แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนเราทุกคนย่อมปรารถนาความสุข สิ่งที่เราทำมาตลอดชีวิตก็เพื่อแสวงหาความสุข ซึ่งบางครั้งต้องอาศัยการลงทุน เช่น เรียนหนังสือ ไปทำงาน แม้ว่าจะเหนื่อยแต่ว่าจุดหมายคือความสุข ทำงานหนักเพื่อที่จะได้มีเงิน มีชื่อเสียง มีฐานะ เพราะเชื่อว่าจะพาให้เราพบกับความสุขได้ แต่ความสุขที่พวกเรารู้จัก ความสุขที่พวกเราแสวงหา ส่วนใหญ่เป็นความสุขที่เร้าจิตกระตุ้นใจ เป็นความสุขที่เกิดจากการเสพทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือเป็นความสุขที่พะนอจิตใจให้พองโต เช่น คำชื่นชมสรรเสริญ ชื่อเสียงเกียรติยศ พวกนี้ไม่ใช่ทำให้เกิดความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง หรือว่าเกิดความสุขทางกายก แต่ทำให้จิตใจเราพองโต ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
แต่มีความสุขประเภทหนึ่งที่พวกเราอาจไม่ค่อยได้สัมผัสเท่าไหร่ นั่นคือความสงบ หลายคนมีอายุมาถึงป่านนี้ ผ่านโลกมามาก ทำงานจนเกษียณ เคยถามตัวเองบ้างหรือเปล่าว่า ได้รู้จักได้สัมผัสกับความสงบบ้างไหม อาจจะเคยได้ไปเที่ยว ไปไกลถึงต่างประเทศ ไปมาแล้วหลายประเทศ เจอสิ่งที่ตื่นตาตื่นใจ ได้กินอาหารรสชาติต่างๆมากมาย หรือว่าได้ไปเที่ยวสนุกสนาน ได้เสพสิ่งต่างๆทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ผ่านมาเยอะแล้ว อาจจะยังไม่หมดแต่ก็มากมาย แต่เคยได้รู้จักได้สัมผัสกับความสงบบ้างหรือเปล่า คนจำนวนไม่น้อยแทบจะไม่รู้จักความสงบ ถ้าไม่ได้สัมผัส ไม่ได้เจอะเจอ ก็ถือว่าขาดสิ่งสำคัญบางอย่างไปจากชีวิต เรียกว่าไม่คุ้มกับการเกิดเป็นมนุษย์เลยก็ว่าได้ บางทีอาจเรียกว่าเสียทีที่เกิดมาก็ว่า ถ้าเราไม่ได้รู้จักความสงบเลย หลายคนคิดว่าชีวิตจะมีความสุขได้ต้องมีเงินมีทองมากๆ มีตำแหน่ง มีหน้าที่ มีเกียรติยศสูงๆ มีคนชื่นชมสรรเสริญ มีหน้ามีตาในสังคม และคิดว่านี่คือความสุขที่ชีวิตปรารถนา แต่ว่าลึกๆแล้วคนเหล่านี้ไม่ได้มีความสุขอย่างแท้จริง เพราะส่วนลึกของจิตใจทุกคนย่อมปรารถนาความสงบ เพียงแต่ว่าบางคนอาจมีความทุกข์เฉพาะหน้าที่จะต้องจัดการ เช่น หาอาหารมาใส่ท้อง มีที่ที่จะหลบภัย มีหลังคาคุ้มหัว ก็ต้องดิ้นรนกันไปก่อน ความสงบเอาไว้ทีหลัง อย่างพวกที่ยากจน พวกที่อพยพลี้ภัย พวกนี้ไม่มีเวลาจะมานึกถึงความสงบ แต่พอมีปัจจัย 4 ครบถ้วนแล้ว หรือว่ามีความพรั่งพร้อมบริบูรณ์ทางวัตถุแล้ว ตอนนี้ใจเริ่มโหยหาความสงบ แล้วก็เริ่มแสวงหา ถ้าไม่ได้ความสงบจะเกิดความรู้สึกว้าวุ่นหรือเกิดความรู้สึกพร่องในใจ รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ขาดหายไปจากชีวิต
แต่คนจำนวนไม่น้อยเนื่องจากว่าไม่ได้มาถามใจตัวเอง หรือไม่ได้มาดูจิตใจ ก็ว่าคิดว่าอะไรที่ทุกข์อยู่ข้างในคงเป็นเพราะเรายังมีไม่พอ พอมีไม่พอจะทำยังไง ก็ต้องไปหามาเพิ่ม หาเงินบ้าง หาทองบ้าง หาทรัพย์สมบัติ หาสิ่งเสพบ้าง ก็อาจจะมีความพอใจชั่วคราว แต่แล้วก็เกิดความรู้สึกว่าง รู้สึกโหวงเหวงอยู่ข้างใน รู้สึกมีบางอย่างที่ยังไม่สมปรารถนา ก็ยังคิดไปว่าเรายังมีไม่พอ ทั้งๆที่มีเป็นร้อยล้านพันล้าน แต่ความรู้สึกโหวงเหวง ความรู้สึกโหยหาข้างใน คิดว่าเป็นเพราะเรายังมีน้อยไป เลยต้องไปดิ้นรนหามาอีก แต่หามาเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกว่าความพร่องโหวงเหวงจะหมดไปสักที นั่นเป็นเพราะสิ่งที่เขาแสวงหาไม่ได้ตอบโจทย์ ไม่ได้ตอบความต้องการภายในที่แท้จริง ถ้ามาใคร่ครวญ มีเวลานั่งดูจะพบว่าไม่ใช่เพราะเรายังมีเงินน้อยไป เรายังมีวัตถุน้อยไป เรายังมีชื่อเสียงเกียรติยศน้อยไป แต่สิ่งที่เราไม่มีเลยหรือแทบจะไม่มีเลยคือความสงบ หลายคนมาพบว่าตัวเองปรารถนาหรือต้องการสิ่งนี้ก็ตอนที่มาวัด หลายคนพอมาที่นี่ ประโยคแรกที่เขาพูดคือที่นี่นี่สงบนะ ก็รู้สึกว่าเขาอยากจะได้มาสัมผัสความสงบแบบนี้ บางคนต้องมาได้เจอถึงรู้ว่านี่คือสิ่งที่เราต้องการ เดี๋ยวนี้ผู้คนเริ่มแสวงหาความสงบกันมากขึ้น บางคนอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อจะมาหาความสงบที่เมืองไทย คนไทยเองจำนวนไม่น้อยเดินทางไปหาความสงบที่อินเดีย คนจีนที่มาบวช ไม่ว่าจะเป็นพระหรือชี พวกนี้เขามีฐานะดี มีธุรกิจที่ต้องดูแลมากมาย แต่มาถึงที่นี่ข้ามน้ำข้ามทะเล ล้วนปรารถนาความสงบ กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนแสวงหากันมากขึ้น เพราะรู้ว่านี่คือสิ่งที่จิตใจต้องการ แต่ว่าความสงบมี 2 อย่าง สงบภายนอกกับสงบภายใน
สงบภายนอกคือสถานที่ที่สงบสงัด เช่น วัดปฏิบัติ วัดป่า หรือว่าธรรมชาติที่ยังห่างไกลผู้คน เช่น อุทยาน ความสงบภายในคือความสงบในจิตใจ คนจำนวนไม่น้อยคิดว่าข้างในจะสงบได้ต้องมาอยู่ที่สงบสงัด ถ้าได้มาสัมผัสกับความสงบภายนอก ความสงบทางกายภาพ แล้วจะได้รู้จักสัมผัสกับความสงบภายใน ถึงต้องมาอยู่ป่า เสาร์อาทิตย์ก็ต้องออกไป เขาใหญ่บ้าง ไปภูกระดึงบ้าง ไปเที่ยวทะเลบ้าง เพราะจะได้สัมผัสกับความสงบภายใน แต่บางทีไม่เจอ มาอยู่ป่าหรือมาอยู่วัดป่านี่ไม่ใช่ว่าข้างในใจจะสงบ ถึงแม้ว่าจะไม่มีเสียงดัง ไม่มีเสียงมอเตอร์ไซด์ ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครม แต่จิตใจก็ยังว้าวุ่น ความสงบภายในจิตใจเกิดขึ้นได้ยาก ถ้าจิตใจยังว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน หรือว่าถูกรบกวน ไม่ใช่ด้วยเสียง ไม่ใช่ด้วยภารกิจการงาน แต่เพราะมีความคิดและอารมณ์บางอย่างมารุมเร้ารบกวนจิตใจ ไม่มีเสียงมารบกวน ไม่มีการงานที่ต้องทำ ไม่มีผู้คนที่จะมากระทบกระทั่ง แต่ถ้าความคิดและอารมณ์ยังมารบกวนจิตใจ ก็ไม่มีทางพบความสงบภายในได้ ความคิดและอารมณ์ที่มารบกวนส่วนใหญ่คือนิวรณ์ 5 แต่ตัวการจริงคือนิวรณ์4 นิวรณ์4 คือความฟุ้งซ่านจนกระทั่งรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ เรียกว่าอุทธัจจกุกกุจจะ ความโกรธเคือง ขุ่นเคืองพยาบาท ความอยากที่จะเสพวัตถุเรียกว่า กามฉันทะ หรือเรียกอีกอย่างว่าตัณหา ความลังเลสงสัย พวกนี้พอเกิดขึ้นมาใจจะไม่สงบ ส่วนถีนมิทธะ ความง่วงอาจจะไม่ค่อยรบกวนเท่าไหร่ เพราะเมื่อเกิดขึ้นก็อยากจะนอนอย่างเดียว ไม่ค่อยอยากจะทำอะไร ความคิดและอารมณ์ที่มารบกวนจิตใจ มันเป็นคำถามที่ทำให้ผู้คนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับจิตใจของตัว แต่ที่จริงแล้วถ้าเราเรียนรู้วิธีที่จะปล่อยวางความคิดและอารมณ์ ความสงบก็พบได้ไม่ยาก
เราไม่ชอบความคิดและอารมณ์ที่มารบกวน แต่สังเกตหรือเปล่าว่าใจจะไปยึดเอาไว้ เวลาที่คิดเรื่องอะไร ทั้งๆที่คิดแล้วเป็นทุกข์ แต่ก็อยากจะคิดต่อ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ก็ทำให้ยิ่งคิด อารมณ์ใดก็ตามที่ทำให้ใจเป็นทุกข์ เช่น ความโกรธ ความเศร้า ความขุ่นเคือง ความรู้สึกผิด ความวิตกกังวล ไม่มีใครชอบ แต่พอเกิดขึ้นในจิตใจแล้ว ก็หวงแหนอารมณ์เหล่านั้น เวลาเศร้าอย่านั่งเจ่าจุก ใครมาชวนไปเที่ยวก็ไม่อยากไป ขอนั่งอยู่อย่างนี้ เวลาโกรธคนมาแนะนำว่าให้อภัยเถอะก็ไม่ยอม บางทีไม่พอใจคนที่มาแนะนำเสียอีก อย่างที่พูดเมื่อวาน แม่เป็นคนเจ้าอารมณ์มาก ที่จริงก็ไม่เชิง แต่ว่าโกรธเวลานึกถึงใครบางคน เป็นมา20-30ปีแล้ว ลูกแนะนำให้อภัยเขาไปเถอะ แม่กลับโกรธลูก เสมือนว่าลูกกำลังจะแย่งชิงของรักของหวงไปจากแม่ ลูกไม่ได้แย่งเอาทรัพย์สมบัติจากแม่ไป ไม่ได้เอาเพชรเอาพลอย ไม่ได้เอาโฉนดที่ดินไป แค่ขอให้แม่อภัย จะได้หายโกรธ แต่ว่าเพราะความหวงแหน หวงแหนความโกรธ อยากจะโกรธต่อไป ความโกรธมันบงการเราให้รักษาให้ทะนุถนอมมันเอาไว้ ก็เลยโกรธลูก ว่าลูก ยิ่งไม่ชอบก็ยิ่งยึดติด เป็นเรื่องที่แปลก เราไม่ได้ยึดติดเฉพาะของรักของหวงที่ให้ความสุขกับเรา เช่น ลูก พ่อแม่ คนรัก ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง เกียรติยศ อันนี้มันให้ความสุขกับเรา การที่ไปยึดติดมันก็มีเหตุผล แต่ที่จริงก็เต็มไปด้วยโทษ แต่สิ่งที่ไม่มีเหตุผลคือการไปยึดติดสิ่งที่ไม่ให้ความสุขกับเรา แถมทำให้เราเป็นทุกข์ด้วย ทำไมถึงยึดมัน ก็เพราะความหลง ความไม่รู้ตัวและยิ่งมีอะไรมากระทบชีวิตของเรา หรือมีเหตุการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา เช่น การงานมีอุปสรรค ชีวิตล้มเหลว หรือเจ็บป่วย นี่ยิ่งว้าวุ่นเข้าไปใหญ่ แต่จริงๆแม้ว่าเกิดขึ้นกับเรา แต่ถ้าเรารู้จักทำใจ รู้จักวางใจ ใจก็สงบได้ แม้ว่าข้างนอกรอบตัวเราจะไม่สงบ จะมีเสียงดัง หรือว่ามีเหตุการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา แต่ว่าในใจก็สามารถสงบได้ ถ้ารู้จักทำใจ รู้จักฝึกจิตฝึกใจเอาไว้ รอบตัวไม่มีเสียงดัง แต่ถ้าเจ็บป่วยขึ้นมา จิตใจก็ว้าวุ่น แม้ไม่มีใครมาส่งเสียงดังรบกวนเรา แต่เวลานั่งนานๆ อย่างตอนนี้ถ้าเกิดว่านั่งที่ศาลานี้นานๆเป็นชั่วโมง ความสงบในใจอาจหาไม่ได้เลยเพราะมันปวดเมื่อย พอปวดเมื่อยแล้วเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่ก็เกิดความว้าวุ่น เกิดความไม่พอใจ เกิดโทสะน้อยๆ เพราะว่ามันอยากจะผลักไส อยากจะกำจัดความปวดความเมื่อยออกไป เรียกว่าความสงบภายในมันหายไป เราต้องรู้จักว่าเมื่อเจออย่างนี้เราจะทำอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อเรามีอายุมากขึ้น ก็มีความแก่ชรา มีความเจ็บความป่วย เคล็ดขัดยอกปวดหลังสารพัด ซึ่งถ้าเราทำใจไม่เป็นก็จะทุกข์มาก หาความสงบในจิตใจไม่ได้ ทั้งๆที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมแล้ว
การที่ใจเราไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้จิตใจไม่สงบ ไม่ใช่เพราะความเจ็บความป่วย ไม่ใช่เพราะความเสื่อมถอยของสังขาร หรือไม่ใช่เป็นเพราะว่ามีสิ่งไม่ดีมาเกิดขึ้นกับเรา ลองสังเกตดูเมื่อใดก็ตามที่ใจเรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเกิดรอบตัวเรา หรือเกิดกับตัวเราก็ตาม ความสงบเกิดขึ้นทันที มีเพื่อนคนหนึ่งนั่งภาวนาในคอร์สที่ยาวถึง10วัน นั่งทั้งวันเลย ครูบาอาจารย์ก็ต้องการจะให้ผู้ปฏิบัติได้เห็นเวทนา โดยเฉพาะทุกขเวทนา แต่ถ้าดูไม่เป็นจะเกิดความเจ็บปวดมากและจิตใจก็ร้อนรุ่ม เพื่อนคนนี้ก็เหมือนกัน นั่งไปเป็นชั่งโมงก็ปวดเมื่อยมาก ปวดจนกระทั่งว่ากระดูกแทบจะหักเลยก็ว่าได้ในความรู้สึกของเขา ถ้านั่งต่อไปฉันคงแย่แน่ๆ บ่นโวยวายอยู่ข้างในใจ “เมื่อไหร่จะเลิกซะที เมื่อไหร่จะเลิกซะที ฉันไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว” ก็พยายามหาธรรมะมากดข่ม ขันติบ้าง ความอดทนบ้าง สมาธิบ้าง แต่ว่ามันกระเจิงหมดเลย ยิ่งทำก็ยิ่งทุกข์ จนกระทั่งมีความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้นมา ถ้านั่งอย่างนี้ต่อไปฉันตายแน่ เพราะคิดอย่างนี้ยิ่งแย่ใหญ่เลย กระดูกมันจะหลุดจากกันให้ได้ แต่จู่ๆก็มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา ขึ้นมาว่าถ้าตายก็ตาย พอคิดแบบนี้มันโล่งเลย ความว้าวุ่นในใจสงบเลย ความรุ่มร้อนหายไป และความปวดที่รู้สึกว่าทนไม่ได้ ทนไม่ไหวแล้วก็ลดลงไป สามารถนั่งต่อไปได้อีกเป็นชั่วโมงๆ เพื่อนอีกคนหนึ่งไปจาริกเดินขึ้นเขาสูงในประเทศอินเดีย เป็นที่ที่คนนิยมไปจาริกเพราะว่าเป็นสถานที่สวยงาม เป็นทะเลสาบบนภูเขาซึ่งแวดล้อมด้วยหิมะ สูงมากประมาณ4พันเมตร พอไปถึงเกิดอาการปวดหัว หัวใจเต้นเร็ว หายใจไม่ค่อยออก เพราะว่ามันสูงมาก อากาศเบาบาง ขนาดลงมาแล้วมาที่ความสูงประมาณ 3 พันกว่าเมตรก็ยังไม่หาย ยาก็ไม่ได้เตรียม ตกกลางคืนหายใจแทบจะขาดใจให้ได้ แล้วหัวใจก็เต้นเร็ว เพราะว่าความดันอากาศหรือว่าออกซิเจนมันน้อย ก็เป็นอย่างนี้เป็นชั่วโมง และแย่ลงไปเรื่อยๆ ทุกข์ทรมานมาก เขาฝึกปฏิบัติธรรมมา ก็พยายามที่จะเจริญสติ พยายามที่จะมองบวก เอาธรรมะทั้งหลายทั้งปวงมา แต่ก็ไม่ได้ช่วยเลย คนที่จะขาดใจมันทรมานมาก ทำยังไงก็ไม่ไหว จิตใจยังไม่ดีขึ้น อาการทางกายก็แย่ พอถึงจุดหนึ่งมันไม่ไหวก็รู้สึกว่าถ้าตายก็ตาย พอปลงใจแบบนี้ ปรากฏว่าใจที่ทุรนทุรายมันสงบเลย แล้วก็เริ่มจะหายใจได้ดีขึ้น หายใจยังติดขัดแต่พอไม่ตื่นตระหนก ไม่ตกใจ ไม่กลัว การหายใจลมหายใจที่ถึงแม้จะน้อยเพียงใดก็พอที่จะทำให้ร่างกายมันอยู่ได้ แล้วก็ดีขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งการหายใจสะดวกขึ้นๆ
นี่เป็นตัวอย่างของคนที่เขามีความทุกข์ ร้อนรุ่มในจิตใจ มีความทรมานมาก เหตุผลคือใจไม่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ทันทีที่ใจยอมรับได้มันสงบเลย หลายคนมีความทุกข์ใจเพราะคิดว่าเป็นเพราะความเจ็บความป่วย เป็นเพราะความแก่ชรา แต่ที่จริงไม่ใช่แค่นั้น นอกจากความทุกข์กายแล้ว สิ่งที่ซ้อนทับขึ้นมา คือความทุกข์ใจ ทุกข์ใจเพราะยอมรับสิ่งที่มันเกิดขึ้นไม่ได้ แต่ทันทีที่ใจยอมรับได้ ใจสงบเลย แล้วจะพบว่าความทุกข์กายเป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องที่พอไหว ทนไหว แต่ที่ทำให้ทนไม่ได้คือใจ ใจที่มันกระสับกระส่าย ใจที่มันปฏิเสธ ใจที่ไม่ยอมรับกับสภาพที่เกิดขึ้น คนเราถ้ายอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเลวร้ายเพียงใด แต่ความสงบก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก แม้กระทั่งความตาย
มีเพื่อนคนหนึ่งไปเล่นน้ำที่ระยอง ว่ายน้ำไป ว่ายไปว่ายมา ปรากฏว่าถูกคลื่นซัดออกจากฝั่ง ออกทะเลกว้างมากขึ้น ก็ตกใจมาก เขาไม่รู้ว่าตรงนั้นมีคลื่นทะเลย้อนกลับหรือว่าคลื่นทะเลดูด คือปกติคลื่นทะเลจะซัดเข้าฝั่ง แต่ตรงนั้นมีกระแสน้ำหรือคลื่นที่ซัดออกจากฝั่งและแรงมาก หลายคนพอเจอเหตุการณ์นี้จะตกใจ ผู้หญิงคนนี้ตกใจเหมือนกัน พยายามว่ายเข้าฝั่ง แต่ว่ายเท่าไหร่ก็สู้กระแสน้ำไม่ได้ ว่ายๆก็ยังไม่ไปไหน ห่างไกลจากฝั่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดแรง พอหมดแรงก็คิดว่าตายแน่ ในใจหนึ่งก็บอกว่า ตายก็ตาย ยอม พอคิดเช่นนี้เขาเลิกเลย เลิกว่ายต่อไปเลย ปล่อยมือ ลอยคอ ปล่อยให้กระแสน้ำพัดพาไป ตอนนั้นเขาบอกใจมันสงบมากเลย ทั้งๆที่กำลังจะตาย ใจสงบอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่มีคลื่นซัดตัวเองเข้าสู่ฝั่ง เลยรู้ว่าตอนนั้นตัวเองหลุดจากกระแสน้ำแล้ว หรือว่ากระแสน้ำมันอ่อนแรง พอรู้อย่างนี้เลยรวบรวมกำลังพยายามว่ายเข้าฝั่ง เพื่อนซึ่งเห็นเหตุการณ์ ซึ่งพยายามช่วยตั้งแต่แรกแต่ช่วยไม่ได้ พอรู้ว่าเขากำลังว่ายเข้าฝั่ง ก็เลยว่ายไปหาแล้วพยุงกลับเข้าฝั่ง ก็เลยมารู้ตอนหลังว่าตรงนั้นมีคนตายเยอะ ตายเยอะเพราะว่าหมดแรง ที่หมดแรงเพราะพยายามว่ายฝืนทวนกระแสน้ำ ทั้งๆที่สู้ไม่ไหวก็ยังไม่หยุดว่ายเพราะตื่นตระหนก ขาดสติมากเลย กลัว ฉันจะตายแล้วหรือนี่ ไม่ได้ ฉันตายไม่ได้ ก็พยายามที่จะว่ายสู้กระแสน้ำ แต่น้ำมันแรงมาก เขาไม่รู้ว่าถ้าว่ายขนานกับฝั่งก็จะหลุดจากกระแสน้ำนั้น เพราะกระแสน้ำมันเป็นแท่ง แท่งที่ไม่กว้างนัก อาจจะ15เมตรหรือ20เมตร แทนที่จะว่ายเข้าฝั่งก็ว่ายขนานกับฝั่ง ก็จะหลุดแล้วก็จะรอด แต่ส่วนใหญ่ด้วยความตื่นตระหนก พอตื่นตระหนกแล้วขาดสติ ไม่ได้ใช้ปัญญาเท่าไหร่ แต่ผู้หญิงคนนี้แกก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าถ้าว่ายขนานกับฝั่งจะรอด แต่รู้แต่ว่าในเมื่อจะตายแล้วก็ยอมตาย พอยอมตายแล้วใจมันสงบเลย ความสงบในจิตใจส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากที่ใจมันยอมรับ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เสียงดังก็ถือว่ามันธรรมดา ใจก็สงบ หลายคนรถติดจิตตกเลย ว้าวุ่น หงุดหงิด แต่ถ้ามองมันธรรมดายอมรับได้ พอใจยอมรับปุ๊บมันสงบ เจ็บป่วยก็เหมือนกัน เป็นมะเร็งทีแรกก็ตื่นตระหนกตกใจ เพราะยังหวงแหนในร่างกายนี้ ยังยึดติดว่าเราต้องมีสุขภาพดี หรือบางทีนึกถึงความตาย ใจมันทุรนทุราย แต่ทันทีที่ยอมรับได้ ใจมันสงบเลย
การที่เรามาเรียนรู้เรื่องความทุกข์ ไม่ใช่เพื่อให้เรามีความรู้สึกว่าชีวิตนี้เต็มไปด้วยทุกข์ ทำให้ใจหดหู่ แต่ให้เรารู้ว่ามันเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา เป็นความจริง ที่เราควรยอมรับ พอเรายอมรับได้ เจอทุกข์อะไรก็ไม่ว้าวุ่นร้อนรุ่มกระสับกระส่าย ฉะนั้นยิ่งพวกเราอยู่ในช่วงสูงวัย ในช่วงขาลงมันจะมีอะไรที่ไม่สมหวัง ไม่พึงปรารถนาตามมาเรื่อยๆ ตามมาเรื่อยๆ และก็ที่กำลังรออยู่ข้างหน้าก็อีกมาก แต่ก็ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องวิตก ถ้าเรารู้จักฝึกใจให้ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ยอมรับได้ใจก็สงบ ข้างนอกจะวุ่นวายยังไง แต่ใจเห็นว่ามันป็นธรรมดา คือสิ่งที่คนที่สูงวัยก็จะได้เปรียบกว่าคนวัยอื่น เพราะเขาผ่านโลกมามาก เขาก็เห็นว่ามันเป็นธรรมดาได้มากขึ้น ความล้มเหลวก็เป็นธรรมดา อุปสรรคก็เป็นธรรมดา คนพูดจาไม่น่ารักก็ธรรมดา เจ็บป่วยก็ธรรมดา พอเห็นว่าเป็นธรรมดา ใจมันก็ไม่ผลักไส ไม่โวยวาย ไม่บ่น ไม่โอดครวญ และนั่นล่ะความสงบก็จะเกิดขึ้นได้กับใจของเรา คือความสุขที่เราสามารถจะพบได้ ไม่ใช่ที่ไหน ไม่ต้องมาถึงวัด ไม่ต้องไปป่าไปค้างแรมในป่า เราพบได้ที่ใจของเรา เพียงแต่เรารู้จักการยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น