรู้ได้ว่าตัณหาเกิดขึ้นเมื่อมีเวทนา เวทนาเกิดขึ้นเมื่อเกิดผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยทำให้เกิดตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยทำให้เกิดอุปาทาน อุปาทานทำให้เกิดภพ แล้วชาติ แล้วชรามรณะ
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ในพุทธภาษิตสำคัญมาก เป็นเข็มชี้หรือเป็นแผนที่ที่ทำให้เราได้รู้ว่าความทุกข์ของคนเราเกิดจากอะไรโดยเฉพาะความทุกข์ทางใจ ตราบใดที่ยังมีภพ มีชาติ ยังหนีทุกข์ไม่พ้น เพราะว่าพอเกิดเป็นนั่น เป็นล้วนแล้วแต่มีความผิดหวังทั้งนั้น เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นคนไทย เป็นนักกีฬา เป็นผู้ปฏิบัติธรรม เป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิง ล้วนแล้วแต่ต้องเจอความผิดหวัง ที่ผิดหวังเพราะมีความอยาก ที่คู่ที่ติดมากับภพนั้น การปฏิบัติธรรมทั้งหมดเพื่อศาสนา เพื่อทำให้การเกิดดับไป การเกิดทางกายดับเพราะว่า เมื่อไม่เกิด เมื่อตายไปแล้วไม่เกิดใหม่ ไม่เกิด เมื่อไม่มี เมื่อไม่เกิดใหม่ การเกิดทางกายไม่ปรากฏ คนส่วนใหญ่นึกถึงนิพพาน ความหมายที่ว่าไม่ไปเกิดใหม่ ซึ่งหมายความว่าอาจจะต้องรอให้ตายก่อน ต้องรอให้ตายหมดลมสิ้นลมก่อนการเกิดจะไม่ปรากฏ เมื่อไม่ปรากฏความทุกข์ทั้งหลายที่ตามมาเป็นอันจบ ไม่เกิดขึ้นอีก เพราะความทุกข์เกิดขึ้นเมื่อมีการเกิด
คนไปมองว่า นิพพาน หมายถึงการที่ไม่มีการเกิดทางกายอีก ซึ่งคือต้องรอให้หลังตาย เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ที่จริงแล้วสิ่งที่สำคัญ ไม่น้อยกว่ากันคือ การเกิดทางจิต ทำให้ไม่เกิดทางจิตเกิดขึ้น การเกิดทางจิตไม่เกิดขึ้น เพราะว่าไม่มีตัณหาเป็นตัวปรุง ตัณหาเป็นนายช่างปลูกเรือน มีตัณหาเมื่อไรสร้างภพเมื่อนั้น สร้างภพเมื่อไรชาติมาทันที คราวนี้ถ้าไม่ทำให้ตัณหาเกิดไม่เกิดภพชาติ การเกิดทางจิตไม่ปรากฏ การทำให้การเกิดทางจิตไม่ปรากฏ ต้องมาทำที่ตัณหามาจัดการที่ตัณหา การมีสติรู้ทันตัณหาช่วยทำให้ตัณหาดับได้เหมือนกัน อย่างที่เราได้สวดเมื่อกี้นี้ นายช่างปลูกเรือนเราได้รู้จักเจ้าเสียแล้ว พอรู้จักเจ้าเสียแล้ว เจ้าจะทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป ไม่ต้องไปฆ่า ไม่ต้องไปขับไล่ไสส่งนายช่าง เพียงแค่รู้จักหรือรู้ทัน ใช้คำว่าแรู้จักนายช่างปลูกเรือน เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เพียงแต่รู้ทันว่ามีตัณหาเกิดขึ้นในใจ ภพชาติไม่เกิดแล้ว เพราะว่าพอตัณหาถูกรู้ทัน ดับไป อย่างที่บอกไปแล้ว อารมณ์ หรืออกุศล รวมทั้งมาร กิเลส ทั้งหลาย พวกนี้แม้จะเก่งกาจ สามารถ มีอุบาย ล่อหลอกเราได้สารพัด เจนจบในการล่อลวงให้เราหลง แต่ว่าจุดอ่อนมีอย่างหนึ่ง คือกลัวการถูกรู้ ถูกเห็น ถูกรู้จักเมื่อไร ยอมแพ้ หนีไป
มารพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มารเรารู้จักเจ้าแล้ว เจ้าอย่าคิดว่าเราไม่รู้จักเจ้า มารซึ่งมีฤทธิ์มากมาย หลอกคนให้กลัว ข่มขู่ให้ผวา แปลงกายเป็นอะไรก็ได้ แต่พอเจอพระพุทธเจ้าทักประโยคนี้ หรือถูกใครตามทักประโยคนี้ ยอมแพ้หนีไป พระธรรมดาๆ พอทักแล้วว่า มารเรารู้จักเจ้าแล้ว ก็ยอมแพ้ อย่างมีพระรูปหนึ่งไปทำความเพียรแล้วมีมารมาแกล้ง ทำแผ่นดินไหว พระตกใจกลับไปที่เชตวัน พระพุทธเจ้าถามว่า ทำไมถึงกลับมา ท่านเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น พระพุทธเจ้ารู้ว่าเป็นอุบายของมาร บอกว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ให้บอกว่า มารเรารู้จักเจ้าแล้ว อย่าคิดว่าเราไม่รู้จักเจ้า พระรูปนี้กระทำตาม พอเกิดแผ่นดินไหวขึ้นก็พูดออกมา มารพอรู้ว่าพระรูปนี้รู้ทัน ยอมแพ้หนีไป ไม่มาก่อกวนอีก
ตัณหา ความโกรธ ความเกลียด ความโลภ ความอยาก เหมือนกัน ให้รู้ทัน หรือว่ารู้จักกับเขา ยิ่งรู้จักอย่างลึกซึ้ง ยิ่งช่วยทำให้เหมือนกับขุดรากถอนโคนไปได้ แต่ในขณะที่เรายังไม่ถึงกับมีปัญญาลึกซึ้งแล้วให้มีสติรู้ทัน เมื่อเรารู้ทันตัณหา รู้ทันกิเลส ครอบงำไม่ได้ใจไม่หลง ความรู้ตัวเกิดขึ้นมีสติเต็มรอบหรือมีสติตื่นตัว ตัวกูไม่ปรากฏอย่างที่บอก ตัวกูเกิดขึ้น เมื่อเผลอ เมื่อหลง ตัณหาครอบงำ กิเลสครอบงำ ปรุงภพชาติขึ้นมา ขณะที่เรายังไม่สามารถจะทำให้แน่ใจว่า การเกิดทางกาย จะไม่ปรากฏอีกในอนาคต อย่างน้อยๆ ทำให้การเกิดทางจิตปรากฏน้อยลง ไม่ถี่ ไม่บ่อย ทั้งวัน ทั้งคืน เหมือนกับที่ผ่านมา คือการมีสติ มีสติรู้ทัน สติทำให้เกิดการรู้สึกตัว พอมีความรู้สึกตัวเมื่อไหร่ ตัวกูไม่ปรากฏ เพราะตัวกูเกิดขึ้นได้เมื่อไม่รู้ตัว เมื่อเกิดความหลง โดยเฉพาะเมื่อเกิดผัสสะขึ้นมา ตากระทบ หูได้ยินเสียง เสียงเกิดเวทนา ถ้ามีสติ แค่รู้เวทนา ไม่ถูกเวทนาครอบ ถ้าถูกเวทนาครอบเมื่อไร ตัณหามา ผัสสะเป็นปัจจัยทำให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ปัจจัยไม่ใช่เกิดขึ้นอัตโนมัติ ตัณหาจะเกิดขึ้นเมื่อเวทนาเกิดแล้วหลงไม่มีสติตัณหาเกิด ตัณหาเกิดแล้วยังไม่มีสติ รู้ทันเอาแล้วปรุง เกิดอุปาทานภพชาติขึ้นมาทันที ถ้ามีเวลาเกิดผัสสะขึ้นมา เวทนาตามมาทันทีแต่ว่าจะไม่เกิดตัณหาโดยอัตโนมัติจนกว่าจะไม่มีสติ ให้เรามีสติตอนเวทนาเกิด มีสติเวทนาเกิด ทุกข์ไม่ยินร้าย สุขไม่ยินดี เมื่อไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ตัณหาไม่เกิด เมื่อตัณหาไม่เกิด ภพชาติจะเกิดได้อย่างไร ถ้าอย่างนั้นเวลาเรามีสติ เมื่อเกิดผัสสะ หรือเมื่อเกิดเวทนาขึ้น อันนี้ตัวกูไม่เกิด การเกิดทางจิตไม่ปรากฏ หรือถึงแม้จะไม่มีสติทัน ตัณหามาแล้ว ให้รู้ทัน รู้ทันตัณหา
อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส เรารู้จักเจ้าแล้ว ถึงแม้จะยังไม่รู้จักลึกซึ้งอย่างพระพุทธเจ้า แต่เพียงแค่รู้ทัน ช่วยได้เยอะ ที่ทำให้ตัวกูไม่เกิด เมื่อตัวกูไม่เกิดทุกข์ไม่ปรากฏตามมา มีแต่ทุกข์กาย ทุกข์ใจไม่มี เพราะฉะนั้นหมั่นทำเจริญสติอยู่เสมอเพื่อให้รู้ทันในทุกอาการบวกหรือลบ รวมทั้งอาการที่เกิดกับกายด้วย เช่น เวทนา ความปวด ความเมื่อย ความสบาย ความอร่อย เมื่อได้กินของที่ชอบ พวกนี้คือเวทนาที่เกิดกับกาย ให้รู้ทัน เวทนาที่เกิดกับใจ รู้ทัน หรือว่าไม่รู้ทัน ปรุงเป็นตัณหา เกิดความไม่พอใจ เป็นโทสะให้รู้ทัน ดับไป การเกิดทางจิตไม่ปรากฏอาจจะเป็นแค่ชั่วคราว เดี๋ยวมาใหม่ เวลาเผลอ ให้กลับมารู้ทัน ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งจะรู้จัก รู้แจ้งในตัณหา จนกระทั่งไม่มีที่ตั้ง