แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พระพุทธเจ้าเคยตรัสภาษิตในธรรมบทที่น่าสนใจ ภาษิตนั้นว่า “แม่น้ำน้อยไหลดังสนั่น แม่น้ำใหญ่ไหลนิ่งสงบ สิ่งใดพร่องสิ่งนั้นดัง สิ่งใดเต็มสิ่งนั้นเงียบ” ถ้าเราพิจารณาดูก็พบว่ามีความหมายที่ลึกซึ้งมาก และอธิบายอะไรได้หลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับผู้คน แม้กระทั่งตนเอง
คำว่าดัง ไม่ว่าจะเป็นความดังของแม่น้ำลำห้วย หรือการส่งเสียงดังของผู้คน ก็มีที่มาคล้าย ๆ กัน คนที่ก้าวร้าวหรือโกธรเกรี้ยว ก็สะท้อนมาจากการที่เขารู้สึกบกพร่องข้างใน ซึ่งรวมไปถึงคนที่ชอบโอ้อวด หรือรวมไปถึงการส่งเสียงดังแบบเงียบๆ เช่น การแสดงภาพลักษณ์ การสร้างภาพลักษณ์ ด้วยการซื้อของราคาแพงมาประดับตัว เป็นการแสดงตัวตนอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่เสียงดัง แต่สามารถจะส่งสัญญานบอกว่าฉันเป็นใคร อย่างการซื้อของแบรนด์เนม การซื้อกระเป๋าราคาแพง นาฬิการาคาเป็นล้าน หรือขับรถหรูราคาหลายสิบล้าน ก็เป็นการส่งเสียงดังเหมือนกัน แต่ดังแบบเงียบ ๆ แต่ชัดเจน ซึ่งสะท้อนถึงความรู้สึกที่พร่องข้างใน พร่องอะไร พร่องความสุข พร่องการยอมรับนับถือตนเอง หรือการเคารพตนเอง คนที่พร่องความสุข ข้างในมีความทุกข์ มักระบายความทุกข์ใส่คนอื่นด้วยการแสดงอาการกราดเกรี้ยว ก้าวร้าว หรือมิฉะนั้นเป็นเพราะว่า ยังพร่องในการยอมรับตัวเอง การนับถือตัวเอง เลยทดแทนด้วยการให้คนอื่นมาเคารพนับถือตนเอง การที่จะทำให้คนอื่นมาเคารพนับถือตนเองทำได้หลายวิธี วิธีหนึ่งคือการใช้อำนาจบังคับ หรือไม่ก็ใช้วิธีการคุยโม้ เพื่อให้คนยอมรับว่าฉันเก่ง ฉันแน่ หรือไม่เช่นนั้นก็ใช้วิธีการประกาศตัวตนด้วยเครื่องแต่งกาย ด้วยข้าวของเครื่องใช้
อย่างคนบางคนอยากจะให้ผู้คนยอมรับว่าฉันคือนักปฏิบัติธรรม เพราะเห็นว่าการเป็นนักปฏิบัติธรรมเป็นของดี ก็จะแสดงออกด้วยการพูดธรรมะ สอนธรรมะอย่างพร่ำเพรื่อ เพื่อให้เพื่อน ๆ รู้ว่าฉันมีธรรมะ ฉันรู้ธรรมะ หรือไม่ก็แสดงออกด้วยการแต่งกายนุ่มขาวห่มขาว นี่เป็นการส่งเสียงดังอีกแบบหนึ่ง เรียกว่าเป็นการประกาศตัวตน ถือเป็นการเชื้อชวนให้คนมายอมรับตนเองว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม ซึ่งสะท้อนถึงความพร่องข้างใน
บางคนต้องการโอ้อวดว่าฉันเก่ง มีความฉลาด ก็จะคุยโวคุยโม้ ดูภายนอกเหมือนว่าเขามีความมั่นอกมั่นใจ มีความฉลาด คนที่พยายามจะยืนยันในสิ่งที่ตนเองคิดตัวเองกระทำอย่างเอาเป็นเอาตาย ดูภายนอกเหมือนเขามั่นใจในตนเองมาก แต่ดูไปลึก ๆ ก็รู้ว่าเขาพร่อง เขาไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง ยังยอมรับตัวเองไม่ได้ เลยพยายามที่จะหว่านล้อมหรือชักชวน แม้กระทั่งบีบคั้นให้ผู้คนยอมรับว่า เขาเก่งเขาแน่ ถ้าหากว่ายังไม่สำเร็จ ก็จะใช้วิธีการที่รุนแรงก้าวร้าว ตรงข้ามกับคนที่รู้สึกว่า เขาเต็มไปด้วยความสุข หรือยอมรับนับถือตนเอง หรือมีความมั่นใจในตนเองแท้จริง เขาจะไม่แสดงอาการอย่างนั้น
เศรษฐีที่รวยจริงอาจจะใส่นาฬิการาคาไม่กี่ร้อย มีเศรษฐีคนหนึ่งบริจาคเงินไปแล้วหลายแสนล้านบาท บริจาคถึง 90% ของรายได้ที่มี แต่ไม่มีรถส่วนตัวสักคัน ใส่นาฬิกาคาสิโอราคา 500 บาท แล้วก็ใส่เสื้อผ้าธรรมดา ๆ ขึ้นรถไฟฟ้า รถขนส่งสาธารณะ เขาไม่ใช่คนไทยนะเป็นอเมริกัน การที่เขาไม่ประกาศตัวตนด้วยข้าวของราคาแพงหรือแมนชั่นหรูก็สะท้อนถึงความรู้สึกเต็มข้างใน อาจจะเต็มด้วยความสุข หรือรู้สึกมั่นคงในจิตใจ จึงไม่มีความจำเป็นต้องประกาศตัวตน หรือเรียกร้องให้ใครมายอมรับนับถือเขา ไม่ต้องคุยโวโอ้อวด เวลาเขาบริจาคเงินก็ไม่ได้ประกาศว่าบริจาค เขาทำเงียบ ๆ ตั้งมูลนิธิขึ้นมา ไม่ได้ตั้งมูลนิธิในชื่อเขา แต่ก็เป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธินั้น แต่ความเพิ่งมาแตกหลังจากที่เขาบริจาคเงินแบบเงียบ ๆ มานาน 20 ปี
ก็เป็นเหมือนกับภาษิตของพระพุทธเจ้าที่ว่า “สิ่งใดเต็มสิ่งนั้นเงียบ สิ่งใดพร่องสิ่งนั้นดัง” คนที่อยากดังก็สะท้อนว่าข้างในพร่อง บางครั้งดังทางดีไม่ได้ หรือดังแบบที่สังคมยอมรับไม่ได้ ก็ดังแบบสะเทือนขวัญผู้คน อย่างชายหนุ่มที่ฆ่าจอห์น เลนนอน เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว เขาให้เหตุว่า ถ้าไม่ฆ่าคนดัง คนจะรู้จักเขาได้อย่างไร เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนล้มเหลว ชีวิตครอบครัวไม่ได้รับความรักจากใคร เรียนก็เรียนไม่จบ ทำงานก็ไม่สำเร็จ รู้สึกตนเองไร้คุณค่า มีแฟนแฟนก็ทิ้ง มีความรู้สึกว่าตนเองไร้คุณค่า ฉันเป็น Nobody อยู่ไม่ได้แล้ว ฉันตายดีกว่า ก็พยายามฆ่าตัวตาย แต่ยังไม่สำเร็จเลย เป็นคนที่ล้มเหลวทุกอย่าง ล้มเหลวแม้กระทั่งการฆ่าตัวตาย ฆ่าตัวตายไม่สำเร็จแล้วจะทำอย่างไร ก็ใช้วิธีอื่นแล้วกัน ที่ทำให้ฉันเป็นที่รู้จัก เป็น Somebody เลยไปฆ่าจอห์น เลนนอน เพราะเป็นคนที่ดังมาก พอฆ่าสำเร็จก็มีความสุขว่า ฉันเป็นที่รู้จัก ฉันเป็น Somebody ก็เป็นการส่งเสียงดังอีกแบบหนึ่ง เป็นแบบที่สะเทือนขวัญผู้คน
วัยรุ่นที่ตีกันก็เป็นการส่งเสียงดังอีกแบบหนึ่ง ประกาศให้โลกรู้ว่ากูเป็นใคร มีกูอยู่ในโลกนี้ ส่วนหนึ่งเพื่อให้เพื่อน ๆ ยอมรับ แสดงวีรกรรมแบบนี้แล้วเพื่อน ๆ จะยอมรับว่า มึงแน่ มึงเก่ง เขาจะมีความรู้สึกได้รับการเติมเต็ม เพราะไม่มีใครยอมรับเขาเลย ไม่ว่าพ่อแม่ ครู หรือพี่น้อง เลยมีความรู้สึกว่าฉันไม่มีคุณค่า ไม่มีความหมาย พอเจอเพื่อนก็รู้สึกว่าได้รับยอมรับ แต่ได้รับการยอมรับไม่ถึงที่ ถ้าไม่แสดงวีรกรรม เช่น ไปตีหัวคู่อริ ไปยิงคู่อริ ถ้าทำได้จะเป็นที่ยอมรับของผู้คน ความก้าวร้าวที่แสดงออกมาก็สะท้อนให้เห็นความอ่อนแอเปราะบางข้างใน
การที่พร่องไม่ยอมรับตนเอง คนเราเมื่อไม่ยอมรับตัวเอง ไม่เคารพตัวเอง ก็ไปแสวงหาการยอมรับการเคารพจากที่อื่นจากคนอื่น
คนเราถ้าพร่องความรักก็ไปแสวงหาความรักจากผู้อื่นให้มารักมาชอบฉัน หลายคนมีความทุกข์มากถ้าไม่มีแฟน ต้องดิ้นรนทำทุกอย่าง เป็นการส่งเสียงดังอีกแบบหนึ่ง ส่งเสียงดังด้วยการแต่งตัว ให้เตะตาผู้คนหรือว่าให้สวย เพื่อให้ผู้คนยอมรับว่าฉันไม่ใช่คนขี้เหร่ ฉันเป็นคนสวย ยอมรับแค่นั้นไม่พอต้องมาเป็นแฟนฉันด้วยนะ จะทำให้ฉันมีความรู้สึกมั่นใจในตนเองมากขึ้น
บางคนก็รู้ว่าผู้ชายที่คบอยู่ไม่ได้ดีอะไร แต่ก็จำเป็นต้องมีแฟน เพราะข้างในมันเหงา เคว้งคว้าง วังเวง เพราะยังไม่สามารถยอมรับตัวเองได้ ไม่ได้เห็นคุณค่าของตนเองเท่าไหร่ เลยเรียกร้องดิ้นรน ทำอย่างไรก็ได้ให้คนอื่นมายอมรับตนเอง แม้กระทั่งยอมที่จะเสียเนื้อเสียตัว เพื่อให้เขามาติดพัน มาเป็นแฟน มาเป็นคู่ของตนเอง แต่อย่างที่รู้ ๆ มันเป็นวิธีการที่ไม่ฉลาด แต่ผู้คนก็เป็นแบบนี้เยอะ
ความรู้สึกพร่องทำให้ทำอะไรที่ไม่ฉลาดออกมา หรือทำอะไรที่เป็นโทษกับตนเอง แถมยังสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่นด้วย แต่ละคนมีวิธีการสร้างการยอมรับแตกต่างกัน บางคนใช้วิธีการที่หยาบ ก้าวร้าว เอะอะโวยวาย อย่างพวกนักเลงอาชีวะ หรือนายคนที่เป็นฆาตกรฆ่าจอห์น เลนนอน แต่บางคนก็ใช้วิธีที่ละเอียดกว่านั้น หรือแผ่วเบากว่านั้น ถ้ามีเงินก็ไปซื้อประเป๋าแบรนด์เนม เสื้อผ้า รองเท้า นาฬิกา รถยนต์ เพื่อให้คนอื่นยอมรับตนเองว่า ฉันเป็นคนมีรสนิยม ฉันเป็นคนเท่ มาดมั่น ถ้าเป็นคนที่มีเงินน้อยหน่อยก็จะซื้อของซื้อสินค้าที่สร้างภาพลักษณ์ให้ตนเองดูดี
ถ้าละเอียดไปกว่านั้นก็จะไม่ทำอย่างนั้น เพราะดูมันยังหยาบอยู่ ก็จะพยายามทำอะไรก็ได้ ทำความดี เพื่อให้สำเร็จเพื่อให้คนยอมรับ ถ้าไม่ยอมรับก็จะเป็นทุกข์ ถ้าเขาไม่ยอมรับ เขาตำหนิ วิจารณ์ หลายคนตีความว่าที่เขาวิจารณ์ หรือแม้กระทั่งแนะนำสั่งสอน ก็คือการไม่ยอมรับว่าฉันดี ฉันเก่ง ฉันแน่ ฉันประเสริฐ ก็จะเกิดอาการขุ่นเคืองใจ การแสดงขุ่นเคืองใจเวลามีคนตำหนิ สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกต้องการการยอมรับจากผู้คน เพราะว่ายังยอมรับจากตนเองไม่ได้ ยังพร่องอยู่
เดี๋ยวนี้ความต้องการที่จะยอมรับจากผู้คนมันมาก ไม่ใช่แค่ตำหนิไม่ได้ สอนไม่ได้ แม้แต่ไม่กด Like ก็ทุกข์แล้ว เพียงแค่ ไม่กด Like ก็จะตายให้ได้ เพราะต้องการการยอมรับ วัน ๆ หนึ่งต้อง Up load หน้าตัวเอง Selfie วันละ 5-6 ภาพ Load แล้ว Load อีก ซึ่งก็ยิ่งทำให้มีความทุกข์มาก เพราะยิ่งเรียกร้อง ยิ่งคาดหวัง ก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ได้ ยิ่งเรียกร้องความรักจากใคร ๆ ก็ยิ่งได้น้อยลง เพราะเขารู้สึกระอา รู้สึกรำคาญ แต่พอไม่เรียกร้องกลับได้ เพราะเขาเห็นว่าทำอะไรด้วยความจริงใจ ไม่ใช่เรียกร้องความสนใจ แต่ทำเพราะต้องการช่วยเหลือเกื้อกูล คนเลยเทความรักความเข้าใจ ความเป็นมิตร หรือเทน้ำใจให้
เวลามีอาการแบบนี้ขึ้นมา ไม่ว่าหยาบหรือละเอียด ก็เป็นสัญญาณที่ดีนะ ที่ทำให้เราได้กลับมามองตนเองว่าเราพร่องตรงไหน ที่จริงถ้าจะพูดไปอย่างถึงที่สุด ปุถุชนก็รู้สึกพร่องทั้งนั้น เป็นความรู้สึกในส่วนลึกในระดับจิตไร้สำนึกทีเดียว แต่ในระดับจิตสำนึก ในระดับพื้นผิวในระดับเปรียบเทียบ พอจะพูดได้ว่ามีปุถุชนจำนวนไม่น้อยที่เขามีความรู้สึกพอใจในตนเอง เขามีความรู้สึกพอ มีความรู้สึกเต็มอิ่ม เขารู้สึกเติมเต็มในเรื่องการความสุข การยอมรับตนเอง เคารพตัวเอง ไม่ดิ้นรนที่จะเรียกร้องอะไรจากใคร เพราะว่าเขาเป็นเหมือนแม่น้ำหรือลำห้วยที่เต็ม หรือแม่น้ำลำห้วยสายใหญ่ ไหลนิ่งสงบ ถ้าพูดในเชิงปรมัตถ์คือคนทุกคนย่อมมีความรู้สึกพร่องไม่มากก็น้อย
มีเพื่อนคนหนึ่งเป็นฝรั่งแต่เขาเป็นชาวพุทธ เขาเป็นนักปรัชญา เขาอธิบายความรู้สึกพร่องเป็นธรรมดาของมนุษย์ เพราะว่ามนุษย์เราโดยจิตไร้สำนึกปรารถนาตัวตนที่เที่ยงแท้ยังยืน แต่ในส่วนลึกของอีกด้านหนึ่งก็รู้ว่า ตัวตนไม่มีอยู่จริง เป็นความรู้สึกที่แวบ ๆ ขึ้นมาว่า แท้จริงแล้วตัวตนหรือตัวฉันนี้ไม่มีจริง อะไรที่มันไม่มีจริง มนุษย์เราพอที่จะรับรู้ได้ พอรู้แพลม ๆ ว่าตัวตนไม่มีอยู่จริง ก็รู้สึกหวั่นไหว เหมือนทำใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะสร้างความมั่นใจ ว่าฉันไม่ได้เคว้งคว้าง ก็ต้องหาอะไรเข้ามาเติมเต็ม หรือหาอะไรมายึดเกาะเพื่อให้เกิดความอุ่นใจว่าฉันมี เกิดความมั่นคงภายใน
วิธีหนึ่งที่ทำให้เกิดความมั่งคงภายในหรือบรรเทาความรู้สึกพร่องคือการไปผูกติดกับวัตถุ การเอาจิตไปผูกอิงกับวัตถุ เพราะว่าวัตถุเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรม ดูมั่นคง ดูจีรังยังยืน ก็ทำให้เกิดความรู้สึกอยากได้สิ่งต่าง ๆ เข้ามา การที่ผู้คนอยากมีเงินเยอะ ๆ อยากมีวัตถุ อยากครอบครองทรัพย์สมบัติต่าง ๆ มากมาย สะท้อนถึงความพร่องข้างใน ถ้าอธิบายง่าย ๆ คือมีความโลภ แต่คำถามว่าทำไมถึงโลภ เพราะอยากได้ไม่หยุดไม่หย่อน เพื่อมาเติมเต็มความรู้สึกพร่อง เพื่อมาทดแทนบรรเทาความรู้สึกพร่อง แต่เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็มสักที เพราะว่าความไม่มีตัวตนมันเป็นของจริง ไม่ใช่เป็นสิ่งที่นึกเอา แต่เราไม่ยอมรับว่าตัวกูไม่มีจริง ยังรู้สึกไม่ยอมรับ เลยรู้สึกพร่อง แต่พยายามที่จะตอกย้ำ ยืนยันว่าตัวกูมีจริง หรือพยายามที่จะเติมเต็ม ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เกิดความมั่นใจ
การที่ไปดิ้นรนแสวงหาวัตถุสิ่งของมาเพื่อให้เกิดความรู้สึกมั่นใจ เกิดความรู้สึกเติมเต็มขึ้นมา แต่ได้เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอสักทีก็ไปหาอย่างอื่นมาแทน เช่น อำนาจ การที่มีบริษัทมีบริวารมาก ๆ ก็ดูเหมือนว่าจะช่วยเติมเต็มความรู้สึกพร่องได้ แต่ไม่สามารถเติมเต็มตัวรู้สึกพอเสียที อำนาจที่มีก็คือตัวมานะ มานะไม่ได้แสดงออกในรูปของการมีอำนาจอย่างเดียว อาจรวมถึงการได้รับการยอมรับจากผู้คนด้วย การได้รับการยอมรับจากผู้คน ได้รับการยอมรับว่า ฉันสวย ฉันเก่ง ฉันดี ฉันแน่ พวกนี้เกิดความจากรู้สึกพร่อง ความรู้สึกว่าตนเองเคว้งคว้าง ถ้าได้สิ่งเหล่านี้มาแล้วจะทำให้เกิดความรู้สึกเติมเต็ม มั่นใจ มั่นคงขึ้นมา แต่ได้มาเท่าไหร่ก็ไม่พอใจเสียที เราจะเห็นได้จากพวกผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะตั้งแต่สมัยไหน สมัยอียิปต์ กรีก โรมัน จีน จนถึงยุโรป อเมริกา ก็ไม่เคยมีความพอใจในอำนาจที่ตนเองมีสักที หรือว่าคนที่ได้รับการยอมรับจากผู้คน พยายามที่จะทำให้ผู้คนยอมรับ ก็ยังไม่มีความสุขกับสิ่งที่ได้มา เพราะอยากได้ไม่จบไม่สิ้น เพราะลึก ๆ มีความรู้สึกพร่อง ทำอย่างไรให้ความรู้สึกพร่องนั้นหมดไป ก็คือการยอมรับความจริงว่า จริง ๆ แล้วมันไม่มีตัวกูตั้งแต่แรก ยอมรับซะ การยอมรับทำให้ความทุกข์ การดิ้นรนหายไป
คนที่เจ็บป่วยและไม่ยอมรับความเจ็บป่วยไม่ได้จะทุกข์มาก ไม่ใช่ทุกข์กายแต่ทุกข์ใจด้วย คนที่ล้มเหลวและยอมรับความล้มเหลวไม่ได้ก็จะทุกข์มาก แต่พอรับได้ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก คนที่ยอมรับความสูญเสีย การสูญเสียคนรักไม่ได้ก็จะทรมานเหมือนกัน ก็จะมีชีวิตเหมือนคนตาย หรือถอยกลับไปอยู่ในอดีตที่คนรักยังอยู่ ไม่ยอมรับความจริง แต่ทันทีที่ยอมรับความจริง ยอมรับการสูญเสียคนรักได้ก็จะโล่ง
ทั้งนี้เราสามารถที่จะประจักษ์ได้ หรือประสบได้ด้วยตัวเองหรือจากผู้คนมากมายที่เขาทุกข์ เพราะเขาไม่ยอมรับ แต่ทันทีที่เขายอมรับได้มันเบาไปเยอะเลย ในขณะเดียวกันในการยอมรับไม่ได้ว่า การที่ไม่มีตัวกูอยู่จริง ๆ มันสร้างความทุกข์ให้กับผู้คน โดยเฉพาะที่เป็นปุถุชน แล้วความทุกข์นั้นแสดงออกด้วยการพยายามวิ่งไล่ล่าหาอะไรมาครอบครอง เพื่อเติมเต็มความรู้สึกพร่อง ที่เรียกว่าโลภะ หรือพยายามให้ใครต่อใครมายอมรับตนเอง ถ้าไม่ยอมรับก็โกรธ เรียกว่าโทสะ
ทั้งหมดนี้เกิดจากความหลง หลงว่ามีตัวตน แต่ที่จริงหลงมากกว่านั้นคือจะเติมความรู้สึกพร่องให้หายได้ แต่พอยอมรับตั้งแต่แรก ตัวกูไม่มีจริง ก็จบ การดิ้นรนแสวงหาก็หมด
แต่การยอมรับว่าไม่มีตัวกูอยู่จริง ไม่ใช่ว่าจะทำได้ด้วยการคิดนึกเอา แต่เกิดจากการเห็นความจริงอย่างแจ่มแจ้ง ถึงจะปล่อยวาง ภาวนาหรือวิปัสสนากรรมฐานก็จะช่วยให้เห็นความจริง การวิปัสสนาคือการดู ใช้สติดู เพื่อดูความจริงของกายและใจ รวมทั้งใช้สติไม่ให้ความหลงความลืมตัวเข้ามาครอบงำ เพราะถ้าหลงเมื่อไหร่ก็จะยึดเอาอะไรต่ออะไรมาเป็นตัวเป็นตน ยึดกายมาเป็นตัวกู ของกู ยึดใจเป็นกูของกู ยึดแม้กระทั่งอารมณ์ แม้กระทั่งความเจ็บความปวด ความโกรธ มันไม่ดีเลยนะ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะยึด เวลาปวดเวลาเมื่อยเราเห็นว่ากายปวด กายเมื่อยหรือเปล่า เวลาโกธรเราเห็นหรือเปล่าว่าความโกธรเกิดขึ้นในใจ หรือเราไปยึดว่าความโกธรเป็นฉัน เป็นของฉัน ส่วนใหญ่จะไปนึกว่า ฉันโกธร ฉันดีใจ ฉันเมื่อย มีแต่ฉันทั้งนั้นเลย ยึดเอาทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับกายและใจเป็นตัวกูของกูไปหมด อันนี้เรียกว่าเป็นความหลง เป็นเพราะว่าลืมตัว แต่ถ้าเรามีสติ เรามาดูมัน เราเห็นมันแต่ไม่เข้าไปเป็น จะพบว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับกายและใจไม่ใช่ของเราเลย เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับกายบ้าง เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับใจบ้าง หรือไม่ก็เป็นเวทนา พูดง่าย ๆ เป็นธรรมะทั้งนั้น
การเจริญสติปัฎฐาน กายานุปัสสนา เวทนานุปัสนา จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา คือการเห็นความจริงของกายและใจว่า ไม่ใช่กูของกู เห็นกายว่าเป็นกาย แค่นี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว กายานุปัสสนา เห็นกายในกาย ความหมายหนึ่งก็คือเห็นกายว่าเป็นกาย เวทนานุปัสสนาความหมายคือ เห็นเวทนาว่าเป็นเวทนา ไม่ใช่กู ของกู เห็นจิตว่าเป็นจิต คือ เห็นจิตว่าเป็นจิตไม่ใช่ตัวกู ของกู ทั้งหมดนี้จะทำให้เห็นธรรมได้ เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นขันธ์ ไม่ใช่ตัวกู ของกู เห็นว่าเป็นขันธ์ก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เห็นเป็นอายตนะภายนอก ภายใน ไม่ใช่กู ไม่ใช่ของกู จะทำให้เข้าใจเรื่องอริยสัจ 4 ก็ทำให้เกิดโพชฌงค์ตามมา คือองค์ธรรมของการตรัสรู้ เนื่องจากสติปัฎฐาน 4 เป็นได้ทั้งสมถะ คือทำให้ใจสงบ และเป็นทั้งวิปัสสนา ทำให้ได้เห็นว่าไม่มีอะไรที่เป็นกูของกู มีแต่รูปกับนาม เวทนา เรียกรวม ๆ ว่าเป็นธรรม ทำให้เกิดความเห็นจริงว่าตัวกูไม่มีจริง พอยอมรับได้มันก็หมดสิ้นซึ่งความดิ้นรน ที่จะเติมให้เต็ม ไม่ว่าจะแสวงหาสิ่งที่เป็นรูปธรรม หรือนามธรรม เช่น เงินทองทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือคำสรรเสริญ เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราหลุดพ้นจากความรู้สึกพร่อง
แต่ถ้ายังไม่หลุดพ้นก็พยายามรู้เท่าทัน และขณะเดียวกันก็พยายามรู้เท่าทันปฏิกิริยาของใจที่มันพยายามหาอะไรมาเติมเต็มอยู่เสมออย่างไร้ประโยชน์ อย่างไม่มีทางสำเร็จ ความพยายามหาอะไรมาเพิ่มเติม อยากได้โน่นอยากได้นี่ รวมทั้งอยากประกาศตัวตน ให้ใครรู้ว่ากูเก่ง กูแน่ มายอมรับฉันได้แล้ว ต้องยอมรับฉันสิ ต้องเคารพฉันสิ ต้องชื่นชมฉันสิ ต้องสรรเสริญฉันสิ พวกนี้ถ้าเรารู้ไม่ทันจะตกเป็นทาสของแรงกระตุ้นตัวนี้ รวมทั้งการยอมรับความคิดของฉันด้วย ตัณหา มานะ ทิฏฐิ มันก็เกิดความรู้สึกพร่องในส่วนลึก ถ้าเราไม่รู้ทันตัณหาจะครอบงำใจ มานะก็จะครอบงำใจ ทิฏฐิก็จะครอบงำใจ ผลักดันทำให้เราทำอะไรบางทีก็โง่ ๆ บางทีก็ไม่น่ารัก บางทีถึงกับน่าเกลียด เพราะไปสร้างความทุกข์ให้กับผู้คน บางครั้งเราอาจต้องฝืนมันบ้าง ฝืนแรงขับที่อยากจะได้มาก ๆ เช่น ไม่ยอมทำตามมัน มันอยากจะให้เราคุยโม้ อยากจะอวดเก่ง เราไม่ทำตามมันบ้าง มันอยากประกาศว่าฉันเก่งอย่างโน้นอย่างนี้ ก็ฝืนมัน
เวลาเราประสบความสำเร็จ หรือเราได้คำสรรเสริญ เราจะสังเกตว่ามีแรงขับข้างในว่า อยากจะคุยให้ใครรู้ว่า ฉันได้รับคำชมอย่างนั้นอย่างนี้ ได้รับคำสรรเสริญอย่างนั้นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มีช่องทางมากมาย นอกจากพูดให้คนใกล้ตัวได้รับรู้แล้ว ขึ้น Facebook ไปเลย ประกาศให้โลกรู้ว่าฉันได้โน่นได้นี่ มาจากแรงขับที่เรียกง่าย ๆ ว่า กิเลส หรือความรู้สึกพร่องที่อยากจะได้รับการเติมเต็ม เราก็รู้ทัน ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถลบความรู้สึกพร่องได้ แต่เราทำได้คือไม่ทำตามแรงขับนั้น ก็คือเงียบ ไม่คุยโม้
“สิ่งใดเต็มสิ่งนั้นเงียบ ลำน้ำใหญ่ไหลนิ่งสงบ” ลองทำตัวเป็นแม่น้ำใหญ่ไหลนิ่งสงบ มีดีอย่างไรก็ไม่อวด เพราะว่าการทำอย่างนั้นต้องสู้กับกิเลสไม่น้อย เพราะข้างในอยากจะอวดให้โลกรู้ แต่ถ้าเราไม่ฝืนมัน ถ้าไม่ทวนกระแสมันบ้าง มันก็เหลิงเข้าครอบงำใจ ถึงกับขึ้นมาขี่หัวเรา ถ้ามันอยากคุยโม้ อยากอวด อยากแสดงเราก็ไม่ทำตาม ดูสิว่าใครจะชนะ คือสิ่งที่เราสามารถทำได้ เป็นการฝึกความรู้สึกเติมเต็มให้ดีขึ้น และทำให้กิเลสอ่อนแรงไปเรื่อย ๆ แต่ใหม่ ๆ ต้องสู้กันมาก เพราะกิเลสพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ชนะ บางทีเราก็ต้องเล่นงานกิเลสบ้าง เล่นงานตัวอัตตาบ้าง ที่เราคิดว่ามันมีจริง เปิดรับฟังคำตำหนิติเตียน คำต่อว่าด่าทอ เป็นตัวลดอัตตาได้ดีมาก มีนักบริหารหลายคนที่ประสบความสำเร็จมาก มีคนชมจนกระทั่งวันหนึ่งมีความรู้สึกว่าเขาเหลิง สิ่งที่เขาทำคือไปฟังลูกค้าบ่น ตำหนิ เขาบอกว่าเป็นยาขม คำตำหนิ คำบ่นของผู้คน ของลูกค้าเป็นยาขม แต่ช่วยลดอัตตาได้ดี บางทีเราต้องใช้ยาขมเหล่านี้ด้วย
เราจะสังเกตว่าเวลามีใครมาตำหนิติเตียน สั่งสอน ใจเราจะต่อต้านขึ้นมาทันทีเลย ไม่ยอมรับหรือว่าปฏิเสธว่ามันจิ๊บจ๊อย ว่าฉันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก เราก็รู้ทันว่าคืออาการของใจที่ไม่ยอมรับ มาจากตัวมานะ เมื่อเรารู้เราก็ดูมันไป ไม่ทำตามมัน กลับยิ้มรับคำตำหนิ คำวิจารณ์ ถ้าเราทำได้เช่นนี้ ใจเราจะมีวุฒิภาวะมากขึ้น
อย่างที่เจ้าของเมืองโบราณ คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ บอกว่าวันไหนไม่ถูกตำหนิ วันนั้นเป็นอัปมงคล ก็สะท้อนถึงใจที่มีวุฒิภาวะ หรือได้รับการเติมเต็มระดับหนึ่ง คือเขามั่นใจพอที่จะไม่หวั่นไหวไปกับคำวิจารณ์ และมีความตั้งใจที่จะทำให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ น้อมรับคำวิจารณ์ ถือเอาคำวิจารณ์หรือคำตำหนิเป็นมงคล เป็นบทเรียนให้เราสามารถทำกับตัวเองได้
นอกเหนือจากการมาเข้าวัด มาปฏิบัติธรรม การมาหลีกเร้น การออกไปเจอผัสสะ เจอคำตำหนิ เป็นการฝึกใจได้อย่างหนึ่ง หรือแม้กระทั่งเจออิฏฐารมณ์ โลกธรรมฝ่ายบวก แล้วเราก็ไม่มีอาการ ไม่แสดงอาการออกมา เช่น อยากได้ อยากคุยโม้ อยากประกาศให้โลกรู้ อันนี้เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ฝึกใจเราได้.