แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บทสวดที่เราสาธยายเมื่อสักครู่ เชื่อว่าหลายคนไม่เพียงแต่ได้สาธยายด้วยปากของตัวเองเป็นท่านแรกเท่านั้น อาจเคยได้ยินเป็นครั้งแรกด้วยก็ว่าได้ ยิ่งได้เข้าใจความหมายของบทสวดที่ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร คงมีน้อยคนที่จะเคยอ่านหรือเคยได้สาธยายด้วยตัวเอง ปกติเวลาเราฟังพระสวดมนต์ ไม่ว่าที่วัด หรือนิมนต์มาตามบ้าน เช่น ทำบุญบ้าน หรือ ทำบุญเลี้ยงพระ เรามักจะได้ยินพระสวดบทอื่น ซึ่งผู้คนก็เชื่อว่า จะทำให้เกิดความสุขความเจริญ เป็นสิริมงคล ซึ่งที่จริงบทสวดเหล่านั้นก็มีเนื้อหาทำนองนั้นแหละ อย่างที่เมื่อเช้าได้สวด “อายุวัฑฒะโก ธะนะวัฑฒะโก ยะสะวัฑฒะโก พะละวัฑฒะโก” คือ ขอให้มีความเจริญในอายุ ทรัพย์สมบัติ สิริมงคล เกียรติยศ หรือก่อนหน้านั้นที่พระสวดเมื่อเช้านี้บท“พาหุง” เป็นบทที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ เวลาทำบุญเลี้ยงพระที่บ้าน หรือที่วัดก็ตาม ญาติโยมก็อยากจะให้พระสวดบททำนองนี้ เพราะเชื่อว่าเป็นสิริมงคลและมีความหมายในทางที่ทำให้เกิดความเจริญงอกงาม อย่างเช่น พาหุง เป็นเรื่องชัยชนะใของพระพุทธเจ้า 8 ประการ ชนะตั้งแต่พรหม มาร ยักษ์ พญานาค ผู้ร้าย ฆาตกร ช้าง สารพัด เราก็เชื่อว่า ถ้าได้ฟังชัยชนะของพระพุทธเจ้าจะเกิดผลอำนวยให้เราชนะอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง เอาชนะคนที่มุ่งร้าย จองล้างจองผลาญ
บทสวดมนต์ที่เราได้ยินได้ฟังมักเป็นไปในทำนองนั้น ซึ่งเรียกรวมๆ ว่า ทำให้เกิดสิริมงคลและก็หวังว่าจะอำนวยให้เกิดความสุขความเจริญ แต่บทธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ไม่ค่อยได้ยินได้ฟังกันเท่าไหร่ พระท่านไม่ค่อยได้สวดในงานมงคล รวมทั้งงานอวมงคลด้วย แต่มีความหมายดีมาก แล้วก็บรรจุครอบคลุมสิ่งที่เป็นหัวใจพุทธศาสนาไว้ เป็นการแสดงสัจธรรมของชีวิตและหนทางสู่ความพ้นทุกข์ ซึ่งประเสริฐยิ่งกว่าการที่เราประสบความเจริญ มียศ ทรัพย์ อำนาจ มีอายุยืนยาวเสียอีก เพราะมีสิ่งเหล่านั้นแล้วก็ยังต้องทุกข์อยู่ ยังหนีความทุกข์ไม่พ้น เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็น อายุ วรรณะ สุขะ พละ ล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยง หมดเมื่อไหร่ก็ทุกข์ แต่สิ่งที่ดีกว่านั้นคือความพ้นทุกข์ ซึ่งหนทางสู่ความพ้นทุกข์นี่ล่ะ พระพุทธเจ้าได้แจกแจงเอาไว้ในบทสวดหรือพระสูตรบทนี้
เพราะฉะนั้นฟังแล้วให้พิจารณาตามเป็นสิริมงคลเสียยิ่งกว่าได้ฟังพระสวดเจริญบทพระพุทธมนต์เสียอีก ถ้าเราฟังแล้ว ไม่ใช่ฟังให้เคลิ้มคล้อย แต่ฟังแล้วเข้าใจความหมาย พระสูตรบทนี้เรียกว่าเป็นคำสอนที่ปฏิวัติโลกก็ว่าได้ เพราะทำให้เกิดมีอริยเจ้าขึ้นมาในโลกเป็นครั้งแรก แม้ว่าจะมีแค่องค์เดียว ก็คือ พระโกณฑัญญะ แต่ว่าก็เป็นต้นแบบของคำสอน คำเทศนาในเวลาต่อมา ที่ทำให้มีผู้รู้ธรรมเห็นธรรมเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งเข้าถึงความพ้นทุกข์คือเป็นพระอรหันต์ หรือเป็นพระอริยเจ้า และเมื่อท่านได้รู้ธรรมแล้ว ท่านก็เห็นไม่ได้ต่างไปจากที่พระพุทธเจ้าสาธยายไปแล้วเมื่อสักครู่ พระพุทธเจ้ารู้อย่างไร เห็นอย่างไร พระอริยเจ้าหรือพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านก็รู้ เห็น อย่างนั้นแหละ และที่ท่านรู้และท่านเห็นอย่างนั้น เพราะว่าได้อาศัยแบบแผนแห่งการปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าได้วางเอาไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พระอรหันต์ทั้งหลายที่ตามมาตลอด 2600 ปี ล้วนแล้วแต่มีจุดกำเนิดจากคำสอนที่ว่า เรียกว่าเป็นคำสอนที่ปฏิวัติโลก เพราะว่าก่อนหน้านั้นโลกไม่มีพระอริยเจ้าเลย ถึงแม้ว่าเราเชื่อว่า ในกัลป์นี้มีพระพุทธเจ้ามาแล้วอย่างน้อย 3 พระองค์ แต่นั่นก็เป็นกาลเวลาที่ไกล ไม่สามารถที่จะระบุวัน เดือน ปี แต่ที่เรารู้แน่ๆ คือในช่วง 2600 ปี มีพระอริยเจ้าเกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก เพราะมีที่มาที่ไปจากบทสวดบทนี้
คำสอนที่เราคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอริยสัจ 4 มรรคมีองค์แปด จุดเริ่มต้นมาจากคำสอนบทนี้ รวมทั้งเรื่องทางสายกลางที่เราคุ้นเคย ได้ยินกันจนเป็นเรื่องธรรมดา มีจุดเริ่มต้นจากคำสอนที่ว่านี้เอง จึงเรียกว่าเป็นคำสอนที่บรรจุหัวใจของพุทธศาสนา ที่ไม่ใช่แค่รู้ไว้ลอยๆ แต่ช่วยทำให้พ้นทุกข์ได้ และทำให้เราได้ประสบกับสิ่งที่วิเศษ ประเสริฐกว่าอายุ วรรณะ สุขะ พละ หรือลาภยศ สุข สรรเสริญ ซึ่งคนส่วนใหญ่ในโลกปรารถนาเสียอีก ที่พระองค์ได้ตรัสเรื่องอริยสัจ4 ส่วนหนึ่งเราก็คุ้นเคยอยู่แล้ว ทุกข์คืออะไร เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นทุกข์ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์ เป็นต้น เราก็รู้อยู่ สาเหตุแห่งทุกข์ หรือสมุทัย คืออะไร เราเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถมแล้ว นิโรธได้แก่อะไร รวมทั้งมรรคมีองค์แปด คืออะไร ถึงแม้เรายังจำไม่ได้ แต่เราก็คุ้นตา ตั้งแต่เรียนประถม มัธยม
แต่จริงๆ แล้ว อริยสัจ 4 มีมากกว่านั้น ที่พูดมาทั้งหมดเขาเรียกว่า สัจญาณ เป็นความรู้ที่เรียกว่า แค่ หนึ่งในสามของอริยสัจ4 หนึ่งในสามเรียกว่า สัจญาณ อีกหนึ่งในสามสำคัญมาก คือ กิจญาณ คือความรู้ว่า จะเกี่ยวข้องกับอริยสัจ 4 แต่ละข้ออย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้เรียนกันเท่าไหร่ ครูก็ไม่ค่อยได้สอน กล่าวคือ ทุกข์นี่นะ เราควรเกี่ยวข้องกับมันอย่างไร เกี่ยวข้องด้วยการกำหนดรู้ หรือรู้ให้ทั่วถึง ท่านใช้คำว่า ปริญญา กำหนดรู้ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าการเพ่ง แต่หมายถึงการรู้ให้ทั่วถึง เพราะปริญญาไม่ใช่ปริญญาบัตร แต่หมายถึงว่า การรู้ทั่วถึง เพราะว่าทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ต้องละ คนเราเข้าใจว่าทุกข์ เป็นสิ่งที่ต้องละ ต้องกำจัด ไม่ใช่ พุทธเจ้าตรัสว่า ทุกข์คือสิ่งที่ต้องรู้ สิ่งที่ต้องละ กำจัด คือ สมุทัย ต่างหาก สมุทัยคือสิ่งที่ต้องกำจัด สิ่งที่ต้องละ ถ้าละแล้ว นิโรธจะปรากฏขึ้นกับเรา แต่การที่จะละสมุทัยได้ต้องอาศัยมรรคมีองค์แปด ไม่ใช่ว่าอยากจะละก็ละได้ ต้องอาศัยการปฏิบัติคือ มรรคมีองค์แปด ซึ่งเริ่มด้วย สัมมาทิฐิ
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นคำสอนที่กระตุ้นให้เราลงมือปฏิบัติ ไม่เหมือนกับบทสวดพระพุทธมนต์ ชาวพุทธส่วนใหญ่เราเชื่อว่าได้ฟังบทสวดพระพุทธมนต์ก็ได้สิริมงคลแล้ว เกิดสิริมงคลกับบ้านเรือน ยิ่งมีการพรมน้ำมนต์ก็สบาย ไม่ต้องทำอะไรเลย ให้พระมาทำให้แล้วก็เกิดสิริมงคลกับเรา ซึ่งคนชอบเพราะไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ต้องทำนะ ต้องลงมือปฏิบัติ ปฏิบัติอะไร ก็มรรคมีองค์แปด คนส่วนใหญ่ ถ้ามีคนทำให้ ชอบ แต่ถ้าลงมือทำเองนี่ ไม่เอา จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เราไม่ค่อยได้ยินพระสวดเท่าไร และไม่ค่อยมีการนิมนต์พระมาสวดตามบ้าน เพราะว่า เราอยากจะได้สิริมงคล แต่เราไม่อยากจะสนใจว่า สัจธรรมคืออะไร และจะเข้าถึงสัจธรรมนั้นต้องทำอย่างไร
ที่พูดไว้ว่า กิจญาณ มี 4 ประการ คือ ทุกข์เป็นสิ่งต้องรู้ มันมีความหมายที่น่าสนใจ ไม่เพียงแต่ที่พูดไว้สักครู่ว่า ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องละ ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องรู้ หมายความว่า เมื่อเราเจอทุกข์แล้ว อย่าไปผลักไสมัน แต่เราต้องพยายามศึกษาและเข้าใจ คนพอเจอทุกข์แล้วไม่ชอบ ถ้าหันหลังถ้าหนีไม่ได้ก็พยายามผลักไสมัน ถ้าทำอย่างนั้น เราจะรู้ทุกข์ได้อย่างไร เราจะเข้าใจทุกข์ได้อย่างไร ทุกข์ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เลวร้ายเสมอไป ไม่ว่าสิ่งนั้นจะได้แก่ความเจ็บป่วย ความพลัดพราก มันมีประโยชน์ถ้าเกี่ยวข้องเป็น ทุกอย่างในโลกถ้าเราใช้ให้เป็นนั้นมีประโยชน์ ยาพิษถ้าใช้ให้เป็นก็สามารถรักษาจะโรค เช่น มะเร็ง พวกเคมีบำบัดจะว่าไป ก็มาจากยาพิษนั่นแหละ ขี้หมาหรือว่ามูลสัตว์ถ้ากองไว้หน้าบ้านมันก็เหม็น แต่ถ้าเราไปวางไว้ในสวนก็เป็นปุ๋ย ผลไม้ที่เรากินจากประเทศจีน แอปเปิ้ลก็ดี องุ่นก็ดี ปุ๋ยมาจากไหน เราคงรู้นะ ปุ๋ยมาจากไหน อร่อย เพราะว่าอาศัยปุ๋ย เป็นมูลคนนี่แหละ ทุกข์ก็เหมือนกัน ทุกข์ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เลวร้ายเสมอไป ถ้าเราใช้ให้เป็นก็เกิดคุณ เกิดประโยชน์ และวิธีใช้ทุกข์ให้เกิดประโยชน์คือว่า ศึกษา หรือรู้ให้ทั่วถึง ครูบาอาจารย์จึงบอกว่าทุกข์มีไว้ให้เห็น แต่ที่มันเป็นปัญหาก็เพราะว่าคนไปเป็นทุกข์ ทุกข์ไม่ได้มีไว้เป็นนะ ทุกข์มีไว้เห็น เช่นเดียวกันปัญหาไม่ได้มีไว้กลุ้ม ปัญหามีไว้แก้ ถ้ามีปัญหาแล้วเราเอาแต่กลุ้ม เราขาดทุน เราถูกปัญหากระทำ แต่ถ้าเราพยายามเอาปัญหานี้มาพิจารณาเพื่อแก้ เราได้ประโยชน์ เรามีปัญญามากขึ้น ฉลาดมากขึ้น และถ้าหากว่าเจอปัญหาทำนองนี้อีก หรือปัญหาที่แตกต่างจากนี้ เราอาจจะใช้ปัญญาที่เกิดจากการแก้ปัญหาที่ผ่านไปแล้ว เอามาใช้ในการแก้ปัญหาใหม่ๆ ได้อีก แต่คนส่วนใหญ่พอเจอทุกข์แล้วก็ทุกข์ซ้ำ เช่น พอเจ็บป่วย แทนที่จะป่วยกายก็ป่วยใจด้วย เพราะว่าเอาแต่ตีโพยตีพายโวยวาย ทำไมต้องเป็นฉัน เวลาป่วยกาย แทนที่จะเห็นความป่วยที่เกิดขึ้นกับกาย ก็เข้าไปเป็นผู้ป่วย เข้าไปเป็นผู้เจ็บ เลยเป็นทุกข์ที่ใจ แทนที่จะป่วยแต่กาย กลายเป็นว่าป่วยใจซ้ำ
เวลาพลัดพราก เช่น เงินหาย แทนที่จะหายแต่เงิน กลายเป็นว่าใจก็ทุกข์ ไม่ใช่แค่เสียเงิน แต่ใจก็เสีย ความสุขก็เสีย เพราะเอาแต่คิดวิตก เอาแต่คิดเสียอกเสียใจ อาลัยอาวรณ์ บางคนเสียใจจนร่างกายผ่ายผอม บางคนไม่ยอมกินไม่ยอมนอน หรือกินไม่ได้นอนไม่หลับ กลายเป็นว่า ไม่ใช่แค่เสียใจอย่างเดียว สุขภาพก็เสีย จะทำงานก็ทำไม่ได้ ถึงแม้ว่าไม่ป่วย แต่ไม่มีกระจิตกระใจทำ เสียงานอีก และพออารมณ์หงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี ก็โวยวายใส่เพื่อน ทะเลาะกับเพื่อน เสียเพื่อนไปอีก คนเราพอเกี่ยวข้องกับทุกข์ไม่เป็น มักจะลงเอยด้วยการซ้ำเติมตัวเอง แทนที่จะป่วยกาย ก็ป่วยใจด้วย แทนที่จะเสียแต่เงิน ก็เสียสุขภาพจิต เสียสุขภาพกาย เสียงาน เสียเพื่อน
ถ้าเราใช้ทุกข์ให้เป็น เราจะได้ประโยชน์มาก ความเจ็บความป่วยก็สอนธรรมให้กับเราได้ สอนเรื่องความไม่เที่ยงของสังขาร เตือนให้เราตระหนักถึงความไม่จีรังของสังขาร ช่วยทำให้เราไม่ประมาทกับชีวิต เรียกว่าเขามาสอนธรรมให้กับเรา เช่นเดียวกันเวลาพลัดพรากจากคนรักหรือของรัก เช่น ทรัพย์สิน เงินทอง ก็เตือนให้เราไม่ประมาท มันมาเตือนให้เรารู้จักระมัดระวังเวลาจะวางของ วางกระเป๋า ก็ให้มีสติอยู่กับการวาง ไม่ใช่วางแล้วคนหยิบไป เพราะความประมาท ความเผอเรอ หรือมิฉะนั้นก็สอนเราว่า ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริงเลย ทุกอย่างที่เรามี อยู่กับเราเพียงชั่วคราวแล้วก็ไป ถ้าไม่หายไปกับน้ำหรือไฟ ก็มีคนเอาไป หรือมิฉะนั้นก็เสื่อมสภาพไปตามธรรมดาของมัน
ถ้าเราพิจารณาแบบนี้ เราได้ประโยชน์ อะไรที่เกิดขึ้นกับเราทุกขณะๆ มันมีทางแยก แยกไปสู่ทุกข์ หรือว่าไปสู่ความไม่ทุกข์ เวลาเจ็บป่วยมีทางแยกว่า เราจะทุกข์หรือจะไม่ทุกข์ อยู่ที่การเลือกของเรา เวลาเงินหาย ถูกโกง เราสามารถจะทุกข์ก็ได้ ไม่ทุกข์ก็ได้ อยู่ที่การเลือกของเรา ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นปุ๊บ เราต้องทุกข์นะ คนไปเข้าใจอย่างนั้น ที่วัดนี่ เวลาเช้าๆ พอตีระฆังบิณฑบาต หมาจะร้องโหยหวน ถ้าตีถี่มันจะร้องถี่ ถ้าตีห่างมันจะร้องห่าง หลายคนเห็นแล้วก็หัวเราะ แล้วอดคิดไม่ได้ว่า หมาพวกนี้เป็นทาสของเสียงระฆัง ระฆังเหมือนกับเป็นตัวบงการสั่งให้มันหอน สั่งให้มันเห่า แต่ที่จริงถ้าเรามองดูดีๆ บางครั้งคนเราก็เป็นอย่างนะ พอได้ยินเสียงด่าปุ๊บ เราด่ากลับเลย ถึงแม้ไม่ด่ากลับด้วยวาจา ก็ด่าอยู่ในใจ คล้ายๆ กับว่า เป็นปฏิกิริยาทันที คล้ายๆ กับเราถูกกระตุ้น ถูกบังคับให้ทำอย่างนั้น แต่ที่จริงคนเราไม่ใช่จะมีปฏิกิริยาตอบโต้แบบหมาเสมอไป เราเลือกได้ เช่น มีคนด่าเรา เราเลือกได้ว่าจะด่ากลับ หรือ เลือกได้ว่าเราจะเฉยๆ ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร เจออะไรไม่สำคัญเท่ากับว่า ใจเราเป็นอย่างไร ถ้าใจเราฝึกไว้ดี เจอเสียงด่า ใจเราเป็นปกติได้ ไม่ใช่ว่า พอถูกด่าปุ๊บ เราด่ากลับ หรือพอของหายปุ๊บ เสียใจปั๊บเลย มนุษย์เรามันไม่เป็นอย่างนั้น เพราะสิ่งที่มนุษย์เรามีคือ ใจ และใจก็เป็นสิ่งที่ฝึกได้
มีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อ โจน จันได เดี๋ยวนี้เป็นไอดอลของคนรุ่นใหม่ที่อยากกลับคืนสู่ธรรมชาติ เพราะเขาทำเกษตรแบบอิงอาศัยธรรมชาติ คนไปเรียนกับเขาเยอะ ชาวต่างชาติก็ไปเรียนเยอะ เขาเล่าว่า สมัยที่ยังหนุ่ม เขาอยากจะรวยเหมือนคนทั่วไป เลยไปแสวงโชคที่กรุงเทพฯ เขาเป็นคนอีสาน ความรู้ก็น้อย ถึงแม้เรียนจบปริญญาก็ตาม คราวหนึ่งเขาไปเป็นลูกจ้างโรงแรมแห่งหนึ่ง เขาเจอหัวหน้าแม่บ้านคนหนึ่งเป็นผู้หญิง ซึ่งเขาไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อน คือ เอะอะอะไรก็ด่าๆ ยิ่งมีลูกน้องที่ไม่ค่อยประสีประสาก็ยิ่งได้ทีข่มใหญ่เลย มีคราวหนึ่งแม่บ้านคนนี้สั่งให้เขาไปขัดลูกบิดในห้องพักของแขก ก็ให้บรัสโซ(น้ำยาขัดโลหะ)ไปขัด แล้วก็ยืนคุมอยู่ เขาขัดอย่างตั้งใจจนลูกบิดมันวาวเลย จู่ๆ ผู้จัดการก็มา พอเห็นก็ว่าโจนเลยว่า เอาบรัสโซขัดลูกบิดไม่ได้ เพราะลูกบิดมันไม่ใช่ทองเหลือง ราคาแพงด้วย แม่บ้านซึ่งเป็นหัวหน้าแทนที่จะปกป้องโจน เพราะว่าตัวเองเป็นคนสั่งให้โจนทำ กลับซ้ำเติมโจนด้วยการบอกว่า เธอทำไมทำอย่างนี้ โง่เหลือเกิน ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ใครให้ทำ
ถ้าเราเป็นโจนจะรู้สึกอย่างไร คงจะฉุน จะโกรธ ปรากฏว่าโจนยิ้มนะ แล้วก็พนมมือ บอกว่าขอโทษครับ ขอบคุณครับ นับแต่นั้นมาเวลาแม่บ้านด่าเขาทีไร เขาจะพนมมือไหว้ ยิ้ม แล้วบอกว่า ขอบคุณครับ ขอโทษครับ จนเป็นที่ล่ำลือกันในหมู่พนักงานโรงแรม บางคนก็หาว่า ไอ้โจนนี่โง่ ถูกเขาด่าแล้วดันยิ้ม บางคนหาว่า ไอ้โจนมันบ้า มีที่ไหนถูกด่าแล้วยิ้ม แถมขอบคุณเสียอีก หนึ่งเดือนผ่านไป แม่บ้านสงสัยเหลือเกินจึงเรียกโจนมาถามว่า ฉันสงสัยเหลือเกินเวลาฉันว่าเธอ ฉันด่าเธอ ทำไมเธอยิ้ม ทำไมเธอพนมมือไหว้แล้วแถมยังขอบคุณฉันอีก โจนก็บอกว่า เวลาผมทำอะไรแล้วแม่บ้านด่า บางทีผมก็รู้ว่าผมไม่ผิดนะ แต่ว่าเป็นธรรมดาของแม่บ้าน ผมก็ไม่ว่าอะไร แต่ที่ขอบคุณแม่บ้านก็เพราะว่า เวลาแม่บ้านด่าผม ทำให้ผมกลับมาดูใจตัวเอง แล้วก็พยายามดูใจไม่ให้ทุกข์ จึงขอบคุณแม่บ้านที่ช่วยให้ผมได้กลับมาดูแลจิตใจของผม ปรากฏว่า นับตั้งแต่นั้นมาแม่บ้านเลิกด่าโจน คงแพ้ใจ หรือว่านับถือน้ำใจของโจน
ส่วนโจนหลังจากนั้นเวลามีใครด่าเขา เวลามีใครว่าเขา เขาก็ยิ้ม ถ้าเขาพนมมือได้ เขาก็จะพนม อันนี้เห็นเลยว่า คนเราไม่ใช่พอถูกด่าปุ๊บ จะด่ากลับ เหมือนหมาที่หอนเวลาที่ได้ยินเสียงระฆัง คนเราเลือกได้ว่าจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ ที่ด่ากลับเพราะทุกข์ แต่ถ้าเราเลือกได้ว่าเราจะไม่ทุกข์ก็ได้ ไม่ทุกข์เพราะเห็นว่าคำด่าก็มีประโยชน์ ช่วยสอนใจเรา ช่วยฝึกใจเรา ทำให้เราเข้มแข็ง เรียกว่าใช้ทุกข์ให้เป็นประโยชน์ คนเราเจออะไรไม่สำคัญเท่ากับว่าใจเราเป็นอย่างไร และเป็นเพราะใจที่ฝึกไว้ดี เราจึงสามารถเลือกที่จะไม่ทุกข์ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเจอคำด่า เจอความพลัดพราก เจอคนโกง เจอความเจ็บป่วย ก็สามารถที่จะไม่ทุกข์ได้
คนไปเข้าใจว่า เราจะทุกข์ก็ต่อเมื่อเจอสิ่งที่ไม่ดี ถ้าเจอสิ่งดีๆ เราถึงจะไม่ทุกข์ ไม่ใช่เลยนะ เพราะว่าคนที่เจอสิ่งดีๆ แต่ทุกข์ก็ได้ ถ้าหากว่าใจวางไว้ไม่เป็น หลายคนบอกว่า เวลาทำบุญจะอธิษฐานว่า ขอให้ไม่เจอคำว่า ไม่มี ขอให้เจอแต่คำว่ามี อาตมาเคยได้ยินหลายคนอธิษฐานแบบนั้น ทั้งชีวิตนี้ขอให้เจอแต่คำว่ามี คำว่าไม่มีอย่าให้ได้เจอ แต่เราแน่ใจได้อย่างไรว่า แม้เราจะเจอแต่คำว่ามี เราจะไม่ทุกข์ เพราะถึงแม้ว่าเจอคำว่ามี แต่เราอยากจะมีมากกว่า ทุกข์ไหม มีนะ ได้มาร้อยนะ แต่ถ้าต้องการห้าร้อยมันทุกข์ไหม ได้ล้านนะแต่อยากได้ห้าล้านมันทุกข์ไหม มันก็ทุกข์ใช่ไหม เพราะฉะนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าคนเราจะสุขหรือทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเจออะไร แต่อยู่ที่ว่าใจเราเป็นอย่างไร ทีนี้เวลาเราทำอะไรก็ตาม อย่ามัวแต่ปรารถนาว่าขอให้ได้เจอสิ่งดีๆ ขออย่าได้เจอสิ่งที่ไม่ดีเลย อย่าไปห่วงตรงนั้น ห่วงตรงที่ใจเราดีกว่า จะเจออะไรก็ตาม ขอให้ใจเราดีไว้ก่อน ขอให้ใจเราฉลาดไว้ก่อน แม้เจอสิ่งที่ทุกข์ เจอความพลัดพราก เราก็ยังเป็นสุขได้ เพราะว่าสุขหรือทุกข์เป็นสิ่งที่เราเลือกได้
การที่ใจเราจะเป็นอย่างไรเป็นสิ่งที่เราทำได้ง่ายกว่า การจะเจอแต่สิ่งดีๆ ในความเป็นจริงมันยาก เพราะว่าชีวิตของเราไม่สามารถที่จะควบคุมสิ่งต่างๆ นอกตัวเราได้ว่า ขอให้เจอแต่สิ่งดีๆ ขอให้เจอแต่คนที่ดี ขอให้เจอแต่คนที่รู้ใจเรา ขอให้เจอแต่เจ้านายที่น่ารัก ขอให้เจอแต่เพื่อนร่วมงานที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูล ไปที่ไหนขอให้เจอแต่ทางสะดวก รถไม่ติด เราไม่สามารถจะควบคุมให้ทุกอย่างที่เราเจอล้วนแต่เป็นของดีๆ ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือฝึกใจเราให้ดี ฝึกใจเราให้ฉลาด จริงอยู่ใจไม่ใช่เป็นตัวตนของเรา ใจไม่ใช่ของเรา มันเป็นอนัตตา เราสั่งมันไม่ได้ก็จริง แต่ว่าเราฝึกได้ อย่าว่าแต่อะไรเลย หมายังฝึกได้เลย ถ้าเราฝึกดีๆนะ ได้ยินเสียงระฆังมันก็ไม่เห่าแล้ว คนเราถ้าฝึกดีๆ ถูกด่าไป ใจก็สงบได้ ขนาดหมายังฝึกได้เลย ทำไมใจเราจะฝึกให้ดีไม่ได้ จะฝึกให้ฉลาดไม่ได้ จะฝึกให้เป็นปกติในยามที่เจอความพลัดพราก สูญเสีย เจอสิ่งไม่เป็นที่รัก ที่พอใจ ใจเราฝึกได้ แล้วควรจะฝึกด้วย เพราะว่าเราไปคาดหวังให้เจอแต่สิ่งดีๆ มันเป็นความเพ้อฝัน แม้มีอำนาจวาสนายิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ต้องเจอความผิดหวังเป็นธรรมดา แต่ว่าถ้าใจเราดี ใจเราฉลาด ใจเราเป็นกุศล เจอสิ่งที่แย่ เราก็ไม่ทุกข์
อันนี้เป็นอิสรภาพที่คนมักจะมองข้าม คนไปคิดว่า เราจะสุขหรือทุกข์ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม ถ้าเสียงดัง ใจฉันไม่สงบ ถ้าเจอคนไม่น่ารัก ฉันจะมีความสุขได้อย่างไร ถ้ารอบตัวไม่มีคนรู้ใจ ฉันจะมีความสุขได้หรือ แต่คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่า เรามีอิสระ ไม่จำเป็นต้องตกเป็นเบี้ยล่างของสิ่งแวดล้อม หรือว่าเป็นทาสของสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไร แต่ใจเราเป็นอิสระ คือไม่ทุกข์ก็ได้ เพราะฉะนั้น อยากจะฝากพวกเราว่า เจออะไรไม่สำคัญเท่าใจเราเป็นอย่างไร เจอสิ่งแย่ แต่ใจดี ใจปกติ เราก็ไม่ทุกข์ได้เหมือนกัน