แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ช่วงนี้วัดป่าสุคะโตมีกิจกรรมสองอย่างคู่กันไป เรียกว่าคอร์สก็ได้ หนึ่ง คอร์สล้างพิษ สอง คอร์สเจริญสติ สองคอร์สนี้ดูเหมือนจะแตกต่างกัน แต่ที่จริงแล้วมีอะไรคล้ายกันหลายอย่าง การล้างพิษที่ว่าคืออะไร พิษเกิดจากการรับอาหาร อาจจะเป็นพิษที่มีมาก่อนแล้ว แล้วก็อยู่ในอาหาร พอกินเข้าไปเกิดพิษสะสมในร่างกาย อีกส่วนหนึ่งคืออาหารที่ตอนแรกก็มีประโยชน์ แต่พออาหารเข้าไปในร่างกายแล้วไม่ถูกขับออกมา มันตกค้างก็สะสมหมักหมมจนกระทั่งกลายเป็นพิษ ธรรมชาติของร่างกายมีกลไกในการขับสารพิษออกจากร่างกายอยู่แล้ว โดยเฉพาะสารพิษที่เกิดในระบบอาหาร ระบบการย่อยอาหาร ร่างกายเราขับสารพิษออกมาจากอวัยวะต่างๆ หลายทาง ไม่ว่าจะทางเหงื่อ ปัสสาวะ รวมทั้งอุจจาระ แต่ถ้าหากว่าเรากินอาหารมากไป สารพิษก็สะสมมาก ขณะเดียวกันพลังงานที่ใช้ในการย่อยถูกใช้ไปเยอะ พลังงานที่จะเหลือสำหรับการขับของเสียออกจากร่างกายก็น้อยลง กลายเป็นว่าของเสียหรือสารพิษมีเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้ถูกขับถูกระบายออกไป
วิธีการล้างพิษเริ่มต้นด้วยการที่ไม่รับอาหารเพิ่มเติมเข้าไปในร่างกายหรือรับแต่น้อย เพื่อให้พลังงานที่ร่างกายมีจะได้นำไปใช้ในการขับสารพิษออกจากร่างกาย แทนที่จะใช้ไปในการย่อยอาหาร ถ้าเรากินอาหารเยอะๆ ก็ต้องใช้การย่อยอาหารมาก พลังงานของร่างกายถูกใช้ไปในการย่อยอาหาร ก็จะเหลือน้อยสำหรับการขับสารพิษออกจากร่างกาย หลักการล้างพิษออกจากร่างกายมีง่ายๆ คือ รับอาหารเข้าไปในร่างกายให้น้อยลง ๆ จนถึงจุดหนึ่งไม่รับเพิ่มเข้าไป พลังงานของร่างกายจะได้ไปใช้กับการขับสารพิษออกจากร่างกาย นี่คือหลักการง่ายๆ ของการล้างพิษออกจากร่างกาย
การเจริญสติก็คือการล้างพิษอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน เป็นการล้างพิษออกจากจิตใจ พิษที่เกิดจากการรับหรือเสพอารมณ์ ภาษาธรรมะเรียกว่าเสพอารมณ์ อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ถ้าหากคนที่เป็นปุถุชนรับไปแล้ว จะเกิดการกระเพื่อมขึ้นที่ใจ เช่น เห็นรูปทางตา ได้ยินเสียงแล้วเกิดความไม่พอใจ เกิดความหงุดหงิด เกิดความเครียด พวกนี้คืออารมณ์ เมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่ใช่ว่าหายไปทีเดียว มันก็ทิ้งตะกอนเอาไว้ เรียกตะกอนอารมณ์ ตะกอนอารมณ์ที่สะสมมาก ๆ เข้าก็เป็นพิษกับร่าง เป็นพิษกับจิตใจ พอจิตใจย่ำแย่ก็ส่งผลต่อร่างกายด้วย เช่น ทำให้ร่างกายป่วย คนที่เครียดมากๆ ไม่ใช่แค่ทุกข์ใจ แต่ยังทำให้ป่วยกายด้วย
คนเราเครียดไม่ใช่เกิดจากการที่ตาได้เห็นรูป หูได้ยินเสียงครั้งเดียวแล้วเครียด หลายคนเกิดจากการสะสม อารมณ์ที่ตกค้าง พอสะสมมากเข้าก็กลายเป็นพิษ ทำให้เกิดอาการเครียดเรื้อรัง หงุดหงิดเรื้อรัง กลุ้มอกกลุ้มใจ พวกนี้คือพิษที่สะสมอยู่ในจิตใจเช่นเดียวกับร่างกาย จิตใจก็มีกระบวนการมีกลไกในการขับสารพิษออกไปจากจิตใจ บางทีการลืมก็เป็นวิธีการหนึ่งของใจ เราเครียด หงุดหงิดเรื่องอะไร พอเราได้นอนพัก ตอนที่ได้นอนพัก ใจมันไม่ได้คิดอะไร ก็เหมือนกับว่าช่วยขับถ่ายของเสียออกไปจากใจ ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกแจ่มใสขึ้น แต่ทุกวันนี้เราเสพรับอารมณ์ต่างๆ มากมาย มีอารมณ์ใหม่ๆ เข้ามามาก ทางตานี่ไม่ใช่หมายถึงรูปเท่านั้น แต่ยังหมายถึงข้อความ ข้อความทางเฟซบุ๊ก ข้อความทางอีเมล์ ทางไลน์ ข้อความบางอย่างอ่านแล้วก็ดีใจ แต่บางอย่างอ่านแล้วก็เครียด เช่น กลับมาถึงบ้านแล้วเจ้านายยังส่งงานมาทางไลน์อีก หรือไม่บางทีเจ้านายก็เขียนต่อว่ามาทางไลน์ เราอ่านแล้วก็เครียด นี่คือตากระทบรูปแล้วเกิดการปรุงแต่งขึ้นมาที่ใจ เกิดอารมณ์เครียด หงุดหงิด พอไปเสพรับอารมณ์นั้นไม่ปล่อย ไม่วาง ก็เกิดความทุกข์ ทุกข์สักพักอาจจะหาย ดูหนังฟังเพลงก็หาย ดูเหมือนหายแต่จริงๆไม่หาย มันมีตะกอนอารมณ์ ตะกอนความเครียดสะสมในใจ อย่างที่บอกแล้วว่าใจเรามีกลไกในการขับสารพิษออกไปจากใจ หรืออารมณ์ที่เป็นพิษออกไปจากใจ สติก็ดี หรือ เมตตากรุณา ก็เป็นสิ่งที่ช่วยขับสารพิษออกไปจากจิตใจได้ อารมณ์ที่เป็นพิษ เช่น เวลาเกิดความโกรธขึ้นมาเราแผ่เมตตา พอเราแผ่เมตตาความโกรธก็หายไป เราให้อภัยความโกรธก็หายไป สติก็เหมือนกัน สติทำหน้าที่กำจัดตะกอนอารมณ์ไม่ปล่อยให้หมักหมม แต่ทุกวันนี้เราเสพรับอารมณ์มาก และเมื่อเกิดตะกอนอารมณ์ ขยะอารมณ์ขึ้นมา สติหรือว่าใจของเราไม่ค่อยมีเวลาที่จะสะสาง หรือกำจัดขยะอารมณ์ออกไปจากใจ เราเอาแต่ทำงานๆ ตะกอนอารมณ์ก็มากขึ้น แต่ไม่มีเวลาที่จะเอาออกไปจากจิตใจ เลยสะสมพอกพูนเป็นพิษต่อจิตใจของเรา การที่จะล้างพิษออกจากใจก็คล้ายๆกับการล้างพิษออกจากร่างกาย คือต้องปลีกตัวมาอยู่ที่ๆ เราจะไม่ต้องเสพรับอารมณ์มาก อย่างเช่น มาที่นี่นอกจากไม่ได้ฟังข่าว ไม่ได้ดูโทรทัศน์ และไม่ต้องรับอารมณ์ต่างๆ ในที่ทำงานแล้ว ข้อมูลข่าวสารทางโทรศัพท์มือถือก็งดรับไปด้วย ขณะเดียวกันก็มีการเสริมกลไกที่ช่วยกำจัดขยะอารมณ์ออกไปจากใจ คือ การเจริญสติ
การเจริญสติเป็นการเจริญสมาธิภาวนาที่ช่วยเสริมการล้างพิษออกไปจากใจ คล้าย ๆ การล้างพิษออกจากร่างกายก็มีตัวช่วย มีสารบางตัว อย่างเช่นน้ำมันมะกอก ที่ช่วยในการล้างพิษออกจากร่างกายโดยเฉพาะระบบการย่อยอาหาร การเจริญสติในด้านหนึ่งคือ การล้างพิษออกไปจากจิตใจด้วยการเสพรับอารมณ์ให้น้อยลง รวมทั้งการพูดคุยกันน้อยลง ขณะเดียวกันก็มาช่วยเสริม ช่วยสร้างสติให้มากขึ้น เพื่อจะได้ทำหน้าที่ขับกำจัดสารพิษออกไปจากใจ ถ้าเราเตือนสติบ่อย ๆ เราจะมีตะกอนอารมณ์ขยะอารมณ์น้อยลง อย่างเช่น ใครพูดกระทบหูเรา เราโกรธ ไม่พอใจ แต่ก่อนนี้ไม่พอใจเป็นวันเป็นคืน บางทีข้ามวันข้ามคืน รุ่งขึ้นก็ยังหงุดหงิดไม่พอใจ เรียกว่ามีการหมักหมมของอารมณ์ ก็เหมือนกับร่างกาย ถ้าร่างกายมีอาหารหมักหมมอยู่เกิน 24 ชั่วโมงก็กลายเป็นของเสียไปแล้ว แต่ถ้าเกิดเรามีสติ พอเกิดความโกรธขึ้นมา ความหงุดหงิด ความเครียดขึ้นมา สติรู้ทัน พอรู้ทันมันวางอารมณ์เลย จะไม่ต่อเนื่องข้ามวันข้ามคืน มันจะดับไปเลย เป็นตัวกำจัดขยะอารมณ์ที่ทำงานเร็วมาก ไม่เหมือนร่างกายที่กว่าจะขับสารพิษออกไปจากร่างกายบางทีใช้เวลาเป็นชั่วโมง เรากินน้ำเข้าไปกว่าจะปัสสาวะก็อาจเป็นชั่วโมง เรากินข้าวกว่าจะขับถ่ายเป็นอุจจาระก็หลายชั่วโมง แต่สตินี่มันขับขยะอารมณ์ออกไปจากใจเร็วมากเลย เรียกว่าชั่วขณะชั่ววินาทีเท่านั้นแหละ แต่ต้องเป็นสติที่ได้รับการฝึกฝนให้ปราดเปรียว
สติที่พวกเรามี ไม่ใช่ไม่มี แต่มันช้า กว่าจะรู้ตัวว่าโกรธก็ผ่านไปเป็นวัน ผ่านไปเป็นคืน หรือบางทีก็ไม่รู้หรอก มันเลือนหายไปเองตามกาลเวลา แต่ในกรณีอย่างนั้นมีตะกอนอารมณ์อยู่ อย่างเช่น เราโกรธใครสักคนเพราะเขาว่าเรา เขานินทาเรา เราก็โมโหโกรธา หงุดหงิด จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ หรือกว่าจะนอนได้ก็นาน รุ่งขึ้นดูเหมือนว่าอารมณ์เจือจางลงแล้ว ดูโทรทัศน์ ฟังเพลงก็หาย แต่พอเจอหน้าคนที่เขาว่าเราที่ทำงาน ความโกรธกลับพุ่งขึ้นมาใหม่ บางคนก็อาจไม่เร็วขนาดนั้น แต่มันสะสมหลายวัน พอเจอเข้าก็ปรี๊ดเลย ซึ่งเป็นสัญญาณว่าอารมณ์มันสะสมมาก อารมณ์โกรธ หงุดหงิด ไม่พอใจ คนธรรมดาเจออะไรไม่ปรี๊ดง่ายๆ แต่ที่ปรี๊ดแสดงว่าสะสมมาหลายวัน บางทีสะสมเป็นอาทิตย์ พอเจอหน้าเข้าหรือพอเจอแล้วพูดบางอย่างที่อาจจะเบามาก แต่มันไปสะกิดปม สะกิดอารมณ์ เลยระเบิดออกมา คืออาการของขยะอารมณ์ที่หมักหมม คนส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าไม่ได้เจริญสติ สติที่เรามีไม่สามารถทำงานได้รวดเร็วฉับไว ปล่อยให้อารมณ์ค้างคา เรียกว่าอารมณ์ค้าง อารมณ์ค้างก็เปรียบกับอาหารที่บูด อาหารที่ค้างคืนมันก็บูด อารมณ์ที่ค้างคืนก็ทำให้เกิดการบูดเน่าในจิตใจ การเจริญสติคือการช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการล้างขับขยะอารมณ์ออกไปจากใจของเราให้เร็ว ถึงได้บอกว่าการล้างพิษกับการเจริญสติดูเหมือนแตกต่างกัน แต่ว่าหลักการเดียวกัน
สติเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยทำให้ใจเราเป็นปกติ การล้างพิษทำให้ร่างกายเราเป็นปกติ ทำงานได้ดีขึ้น บางคนป่วย พอล้างพิษก็ทำให้หายป่วยหรือสุขภาพดีขึ้น พวกเราหลายคนสุขภาพดีอยู่แล้ว จะรู้เลยว่า สุขภาพใจไม่ดี ป่วย เครียด ทุกข์ เศร้า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการสะสมการหมักหมม แต่ถ้าเราเจริญสติ จะรู้เลยว่าทำไมถึงเป็นทุกข์กันเป็นวันเป็นอาทิตย์เป็นเดือน เพราะเราแบกเอาไว้ เก็บอารมณ์เอาไว้ รวมทั้งไปยึด ไปเก็บความทรงจำที่เจ็บปวด ที่ไม่น่าพอใจเอาไว้ คำพูดของเขา การกระทำของเขา ซึ่งเป็นอดีตไปแล้วแต่เรายังเก็บเอาไว้ จดจำไว้ มันก็แปลก นึกทีไรก็เจ็บ นึกทีไรก็ปวด แต่ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง เอาแต่คิดแต่นึกนั่นแหละ คำพูดของเขา การกระทำของเขา ข้อความที่เขาเขียนทางเฟซบุ๊ก ทางไลน์ ไม่ได้เจริญใจเลย แต่เรากลับคิดถึงมันครั้งแล้วครั้งเล่า คิดแต่ละครั้งก็เกิดตะกอนอารมณ์ขึ้นมา ตอนที่ได้ยินครั้งแรกแล้วโกรธ นั่นก็ครั้งหนึ่งแล้ว ตะกอนอารมณ์เกิดขึ้นมาครั้งหนึ่ง ผ่านไปหลายวัน เขาลืมแล้ว เขาพูดอะไรไป เขาทำอะไรไป แต่เรายังจำได้ แล้วเราก็คิดถึงอีก คำพูดเหล่านั้นการกระทำเหล่านั้น คิดครั้งหนึ่งเราก็โกรธแล้วเราก็เกิดตะกอนอารมณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าสะสม ทำไมเราถึงทำอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ดีกับเราเลย นั่นเพราะเราไม่มีสติ เลยหวนคิดถึงมันด้วยความไม่รู้ตัว ทำเช่นนั้นด้วยความไม่รู้ตัว และพออารมณ์เกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะอารมณ์อกุศล มันทุกข์ ความโกรธก็เหมือนไฟที่เผาลนใจ ความเกลียดเหมือนกับมีดที่กรีดใจ ความหนักอกหนักใจ ก็เหมือนกับของที่ทับอกทับใจให้อึดอัด แต่เรายังเก็บอารมณ์อย่างนี้เอาไว้ในใจ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง เพราะอะไร เพราะเราไม่รู้ตัว เพราะเราไม่มีสติ สติเรามีก็จริง แต่ว่ามันทำงานเชื่องช้า บางคนเผลอด่าไปแล้วถึงค่อยรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป บางคนเผลอทำลายข้าวของแล้ว ถึงรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป บางคนถึงขนาดไปยิงเขาตายถึงรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป พอรู้ตัวแล้วก็นั่งคอตก รอตำรวจมาจับ ไม่หนีเพราะยอมรับว่าตัวเองทำผิด
มีรายหนึ่งเป็นน้องเตือนพี่ว่า เข้าพรรษานี้งดเหล้าหน่อย พี่กินเหล้าเยอะ ก็บอกให้พี่งดเหล้าเข้าพรรษา พี่ก็ไม่ยอม น้องไม่พอใจก็ต่อว่าพี่ ตอนหลังต่อว่าไม่พอคงจะด่าว่าซ้ำ ทำด้วยความหวังดี เลยเกิดการทะเลาะกัน มีวันหนึ่งพี่ก็ก๊งเหล้ากับเพื่อน น้องมาด่าพี่ พี่โมโหมากเลย ไปคว้าขวานมาจะไปไล่จามน้อง แต่เพื่อนห้ามเอาไว้ ประกอบกับเจ้าตัวเมา ดื่มหนัก นั่งหมดสภาพ และท่าทางจะไม่สบายด้วย เพื่อนเลยไปเรียกรถเพื่อจะพาพี่ไปโรงพยาบาล เหลือแต่น้องกับพี่อยู่ 2 คน น้องโกรธมาก โกรธที่พี่จะเอาขวานมาจาม แกมีคัตเตอร์อยู่ ทีแรกเอาคัตเตอร์ใช้เพื่อป้องกันตัว แต่ว่าไม่ทันได้ใช้ เพื่อนก็ห้ามเอาไว้ก่อน แต่ความโกรธก็มีอยู่ พอไม่มีใคร น้องก็เอาคัตเตอร์ปาดคอพี่ พอพี่ตายก็รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ก็นั่งอยู่ข้างศพพี่ รอให้ตำรวจมาจับ สติทำงานก็ตอนที่สายไปแล้ว มันก็น่าคิด ความปรารถนาดีอยากจะให้พี่เลิกเหล้า เห็นว่าพี่แย่มาก ศีลห้าไม่ครบ แต่ไปๆมาๆความปรารถนาดีของน้องลงเอยด้วยน้องฆ่าพี่ ความปรารถนาดีถ้าไม่มีสตินำไปสู่การเบียดเบียน การทำร้ายได้ เจอมาเยอะแล้วประเภทปรารถนาดี แต่พอเขาไม่ได้ดั่งใจหรือเขาไม่ทำดังใจก็โกรธ พอโกรธก็ด่าว่า และมีการทะเลาะ จากทะเลาะก็มีการลืมตัว การต่อสู้กัน สุดท้ายทำร้ายถึงตายก็มี เริ่มต้นจาการปรารถนาดี แต่ทำไมถึงเป็นการทำร้ายเขาได้ เพราะไม่มีสติ
คนเราถ้าไม่มีสติ ไม่มีความรู้สึกตัว ความปรารถนาดีก็กลายเป็นความปรารถนาร้ายขึ้นมาในที่สุด ตรงกันข้ามกันเลย ถึงแม้พวกเราจะไม่ถึงขนาดนั้น แต่อารมณ์ที่หมักหมม อารมณ์ที่ค้างเป็นวันเป็นอาทิตย์เป็นเดือน เชื่อว่ามีกันทั้งนั้น อย่างน้อยๆ ก็ความเครียด เครียดในที่ทำงาน บางคนไม่อยากจะไปทำงาน พอถึงวันจันทร์ก็เกิดอาการหนักอกหนักใจขึ้นมา บางคนเช้าวันจันทร์ปวดหัวเลย ทั้งๆ มันไม่มีอะไร แต่เกิดจากอารมณ์เครียดสะสม แล้วบั่นทอนร่างกาย ถ้าเราไม่คิดถึงการเจริญสติ ไม่คิดถึงการขับอารมณ์ที่เป็นพิษออกไปจากใจมันอันตราย
การที่เรามาเจริญสติกันเป็นเรื่องที่น่าอนุโมทนา แต่ต้องใช้ความเพียร ใช้ความอดทน ก็เหมือนคนที่มาล้างพิษ ต้องอดทนในการอดอาหาร ค่อย ๆ ลดอาหารลงไป ๆ บางคนอยากกินหวาน อยากกินของอร่อย ก็ต้องหักห้ามใจ ยิ่งหิวก็ยิ่งคิดถึงอาหารที่อยากกิน อยากเสพ แต่ต้องอดทน เพื่อประโยชน์ในภายภาคหน้า การที่จะเจริญสติ ขับขยะอารมณ์ออกไปจากจิตใจก็ต้องใช้ความอดทน เริ่มตั้งแต่การอดทนไม่ไปรับ ไม่ไปเสพอารมณ์ข้อมูลข่าวสารหรือการพูดการคุย บางคนก็ติดโทรทัศน์ บางคนติดละคร บางคนอยากติดตามข่าวสารบ้านเมือง บางคนก็อยากเล่นเฟซบุ๊ก บางคนติดไลน์ พวกนี้คือการเสพที่ทำให้เกิดขยะอารมณ์มากมายในจิตใจของเราวันแล้ววันเล่า จนมันติด พอจะไม่เสพก็เกิดอาการทุรนทุรายกระสับกระส่าย อย่างน้อยๆ ขอให้ได้คุยกับเพื่อน พอไม่ได้คุยจะมีอาการหงุดหงิดงุ่นง่าน กระสับกระส่าย เหมือนกับคนที่ไม่ได้กินอาหารที่ชอบกิน ต้องอดทน ต้องมีความเพียรพยายาม ถ้าทำไปได้สักสองสามวันก็จะเริ่มดีขึ้น อดอาหารวันแรกก็กระสับกระส่าย หิวอาหาร ส่วนคนที่มาเจริญสติ ก็จะหิวอารมณ์ หิวข้อมูลข่าวสาร อยากเสพ อยากคุย ต้องอดทน ขณะเดียวกันต้องขยันในการปฏิบัติด้วย ต้องปฏิบัติให้ถูก วางใจให้เป็น จะยากกว่าการล้างพิษออกจากร่างกาย เพราะการล้างพิษใช้แค่ความอดทน แต่การเจริญสติต้องอาศัยการวางใจที่ถูกต้อง สร้างจังหวะ เดินจงกรม ถึงแม้จะทำทั้งวัน หรือทำทั้งคืน ถ้าวางใจไม่เป็นมันก็ไม่ได้อะไร มันก็ได้น้อย คือได้ความเพียร ความอดทน แต่สติไม่พัฒนา โดยเฉพาะที่คิดจะเอา อยากจะเอา ๆ อยากจะได้ความสงบ อยากจะให้สติเจริญถึงขั้นเห็นรูปนาม หรือว่าอย่างต่ำๆก็อยากได้ความสงบ พอทำแค่วันแรกใจไม่สงบ มีความง่วงเข้ามารบกวน ก็ไม่ไหวแล้ว ล้างพิษจากร่างกายถ้าง่วงสามารถหลับได้ แต่ล้างพิษจากใจคือการเจริญสติ ง่วงอย่าหลับ ถ้าเรานอนพอแล้ว เราก็ต้องพยายามจะฝืนสู้กับความง่วง สู้กับความเบื่อให้ได้ อันนี้ก็ต้องมีศรัทธาด้วย ศรัทธาในวิธีการว่าจะช่วยทำให้เรามีสติรู้ทันอารมณ์ต่างๆ ได้ไว และปล่อยวางได้อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันก็ต้องมีศรัทธาในสติด้วยว่า สติมีประโยชน์ ช่วยเราได้ หลายคนไม่มีศรัทธาในสติ เพราะไม่คิดว่าสติจะมีพลัง สติจะมีอานุภาพมาก ถ้าเรายังไม่เคยสัมผัสกับสติที่มีความเข้มแข็ง รวดเร็ว ปราดเปรียว เราก็จะปรามาสว่าสติไม่สำคัญ สู้การทำสมาธิ หรือว่าการมีปัญญา การมีปีติ หรือว่าการเห็นสี เห็นแสง หรือการทายใจได้เรามักชอบมากกว่า อยากจะปฏิบัติเพื่อจะได้ทายใจคนอื่น แต่ไม่เห็นความสำคัญของการที่จะรู้ใจตนเอง คนเราก็แปลก อยากจะรู้ใจคนอื่น โดยที่ไม่ได้คิดว่าการรู้ใจคนอื่นมันมีประโยชน์อย่างไร รู้ใจคนอื่นมันก็ไม่วิเศษ ไม่ประเสริฐเท่ากับการรู้ใจตัวเอง แล้วจะให้คนอื่นมารู้ใจเราเองก็ไม่ได้ อยากจะได้แฟนที่รู้ใจ อยากจะได้ลูกน้องที่รู้ใจ อยากจะได้เพื่อนที่รู้ใจ มันเป็นความฝันที่สำเร็จได้ยาก แต่สิ่งที่เป็นไปได้ก็คือ รู้ใจตัวเอง และมั่นใจได้เลยว่า ถ้าเรารู้ใจตัวเองได้แล้ว ความทุกข์จะน้อยลง อารมณ์ที่จะกัดกินใจเรา ครอบงำใจเรา เผาลนใจเรา ก็จะไม่สามารถทำอย่างนั้นได้อีกต่อไป เพราะเรามีสติที่ช่วยให้เรารู้ใจตัวเอง ถ้าเรารู้ใจมากเท่าไหร่ ก็จะไกลทุกข์ได้มากเท่านั้น