แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ที่วัดป่าสุคะโต เรามีกิจกรรมที่มาทำพร้อมเพรียงกันตั้งแต่ตีสี่ คือมาทำวัตรสวดมนต์ร่วมกัน ซึ่งก็หมายความว่า พวกเราก็ต้องตื่นกันตั้งแต่ตีสาม ตีสามครึ่ง หรือบางคนอาจจะตื่นก่อนหน้านั้น หลายคนอาจจะรู้สึกว่ามันเป็นเวลาที่ตื่นเช้าเกินไป บางคนก็คิดกระทั่งว่า เป็นการสร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ตนเอง แต่ที่จริงเวลาแบบนี้นี่เป็นเวลาที่นักธุรกิจหลายคนเดี๋ยวนี้ เขารู้สึกเป็นเรื่องธรรมดามาก พวกเราอาจจะไม่ทราบว่าเดี๋ยวนี้มีนักธุรกิจหรือผู้บริหารองค์กรระดับใหญ่ๆของโลก เขาเรียกว่าเป็นค่านิยมเลยก็ว่าได้ที่ต้องตื่นเช้า แต่จะพูดว่าเช้าก็ไม่ถูกเพราะเขาตื่นมาตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
อย่าง CEO ของ Pepsi นี่เขาว่า ตีสี่ก็ตื่น CEO ของดิสนีย์ตื่นตีสี่ครึ่ง CEO ของ Twitter นี่ถือว่านอนอุตุตื่นตีห้าครึ่ง ก็ถือว่านอนเยอะไปแล้ว นี่จะเป็นแบบแผนวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตของพวกเขาเลย ตื่นเช้ามาก มันไม่ใช่เป็นเรื่องลำบาก ไม่ใช่เป็นเรื่องทรมานตนเลย ก็ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีสี่ หรือบางคนตีสามครึ่ง เพราะอะไร ตื่นมาเพื่อที่จะได้บริหารกายตั้งแต่เช้า อย่าง CEO ของ Apple ตีห้าเขาก็ไปถึงโรงยิม ไปเตรียมออกกำลังกาย ก็ถือว่าเรื่องการฝึกกายนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับการทำงาน ซึ่งเต็มไปด้วยภาระแล้วก็มีการแข่งขันกันสูง ฉะนั้นร่างกายที่แข็งแรงก็จำเป็นสำหรับการทำความสำเร็จให้เกิดขึ้นกับตัวเอง และกับองค์กรของเขา แต่เราตื่นมาแต่เช้า จุดหมายสำคัญคือเพื่อบริหารใจ เพื่อฝึกใจ เพื่อพัฒนาจิตใจ หรือถ้าพูดอย่างภาษาที่ใช้เมื่อวานนี้ คือเพื่อที่จะมาฟังเสียงหัวใจของเรา ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ใจสามารถที่จะบอกอะไรที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับตัวเราได้เยอะ ไม่ใช่เพียงแค่บอกว่าเราเป็นใคร เรามีความโดดเด่น ความสามารถหรือศักยภาพที่ตรงไหน เรามีนิสัยใจคออย่างไร แต่ยังบอกสิ่งที่ลึกไปกว่านั้น บอกให้เรารู้ว่า หนทางแห่งความพ้นทุกข์คืออะไรด้วยซ้ำ
ครูบาอาจารย์หลายท่านก็จะแนะนำให้ตื่นแต่เช้า เพราะเป็นช่วงเวลาที่จิตพร้อมที่จะตื่น พร้อมที่จะเป็นเวลาดีสำหรับการพิจารณาใจของเรา พระพุทธเจ้าหรืออดีตเจ้าชายสิทธัตถะ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็ช่วงเวลานี้ ช่วงเวลายามสาม ยามสามก็คือประมาณตีสองถึงหกโมงเช้า พระองค์บำเพ็ญภาวนามาทั้งคืน แล้วก็ได้เห็นความจริงของชีวิตเป็นลำดับ จนกระทั่งยามสาม จะเรียกว่าใจก็ได้ ได้บอกถึงความจริงที่ลึกซึ้งที่สุดของมนุษย์ เริ่มตั้งแต่ว่าทุกข์ใจเพราะอะไร พระองค์ทรงค้นพบปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นความจริงเกี่ยวกับเรื่องการเกิดทุกข์ หรือที่เรียกว่ากระบวนการก่อทุกข์ใจ ก็ตอนยามสุดท้ายนี่แหละ และเป็นความจริง เป็นการค้นพบที่สำคัญมาก ลึกซึ้งที่สุด สิ่งที่พระองค์เรียนรู้จากใจ พระองค์ก็เอามาสรุปเป็นอริยสัจ 4 ที่นำมาสอนให้กับปัญจวัคคีย์เรื่อยมาจนตกมาถึงเรา อันนี้คือความจริงที่พระองค์ทรงค้นพบ เป็นสิ่งที่เรียกว่าใจนั่นแหละ ได้เปิดเผยให้เห็นให้รับรู้ได้ ก็ช่วงเวลานี้แหละ ช่วงเวลาเช้ามืด
เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นเหตุผลสำคัญเลยทีเดียว ที่วัดป่าสุคะโตตื่นเช้า บางท่านก็เช้ากว่านั้นอีก เพื่อจะได้มาอ่านใจ มาดูใจของเรา แต่ว่าการที่เราจะอ่านใจเราหรือว่าการที่จะฟังเสียงหัวใจเราได้ ต้องเอาชนะอุปสรรค ต้องผ่านอุปสรรคที่สำคัญ อุปสรรคนั้นคือเสียงที่ดังระงมอยู่ในหัวสมองของเรา เสียงนี้จะดังมากโดยเฉพาะในช่วงเช้าๆ พอพระอาทิตย์ขึ้น เสียงก็เริ่มจะดังขึ้นดังขึ้นในหัวของเรา แต่ช่วงเช้ามืดเสียงมันยังดังน้อยหน่อย สถานีวิทยุคิดไม่หยุดมันยังไม่ได้ทำการเต็มที่ พอเสียงยังไม่ถึงกับดังระงม เราก็มีโอกาสได้ยินเสียงหัวใจ การปฏิบัติก็คือการทำให้เราก้าวข้ามอุปสรรคอันนี้ ทำให้เสียงที่มันดังอยู่ในหัวของเราค่อยสงบลงค่อยสงบลง จนกระทั่งเราสามารถได้ยินเสียงแผ่วเบาที่ออกมาจากหัวใจของเรา เป็นเสียงที่จะทำให้เราเปิดเผยตัวเราเอง รู้จักตัวเราเอง ให้เราได้เห็นความจริงของชีวิต ทำให้เรารู้ว่าจริงๆแล้วเราต้องการอะไร แต่ที่จริง แม้ว่ายังไม่ทันจะได้ยินเสียงจากหัวใจเรา เพียงแค่ว่าเสียงที่มันดังระงมในหัวเรามันสงบลง แค่นี้ก็ช่วยได้เยอะ
คนทุกวันนี้เป็นทุกข์มากจากการที่มีเสียงดังในหัว ดังไม่หยุดจนนอนไม่หลับ หลายคนจะรู้สึกได้เลยว่าแม้กระทั่งเวลาจะหลับก็หลับไม่ลง หลับไม่ได้ เพราะมีเสียงอยู่ในหัว มันมีความคิดที่ออกมาไม่หยุด จนกระทั่งตาค้างเลย นอนยังไงก็นอนไม่หลับ เพราะฉะนั้นเพียงแค่เสียงในหัวมันซาลงมันแผ่วเบาลง ยังไม่ทันจะยินเสียงในหัวใจ เพียงแค่มันแผ่วเบาลงก็พอใจแล้ว มันเป็นความสุขแล้วล่ะ แล้วหลายคนก็พยายามทำ เพื่อให้เสียงในหัวมันหายไป ถ้ามันไม่หายก็กินยานอนหลับเลย ยานอนหลับเดี๋ยวนี้ขายดีมาก เพราะว่ามันเป็นวิธีที่จะช่วยทำให้ไม่ต้องไปทุกข์กับความคิดที่พ่นออกมาไม่หยุด แต่ก็ไม่ใช่จะช่วยแก้ปัญหาได้จริงจัง เพราะถึงแม้จะหลับ ความคิดมันก็โผล่ในความฝันต่อ ฝันสารพัด กลางคืนฝันกลางวันฟุ้ง นี่คือที่เกิดขึ้นกับผู้คนจำนวนมาก
ฉะนั้นเพียงได้พบกับความสงบในใจ ความคิดที่มันพ่นออกมาไม่หยุดนี่มันเริ่มซาลง เดี๋ยวนี้ก็พอใจแล้ว ผู้คนเดี๋ยวนี้ก็พากันแสวงหาสภาวะเช่นนี้แหละ ความเงียบสงบในใจนี่มันเป็นความสุขอย่างหนึ่ง และเป็นความสุขที่ประเสริฐมาก เป็นความสุขที่เราควรจะรู้จัก ภาษาไทยมีคำว่าสงบสุข สงบสุขบ่งชี้เลยความสงบเป็นความสุข แล้วก็เป็นความสุขที่นับวันจะหาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเดี๋ยวนี้ผู้คนไม่สงบเลย ไม่สงบทั้งภายนอก ก็คือเสียงดังวุ่นวายรอบตัว ภายในก็ไม่สงบ จะว่าไปแล้วการที่ผู้คนไม่รู้จักความสงบสุข ก็เพราะว่าไปติดอยู่กับความสุขอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นลักษณะที่ตรงข้ามเลยกับความสุขที่เกิดจากความสงบ ความสุขที่ตรงข้ามที่ว่าคือความสุขที่เกิดจากการเร้าจิตกระตุ้นใจ ผู้คนเดี๋ยวนี้พากันไปหาความสุขประเภทนี้มาก และเป็นความสุขที่ต้องอาศัยวัตถุ ต้องอาศัยวัตถุสิ่งเสพ เช่น เพลงที่ไพเราะ อาหารที่อร่อย หรือว่าภาพยนตร์ รวมทั้งสินค้าต่าง ๆ ที่เขาวางขาย ยิ่งเป็นสินค้าแบรนด์เนมเท่าไหร่ก็ยิ่งเร้าจิตกระตุ้นใจมากขึ้น ความสุขทางวัตถุหรือที่ทางพระเรียกว่ากามสุข ถ้าเราสังเกตดี ๆ มันล้วนแล้วแต่เป็นความสุขที่มุ่งเร้าจิตกระตุ้นใจให้ตื่นเต้น อาหารจะอร่อยต้องมีรสชาติที่มากระตุ้นลิ้น ทั้งหลากหลายทั้งเปรี้ยวทั้งหวานทั้งเผ็ด อาหารอร่อยเพราะมันกระตุ้นลิ้น แล้วยิ่งมันมีรสชาติหลายชนิด มันกระตุ้นลิ้นเรานี่ก็ยิ่งอร่อยเข้าไปใหญ่ เพลงจะเพราะหรือเพลงจะสนุกได้ต้องกระแทกกระทั้น หรือว่าหนังจะสนุกได้ต้องเป็นหนังที่แอ็คชั่น เรียกว่ามีฉากสู้ฉากบู๊กันแทบจะไม่ได้หยุดเลย เดี๋ยวนี้เริ่มต้นมาแค่ไม่ถึงนาทีก็บู๊กัน ไล่ล่ากัน ยิ่งมีการฆ่ากันเลือดสาดเท่าไหร่ เลือดท่วมจอนี่ก็ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่ ความสุขทางเพศก็เหมือนกัน มันก็มุ่งที่เร้ากระตุ้นทั้งกายทั้งใจ แม้แต่เงินทอง ซึ่งเดี๋ยวนี้แค่นี้แค่เห็นก็มีความสุขแล้ว เพราะมันกระตุ้นเร้าจิตใจของเรา มันทำให้เกิดจินตนาการ ได้เงินล้านได้เงินแสนจะเอาไปทำอะไร ใจนี่จินตนาการ เรียกว่าเพริดไปเลย หลายคนเพียงแค่ไปเที่ยวห้างก็มีความสุขแล้วเพราะว่ามันมีแสงมันมีสีมีกลิ่นที่ไปกระตุ้นเร้าจิตใจของเรา เห็นแสงสีเห็นข้าวของก็ตื่นเต้น แค่ตื่นเต้นก็มีความสุขแล้ว
นี่คือธรรมชาติของความสุขทางวัตถุแค่เร้าจิตกระตุ้นใจ และมันมีเสน่ห์เพราะว่ามันทำให้คนเรามีความสุขได้ง่าย แต่ว่ามันก็เจือไปด้วยทุกข์ เป็นสุขชั่วคราว สุขง่ายแต่ในเวลาเดียวกันก็เบื่อง่าย ฟังเพลงที่เพราะมันจะเพราะแค่ไหน ถ้าฟังเป็น 10 20เที่ยวก็เบื่อแล้ว ต้องดิ้นรนไปหาเพลงใหม่มาฟัง ไปหาแผ่นใหม่มาฟัง ดูหนังก็เหมือนกัน ดูหนังเรื่องไหนที่สนุก ดูไปซัก 5- 6 เที่ยวก็เบื่อแล้ว ต้องไปหาแผ่นใหม่มาดู เสื้อผ้าก็เหมือนกัน เสื้อผ้าตอนที่วางขายอยู่ก็รู้สึกตื่นเต้นอยากได้ พอได้มาแล้วบางทียังไม่ทันได้ใส่ ไม่ทันได้สวม แขวนไว้่เป็นเดือน ก็เบื่อแล้ว ไปหาตัวใหม่มา ไปซื้อตัวใหม่มา รองเท้าตอนแรกที่ซื้อมาก็ดีใจ แต่ว่าพอใส่ไป 4-5 ครั้งก็เบื่อ อันนี้ก็รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้อื่นด้วย จะเป็นโทรศัพท์จะเป็นโทรทัศน์หรือว่ารถยนต์ ถ้าหากว่ามีกำลังซื้อ ก็จะซื้อใหม่แทบทุกปี อันนี้รวมไปถึงคู่ครองด้วย คนรักก็เบื่อง่ายเหมือนกัน เพราะนี่คือธรรมชาติของความสุขที่มันเร้าจิตกระตุ้นใจ พอมันเร้ามากๆมันก็จะเริ่มด้าน ของเดิมที่มันไม่สามารถกระตุ้นใจให้ตื่นเต้นได้เหมือนเก่า แต่ก่อนนี่มันกระตุ้นใจได้ให้ตื่นเต้นเท่ากับ 10 ตอนหลังก็ค่อยๆลดลงมาเหลือ 9 เหลือ8 เหลือ7 เหลือ6 เหลือ 5 จนกระทั่ง 0 คือเฉยๆ ตอนที่เจอคู่ เจอคนรักใหม่ๆตื่นเต้นดีใจ แต่พออยู่กันไปนาน ๆ ก็ชักเบื่อ ความรู้สึกเฉย ๆ และบางทีติดลบอีก ถ้าไม่ดิ้นรนหาคนใหม่ แล้วเป็นอย่างนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น มันก็เลยเหนื่อย จึงเรียกว่าเป็นสุขชั่วคราว แต่ทุกข์ยาวนาน ซึ่งอันนี้ตรงข้ามกับความสุขความทุกข์ที่เกิดจากใจที่สงบ คนเราพอได้เสพความสุขที่มันเร้าจิตกระตุ้นใจมากๆ ถึงจุดหนึ่งก็เบื่อ ต้องการแสวงหาความสุขที่ประณีตกว่านั้น ความสุขที่ไม่ต้องเร้าจิตกระตุ้นใจมาก ไม่ต้องกระตุ้นผัสสะ แต่ว่าช่วยทำให้ใจสงบลงๆ บางคนมีความสุขมากเพียงแค่ได้เห็นพระอาทิตย์ตก ธรรมชาติที่งดงามมันงดงามแบบประณีต พอได้สัมผัสกับธรรมชาติแบบนั้นใจก็สงบ มีความสุข หรือว่ามองดูท้องฟ้าในยามค่ำคืน มีแสงระยิบระยับของดวงดาว มันก็ไม่ได้เร้าจิตอะไร แต่ว่าเห็นแล้วมันก็น้อมใจให้สงบ มันก็มีเสน่ห์ของมัน หรือเพลงที่เคยฟังเพลงดังๆ เพลงกระแทกกระทั้น แต่ตอนหลังลองมาฟังมาฟังเพลงที่ค่อยๆสงบลง มีเครื่องดนตรีไม่กี่ชิ้น มีจังหวะสำหรับช่องว่าง ใจก็ค่อยน้อมสู่ความสงบ อย่างเพลงของพวกเซ็น เพลงแบบเซ็นเป็นเพลงที่ไม่ค่อยได้เร้าจิตกระตุ้นใจ แต่ตรงข้ามมากกว่าคือค่อยน้อมใจให้สงบๆ
และนี่คือความสุขที่หลายคน ที่เริ่มเบื่อหน่ายหรือเหนื่อยล้ากับความสุขประเภทแรกเข้ามาแสวงหา บางคนเพียงแค่มาที่วัดป่าสุคะโตแล้วได้สัมผัสกับธรรมชาติ ธรรมชาติก็ไม่ได้สวยงามอะไรมาก แต่เป็นธรรมชาติแบบซื่อๆตรงๆ ธรรมดาๆ แต่คนก็รู้สึกว่ามันมีเสน่ห์แล้ว เพราะอะไร เพราะว่ามันเงียบ หลายคนก็มีความรู้สึกอย่างแรกคือรู้สึกพอใจที่มันสงบ เรามารู้จักกับความความสุขประเภทนี้ีกัน มันคือสิ่งที่ใจเรียกร้อง ใจไม่ได้เรียกร้องความตื่นเต้นความหวือหวา หรือว่าอาหารที่อร่อย เพลงที่เพราะ อันนั้นมันชั่วคราว เสพไปมาก ๆ ใจมันล้า ใจมันก็เหนื่อย หรือบางทีก็เบื่อด้วยซ้ำ เบื่อกับรสชาติที่ซ้ำซากหรือไม่ก็เหนื่อยกับการที่ต้องไปดิ้นรนหาของใหม่ๆมา สุดท้ายมันก็กลับมาสู่ของที่เป็นธรรมดาสามัญ เหมือนคนที่เคยติดน้ำอัดลม ถ้าน้ำไม่ใช่น้ำอัดลมกินไม่ได้ แต่ตอนหลังกลับมาสู่น้ำเปล่า น้ำฝนธรรมดาๆ น้ำอัดลมกินไปนาน ๆ ก็เป็นโรค ทั้งโรคฟัน โรคเบาหวาน กินมากกินบ่อยไม่ได้ แต่น้ำจืดน้ำเปล่ากินได้ทั้งวัน กินได้ตลอดชีวิต และขาดไม่ได้ด้วย ในยามที่หิวโหยจะรู้สึกเลย เพียงแค่น้ำเปล่าดื่มแล้วก็มีความสุข คนเราลึกๆ โหยหาความสงบ ใจมันเรียกหา โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มันวุ่นวาย ข้างนอกก็วุ่นวาย เสียงก็ดัง ไม่ใช่แค่เสียงรถยนต์อย่างเดียว บางทีมีเสียงเพลง เสียงพูดคุยเสียงโทรศัพท์ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่เสียงที่มารบกวนความสุข บางทีเป็นข้อความ ข้อความที่ส่งมาทาง LINE ทาง Facebook เดี๋ยวนี้กระหน่ำเข้ามาวันละเป็นร้อยข้อความ เดี๋ยวนี้ร้อยข้อความยังน้อย บางทีหลายร้อย เฉพาะไลน์กลุ่มมาทีนึงก็ 200 300 ข้อความ เดี๋ยวนี้คนเล่นไลน์กันเยอะแล้ว ไลน์กลุ่มกลุ่มหนึ่งก็ 50-60 ข้อความมีกี่กลุ่ม 10กลุ่มก็ 500 ข้อความใน 1 วัน อ่านมากๆก็เครียด อันนี่เฉพาะ LINE, facebook อีกต่างหาก E-MAIL อีก กระหน่ำเข้ามาในจิตใจ มันท่วมท้นจนล้นเกิน จิตใจก็ล้า จิตใจก็โหยหาความสงบ ถ้าเราฟังเสียงหัวใจจะรู้ว่ามันถึงเวลาที่เราต้องปลีกตัว ต้องเว้นวรรคให้กับชีวิตวุ่นวายมากเกินไปนี่ หลายคนพอมาวัดป่าสุคะโตเลยรู้สึกว่า มันมีอะไรบางอย่างที่เรียกร้องอยู่ข้างในใจว่านี่แหละคือสิ่งที่เราโหยหา คือสิ่งที่เราแสวงหา นี่คือสิ่งที่เราขาดแคลน หลายคนที่มาปฏิบัติก็เพราะเหตุนี้ เพราะใจมันเรียกร้อง
นี่แหละคือความสุขที่ลึกซึ้ง ความสุขที่เกิดจากความสงบ ที่เราเรียกว่าสุขสงบนี่แหละ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี ความสนุกก็ไม่ใช่ หลายคนคิดว่าความสนุกคือความสุข วัยรุ่นหนุ่มสาวนี่ก็ไปหาแสวงความสนุกเพราะคิดว่ามันคือความสุข แต่ในภาษาไทยมันไม่มีเลยว่าสุขสนุก มีแต่สุขสงบ ภาษาไทยไม่มีคำว่าสุขสนุก เพราะว่าสนุกมันไม่ใช่ความสุข สบายก็ไม่ใช่ เรามีคำว่า สุขสงบ เพราะว่าความสงบเป็นความสุขอย่างเลิศก็ว่าได้อย่างประเสริฐ ความสุขสงบจะมาได้อย่างไร เราจะรู้ว่าชีวิตต้องการ จิตใจต้องการความสงบเมื่อเราได้มาพบกับสิ่งที่เงียบ สถานที่ที่ไม่มีเสียงรบกวน เช่น ได้มาอยู่ท่ามกลางป่าหรือท่ามกลางธรรมชาติ หลังจากหายกลัวสักพัก ทีแรกอาจจะกลัว อาจจะตื่น เพราะเป็นที่ที่แปลก พอเริ่มคุ้นเคยทำมันก็เริ่มสัมผัสเสน่ห์ หลายคนก็แสวงหาสถานที่ที่สงบ ไปเกาะบ้างไปทะเลบ้าง ขึ้นเขาไปป่าบ้าง เดี๋ยวนี้จะเรียกว่าเป็นค่านิยมหรืออาจจะเป็นแฟชั่นก็ได้ เพราะเสาร์อาทิตย์นี้ก็ต้องเข้าไปสัมผัสกับธรรมชาติ ไปเขาใหญ่ ไปหัวหิน อะไรทำนองนั้น เพื่อไปสัมผัสกับธรรมชาติสัมผัสกับความสงบ บางคนก็ใช้สถานที่เหล่านั้นเพื่อแสวงหาความสนุก แต่ที่แสวงหาความสงบก็มีเยอะขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าความสงบของสถานที่มันก็ช่วยได้ชั่วคราว ช่วยได้บ้าง มันเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ทำให้เราได้พบความสงบภายใน ความสงบภายนอก แต่บางคนแม้มาอยู่ในที่ที่สงบ แต่ว่าใจก็ไม่สงบ ข้างนอกสงบแต่ข้างในไม่สงบ ความคิดมันก็ยังออกมาไม่หยุด เสียงในหัวก็ยังดังระงมอยู่ไม่เลิก บางทีก็มีความวิตกกังวลเรื่องงานการ ห่วงลูก บางทีก็ห่วงบ้าน ไม่แน่ใจว่าได้ล็อคบ้านดีหรือเปล่า แล้วรถล่ะ รถที่จอดไว้ในบ้าน ราคาแพง ก็กลัวจะมีคนมาขี่ไปเอาไปหรือเปล่า ความกังวลอย่างนี้มันก็ทำให้ใจสงบได้ยาก บางทีก็ไปนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว แต่ก็ยังฝังใจเก็บเอามาคิดไม่เลิก คำต่อว่าด่าทอของเจ้านายหรือว่าการกระทำที่เจ็บปวดของเพื่อนร่วมงาน หรือว่าหน้าตาที่บึ้งตึงของแฟน ตั้งใจว่าจะมากับแฟนแต่ตอนหลังแฟนก็เลิก ไม่มา เพราะความขุ่นเคืองใจ เราเลยต้องมาคนเดียว มาแล้วก็ไม่มีความสุข มาแล้วก็ไม่มีความสงบ ทั้งๆที่ข้างนอกนี่ไม่มีเสียงรบกวนอะไรเลย เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะไปเจอสถานที่ที่สงบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใจจะสงบตามไปด้วย ใจจะสงบได้ต้องอาศัยการวางใจ ต้องอาศัยการกล่อมเกลาจิตใจ ต้องอาศัยสิ่งที่ว่าภาวนานี่แหละ สถานที่เป็นแค่ตัวช่วย แต่ถ้าเราไม่รู้จักวิธีการภาวนา ไม่รู้จักวิธีการอ่านใจอ่านจิตของเรา ไม่รู้วิธีที่จะจัดการกับความคิดและอารมณ์ต่างๆที่โผล่ออกมาไม่หยุด จิตใจก็ยังวุ่นวายอยู่ เสียงก็จะดังอยู่ในหัวไม่เลิก เพราะฉะนั้นการที่เรามาเรียนรู้วิธีภาวนา จะช่วยทำให้ใจได้สัมผัสกับความสงบ และเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้ฟังเสียงของหัวใจเราได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ
การสวดมนต์เป็นแค่เป็นเป็นจุดเริ่มต้นว่า หรือเป็นตัวช่วยที่ทำให้ใจเราสงบได้ แต่ว่าเท่านั้นไม่พอ บางคนรู้จักแต่เรื่องการสวดมนต์ เวลาใจว้าวุ่น เวลามีความกลุ้มอกกลุ้มใจนอนไม่หลับก็ลุกขึ้นมาสวดมนต์ บางทีการสวดมนต์ก็ทำให้เกิดกำลังใจ เกิดความมั่นใจในการดำเนินชีวิต ตื่นเช้าขึ้นมา สวดมนต์แล้วก็จะเกิดความมั่นใจว่า วันนี้ทั้งวันจะราบรื่น วันไหนไม่ได้สวดมนต์ก็จะรู้สึกว่าไม่มั่นใจ แต่สวดมนต์มันก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นหรือเป็นตัวช่วยอย่างที่บอก หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก ท่านเคยบอกว่าสวดมนต์เป็นยาทา ส่วนภาวนาที่เป็นยากิน ยาทาก็มีประโยชน์ แต่ว่ามันช่วยได้ไม่มาก ปวดหัวใช้ยาทาก็ช่วยได้บ้าง แต่ว่าจะระงับอาการปวดหัวบางทีก็ต้องใช้ยากิน เช่น แอสไพริน ยิ่งเป็นเบาหวานด้วยแล้วนี่ยาทาจะไม่ช่วยเท่าไหร่ ต้องกินยา สวดมนต์เป็นแค่ยาทา มีประโยชน์ แต่ว่ายังไม่พอ ทาแล้วก็ต้องกินด้วย เพราะฉะนั้นก็ต้องไม่ทิ้งภาวนา สวดมนต์เป็นแค่ยาทา ส่วนภาวนาเป็นยากิน แล้วก็ต้องรู้จักว่ายากินมันมีกี่ขนาน ภาวนามีหลายขนาน มีหลายวิธีเหมือนกับยาหลายขนาน แล้วก็แทบทุกขนานใหม่ๆก็ขม ภาวนามันเหมือนยากินที่ขม เด็กๆก็ไม่ชอบหรอกยากินที่ขม แต่ถ้าเราทนสักหน่อย ลองกล้ำกลืนกินเข้าไป มันจะช่วยได้ มันจะมีสิ่งขึ้นมารบกวนเวลาเราภาวนา คือ ความเบื่อ ความเซ็ง ความเครียด แต่ถ้าเราอดทน เราจะผ่านมันไปได้ แล้วความคล่องแคล่ว ความจัดเจนในการภาวนาก็จะมากขึ้น และช่วยทำให้สามารถนำพาจิตใจเราเข้าสู่ความสงบเย็นได้