แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้เป็นวันพระ พระที่ว่านี้หมายถึง พระธรรม ไม่ใช่พระพุทธ หรือ พระสงฆ์ เป็นวันพระธรรม ถ้าชื่อเป็นทางการ เรียกว่า วันธรรมสวนะ วันธรรมสวนะ คือ วันแห่งการฟังธรรม ฟังอะไรต่ออะไรมามากแล้ว ฟังเพลง ฟังคนนินทากัน ฟังอะไรต่ออะไร ก็ได้เวลาต้องฟังธรรมกันบ้าง นอกจากฟังธรรมแล้วก็ควรจะปฏิบัติธรรมด้วย หลายคนเข้าวัดเพื่อมาถวายทาน หรือถึงไม่ได้เข้าวัดก็อยู่บ้าน ใส่บาตร แต่ที่สำคัญคือการรักษาศีล เรียกว่าหัวใจของการปฏิบัติธรรมในวันพระ การรักษาศีล 8 เราต้องรักษาให้ถูกต้อง วันพระเป็นโอกาสที่เราจะได้มารักษาศีล 8 ถ้าเราปฏิบัติไม่ถูกต้องก็จะกลายเป็นศีลแปดเปื้อนได้ แปดเปื้อนคือไม่สวย ไม่สะอาด แปดเปื้อนด้วยอะไร แปดเปื้อนด้วยกิเลส แปดเปื้อนด้วยความหลง เช่น มารักษาศีล 8 มาอยู่วัด แต่ว่าไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติ เอาแต่พูดคุยกัน ไม่ได้ฝึกหัดขัดเกลาจิตใจตัวเอง อันนี้เรียกว่าเป็นศีลแปดเปื้อนมากกว่า หรือว่าทำด้วยเจตนาที่ไม่ถูกต้อง เช่น อยากจะให้คนชื่นชมเราว่า เค้ามองว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติธรรมผู้มีศีล อันนี้เรียกว่าทำด้วยกิเลส หรือว่ามองคนอื่นที่เค้าไม่รักษาศีล 8 เหมือนอย่างเราว่า เป็นคนที่ไม่ได้เรื่อง สู้เราไม่ได้ การยกตนข่มท่านแบบนี้มันก็เป็นกิเลส เรียกว่า มานะ
มานะเป็นชื่อของกิเลสตัวนึง ไม่ใช่เป็นของดี ภาษาไทยมานะ แปลว่า ความพยายาม อย่างที่เรามักเรียกติดกันว่ามานะพยายาม แต่ภาษาบาลี มานะเป็นกิเลสตัวนึง ตัวใหญ่ด้วย กิเลสตัวใหญ่มีอยู่ 3 ตัว ตัณหา มานะ และ ทิฐิ ตัณหามันอยากได้ของ อยากเสพ อยากบริโภค อยากครอบครองสิ่งที่เป็นวัตถุ เงินทอง ส่วนมานะเป็นความอยากใหญ่ อยากใหญ่หรือว่าความถือตัวถือตน หรือว่าการยกตนข่มท่าน เรารักษาศีล ศีลเป็นของดี แต่ก็ปฏิบัติให้มันถูกต้อง ไม่งั้นจะกลายเป็น สีลัพพตปรามาส ปรามาส แปลว่า แปดเปื้อน บางทีก็แปลว่าลูบคลำ ลูบคลำหรือแปดเปื้อน อะไรที่เป็นตัณหา มานะ และทิฐินี่แหละ แต่ถ้าเราปฏิบัติถูกต้อง มันก็เป็นศีลอริยะ มารักษาอุโบสถศีลก็ขอให้เป็นอริยะอุโบสถศีล
อริยะอุโบสถศีลทำอย่างไร คือ การมารักษาศีลเพื่อมุ่งขัดเกลากิเลสของตัวเอง หรือพูดให้กว้างกว่านั้นคือ ฝึกฝน ขัดเกลา จิตใจของตน ขัดเกลาด้วยนะ ขัดเกลาให้สะอาด และก็ฝึกฝน ฝึกฝนให้เป็นจิตใจที่ดีงาม เป็นจิตใจที่มีความสุข เป็นสุขที่ประณีต ไม่ใช่สุขจากการเสพ จากการบริโภค จากการมี จากการครอบครอง มันมีสุขที่ประณีตกว่านั้น ประเสริฐกว่านั้น และนอกจากการฝึกฝน ขัดเกลาจิตใจแล้ว อริยะอุโบสถศีลยังเกิดขึ้นจากการหมั่นพิจารณาระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่เนือง ๆ เป็นการปลูกศรัทธาให้มั่นคงแน่นแฟ้น
การมาใกล้มาปฏิบัติรักษาศีลในวัดก็ทำให้จิตใจน้อมนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้ง่าย เมื่อมีศรัทธาแล้วจะทำให้เกิดกำลังในการทำความเพียร สู้กับกิเลสตัณหาในจิตใจได้ และสิ่งที่จะช่วยทำให้เรารักษาศีล 8 ได้อย่างมั่นคง จนกระทั่งเป็นอริยะอุโบสถศีล ก็คือการที่เราระลึกอยู่เสมอว่า ศีลที่เรารักษาแต่ละข้อ ๆ ก็คือศีลที่พระอรหันต์ทั้งหลายท่านได้บำเพ็ญ และเราเกิดความมั่นใจและเกิดความภาคภูมิใจว่า สิ่งที่เราทำก็เป็นสิ่งเดียวกับที่พระอรหันต์ทั้งหลายท่านได้ทำมาก่อนแล้ว เรียกว่าเป็นการเดินตามท่าน ปฏิบัติตามท่าน แล้วก็ทำให้เราเข้าใกล้ความเป็นอรหันต์มากขึ้น เกิดมาทั้งที มีอวัยวะครบ 32 ไม่เจ็บไม่ป่วย มีอายุยืนมาถึงป่านนี้ ก็ถือว่าเป็นโชค เป็นโอกาสที่เราจะได้ฝึกฝนพัฒนาตนเพื่อให้ได้พบกับสิ่งที่ประเสริฐ ไม่ใช่มัวแต่หาเงินหาทอง หรือว่าหาเกียรติยศชื่อเสียง อันนั้นให้ความสุขชั่วคราว ตายไปแล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้ เอาไปไม่ได้เลย
ก่อนจะตายสิ่งที่มีเหล่านี้มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้ตายอย่างสงบ เป็นสุขได้ กลับทำให้ทุรนทุรายด้วยซ้ำ มีบางคนป่วยหนัก ความจำก็เสื่อม ลืมลูกลืมหลาน แต่อย่างเดียวที่พร่ำหาเรียกร้องก็คือขอดูสมุดบัญชี อยากดูว่าบัญชีของฉันตอนนี้มีเงินเท่าไร มีทรัพย์สินอะไรบ้าง และก็อยากดูว่าใครเป็นหนี้ฉันบ้าง ลืมหมดแล้ว ไม่สนใจอะไรแล้ว ธรรมะก็ไม่สนใจ สนใจแต่เงินทอง ก็ยิ่งทำให้มีความทุกข์ มันตายไม่ได้ เพราะว่าหวงแหนเงินทองเอาไว้ นี่เรียกว่าทำให้ตายไม่สงบ และก็เป็นการปิดกั้นจิตใจไม่ให้รับธรรมะ คนเราก่อนจะตายถ้าได้อาศัยธรรมะ มันก็ช่วยให้จิตใจสงบลงบ้าง
บางคนเที่ยวจนติด อายุ 97 ปี เกือบร้อยแล้ว ร่างกายก็อ่อนแอ ควรที่จะนอนพักอยู่ที่บ้าน แต่อยู่บ้านไม่ได้เลยนะ อยู่บ้านไม่เป็นสุขเลย จะต้องให้ลูกให้หลานพาออกไปเที่ยว เคยมีเมีย เมียก็อายุไม่มาก ห่างกับตัวเองตั้ง 40 ปี ปรากฏเมียก็ทนไม่ไหว เพราะว่าถูกรบเร้าให้พาไปเที่ยวอยู่ทุกวัน ต้องขับรถไปเที่ยว ไปเห็นโน่นเห็นนี่ และก็ต้องพาไปกินร้านอาหารดี ๆ ของอร่อย ๆ ร่างกายก็ไม่ค่อยไหวแล้ว แต่ถ้าวันไหนไม่ได้เที่ยว วันไหนไม่ได้กิน ก็จะงุ่นง่านพลุ่นพล่าน บางทีก็เคาะประตู ตบประตู ตะโกนเรียกให้คนพาไปเที่ยว กลางค่ำกลางคืนก็ยังโวยวาย เมียเลยหนีอยู่ไม่ไหว หลานก็มารับช่วง หลานก็ทุกข์นะ เพราะว่าไม่เป็นอันทำงาน และไม่เป็นอันพักผ่อน เพราะต้องขับรถพาปู่ไปเที่ยว อันนี้น่าสงสารนะ น่าสงสารว่าจะตายอยู่แล้วยังไม่สามารถที่จะทนอยู่เฉย ๆ คนเดียวที่บ้านได้ ขนาดร่างกายยังไม่เจ็บไม่ป่วยมาก ยังงุ่นง่านพลุ่นพล่านขนาดนี้ และถ้าเกิดป่วยจนกระทั่งนอนติดเตียงจะขนาดไหน ต้องมัดเอาไว้เลย เพราะถ้าไม่มัดก็จะหาทางลงมาจากเตียง จะไปโน่นไปนี่ให้ได้ หรือไม่ก็ดิ้นนะ อันนี้เรียกว่าน่าสงสาร ขนาดมีโชคอายุยืนถึง 97 ปี แทนที่จะใช้เวลาที่มีทำความดี ซึมซับรับธรรมะเพื่อให้ได้รับประโยชน์เต็มที่กับการเกิดมาเป็นมนุษย์
ประโยชน์สูงสุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์คือ การที่ได้เข้าถึงความสงบอย่างแท้จริง คือ อิสระจากกิเลส อิสระจากความทุกข์ อันนี้เรียกว่าทำให้มนุษย์เหนือกว่าเทวดา และมาร พรหมด้วยซ้ำ และทำให้เราสามารถจะช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์ได้อย่างมีความสุข อันนี้เรียกว่าประโยชน์สูงสุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ถ้าเกิดมาทั้งทีไม่เคยรับรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มีเลย แล้วก็ไม่พยายามเข้าถึง ไม่ได้สัมผัสแม้เพียงเล็กน้อยของประโยชน์สุขอันนี้ ก็เรียกว่าน่าเสียดาย พอไม่ได้สัมผัสตรงนี้ก็จะทำให้ไปรับความสุขชนิดอื่นที่หยาบกว่า ซึ่งบางทีก็ทำให้เกิดความทุกข์ เพราะความหวงความแหน หรือว่าทำให้ทำความชั่วเพราะอยากได้จนห้ามใจไม่อยู่ เช่น ไปขโมยเค้า ไปปล้นจี้ ไปคดโกง หรือว่าไปชำเราเค้า อันนี้มีแต่จะพาไปสู่อบาย เรามารักษาศีลทั้งที โดยเฉพาะศีล 8 หรือ อุโบสถศีล ก็ให้ศีลที่เราบำเพ็ญเป็นอริยะ อริยะอุโบสถศีล และอริยะอุโบสถศีลที่เรารักษานี้ ต่อไปเค้าก็จะรักษาเรา และทำให้เราเข้าใกล้ความเป็นอริยะมากขึ้น
วันนี้เรารักษาศีล ต่อไปศีลจะรักษาเรา การที่เรามาสมาทานอุโบสถศีล หรือว่าศีล 8 นี้ อย่าไปมองว่าเป็นการทรมานตน หรือว่าเป็นการทำตนให้ลำบาก จริง ๆ พวกเราที่มารักษาศีลกันมานานหลายปี ก็จะรู้ว่ามันไม่ได้เป็นการทรมาน หรือการทำตัวให้ลำบากเลย สบายด้วยซ้ำ แต่อย่าให้เป็นแค่ความสบาย เพราะว่าไม่ได้มาทำงาน บางคนก็ใช้โอกาสนี้พักงานมารักษาศีล ไม่ต้องไปวุ่นวายกับไร่นา ได้ห่างจากบ้าน ห่างจากครอบครัว ก็ช่วยทำให้ใจสงบลงบ้าง เพราะว่าที่บ้านมันวุ่นวาย บางทีลูกก็เปิดโทรทัศน์ หรือว่าเมียก็บ่นผัวก็ว่า ออกมาอยู่ที่วัดมันสบาย สบายแค่นี้ยังไม่พอนะ มันไม่ใช่อานิสงฆ์ของการมารักษาศีล จะรักษาศีลแล้วเกิดอานิสงฆ์มากนี่เพราะว่าได้ฝึกฝนตน ไม่ใช่แค่ทิ้งงาน ได้พักกายพักใจชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่ว่าให้การรักษาศีลของเรานี้เป็นการฝึกฝนตน ให้พึงพอใจในความเรียบง่าย ให้มีความพึงพอใจแม้ว่าไม่ได้เสพกามสุข
กามสุขคือสุขที่เกิดจากการบริโภคทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เช่น กินอาหารอร่อย อันนี้เรียกว่ากามสุข อาหารอร่อย ใคร ๆ ก็อยากกิน เพลงที่ไพเราะ หนังที่สนุก หรือว่าการที่ได้ละเล่น อันนี้ก็เป็นกามสุข เมื่อเรามาถือศีล 8 ข้อ 3 คือการถือพรหมจรรย์ ไม่ไปหลับนอนอย่างที่เคยทำ ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเพศตรงข้าม หรือสมัยนี้ก็รวมถึงเป็นเพศเดียวกันด้วย ที่มีใจผูกพันกัน ไม่ไปยุ่งเกี่ยวเพื่อหาความสุขทางเนื้อหนังอย่างที่เคยทำ รวมทั้งที่เคยกินอาหาร เช้า กลางวัน เย็น ค่ำ อันนี้ก็เพลาลง กินอาหารวันละแค่มื้อ 2 มื้อ ไม่เกินเที่ยง อันนี้เป็นการลดละกามสุข รวมทั้งการไม่ไปเที่ยวเตร่ร้องรำทำเพลง ไปเสพความบันเทิงเริงรมย์ รวมทั้งการประดับประดาร่างกายด้วยของหอม เพราะบางคนก็อยากจะเห็นตัวเองสวย อยากจะเห็นตัวเองหล่อ จะได้มีคนมาติด มีคนมาชื่นชม หรือว่าจะได้ทำให้มีเพศตรงข้ามมาหา อันนี้ก็เป็นกามสุขแบบหนึ่งเหมือนกัน
คนส่วนใหญ่หลงใหลในกามสุขจนกระทั่งทำชั่ว หรือถึงแม้ไม่ทำชั่ว แต่ก็มีความทุกข์เพราะหวงการแหนกามสุข ซึ่งมีเงินทองเป็นตัวแทน การมารักษาศีลเพื่อให้เราเหินห่างจากมันบ้าง ไม่ใช่แค่เหินห่างอย่างเดียวนะ แต่เพื่อที่เราจะได้รับความสุขที่ประเสริฐกว่า อย่างที่เคยพูดไว้แล้วว่ามันคือเนกขัมมะสุข เนกขัมมะคือการออกจากกาม หรือการไกลจากกามสุข เพื่อที่จะได้เข้าถึงความสุข หรือสัมผัสความสุขที่ประณีต คือ ความสุขทางใจ กามสุขเป็นความสุขทางกาย แต่ว่ามันมีความสุขที่ดีกว่านั้น เป็นความสุขทางจิตใจ ความสุขจากจิตที่สงบ ความสุขที่เกิดจากจิตที่รู้จักลดรู้จักละ นี่สำคัญนะ คนคิดว่าความสุขเกิดจากการมีการได้ นั่นเป็นความสุขทางโลก ความสุขทางธรรมหรือความสุขทางจิตใจเกิดจากการลดการละ รวมถึงการสละด้วย ตัวอย่างเช่น การให้ทาน การให้ทานทำให้เกิดความสุข สุขที่ใจ เมื่อเราให้ทาน เราให้สิ่งของแก่คนที่เค้าควรจะได้รับ เมื่อเรามอบของให้กับคนยากจน ช่วยต่อชีวิต ให้ข้าวให้น้ำเค้า เค้ามีความสุขเราก็พลอยมีความสุขด้วย หรือเราถวายของพระ เราถวายก็เกิดความสุข เกิดปีติ อันนี้แหละความสุขที่เกิดจากการสละ เกิดจากการละ
นอกจากสิ่งของแล้วเราก็สละแรงกายช่วยเหลือผู้อื่นคนที่เดือดร้อน เราก็เข้าไปช่วยเค้า ช่วยด้วยแรงกาย ด้วยแรงใจ ทุ่มเททั้งสติและปัญญา เพื่อช่วยให้เค้ามีความสุข พ้นจากความทุกข์ ไปเป็นจิตอาสาช่วยเหลือเด็กกำพร้า คนยากจน หรือว่าดูแลสัตว์ที่ถูกทอดทิ้ง อันนี้เรียกว่าการทำบุญ เราทำแล้วใจก็พลอยเป็นบุญด้วย ก็คือมีความสุข เราต้องรู้จักความสุขชนิดนี้ คือความสุขที่เกิดจากการลด การละ หรือการสละ แม้แต่การที่เราสละกามสุข ก็ทำให้เกิดความสุขเหมือนกัน เป็นความสุขทางใจ ก็คือว่าชีวิตมันได้สงบ ไม่วุ่นวาย เพราะการเที่ยวการเล่น มันเพลิดเพลินทางกายก็จริง แต่มีความเหนื่อยทางจิตใจ จิตใจว้าวุ่น จิตใจว้าวุ่นเพราะอยากได้อีก อยากได้มาก เกิดอาการเสพติด เหมือนกับปู่คนที่ว่านี้แกเสพติด เสพติดการกินอาหาร เสพติดการเที่ยว บางคนติดหนัง ดูหนังทุกวัน ถ้าวันไหนไม่ดูก็กระสับกระส่าย บางคนก็ติดของอร่อย ติดฟังเพลง
ถ้าเราไม่รู้จักปล่อยรู้จักวาง ก็จะเป็นทาสของกามสุข แล้วก็จะหาความสงบสุขไม่เจอ คราวนี้เมื่อเราเริ่มที่จะละ ลด เริ่มเลิก จิตใจเราก็จะเป็นอิสระ เมื่ออิสระก็จะพบกับความสุข อันนี้แหละที่เรียกว่าเนกขัมมะสุข คือสุขที่ไม่ต้องพึ่งพิงกามสุข หรือว่า รูป รส กลิ่น เสียง นอกจากการสละสิ่งที่ชอบ หรือสละสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ เช่น สละทรัพย์ มีเงิน ธรรมชาติคนเราก็หวงแหน แต่เราก็สละไป ทำให้มันเป็นนายเหนือใจเราน้อยลง แทนที่มันจะเป็นนายเรา เราเป็นนายมันแล้ว เพราะว่าเราพร้อมที่จะสละมันเพื่อประโยชน์ได้ทุกเมื่อ ไม่หวงแหน ไม่ตระหนี่ อันนี้เรียกว่าเราเป็นนายของเงิน ไม่ใช่มันเป็นนายเรา ถ้ามันเป็นนายเรา เราทุกข์ แต่ถ้าเราเป็นนายมัน เรามีความสบายและอิสระ
อิสระแปลว่าเป็นใหญ่ อิสระนี่ความหมายจริง ๆ แปลว่าเป็นใหญ่ ถ้าเราเป็นนายของเงิน อันนี้เรียกว่าเราอิสระ ทำให้เกิดความสุขใจ นอกจากการสละสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่แล้ว การสละสิ่งไม่ดีที่ยึดเอาไว้ในใจนี่ก็สำคัญ คนเราหวงแหนไม่ใช่เฉพาะสิ่งดี ๆ ที่มี สิ่งไม่ดีที่อยู่ในใจก็หวงแหน เช่นความโกรธ ความโกรธนี่มันดีที่ไหน แต่มันเกิดขึ้นที่ใจใคร คนนั้นก็จะหวงแหนเอาไว้ ความอาฆาตพยาบาทเกิดขึ้นที่จิตใจของใคร มันจะหวงแหนเอาไว้ มันจะคิดเคียดแค้น คนมาบอกว่าให้อภัยเค้าเถิด ให้อภัยเถิด ก็กลับไม่ชอบคนที่แนะนำอย่างนั้น มันก็แปลกนะ ความโกรธ ความพยาบาท มันเผาใจ ไม่ได้ทำให้มีความสุขเลย แต่ทำไมเราหวงแหนมันเอาไว้ อันนี้เพราะเป็นความโง่ ความหลง ของคนเรา แต่ถ้าเรารู้จักสละออกไปจากใจ จะรู้สึกสบาย คนที่โกรธมาก ๆ โกรธสะสม พอให้อภัยนะมันสบาย มีผู้หญิงคนหนึ่งถูกทรมาน ถูกตัดหูทั้งสองข้าง ถูกเฉือนจมูก ถูกตัดถูกเฉือนริมฝีปาก ทรมานมากต้องผ่าตัดถึง 7 ครั้ง กว่าจะกลับมาเป็นปกติ เคียดแค้นมาก แต่ตอนหลังก็รู้ว่าเคียดแค้นไปก็ทรมานจิตใจเปล่า ๆ เลยให้อภัย พอให้อภัยรู้สึกว่าสบาย เธอบอกว่ามันทำให้ฉันมีชีวิตต่อไปได้ง่ายขึ้น คนเราถ้าไม่รู้จักให้อภัย ไม่รู้จักสละความโกรธ มันมีชีวิตอยู่ยาก พอสละแล้วใครเป็นสุข ใครสบาย ก็เรานี่แหละ
การสละไม่ใช่สละของดีที่มีเท่านั้นนะ สละของไม่ดีที่ยึดเอาไว้ก็จำเป็นด้วย นอกจากความโกรธ ความเศร้า ความเสียใจ ความอาลัยอาวรณ์ ความรู้สึกผิด พวกนี้ไม่ดีเลยแต่ก็ยังหวงแหนเอาไว้ ต้องรู้จักสละ รู้จักปล่อยมันออกไป ทำยังไงก็ต้องใช้การภาวนา ภาวนาเพื่อให้มีสติ เพราะว่าที่เราไปยึดมันเอาไว้ เพราะเราหลง เราลืมตัว ถ้าไม่รู้จักใช้สติ ถ้าไม่มีสติ มันปล่อยยาก อาจจะปล่อยได้บางเรื่องบางอย่าง เช่น โกรธก็ให้อภัย หรือแผ่เมตตา แต่ถ้าเป็นอารมณ์อย่างอื่น ความเศร้า ความเสียใจ ความอาลัย ความขุ่นเคือง พวกนี้นี่อย่างอื่นสละได้ยาก ต้องอาศัยสติ
สิ่งไม่ดีที่เรายึดเอาไว้ยังมีอีกนะ เช่น ความเห็นแก่ตัว ความยึดติดในอัตตาตัวตน พวกนี้ไม่ดีเลย ความเห็นแก่ตัวนี้มีกับใครมากเท่าไรก็ยิ่งมีความทุกข์เท่านั้น ได้เท่าไรก็ไม่มีความพอใจสักที เพราะความเห็นแก่ตัวทำให้โลภ พอโลภแล้วได้เท่าไรก็ไม่พอใจ มีสิบล้านก็ยังไม่มีความสุข คนที่บอกว่าอยากรวย ๆ ถึงแม้ได้รวยจริง ๆ เช่นมีเงิน 100 ล้าน แต่ว่าเพื่อนบ้านมีเงิน 1000 ล้าน หรือเพื่อนร่วมห้องที่เรียนมาด้วยกันเค้ามีเงิน 1000 ล้าน ถ้าเราถูกแวดล้อมด้วยคนที่มีเงิน 1000 ล้าน ถึงแม้เรามีเงิน 100 ล้าน เราก็ไม่มีความสุข คนส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น รวยอย่างเดียวไม่พอต้องรวยกว่าด้วย คนเราไม่ใช่แค่อยากรวยเท่านั้นนะ อยากจะรวยกว่าด้วย ไม่ใช่อยากเก่งเท่านั้น อยากเก่งกว่า ตัวเองสอบได้ 3.9 นักเรียน นักศึกษาสอบได้ 3.9 แต่เพื่อนทั้งห้องสอบได้ 4 มีความสุขมั้ย ไม่มี ฉันต้องได้ 4 อย่างน้อย ๆ ฉันต้องได้เท่าเค้า หรือว่าถ้าฉันได้ 4 แต่คนอื่นได้ 3.8 ฉันถึงจะมีความสุข คนเราไม่ได้แค่อยากเก่ง แต่ฉันต้องเก่งกว่าคนอื่นด้วย ไม่ได้แค่อยากสวย อยากหล่อเท่านั้น ต้องสวยกว่าคนอื่นด้วย ต้องหล่อกว่าคนอื่นด้วย ไม่ใช่แค่อยากใหญ่ ต้องใหญ่กว่าคนอื่นด้วย อันนี้คือความโลภ ซึ่งถ้ามีในใจใครก็ทำให้ไม่มีความสุข แต่เราก็หวงแหนเอาไว้
คนฉลาดจะรู้จักสละความโลภออกไปให้มากที่สุด ด้วยการหมั่นให้ทานบ้าง ด้วยการช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง อัตตาตัวตนก็เหมือนกัน มันมีกับใครก็ไม่มีความสุข ใครพูดไม่ดีกับเราก็โกรธ เพียงแค่ไม่ชอบ เพียงแค่ไม่ชมเรา เราก็ทุกข์แล้ว อย่างวัยรุ่นเดี๋ยวนี้ ผู้ใหญ่ด้วย เล่นเฟซบุ๊กกันถ้าขึ้นสเตตัส ส่งข้อความ ส่งรูปไป ไม่มีคนชม ไม่มีคนกดไลค์ ก็ไม่มีความสุข บางคนถึงกลับไปตระเวนบอกเพื่อนให้ช่วยกดไลค์ให้หน่อย ไลค์แปลว่าชอบ เดี๋ยวนี้ต้องมีคนชม ทำอะไรก็ตามต้องมีคนชม ถ้าไม่มีคนชมก็ทุกข์แล้ว อันนี้เป็นเพราะว่าอัตตาตัวตนมันใหญ่มาก แล้วยิ่งโตขึ้นอัตตาก็ยิ่งใหญ่ เลยทะเลาะกันได้ง่าย เค้าพูดไม่ดีกับเรา ก็โกรธเค้า พอโกรธแล้วอัตตามันสั่งให้ด่า ก็ด่า แล้วคนเราก็ไปเชื่ออัตตามาก ยอมเป็นทาสของอัตตา อัตตาสั่งให้ด่าก็ด่า ทั้งที่เราเป็นนักปฏิบัติธรรม ทั้งที่เรารักษาศีล แต่ว่ากลับพูดจาว่าร้าย คุมอารมณ์ไม่อยู่ เพราะว่าเราเป็นทาสของอัตตา ไปยึดติดในอัตตาตัวตนมาก หรือว่าใครปฏิบัติธรรม ขยันกว่าเรา เค้าเคร่งครัดในการถือศีลมากกว่าเรา อัตตามันไม่พอใจนะ อัตตามันไม่ชอบ เพราะแสดงเค้าเก่งกว่าเรา เค้าดีกว่าเรา อัตตานี้มันต้องการดีกว่าคนอื่น
เป็นคนดีไม่พอนะ อัตตามันต้องการดีกว่าคนอื่นด้วย ถ้าเห็นคนอื่นดีกว่าเรา ก็อิจฉาหาทางค่อนแคะ ค่อนขอด นินทาเค้า บางทีก็ใส่ร้ายเค้า นักปฏิบัติธรรมบางทีก็เผลอทำร้ายคนโดยไม่รู้ตัว นินทาเค้า อิจฉาเค้า ไปว่าร้ายเค้า เพียงเพราะว่าเค้าถือศีลเคร่งกว่าเรา หรือว่าปฏิบัติธรรมขยันกว่าเราเท่านั้นแหละ ถ้าเราตกเป็นทาสของอัตตาเราก็ทำดีไม่ขึ้น ทำดีได้ยาก แต่บางทีอัตตามันก็ทำให้เราหลงว่าฉันเป็นคนดี เวลาที่ใครรู้สึกว่าฉันเป็นคนดีนี่ต้องระวังนะ ถ้าคิดว่าตัวเองเป็นคนดีเมื่อไร นั่นแหละกำลังโดนกิเลสเล่นงานแล้ว เพราะว่ากิเลสหรืออัตตานี่มันต้องการยกหูชูหาง กูเป็นคนดีโว้ย ๆ เราต้องการโชว์ประกาศให้โลกรู้ เรียกว่าประกาศตัวตน อันนี้แหละต้องระวัง
เมื่อไรก็ตามที่คิดว่าเราเป็นคนดี เรากำลังจะกลายเป็นคนไม่ดีไปแล้ว เพราะว่าโดนกิเลสเล่นงาน โดนอัตตาครอบงำ ต้องตวาดใส่มัน ต้องพยายามลด พยายามละ พยายามฝึก ลดละอัตตาให้ได้ ให้เอาคำนินทาต่อว่าของผู้คนนี่แหละ ที่ไม่ชอบ ๆ นี่แหละ เอามาเป็นเครื่องฝึกเอาไว้ มาเป็นเครื่องฝึกใจให้อดทน อันนี้อย่างแรกเลย สองถือเป็นสิ่งที่มาช่วยขัดใจเรา เวลาใครพูดอะไรไม่ดีรู้สึกขัดอกขัดใจ เวลาใครทำอะไรไม่ดีรู้สึกขัดอกขัดใจ อันนั้นเราทุกข์เลยนะ แต่เราลองเอามาใช้ขัดใจ ในความหมายที่ว่าขัดกิเลสให้เบาบาง ขัดอัตตาให้น้อยลง เวลามีคนมาว่าเรา นินทาเรา เราโกรธ แต่จริง ๆ ไม่ใช่เราโกรธหรอก อัตตามันโกรธ อัตตามันไม่พอใจ คนฉลาดคนที่เป็นบัณฑิตก็ปล่อยให้มันโวยวายไป ปล่อยอัตตาโวยวายไป ถือว่ากำลังได้รับบทเรียน อย่าไปเอาความทุกข์ของอัตตามาเป็นความทุกข์ของเรา อัตตามันกำลังทุกข์ทรมาน กำลังดิ้นพล่าน เพราะว่าถูกคนต่อว่าด่าทอ ถูกคนนินทาวิพากษ์วิจารณ์ ก็ปล่อยให้มันทุกข์ไป สมเพชมันบ้าง หรือหัวเราะเยาะมันบ้างก็ดี เพราะว่าโง่ถึงทุกข์ทรมาน เพราะว่าไม่มีใครที่จะหนีพ้นคำต่อว่าด่าทอได้ ถึงแม้จะเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องเจอ เจอหนักด้วย ทั้งถูกใส่ร้ายว่าไปฆ่าคน ไปฆ่าผู้หญิง หรือว่าไปทำผู้หญิงท้อง แต่คนที่มีอัตตา แม้เจอเบาบางกว่านี้ก็ทุกข์ กินไม่ได้นอนไม่หลับ
ฉะนั้นเราต้องรู้จักหาทางลดละอัตตาหรือพูดให้ถูกคือลดละความยึดมั่นว่ามีอัตตา ลดละความยึดมั่นว่ามีตัวกู ถ้าหมดความยึดมั่นเมื่อไรนะ ก็สบายเบา ใครพูดอะไรก็ไม่สะเทือน เพราะเหมือนกับว่า เมื่อขว้างก้อนหินใส่อากาศ มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าขว้างก้อนหินใส่กระจก กระจกมันก็สะเทือนหรือบางทีก็แตกเลย เราจะทำตัวเป็นอากาศว่างหรือจะทำตัวเป็นกระจก ถ้าเราทำตัวเป็นกระจกมันก็ต้องแตก ต้องร้าวอยู่บ่อย ๆ แต่ถ้าเราทำตัวเป็นอากาศ ไม่มีตัวตน ใครขว้างก้อนหินไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนที่ลดละอัตตาจนไม่เหลือเลย หรือลดละความยึดมั่นจนไม่ถือว่ากูเลย ก็เหมือนกับเป็นอากาศธาตุ แต่คนที่มีตัวตนอยู่ก็เหมือนกระจก กระจกที่บางด้วย เจอแค่ก้อนกรวด ก้อนหินขว้างก็แตก หรือไม่ก็ร้าว เราอยากจะเป็นแบบไหน ถ้าเราอยากจะเป็นเหมือนกับอากาศธาตุที่ขว้างอะไรไปก็ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกปวด ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ต้องฝึก
อันนี้แหละที่บอกว่าเราต้องรู้จักสละ ไม่เพียงสละสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ ต้องรู้จักสละสิ่งไม่ดีที่มีอยู่ด้วย อันนี้แหละหน้าที่ของภาวนา และถ้าเราทำได้เราจะพบกับความสุขที่ประเสริฐ ไม่ใช่ความสุขที่เกิดจากการมี การได้วัตถุ แต่เกิดจากการที่เราสละสิ่งต่าง ๆ จนกระทั่งมันว่าง พอว่างเราก็จะมีความสุขอย่างแท้จริง