แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งรักกันมาก ต่อมาสามีป่วยจนกระทั่งอยู่ในระยะสุดท้ายใกล้ตาย ภรรยาก็เสียใจคล้ายๆ คร่ำครวญว่า ฉันจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีเธอ สามีก็พูดขึ้นมาว่า ถ้าฉันจากไปก็ขอให้เธอมอบความรักนี้ที่ให้กับฉันให้คนอื่น พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าให้ไปแต่งงานกับคนอื่น สามีต้องการจะแนะนำให้เธอได้ไปทำความดีหรือไปแสดงความเมตตาปรารถนาดีให้กับคนอื่น คือไปช่วยคนอื่นนั่นแหละ เพราะจะเป็นวิธีที่จะเยียวยาความเศร้าโศกได้
เธอก็ทำตาม เธอรักสามีอย่างไร เธอก็เอาความรักนั้นไปเป็นแรงบันดาลใจ เพื่อไปช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก คนที่ลำบาก ซึ่งมีมากมาย ก็ช่วยทำให้เธอคลายความเศร้าโศกได้และรู้สึกดีขึ้น เพราะพอไปช่วยคนอื่นแล้ว ก็เรียกว่าลืมทุกข์ ลืมเศร้า ลืมโศก เพราะว่าถ้าอยู่นิ่งๆ เฉยๆ จะคิดถึงสามี คิดถึงความสูญเสียพลัดพราก แต่พอไปทำงานช่วยเหลือคนทุกข์คนยาก จะเป็นเด็กก็ดี จะเป็นคนยากจน หรือคนเจ็บคนป่วย ในด้านหนึ่งก็ไม่มีเวลาที่จะมานั่งเจ่าจุกเศร้าโศก ขณะเดียวกันความเมตตากรุณาที่ถูกปลุกขึ้นมา มันก็ช่วยเยียวยาจิตใจของเธอได้ เพราะเมตตากรุณาเป็นกุศล เป็นกุศลธรรม ตรงข้ามกับความเศร้าโศก ซึ่งจัดว่าเป็นอกุศลธรรม พอมีกุศลธรรมเกิดขึ้นมาในใจ จิตใจก็เรียกว่าเป็นสุข มีความแจ่มใส สิ่งที่สามีแนะนำก็เพื่อประโยชน์ของตัวภรรยาเอง คนเราเวลาเรานึกถึงคนอื่นแล้ว ความทุกข์ของเราจะดูเล็กลง ถ้าหากว่าเมื่อใดก็ตามที่เราคิดถึงแต่ตัวเอง ความทุกข์จะใหญ่ขึ้นๆ เรื่อยๆ แม้จะเป็นความทุกข์เล็กน้อย คนที่หมกหมุ่นกับตัวเอง แม้แค่เป็นสิวก็ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่พอนึกถึงคนอื่น ความทุกข์ของเราแม้จะมากแค่ไหน มันก็ดูเล็กลง หรือบางทีก็ลืมไปเลย
มีเพื่อนอาตมาคนหนึ่งเป็นบาทหลวงเล่าว่า เมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว มีลูกศิษย์คนหนึ่งป่วยหนักเป็นโรคพุ่มพวง อาการก็ลุกลามมากขึ้น ต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาล รักษายังไงก็ไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ เธออายุประมาณสัก 17-18 ก็ยังมีอนาคต แต่ต้องมาสะดุดลงที่โรคนี้ บาทหลวงท่านไปเยี่ยม พอเธอเห็นบาทหลวงเธอก็ตัดพ้อว่าทำไมพระเจ้าจึงทำให้เธอมาเป็นอย่างนี้ ก็คงคล้ายๆ กับชาวพุทธหลายคนที่เวลาเจอโรคแบบนี้ จะตัดพ้อว่าทำไมจึงต้องเป็นฉัน ทำไมฉันทำความดีจึงต้องมาเจอแบบนี้ บาทหลวงท่านก็บอกว่า หลวงพ่อก็ไม่ทราบนะว่าทำไมหนูจึงเป็นแบบนี้ แต่อยากจะแนะนำอย่างหนึ่งคือให้สวดมนต์ถึงพระองค์ แล้วภาวนาถึงคนป่วยที่อยู่ด้วยกันในห้องนี้ ก็คือในวอร์ด ภาวนาให้กับคนเหล่านั้นเพื่อให้เค้าได้มีความสุข ถ้าเป็นชาวพุทธคือแผ่เมตตา แผ่เมตตาให้คนเหล่านั้น แล้วท่านก็มอบลูกประคำให้เพื่อสวดภาวนาตามที่ท่านแนะนำ หลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้มีโอกาสไปเยี่ยม เพราะว่ามีภารกิจที่อีสานอยู่เป็นเดือน พอกลับมาก็ไปที่โรงพยาบาล ปรากฏว่าเธอเสียชีวิตแล้ว แต่ท่านก็แปลกใจ เพราะว่าเวลาคุยกับคนป่วยในห้องนั้น ทุกคนชื่นชมเธอมาก ประทับใจ
เขาเล่าว่าเมื่อท่านกลับไปแล้ว คนป่วยคนนี้ก็กลับมามีชีวิตชีวา ทั้งที่ป่วยหนักยังขวนขวายมาช่วยเหลือดูแลคนป่วย ใครที่ขาดเหลืออะไรแกก็ช่วย บางทีก็มาสนทนาพูดคุยให้กำลังใจ บางทีก็ช่วยพยุงคนแก่ไปห้องน้ำ เรียกว่ามีน้ำใจกับคนป่วยในห้อง และตอนที่เธอทรุดหนัก เธอกำลังจะตาย เธอก็จากไปอย่างสงบ สิ่งที่ผู้ป่วยเล่ามันเป็นภาพที่ตรงข้ามกับที่ท่านเห็นตอนที่ไปเยี่ยม เหมือนกับเป็นคนละคนกันเลย สิ่งที่ผู้ป่วยเล่าเป็นภาพของคนที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ มีชีวิตชีวา ไม่ได้ทุกข์โศก ไม่ได้คร่ำครวญอะไรเลย อันนี้เป็นเพราะอะไร ก็คิดว่าเป็นเพราะการที่เธอได้หันมาใส่ใจช่วยเหลือคนที่เค้าเดือดร้อน เพื่อนที่ร่วมทุกข์ด้วยกันในหอผู้ป่วย ซึ่งบางคนอาจจะเจ็บป่วยน้อยกว่าเธอ อาการเธอหนักกว่า แต่พอเธอนึกถึงผู้อื่น ไม่ได้แค่สวดมนต์ ไม่ได้แค่ภาวนา แต่ว่าลงไปช่วยด้วยตัวเองเลย ก็เหมือนว่าเป็นการกระตุ้นธรรมโอสถให้เกิดขึ้นในใจของเธอ คือความเมตตา
ความเมตตาพอเกิดขึ้นแล้วมันมีพลัง สามารถเยียวยาความเศร้าโศก ทำให้เกิดความสุข คนเราไม่ว่าจะเศร้าโศก หรือเจ็บป่วย ถ้าหากลองนึกถึงคนอื่น จะมีกำลังขึ้นมา แต่ถ้าหากว่าปล่อยตัวเองจมเจ่าจุก ก็จะหวนคิดแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องความเศร้า เรื่องความสูญเสีย จิตใจก็ห่อเหี่ยวๆ ความเศร้าโศกหรือความทุกข์พอเกิดขึ้นในใจแล้ว มันก็พยายามดึงจิตให้ต่ำลงไปเรื่อยต่ำลงไปเรื่อยๆ คนที่เศร้าโศกก็จะยิ่งจมอยู่ในความเศร้า จะไม่อยากไปไหน อยากจะนั่งเจ่าจุก ใครมาชวนอะไรให้ไปเค้าก็ไม่ไป ความเศร้าจะรั้งเค้าเอาไว้ อย่าไปๆ มันเหมือนกับว่า เวลาจมอยู่ในความเศร้าเท่ากับว่ามันมีรสชาติ ที่ทำให้ไม่อยากจะทำอย่างอื่น อยากจะนั่งเจ่าจุก เวลาฟังเพลงก็จะฟังแต่เพลงเศร้าๆ ที่จะทำให้จมอยู่ในความเศร้าไปเรื่อยๆ น่าแปลกคนเวลาเศร้าไม่ค่อยอยากฟังเพลงที่สนุกสนานรื่นเริงเท่าไหร่ ใครจะมาชวนให้ไปเที่ยวก็ไม่ไป แถมรำคาญ แถมบางทีต่อว่าคนที่มาชวนให้ไปเที่ยว ไปเปลี่ยนบรรยากาศด้วยซ้ำ
มีหมอเด็กคนหนึ่งเธอสูญเสียสามี ทั้งสองคนก็อายุไม่มากแค่ 40 กว่า สามีดีมาก เธอนั่งเศร้าตลอดเวลา ทำงานศพเสร็จแล้ว เธอกลับมาทำงานก็นั่งเจ่าจุกอยู่ในห้อง เป็นอย่างนี้ เรียกว่านานเป็นอาทิตย์เลย ทีแรกเพื่อนร่วมงานหมอ พยาบาลก็เห็นว่าเธอสูญเสียคนรักก็ปล่อยให้เธออยู่ในห้อง เก็บตัวคนเดียว คิดว่าเวลาผ่านไปเธอจะคลายความเศร้าโศกได้ ผ่านไปอาทิตย์หนึ่งแล้วก็ยังเหมือนเดิม อาทิตย์ที่สองก็ยังเศร้าซึม เพื่อนเลยพยายามช่วย พยายามมาพูดมาคุย แต่เธอก็ไม่ตอบสนอง พยายามชวนไปกินอาหารด้วยกัน เธอก็ปฏิเสธ ทำยังไงๆก็ยังขอนั่งอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งวันหนึ่งหัวหน้าพยาบาลอุ้มเด็กจากหอพักผู้ป่วยมาวางไว้บนโต๊ะเธอ วางไว้ข้างหน้า แล้วก็ไป เธอก็ไม่สนใจเด็ก จนกระทั่งเด็กร้องเลยค่อยมาขยับตัว ลุกขึ้นมาดูว่าเด็กเป็นอะไร พอเด็กถ่ายก็ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อม พอเปลี่ยนผ้าอ้อมเสร็จก็มานั่งเจ่าจุกเหมือนเดิม เป็นชั่วโมงจนกระทั่งเด็กก็ร้องอีก ก็ลุกขึ้นมาดูว่าเป็นอะไร อ๋อเด็กไม่สบาย ต้องให้ยา ก็จัดการให้ยาเด็ก ให้ยาเสร็จก็นั่งเจ่าจุกอยู่เหมือนเดิม จนกระทั่งได้เวลาเลิกงานก็เอาเด็กไปคืนที่หอผู้ป่วย แล้วเธอก็กลับบ้าน พอรุ่งขึ้นเธอมาแต่เช้า ประโยคแรกที่เธอถามเพื่อนร่วมงานคือว่าเด็กคนนั้นเป็นยังไง เธอเดินไปที่วอร์ด แล้วดูเด็กคนนั้น แล้วก็ไปดูเด็กคนอื่น ดูเตียงนั้นๆกลายเป็นว่าวันนั้นทั้งวัน เธอหันมาดูแลใส่ใจเด็ก ดูแลใส่ใจคนป่วยเหมือนเดิม วันรุ่งขึ้นเธอก็กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม ทำกิจวัตรดูแลเด็กดูแลคนไข้ ก็เรียกว่าความเศร้าโศกคลี่คลายหายไป เพราะอะไร เพราะนึกถึงเด็กที่ยังต้องการความช่วยเหลือจากเรา
สิ่งที่หัวหน้าพยาบาลทำนั้นคือปลุกให้เธอตื่นมาจากความเศร้าโศก ให้นึกถึงว่ายังมีเด็กที่กำลังทุกข์ยาก รอความช่วยเหลือของเธอ คนเราเนี่ยการนึกถึงผู้อื่นหรือการช่วยเหลือคนที่เค้าเดือดร้อน สุดท้ายมันไม่ได้ช่วยใคร แต่กลับมาช่วยเราเอง เวลาที่เราเศร้าเวลาที่เราโศก หรือแม้กระทั่งเวลาที่เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ บางคนคิดอยากจะฆ่าตัวตาย แต่พอได้มีใครมาสะกิดมาเตือนให้นึกถึงคนอื่น ก็ทำให้คลายจากความซึมเศร้าได้
มีผู้หญิงญี่ปุ่นคนหนึ่งเมื่อสักร้อยปีที่แล้วเธอชื่อวาซากิ ชีวิตเรียกว่าลำเค็ญมากตั้งแต่ยังเล็ก สมัยก่อนคนญี่ปุ่นยากจนใครมีลูกสาวก็จะขาย ส่วนหนึ่งก็จะได้ลดภาระลดจำนวนปากท้องที่จะต้องพึ่งพาอาหารที่หามาได้ อีกส่วนหนึ่งก็ทำให้มีเงินประทังชีวิตเยียวยาลูกที่เหลือ เธอก็เติบโตมาแบบเรียกว่ากำพร้าพ่อกำพร้าแม่เพราะถูกขายแต่เล็ก เด็กๆ ก็ถูกใช้งานหนัก แต่เธอเป็นคนที่ขวนขวาย โชคดีที่มีคนสอนหนังสือให้เธอ คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญเรื่องการศึกษามาก ยากจนยังไงก็ต้องพยายามดิ้นรน หาทางอ่านออกเขียนได้ ในชีวิตของเธอคล้ายกับหนังเรื่องโอชิน ยากจน พอเริ่มเป็นสาวเธอก็ถูกขายให้กับสำนักคณิกา เรียกว่าเกอิชา เกอิชานี่ก็เป็นคณิกาหรือว่าโสเภณีชั้นสูง ซึ่งก็ต้องมีความสามารถด้านดนตรี ด้านอะไร แต่เธอไม่ใช่เกอิชาเป็นแค่ผู้รับใช้เกอิชา ก็ถูกเค้าใช้ถูกโขกสับ โดยเฉพาะเจ้าสำนัก เธอก็ยอมทน เพราะว่ามีคนสองคนที่คอยให้ความช่วยเหลือเธอ ก็คือน้องชายกับแฟน แต่ต่อมาน้องชายก็เสีย แฟนก็ตาย ไม่เหลือใครในชีวิต ชีวิตลำเค็ญแบบนี้ก็ไม่ไหวทั้งเศร้าโศก ทั้งเสียใจคนรักจากไปแล้ว ทั้งชีวิตดูไม่มีอนาคต เลยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ จึงคิดฆ่าตัวตาย ตอนนั้นเป็นฤดูหนาวหิมะตกมาก กรุงเกียวโตมีภูเขาล้อมรอบเป็นป่า เธอก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการเดินเข้าไปในป่าที่มีหิมะขาวโพลน กะว่าจะตายในความหนาว
ปรากฏว่ามีชายชราคนหนึ่งมาช่วยชีวิตเธอ แล้วพอได้ฟังเรื่องราวของเธอ ชายชราคนนั้นก็พูดว่า คนที่คิดถึงแต่ตัวเองอยากตายทั้งนั้น เสร็จแล้วก็แนะนำอะไรสักอย่างให้เธอกลับไปในเมือง และให้ตั้งใจช่วยคนที่เดือดร้อนวันละคน ถ้าเธอทำอย่างที่ฉันแนะนำแล้วยังอยากตายอยู่ ก็ให้มาหาฉัน ฉันจะช่วยให้เธอตายสมใจ แล้วเธอก็ได้คิดเธอ ว่าสิ่งที่เธออยากจะช่วยนั้นก็คือเด็ก เด็กยากจน เด็กเร่ร่อน เด็กขอทาน เธอก็ซื้อหนังสือมาให้เด็กอ่าน แล้วก็สอนหนังสือเด็กเหล่านั้น สอนวันละคน ตอนหลังก็มีเด็กหลายคนมา เธอก็สอนๆ เพราะนึกสงสารเด็กเหล่านั้น ก็เหมือนเธอตอนเด็กๆ นับแต่นั้นมา เธอก็ไม่เคยคิดอยากจะฆ่าตัวตายอีกเลย เรื่องราวของเธอตอนหลังมีฝรั่งเอามาเขียนเป็นนิยาย ดังมาก เพราะว่าตอนหลังเธอเป็นเกอิชา แล้วก็เป็นเกอิชาที่มีชื่อ
เป็นตัวอย่างว่าคนเราไม่ว่าจะทุกข์เรื่องอะไร ไม่ว่าจะทุกข์กายทุกข์ใจ โดยเฉพาะทุกข์ใจ จะเป็นเพราะเจ็บป่วยหรือเพราะสูญเสีย จะเป็นเพราะชีวิตบัดซบยังไงก็ตาม สิ่งที่เยียวยาจิตใจได้คือ ความเมตตา ความเมตตาที่แสดงออกเป็นการกระทำ คือถ้าเมตตาเฉยๆ ไม่เท่าไหร่ ต้องออกมาเป็นการกระทำ เมตตาถึงมีพลัง พอเมตตามีพลังก็เยียวยาจิตใจให้หายจากความเศร้าโศกได้ เวลาเรามีความทุกข์ก็ตามหรือว่าคนอื่นมีความทุกข์ก็ตาม ลองชักชวนให้เค้านึกถึงคนอื่นดู ให้เค้านึกถึงการช่วยเหลือผู้อื่นดู มันจะช่วยทำให้ความเศร้าโศกความเสียใจลดน้อยถอยลง การทำอะไรเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เฉพาะกับคนเท่านั้น แม้กระทั่งกับสัตว์หรือแม้แต่กับต้นไม้ก็ช่วยได้ เป็นเหมือนกับยาที่ช่วยบำรุงจิตใจ และบำรุงร่างกาย
ที่ประเทศอเมริกามีบ้านพักคนชราแห่งหนึ่งที่คอนเนตทิคัต เป็นบ้านพักคนชราที่ใช้ได้ทีเดียว บ้านพักคนชราของเค้าเอามาเทียบกับบ้านพักคนชราของเราที่บางแคไม่ได้เลย บ้านพักคนชราที่บางแคเรียกว่าอยู่กันอย่างไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่ แต่บ้านพักคนชราที่อเมริกาอย่างที่รัฐคอนเนตทิคัตนี้ เรียกว่าบริการมีมาตราฐาน เขามีการทดลองอย่างหนึ่งให้คนชราดูแล คือมอบต้นไม้คนละหนึ่งต้นให้กับคนชรา โดยแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกจะมีเจ้าหน้าที่มารดน้ำต้นไม้ให้ ตอนที่ให้ต้นไม้ก็มีเจ้าหน้าที่มาบรรยายว่าเจ้าหน้าที่จะมาดูแลช่วยเหลืออย่างไรบ้าง จะดูแลต้นไม้เราอย่างไรบ้าง อีกครึ่งหนึ่งได้ต้นไม้มาก็ได้รับมอบหมายให้ช่วยรดน้ำต้นไม้ให้ด้วย ก็มีการบรรยายพูดว่าการรดน้ำต้นไม้มีประโยชน์อย่างไร ผ่านไปปีครึ่งปรากฏว่ากลุ่มที่สองซึ่งรดน้ำต้นไม้เอง มีความตื่นตัวกว่า กระฉับกระเฉงกว่า แล้วก็มีอายุยืนกว่าด้วย อันนี้ก็น่าแปลก เพียงแค่รดน้ำต้นไม้ ก็มีผลต่อร่างกายและจิตใจ อันนี้นอกจากจะชี้ให้เห็นว่าต้นไม้หรือธรรมชาติมีคุณค่ามีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจของเรา ยังชี้ให้เห็นว่าการที่คนเราได้ทำอะไรบางอย่างที่เป็นการช่วยเหลือ แม้แต่ต้นไม้ ก็จะทำให้สุขภาพจิตดีโดยเฉพาะได้ลงมือทำเอง
มีบ้านพักคนชราอีกแห่งหนึ่งแถวในอเมริกาเหมือนกัน ผู้อำนวยการเป็นคนหัวสมัยใหม่ เค้าก็เปลี่ยนนโยบายเอาสัตว์เอาหมาเอาแมวเอานกมาเลี้ยงในบ้านพักคนชรา ทีแรกถูกต่อต้านเพราะเจ้าหน้าที่บอกงานหนักอยู่แล้ว แต่ว่าผู้อำนวยการก็ยืนยัน เค้าบอกว่าสัตว์พวกนี้ไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่เลี้ยงก็ได้ ให้คนชรานี่แหละมาช่วยดูแล หลายคนก็คิดว่าจะเป็นไปได้หรือ คนชราหลายคนก็เอาแต่เศร้าซึม แม้แต่เสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองยังไม่สนใจเลย จะไปสนใจ หมา แมว หรือนกเหล่านี้ได้ยังไง แต่ว่ามันเกิดความเปลี่ยนแปลง พอเอาหมาเอาแมวเอานกมา คนแก่ก็มีชีวิตชีวาขึ้น มีคนแก่คนหนึ่งอายุ 80-90 แล้วเมียตาย อยู่กับเมียมาตั้ง 50-60 ปี พอเมียตายชีวิตนี้เคว้งเลย หมดอาลัยตายอยาก วันหนึ่งก็ปรากฎว่าขับรถไปลงคู ใครๆนึกว่าอุบัติเหตุ แต่ตำรวจดูแล้วสงสัยเป็นความจงใจฆ่าตัวตาย ลูกเลยห่วงพ่อให้พ่อมาอยู่บ้านพักคนชราดีกว่า เพราะอยู่คนเดียวเดี๋ยวก็ฆ่าตัวตายอีก เพราะอยู่ที่บ้านก็ไม่กินอะไรอยู่แล้ว ไม่กินไม่นอน หง่อมๆแล้ว ก็เรียกว่าจะแห้งตาย มาบ้านพักชรามีคนดูแล มีเพื่อนคงจะดีขึ้น ปรากฏว่าเหมือนเดิม ไม่กินไม่ทำอะไรเลย เอาแต่ขลุกอยู่ในห้อง ตอนหลังเอาแต่นอน ไม่พูดไม่คุยกับใคร ข้าวไม่กิน นอนก็ไม่ยอมนอน จนกระทั่งหมอหมดปัญญา ไม่รู้จะทำยังไง เพราะยาก็ไม่กิน ก็คิดสงสัยว่าคงแห้งตาย เพราะเหมือนกับเค้าไม่มีกำลังใจในการมีชีวิตแล้ว ไม่รู้อยู่เพื่ออะไร
แต่วันหนึ่งพอเค้าเอากรงนกมาวางไว้ มีนกอยู่คู่หนึ่งมาวางไว้ในห้อง ทีแรกก็ไม่สนใจ แต่ตอนหลังแกก็เริ่มปรับมุมเวลานอน เวลานั่งบนเตียงจะได้เห็นนก ผ่านไปวันสองวันแกก็เริ่มคุยกับเจ้าหน้าที่ว่านกตัวนี้มีนิสัยยังไง วันนี้มันไม่ร้องเลย เมื่อวานนี้มันกินนิดเดียว เริ่มคุย คุยเรื่องเดียวเรื่องนก และตอนหลังก็ลุกขึ้นมาเลี้ยงนกด้วยตัวเอง แล้ววันหนึ่งพอรู้ว่ามีหมามีแมว แกก็อาสาขอพาหมาไปเดินเล่นข้างนอก เริ่มออกมาจากห้อง แล้วก็พาหมาไปเดินเล่นทุกวัน ปรากฏว่าอยู่นั่นไม่นานก็เริ่มมีชีวิตชีวา แล้วก็สามารถออกจากบ้านพักคนชราได้ ปกติคนที่มาบ้านพักคนชรามาแล้วก็ไม่ไปไหน หง่อม เหงา แห้งตาย แต่บ้านพักคนชราที่นี่นั้นแปลก เพราะหลายคนก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่ บางคนก็กลับบ้านได้ ตาคนๆ นี้แกก็ไม่ได้ป่วยอยู่แล้ว เพียงแต่ใจหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต เพราะว่าไม่รู้จะอยู่ไปทำไม พอใจกลับมาสดใส ลูกก็มารับกลับไปบ้าน อันนี้ไม่น่าเชื่อเลย คนเราเมื่อไหร่ก็ตามที่เรานึกคนอื่น อย่าว่าแต่คนเลย นึกถึงสัตว์ นึกถึงต้นไม้ ก็ทำให้ชีวิตมีจุดมุ่งหมาย โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม ที่มันมีจุดมุ่งหมายขึ้นมาทันที แม้แต่สัตว์แม้แต่ต้นไม้ การปลูกต้นไม้อย่าว่าแต่คนป่วยเลย คนธรรมดาปลูกแล้วจิตใจก็มีความสุข
เพื่อนที่ติดคุกสมัย 6 ตุลาฯ ตอนที่อยู่บางขวางก็ดี ตอนที่อยู่โรงเรือนพลตำรวจบางเขนก็ดี พวกนี้ไม่มีอนาคตนะ ไม่รู้ชีวิตจะติดคุกอีกนานเท่าไหร่เพราะว่าโดนข้อหาหนักๆ ทั้งนั้น ข้อหากบฏ ข้อหาคอมมิวนิสต์ แต่งานอดิเรกของเค้าอย่างหนึ่งคือการปลูกต้นไม้ ปลูกต้นไม้แล้วเค้ามีความสุขเพิ่มขึ้น จากที่ห่อเหี่ยวก็เริ่มมีชีวิตชีวา เห็นต้นไม้โตเห็นต้นไม้ออกดอกผลิดอกออกผล เป็นสิ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจได้ ความเขียวชอุ่มของต้นไม้ทำให้จิตใจพลอยสดใสตามไปด้วย แล้วก็ทำให้ได้เห็นได้แง่คิดจากต้นไม้ ต้นไม้สอนอะไรหลายอย่าง ต้นไม้เป็นครูที่สอนธรรมะให้กับเราได้ เค้ารู้จักเปลี่ยนแสงแดดให้กลายเป็นร่มเงา แดดนี่มันร้อนนะ ต้นไม้เปลี่ยนให้กลายเป็นร่มเงาที่เย็น ขยะที่เราทิ้งลงไปไม่เอาแล้ว พอโยนลงไปให้ต้นไม้ ต้นไม้เปลี่ยนให้กลายเป็นดอกไม้ที่สวย ผลไม้ที่หวาน เดี๋ยวนี้ผลไม้ที่เรากินมาจากประเทศจีนกันทั้งนั้น แอปเปิ้ลก็ดี องุ่นก็ดี เคยถามไหมว่ามันโตมาจากอะไร อะไรเป็นปุ๋ยที่ทำให้เกิดเป็นองุ่นที่หวานแอปเปิ้ลที่อร่อย คงรู้นะว่ามันมาจากอุจจาระของคน พอมาเทลงโคนต้นไม้ก็กลายเป็นดอกกลายเป็นผลที่อร่อยที่หอมหวาน มันสอนใจเราได้นะว่า คนเราสามารถเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุขได้ แสงแดดมันร้อนแต่ต้นไม้ก็เปลี่ยนให้กลายเป็นร่มเงาที่เย็น ความทุกข์เมื่อเราเจอก็สามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นความสุขได้ ปัญหาพอเกิดขึ้นเราสามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นบทเรียน ทำให้เกิดปัญญาได้ ปัญหากลายเป็นปัญญาได้ คนเราทำได้ เป็นสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากต้นไม้
ต้นไม้ยังสอนการเป็นผู้ให้ด้วย ต้นไม้ไม่ว่าจะเล็กแค่ไหน เป็นต้นกล้านี่ก็ตอนเล็กๆ ก็ดูดน้ำจากดินดูดปุ๋ยจากดิน แต่พอเริ่มโตขึ้นก็เริ่มคายน้ำให้กับธรรมชาติ เพื่อกลายเป็นฝนตกลงมาสู่ดิน หรือว่าทิ้งกิ่งทิ้งใบให้กลายเป็นปุ๋ยคืนสู่ดิน อันนี้ไม่ว่าในเรื่องของการเป็นผู้ให้ก็ดี หรือในเรื่องของการเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุขก็ดี เป็นสิ่งที่เราสามารถจะเรียนรู้ได้จากธรรมชาติได้จากต้นไม้ได้ พอเราจะไปปลูกต้นไม้กัน ก็ให้เราลองคุยกับต้นไม้ดู หรือว่าลองเก็บเกี่ยวบทเรียนธรรมะจากต้นไม้ว่าเค้าสอนอะไรเรา ที่นี่เราก็จะมีคำขวัญที่ว่า ฟื้นฟูป่าฟื้นฟูใจ ก็คือว่าปลูกป่าปลูกต้นไม้ไม่ใช่แค่เป็นการฟื้นฟูธรรมชาติอย่างเดียวมันฟื้นฟูจิตใจเรา ทำให้มีความสดชื่น เพราะว่าการปลูกต้นไม้คือการที่จะเพิ่มพลังของการเป็นผู้ให้ หรือปลูกจิตวิญญาณแห่งการเป็นผู้ให้ขึ้นมา ฉะนั้นวิญญาณของการเป็นผู้ให้ก็จะช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจเราให้สดชื่น ให้เบิกบาน ให้มีกำลัง
มีผู้หญิงคนหนึ่งเคยมาปลูกป่ามาเป็นคณะเลย 80 กว่าคน ตอนที่แกมาใหม่ๆ แกมายืนดูหน้าวัด สมัยนั้นยังไม่มีสวนยาง เห็นแต่ไร่กว้างเลย มีต้นไม้ยืนต้นแค่ไม่กี่ต้น แกเคยรู้มาว่าที่นี่มันเคยมีป่า ต้นไม้เยอะแยะแต่ตอนนี้เห็นแต่ต้นไม้ไม่กี่ต้น เห็นแล้วก็ห่อเหี่ยว แกบอกว่าตัวเองตอนนั้นรู้สึกเหมือนกับหญ้า เหมือนกับต้นหญ้าที่ รอแต่คนเหยียบ หรือว่าต้นหญ้าที่ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ไม่มีกำลังไม่มีความสามารถอะไร แต่พอไปปลูกป่าได้สองวัน วันสุดท้ายเราให้เค้าไปสงบจิตอยู่หน้าวัด หรือว่ากระจายไปตามมุมต่างๆ เพื่อจะคุยกับธรรมชาติคุยกับต้นไม้ เธอก็กลับมาเล่าว่าวันแรกนึกว่าตัวเองเหมือนกับหญ้า แต่วันนี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นไม้ ต้นไม้ใหญ่คือรู้สึกมีเรี่ยวมีแรงมีกำลังขึ้นมา เพราะว่าตัวเองสามารถจะทำอะไรให้กับโลกได้ รู้สึกว่ามีพลังขึ้นมาในจิตใจจากการที่ได้ไปเป็นจิตอาสาไปปลูกต้นไม้ เพราะฉะนั้นการเป็นจิตอาสาหรือการปลูกต้นไม้ ไม่ใช่เพียงแค่ช่วยโลกช่วยคนอื่นเท่านั้น มันช่วยเราด้วย ทำให้มีกำลังขึ้นมา ทำให้มีความมีชีวิตชีวาขึ้นมา อันนี้เป็นสิ่งที่เราลองเก็บเกี่ยวบทเรียนเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์กับเราเองและกับงานที่เราทำ ก็จะช่วยทำให้เกิดประโยชน์ได้กว้างขวาง ความทุกข์เราก็จะน้อยลงด้วย