แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เส้นทางชีวิตของคนเรา ถ้าเปรียบเหมือนถนนเหมือนกับถนนที่คดเคี้ยว แบบนี้เรียกว่าไม่มีข้อยกเว้นแบบ เส้นทางชีวิตของเราแต่ละคนไม่เคยเป็นถนนที่ตรงดิ่ง แต่เป็นถนนที่คดเคี้ยวทั้งนั้นแม้แต่ พระพุทธเจ้า อย่างที่เราทราบ ท่านเกิดในวัง เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ พออายุ 29 กลับมาเป็นนักพรต บำเพ็ญชีวิตอย่าง ภิกขาจาร เรียกว่าคดเคี้ยวไปอีกทางแบบ 180 องศา แล้วบำเพ็ญทุกรกิริยา เลี้ยวออกไปอีกทาง เป็นเส้นทางสู่สายกลาง จนกระทั่งได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงตอนนั้นชีวิตของพระองค์คดเคี้ยวน้อยลง ขนาดพระพุทธเจ้า นับประสาอะไรกับพวกเราซึ่งเป็นปุถุชน ชีวิตของเราไม่เพียงแต่คดเคี้ยวเท่านั้น ยังมีทางแยกอีกมากมาย
หมายความว่า ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ที่เราจะแยกไปทางใดทางหนึ่งได้ ณ จุดๆ หนึ่งๆ อาจจะแยกไปซ้ายหรือแยกไปขวา มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นอาจจะ แยกไปสู่สุขหรือทุกข์ เจริญหรือเสื่อมได้ แบบนี้หมายความว่าคนที่สมมุติว่าสามารถมองเห็นอนาคต อย่างเช่นหมอดู ถึงแม้ว่าเขาจะมองเห็นชีวิตของคนๆ หนึ่งจากปัจจุบันไปถึงอนาคต เส้นทางชีวิตนั้นไม่ใช่ว่าจะแน่นอนเสมอไป แม้แต่หมอดูที่แม่นที่สุด สมมุติว่ามีไม่ได้หมายความว่าคนๆ นั้น ชีวิตของคนๆ นั้น จะเป็นไปอย่างที่หมอดูพยากรณ์ หรือทำนายเอาไว้ เพราะว่ามีทางแยก สามารถจะแยกไปทางหนึ่ง ซึ่งไม่ตรงกับที่หมอดูได้คาดการณ์หรือทำนายไว้ได้ แต่ถ้าเกิดว่าหมอดูทำนายถูกเป็นเพราะว่าคนๆ นั้นเขาดำเนินชีวิตไปตามอย่างที่เคยเป็น หมอดูเขาคงอาศัย การทำนายจากพฤติกรรมในอดีต ไม่ใช่อดีตชาติ อดีตหมายถึงชีวิตในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา แต่กระนั้นไม่ได้หมายความว่าแน่นอนเสมอไป อย่างที่เราเคยได้ยินเรื่องราวของท่านเรียวฟานเป็นขุนนางจีน ตอนยังหนุ่มอยากจะรับราชการ หมอดูซึ่งเก่งมากทำนายว่า จะสอบได้ขั้นนี้เท่านั้นแหละ ไม่มีทางที่จะไปถึงขั้นจอหงวน เรียวฟานเชื่อ แล้วไม่เพียรพยายาม เป็นไปอย่างที่หมอดูพยากรณ์เอาไว้ แต่ว่าหลังจากที่ได้เจอคนๆ หนึ่ง ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความพากเพียร วิริยะ อุตสาหะ ในที่สุดสามารถที่จะสอบได้เกินแบบกว่าที่หมอดูคนนั้นพยากรณ์เอาไว้ จนกระทั่งได้เป็นจอหงวน
แบบนี้เรียกว่า หักปากกาเซียน เพราะว่าความพากเพียรพยายาม ไม่ใช่ว่าหมอดูเขาดูไม่ถูก แต่เขาดูถูกแต่ดูจากความน่าจะเป็น ความน่าจะเป็นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน อย่างที่เมื่อปีที่แล้ว พวกเซียนบอลพยากรณ์ว่า เลสเตอร์ซิตีมีโอกาสจะได้แชมป์พรีเมียร์ลีกแค่ 1 ใน 2000 ซึ่ง 1 ใน 2000 ยิ่งกว่า เขาเปรียบเหมือนกับว่ามีโอกาสที่จะเจอ เอลวิส เพรสลีย์ตัวเป็นๆ เราทราบว่าเอลวิส เพรสลีย์นี้ตาย ไปตั้งแต่ปี 2520 ยังมีคนเชื่อว่าเอลวิส เพรสลีย์ยังไม่ตาย อัตราการต่อรองว่าโอกาสที่จะเจอเอลวิส เพรสลีย์ตัวเป็นๆ 1 ใน 2000 คือว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้แบบ เพราะว่าเขาตายไปแล้ว เลสเตอร์ซิตีเหมือนกัน พวกนักพยากรณ์เขาดูจากความน่าจะเป็น ดูจากพฤติกรรม สถิติที่เคยเป็น เลสเตอร์ซิตีมีโอกาสที่จะแชมป์พรีเมียร์ลีก 1 ใน 2000 เท่านั้น อัตราต่อรอง 1 ต่อ 2000 แต่ว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้นอย่างที่เราทราบ เพราะว่าเขามีความตั้งใจ มีความพากเพียรพยายาม ทำให้สามารถที่จะเป็นที่ 1 เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้
มีเรื่องเล่าในพระไตรปิฎกว่า เมืองสองเมืองจะทำสงครามกัน กษัตริย์เมืองแรก รู้จักฤๅษี ฤๅษีคนนี้มีฤทธิ์ สามารถติดต่อกับพระอินทร์ได้ ฤๅษีนี้ไปถามกับพระอินทร์ว่าใครจะชนะในสงคราม พระอินทร์บอกว่าเมืองแรกนี้ชนะแน่ กษัตริย์เมืองนั้นพอทราบจากฤๅษี ไม่กระตือรือร้น ไม่มีการตระเตรียม ไพร่พล เพราะว่าฤๅษีไม่เคยทำนายพลาด ทำนายพลาดได้อย่างไรเพราะว่า ได้ข้อมูลโดยตรงจากพระอินทร์ ซึ่งไม่ทราบว่าพระอินทร์สามารถทำนายเหตุการณ์ในอนาคตได้หรือว่าพระอินทร์เป็นผู้ลิขิต แบบนี้ไม่ได้อธิบายเอาไว้ ส่วนกษัตริย์เมืองที่สองรู้เหมือนกันว่าพระอินทร์ทำนายว่าอย่างไร แต่ว่า ไม่ย่อท้อ มีการตระเตรียม ฝึกฝนไพร่พลอย่างเต็มที่ พอทำสงครามปรากฏว่า กษัตริย์เมืองที่สองชนะ กษัตริย์เมืองแรกตกใจ แล้วโกธร แล้วไปไล่เบี้ยกับฤๅษีว่าทำไมถึงทำนายผิด ฤๅษีไปถามกับพระอินทร์ พระอินทร์พูดเสียงอ่อยๆ ว่า ความบากบั่นพากเพียรของมนุษย์ แม้แต่เทวดาไม่อาจกีดกันได้ หมายความว่าทั้งๆ ที่เห็นแล้วว่าเมืองแรกนี้ชนะแน่ แต่ว่าเห็นแน่ไม่เชิงว่าจะแน่นอนทีเดียว มีทางแยก ทางที่จะพลิกไปอีกทางหนึ่งได้ แต่ว่าการที่จะพลิกไปอีกทางหนึ่ง เปอร์เซ็นต์น้อย พระอินทร์แบบ ฟันธงว่าเมืองแรกชแน่ หรืออาจจะไม่ได้ฟันธงแต่ลิขิตเอาไว้แบบว่าเมืองแรกชแน่ แต่พระอินทร์ยังพลาดได้เพราะอะไร เพราะว่าความเพียรของมนุษย์เป็นสิ่งที่เทวดาไม่อาจไปกีดกันขัดขวางได้
เพราะฉะนั้นเวลาพูดว่าเส้นทางชีวิตของคนเรามีทางแยก ที่แยกไม่ใช่เพราะว่ามีเหตุร้ายหรือเหตุดีเกิดขึ้นอยู่ที่ความเพียรพยายาม อยู่ที่กรรม การกระทำ ของมนุษย์ การกระทำของมนุษย์เป็นตัวชี้ขาดว่าเส้นทางชีวิตของคนเราจะไปทางไหน แยกซ้ายหรือ แยกขวา จะไปสู่ความเสื่อม หรือความเจริญ จะไปสู่ความทุกข์หรือความสุข แบบนี้เป็นสิ่งที่เกิดกับชีวิตของคนทุกคนไม่ว่า อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ไม่ว่าตรงจุดไหนของชีวิต จะมีทางแยก ซึ่งจะไปทางไหนขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเป็นสำคัญ การกระทำนี้เรียกว่ากรรม ไม่ว่าจะเป็นการกระทำทางกาย วาจา หรือใจ การรู้เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร การรู้เช่นนี้หมายความว่าจริงๆ แล้ว เส้นทางชีวิตของเราแต่ละคนอยู่ที่เรา จะพูดว่าเราเลือกได้คงไม่ผิด เราเลือกได้ไม่ใช่ว่าจะเลือกได้ทุกอย่างที่อยากจะเป็น แต่หมายความว่าอย่างน้อยๆเราเลือกได้ว่าจะสุขหรือทุกข์ บางอย่างอาจจะไม่มีทางที่จะเป็นอย่างนั้นได้ เช่นตอนนี้อยากจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ รางวัลโนเบล คงยาก แต่อย่างน้อยเราเลือกได้ว่าเราจะสุขหรือทุกข์ตรงนี้อยู่ในวิสัยของเราทุกคน รวมทั้งจะเจริญหรือเสื่อมด้วยได้ มีผู้ชายคนหนึ่ง ตื่นเช้าขึ้นมา ก่อนที่จะทำงานและพาลูกไปโรงเรียน กินข้าว เขามีภรรยาและลูกสาว อายุ 10 ขวบ จู่ๆ ลูกสาวทำแก้วน้ำตกแตก น้ำกระจายไปทั่วพื้น พ่อไม่พอใจ พ่อต่อว่าลูก และต่อว่าลูกแรงจนลูกร้องไห้ แม่เห็นเช่นนี้ต่อว่าพ่อ พ่อหันมาเถียงมาทะเลาะกับแม่ มีปากเสียงกันใหญ่ ขณะที่ลูกสาวร้องห่มร้องไห้อยู่นั้น ปรากฏว่ากว่าจะรู้ตัวแบบเวลาที่จะพาลูกไปโรงเรียนแล้ว พ่อรีบขึ้นไปเก็บเอกสารใส่กระเป๋า แล้วลงมาพาลูกออกจากบ้าน กรุงเทพฯ ถ้าออกจากบ้านช้าไป 5 นาทีหรือ 10 นาที หมายถึงการเจอรถติดยาว อาจจะทำให้ไปช้าถึงครึ่งชั่วโมงได้ ปรากฏว่าวันนั้น พ่อพาลูกไปโรงเรียนสาย ลูกถูกครูว่าหรือต่อว่าหรืออาจะถูกลงโทษด้วย ส่วนตัวพ่อเดินทางไปที่ทำงาน ปรากฏว่า ไปถึงทีทำงานสาย เจ้านายมายืนคอยอยู่ เจ้านายมีสีหน้าไม่ดีเพราะว่าเจ้านายมีการประชุมนัดสำคัญกับลูกค้า ไปประชุมสายไม่พอปรากฏว่าเอกสารที่เตรียมมาประชุมลืมไปชิ้นหนึ่ง เนื่องจากตอนที่เก็บเอกสารที่บ้าน รีบ เอกสารไม่ครบประชุมไม่ได้เรื่อง ลูกค้าไม่พอใจ เจ้านายต่อว่า เช้าวันนั้นเขารู้สึกแย่มาก อารมณ์ไม่ดี อารมณ์บูด ตอนบ่ายทำงาน ทำงานอยู่ทำงานได้ไม่ดี หัวเสีย มีเพื่อนมาแซวมาหยอก ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเพื่อนที่มาแซว เขาหัวเสียอารมณ์ไม่ดี ด่าเพื่อน แล้วทะเลาะกัน จนกระทั้งต้องมีคนมาห้าม กลายเป็นว่าวันนั้นทั้งวันไม่ได้งานแบบ อารมณ์เสีย กลับไปขับรถกลับบ้านด้วยความที่หงุดหงิด ขุ่นเคืองใจ ปรากฏว่าไปเกิดการเฉี่ยวชนขึ้นมา รถติดแน่นขนัด เขาต้องรอกว่าประกันจะมา เสียเวลาอยู่นาน ยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่ไปใหญ่ พอถึงบ้านไปสาย ลูกรอกินข้าวกับพ่อ พ่อหัวเสีย อารมณ์ไม่ดี พอภรรยาพูดไม่สบอารมณ์แค่คำสองคำ พ่อตวาดใส่ แบบทะเลาะกันอีกรอบ เป็นว่าวันนั้นทั้งวัน ทั้งบ้านไม่มีความสุข ลูกขึ้นนอนด้วยความรู้สึกแย่ ส่วนพ่อกับแม่ไม่มีอารมณ์ จะหลับจะนอน วันนั้นทั้งวันถ้าพูดภาษาชาวบ้านคือวันซวยของเขา เป็นวันซวยของผู้ชายคนนั้นหรือว่าเป็นวันซวยของครอบครัวว่าได้
แต่ถ้าดูให้ดี คนเราเวลาเจอเหตุร้าย มักจะเกิดขึ้นซ้ำๆ กันบ่อยๆ หรือเกิดขึ้น เรียกว่าซ้ำๆ กันทั้งวัน เรียกว่า เคราะห์ซ้ำ กรรมซัด แต่ถ้าเราดูจากเหตุการณ์นี้ จะเห็นได้ว่าเริ่มต้นจากเหตุการณ์เดียว คือลูกทำแก้วน้ำแตก พ่อว่าลูก แล้วหลังจากนั้นเกิดเหตุร้ายตามมาเป็นลูกโซ่ เริ่มจากจุดๆ เดียว คล้ายๆ กับเวลาเรากลัดกระดุม ถ้าเรากลัดผิดกระดุมแรก กระดุมสอง สาม สี่ จะผิดไปเรื่อย ชีวิตของคนเราเวลาซวย เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่า ประดังประเดเข้ามา แต่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ จุดหนึ่ง และตามต่อเนื่องไปเป็นลูกโซ่ ถามว่าที่เป็นวันซวยของผู้ชายคนนั้นเป็นเพราะว่า ลูกสาวทำแก้วน้ำตกจริงหรือเปล่า สมมุติว่าเราย้อนเหตุการณ์ไปใหม่ เรากรอหนังกลับไป ลูกสาวทำแก้วน้ำตก พ่อฉุนแต่ว่ามีสติ ยับยั้งใจไว้ได้ ไม่พูดว่าลูก อาจจะพูดแนะนำลูกดีๆว่าให้กินอย่างระมัดระวัง เวลาตัก เวลาถือแก้วให้มีสติ จะไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างสามีกับภรรยา พ่อ แม่ ถึงเวลาที่พาลูกไปโรงเรียน เขาขึ้นไปเก็บเอกสาร เขาเก็บได้ครบ เพราะว่าไม่ต้องรีบ เนื่องจากเผื่อเวลาไว้แล้ว ออกจากบ้านตรงเวลา รถไม่ติด ไปส่งลูกทัน แล้วไปถึงที่ทำงานตรงเวลา เข้าประชุมได้ตรงเวลา เนืองจากเอกสารเตรียมมาพร้อมแล้ว การประชุมสำเร็จ เจ้านายชม เขามีความสุข ตอนบ่ายเขามีกำลังใจที่จะทำงานเพราะทำงานสำเร็จตั้งแต่เช้า เพื่อนมาหยอกล้อ เขาหยอกกลับ เป็นแบบว่า ความสัมพันธ์กับเพื่อนเป็นไปด้วยดี วันนั้นทั้งวันเขาทำงานเป็นไปด้วยดี ได้งาน ถึงเวลาขับรถกลับบ้าน เนื่องจากเขาไม่หงุดหงิด ไม่หัวเสีย ไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้น ถึงบ้านตรงเวลา หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ถึงเวลากินข้าวกัน คุยกัน หยอกล้อกัน สนทนากันตามประสา พ่อแม่ ลูก ได้อย่างราบรื่น เป็นแบบว่าวันนั้นทั้งวันทุกคนมีความสุข
เหตุการณ์สองเหตุการณ์ภาพสองภาพตรงข้ามกัน จุดเปลี่ยนอยู่ตรงไหน จุดสำคัญ จุดชี้ขาดอยู่ตรงไหน จุดชี้ขาดไม่ได้อยู่ตรงที่ว่าลูกทำแก้วน้ำตก แต่จุดชี้ขาดอยู่ที่พ่อมีสติไม่โกธรลูก ไม่ว่าลูก นี้คือเป็นจุดที่พ่อสามารถที่จะเลือกได้ เวลาลูกทำแก้วน้ำตก พ่อสามารถเลือกได้ว่าจะด่าลูกหรือไม่ด่าลูก หรือว่าจะพูดกับลูกดีๆ เลือกได้ ไม่ใช่ว่าพอลูกทำแก้วน้ำตก พ่อต้องด่าอย่างเดียว ไม่ใช่ พ่อเลือกได้ ว่าจะด่าหรือไม่ด่า ถ้าไม่ด่าเพราะว่ามีสติ สมมุติว่าเผลอไปแล้ว ด่าลูกไปแล้ว ทำให้ไปโรงเรียนช้า ไปส่งลูกช้า ไปถึงที่ทำงานช้า แต่ว่า ถ้ายังมีสติอยู่ถึงแม้ว่าประชุมไม่ได้เรื่อง ถูกเจ้านายตำหนิ ไม่เป็นไร เริ่มต้นใหม่ เช้าวันนั้นแย่ไปแล้วไม่เป็นไร ผ่านไป เราตั้งสติ ให้ดี ตอนบ่ายเพื่อนมาหยอกล้อ คงไม่ไปด่าเพื่อนกลับเพราะว่าปล่อยวางเรื่องเมื่อเช้าไปแล้ว สามารถทำงานได้อย่างปกติ ไม่มีเรื่องทะเลาะกับเพื่อน ขับรถกลับบ้านไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น พอไปถึงบ้านทุกอย่างราบรื่น จะเห็นได้ว่าแม้พลาดไปแล้วในตอนเช้าแต่ยังมีทางเลือก เป็นทางแยก ว่าจะปล่อยให้บ่ายนั้นพังไปด้วย หรือว่าเสียแต่แต่เช้าตอนบ่ายไม่พัง ยังประคับประคองไปได้ หรือถึงแม้ว่าเกิดพลาดไปแล้ว ทะเลาะกับเพื่อนไปแล้ว ไม่เป็นไร ผ่านไปแล้ว ถึงเวลากลับบ้าน ขับรถกลับบ้านอย่างมีสติ ไม่เกิดอุบัติเหตุ กลับไปถึงบ้านตรงเวลา สามารถที่จะคุยกับลูกภรรยาได้อย่างปกติ ไม่เอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนเช้า ตอนบ่ายมาเป็นอารมณ์ ค่ำวันนั้นจบอย่างราบรื่นได้ หรือเกิดอุบัติเหตุไปแล้วในตอนค่ำ ตอนที่ขับรถกลับบ้าน เพราะปล่อยใจให้หงุดหงิด แต่กว่ายังมีสติ ไม่เป็นไร ผ่านไปแล้ว กลับบ้านอยู่กับลูกกับเมีย ให้มีสติ เย็นนั้น คืนนั้นทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่นเช่นกัน
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าในชีวิตของคนเราไม่ว่าจะหลายๆ ปี หรือในหนึ่งวัน ชีวิตมีทางแยก จะแยกไปทางสุขหรือทุกข์ ได้ แม้จะมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้นเรายังเลือกได้ว่าจะสุขหรือทุกข์ เราเลือกได้ว่าเราจะมีปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์นั้นอย่างไร ลูกทำแก้วน้ำแตกแต่ว่าถ้าเราเป็นพ่อเราเลือกได้ว่าจะโกธรโมโหฉุนเฉียว หรือว่าเราจะจะตั้งสติให้ดี แล้วให้ผ่านไปโดยไม่ต้องมีเรื่องมีราว ซึ่งช่วยให้ช่วงเวลาหลังไปจากนั้นราบรื่นได้ ในหนึ่งวันของคนเราไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าดีหรือร้าย เราสามารถจะเลือกได้ว่าจะไปสู่ความทุกข์หรือไม่ทุกข์ แบบนี้รวมไปถึงหากเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ที่หนักๆ ด้วย ที่ลูกทำแก้วน้ำแตกถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถึงแม้เล็กน้อยบางคนเสียศูนย์ไป ทำให้วันทั้งวันย่ำแย่ไป แต่ถึงแม้ว่ามีอะไรที่หนักกว่านั้น เช่น เจ็บป่วย งานการล้มเหลว หรือพลัดพรากศูนย์เสียจากของรัก เรายังเลือกได้ว่าเราจะทุกข์หรือจะสุข บางคนเจ็บป่วย แต่เขาทำใจได้ เขาอาจจะคิดว่าเออว่าโชคดีที่เป็นตอนนี้
อย่างมีหมอคนหนึ่งพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง แต่ยังสามารถจะยิ้มได้ เพราะว่าเป็นมะเร็งระยะที่ 2 เรายังมีเวลาที่จะ เตรียมตัว มีเวลาที่จะรักษา ดีที่ยังไม่รู้ว่าเป็นมะเร็งระยะที่ 3 หรือ 4 เหมือนบางคนที่พอรู้ว่าเป็นมะเร็ง ตีอก ชกหัว กลุ้มใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่ใช่ว่า พอรู้ว่าเป็นมะเร็งแล้วชีวิตต้องทุกข์เสมอไป คนไม่ทุกข์มี ไม่ใช่เพราะว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เขาเลือกที่จะไม่ทุกข์ เพราะเขามองว่าเป็นธรรมดา เขามองว่าโชคดีที่เรามารู้ตอนนี้ หรือว่าเขาอาจจะมองว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องพัก ความเจ็บป่วยทำให้เขาต้องเข้าหาธรรมะ ซึงในภายหลังทำให้เขามีความสุข แม้ยังเจ็บยังป่วยอยู่ อย่างที่มีหลายคนบอกว่าโชคดีที่เป็นมะเร็ง เพราะมะเร็งทำให้ฉันมารู้จักธรรมะ เพราะถ้าไม่เป็นมะเร็ง อาจจะยังปล่อยชีวิตให้ว่างเปล่า ไร้ประโยชน์ เอาแต่ทำงานทำการ ไม่รู้จักความหมายของชีวิตที่แท้จริง บางคนงานล้มเหลว กลุ้มอก กลุ้มใจ โมโหพาลด่าคนนั้น โทษคนนี้ แต่บางคนพองานล้มเหลวกลับมาดูว่าผิดพลาดตรงไหน หรือว่าทำให้เกิดความพากเพียรพยายามมากขึ้น คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต จะว่าไปแล้วแทบทุกคนล้วนแล้วแต่เจอความล้มเหลวที่หนักๆ ทั้งสิ้น
อย่างโอลิมปิก คราวนี้มีดาวเด่นขึ้นมาคนหนึ่งชื่อโจเซฟ สคูลลิงชาวสิงคโปร์ สามารถเอาชนะ ไมเคิล เฟลปส์ได้ ไมเคิล เฟลปส์นี้ถือว่าเป็น ยอดแห่งการว่ายน้ำ ท่าผีเสื้อเขาเก่งด้วย เป็นท่าโปรดของเขา เป็นไม้ตายของเขาแต่กลับแพ้ให้กับโจเซฟ สคูลลิง ซึ่งเป็นเด็กว่าเขาด้วย โจเซฟ สคูลลิงนี้ดังมากที่เอาชไมเคิล เฟลปส์ได้ ในท่าที่เป็นสุดยอดของเขา ปรากฏว่าย้อนกลับไปดูชีวิตเขา โอลิมปิกคราวที่แล้วที่ลอนดอน เขาตกรอบ เสียหายมากไม่ใช่เข้ารอบ ตกรอบ แต่การตกรอบนี้แทนที่จะทำให้เขาท้อแท้ กลับทำให้เขาเกิดความพยายามมากขึ้น พยายามทบทวนว่าพลาดตรงไหนและพยายามปิดจุดอ่อนตรงนั้น เหมือนกับ โปรเม เอรียาจุฑานุกาล ปีนี้ได้แชมป์มา 5 แชมป์ แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ สามปีที่แล้วเขาตกต่ำมาก ตกต่ำที่เรียกว่าอยู่ในแบบดับที่ 50 หรือเป็น 100 แต่ว่าความตกต่ำ ความล้มเหลวหรือความพ่ายแพ้ของเขาเมื่อสามปีที่แล้วกลายเป็นจุดที่ทำให้เขา สามารถกลับมาเป็นแชมป์ได้ในทุกวันนี้ได้เพราะเขาเห็น ได้เรียนรู้ว่าเขาผิดพลาดตรงไหน เธอเคยบอกว่าโชคดี ที่ไปเจอช่วงแย่ๆ เมื่อสามปีที่แล้ว ถือว่าคนเราย่อมมีชีวิตบางช่วงที่ตกต่ำย่ำแย่ แต่เธอโชคดีที่มาแย่ตอนที่เธอยังเด็ก อายุ 18-19 ทำให้มีเวลาที่จะเรียนรู้แล้วก้าวข้ามอุปสรรค อย่างที่บางคนพอล้มเหลว ชีวิตย่ำแย่ไปแบบ ท้อแท้ท้อถอย เสียผู้เสียคน บางทีเข้าไปหายาเสพติด
แบบนี้เป็นตัวอย่างของคนเรา แม้ว่าจะเจอเหตุการณ์ร้ายๆ แต่เราเลือกได้ว่าจะสุขหรือทุกข์ เลือกได้ว่าจะใช้สิ่งที่เกิดขึ้นนำไปสู่ความเจริญ หรือว่าปล่อยให้ย่ำยี คนบางคนเจอความทุกข์ ผิดหวังอกหัก เข้าไปหาเหล้า ไปหาอบายมุข แต่บางคนทำให้เขาเข้าหาวัด เข้าธรรมะ คนหนึ่งชีวิตย่ำแย่ ยิ่งกว่าเดิม แต่อีกคนหนึ่งเจอเหตุการณ์แบบเดียวกันแต่ว่าชีวิตกลับเจริญงอกงามกว่าเดิม แบบนี้ที่อาตมาเรียกว่าเป็นทางแยก ไม่ว่าจะเจออะไรตามสามารถจะแยกไปซ้ายหรือขวาได้ คือสุขหรือทุกข์ เจริญหรือเสื่อม ทุกเหตุการณ์ ไม่ว่าดีหรือร้าย ทุกจุดของชีวิตเราเลือกได้ แบบนี้เป็นเรื่องกรรม เป็นเรื่องการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย ความล้มเหลว ความพลัดพรากสูญเสีย จากคนรัก ไม่ว่าจากเป็น หรือจากตาย ล้มละลาย ตรงจุดนั้นเราเลือกได้ว่าจะทุกข์หรือสุข และสิ่งที่ช่วยให้เราเลือกได้ว่าจะสุขหรือไม่ทุกข์
สิ่งสำคัญคือสติ ตั้งสติได้ ทำให้อย่างน้อยๆ ไม่ปล่อยใจ ตกต่ำย่ำแย่ จนกระทั่งไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งนอกจากเหล้า ยาเสพติด หรือว่า ประชดตัวเองด้วยการปล่อยให้ตัวเองจมตกไปในอบาย ความทุกข์สำหรับคนๆ หนึ่งสามารถผลักไปสู่ความทุกข์ซ้ำสอง ซ้ำสาม ไปกว่าเดิมได้ แต่ว่าในเวลาเดียวกันความทุกข์ อย่างเดียวกันสามารถกระตุ้น ผลักดันหนุนส่งให้เรา ไปสู่ชีวิตที่เจริญงอกงาม จนออกจากทุกข์ได้ ความทุกข์สามารถที่จะเหวี่ยงเราให้จมอยู่ในอบายมากขึ้น หรือสามารถที่จะเหวี่ยงเราให้ออกจากทุกข์ได้
มีเรื่องราวมากมายของบุคคลในสมัยพุทธกาล ที่พอเจอความทุกข์แล้ว ชีวิตกลับดีขึ้น เช่น นางปฏาจารา นางกีสาโคตมี เสียคนรักเรียกว่าไม่อยากเป็นผู้เป็นคนในทีแรก แต่เนื่องจากได้กัลยาณมิตรดี ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นอุปกรณ์สอนธรรม ทำให้เห็นสัจธรรมความจริงของชีวิต จนกระทั่งกลายเป็นพระอริยบุคคล และเป็นพระอรหันต์ จุดหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่ทำให้ท่านเหล่านั้น แทนที่จะตกต่ำย่ำแย่ แต่กลับกลายเป็นพระอริยบุคคลได้ นั้นเพราะว่าท่านมีสติ มีสติตั้งหลักได้ แล้วสามารถประคับประคองรักษาใจ สติทำให้เห็นธรรมะ เกิดปัญญา เพราะฉะนั้น เวลาเราเจออะไรที่เกิดขึ้นกับชีวิตเราแรงๆ ไม่ได้แปลว่าเราต้องแย่เสมอไป เราเลือกได้ว่าจะปล่อยให้จิตใจหรือชีวิตลงไปสู่ ความทุกข์ตกต่ำแย่ไปยิ่งกว่าเดิม หรือว่าจะสามารถก้าวขึ้นมา ออกจากความทุกข์ หรืออาศัยความทุกข์เป็นเครื่องกระตุ้นหนุนส่งให้ชีวิต พลิกเปลี่ยนไปในทางที่ดีมากขึ้น ความทุกข์นี้มีประโยชน์
อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนท่านบอกว่า เห็นทุกข์พ้นทุกข์ ซึ่งแบบนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ทุกข์นี้มีไว้เพื่อให้รู้ ท่านใช้คำว่าปริญญา หรือบางทีแปลว่ากำหนดรู้ เพราะว่ากำหนดรู้ หรือ รู้ทุกข์อย่างทั่วถึงนั้นแหละ จึงสามารถพ้นจะทุกข์ได้ เข้าถึงนิโรทได้ ทุกข์นี้เป็นประตูไปสู่นิโรท ซึ่งเป็นอริยสัจ ข้อที่ 3 ถ้าไม่เจอทุกข์ จะเข้าใจทุกข์ จะเห็นสมุทัย และจะเข้าถึงนิโรทได้อย่างไร คนที่ไม่เจอทุกข์แบบ ยากที่จะเข้าถึงนิโรทได้ แต่ที่จริงแล้วไม่ว่าใครเจอทุกข์ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าจะใช้ทุกข์อย่างไร หรือเกี่ยวข้องกับทุกข์อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่เราเลือก ได้ เราจะปล่อยให้ทุกข์เล่นงาน ย่ำยีกรีฑาเรา กดเราให้ต่ำ หรือเราอาศัยความทุกข์เป็นอุปกรณ์สอนธรรมให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ อยู่ที่เราเลือก