แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนเราย่อมปรารถนาชีวิตที่เจริญงอกงาม ชีวิตที่จะเจริญงอกงามได้นั้น สิ่งหนึ่งที่สำคัญซึ่งทางพุทธศาสนาเน้นมากคือกัลยาณมิตร พระอานนท์เคยกล่าวกับพระพุทธเจ้าว่ากัลยาณมิตรเป็นครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์ แต่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าไม่ถูก กัลยาณมิตรนั้นเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์
พรหมจรรย์ หมายถึงชีวิตที่ดีงาม จะหมายถึงมรรคมีองค์แปดก็ได้ คนเราจะเข้าสู่การปฏิบัติหรือวิถีชีวิตที่เจริญงอกงามได้ ต้องอาศัยกัลยาณมิตรเป็นจุดเริ่มต้น แล้วก็ประคับประคองด้วยไม่ใช่เป็นจุดเริ่มต้นอย่างเดียว เป็นการให้กำลังใจ ส่งเสริมสนับสนุน ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ปรารถนาความดีงาม จะต้องรู้จักหากัลยาณมิตร
ในมงคล 38 สองข้อแรกเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกัลยาณมิตรโดยตรง ข้อแรก ไม่คบคนพาล ข้อสอง การคบบัณฑิต และในข้อต่อมาก็เหมือนกัน การบูชาต่อบุคคลควรบูชา ทั้งสามข้อนี้เป็นเรื่องบุคคลที่เราเกี่ยวข้องด้วย และไม่ควรเกี่ยวข้องกับคนที่ไม่ดีเช่นคนพาล คนพาลในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเลวก็ได้ อาจจะเป็นคนที่มีมิจฉาทิฏฐิ ไม่คบคนพาล แล้วควรคบคนดี คนดีที่เราคบก็เรียกว่าเป็นกัลยาณมิตร ในเมื่อเรานับถือคนที่ควรนับถือ บูชาบุคคลที่ควรบูชา คนที่ควรบูชานั้นก็สามารถเป็นแรงบันดาลใจ หรือว่าเป็นผู้ชี้แนะชี้นำให้เราใช้ชีวิตที่ถูกต้องดีงามได้ อาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว อย่างเช่นครูบาอาจารย์ เช่นหลวงพ่อคำเขียน เมื่อเราบูชาบุคคลที่ควรบูชา ทีแรกบูชาด้วยอามิสดอกไม้ธูปเทียน ต่อมาก็บูชาด้วยการปฏิบัติ เมื่อเราปฏิบัติ ผลดีงามก็เกิดขึ้นกับเรา
นักปฏิบัติ ลำพังความตั้งใจอย่างเดียวไม่พอ พระพุทธเจ้าสอนว่า ต้องรู้จักหาสิ่งที่เกื้อกูลสนับสนุนด้วย เรียกว่าสัปปายะ คำว่าสัปปายะเป็นภาษาบาลี ภาษาไทยกร่อนเป็นคำว่าสบาย แต่ที่จริงสัปปายะ หมายถึงเกื้อกูล เกื้อกูลต่อการปฏิบัติ เช่นพระก็ดี หรือว่าโยมก็ดี ถ้าจะปฏิบัติ ฝึกจิตฝึกใจก็ต้องไปหาปัจจัยที่สัปปายะ เริ่มตั้งแต่สถานที่ สถานที่ก็ต้องสัปปายะ อาหารก็ต้องสัปปายะ ภูมิอากาศก็ต้องสัปปายะ สถานที่บิณฑบาตก็ต้องสัปปายะ บุคคลแวดล้อมก็ต้องสัปปายะ ทั้งหมดนี้พูดรวมๆก็คือเกื้อกูล จะปฏิบัติคนเดียวก็อาจจะไปไม่รอดก็ต้องไปอยู่ในสถานที่ที่เกื้อกูล มีบุคคลแวดล้อมเช่นครูบาอาจารย์ หรือว่าสหธรรมิก มิตรสหายที่เกื้อกูลด้วย รวมทั้งอิริยาบถหรือว่าแนวทางปฏิบัติก็ต้องเกื้อกูล เพราะฉะนั้น เราก็ต้องให้ความสำคัญ ใส่ใจกับกัลยาณมิตร และสิ่งแวดล้อมด้วย
กัลยาณมิตร นอกจากจะหมายถึงมิตรสหาย ครูบาอาจารย์แล้ว รวมถึงพ่อแม่ด้วย พ่อแม่ก็เป็นกัลยาณมิตร เป็นทั้งพระอรหันต์และกัลยาณมิตร ถ้าหากว่าไม่เป็นกัลยาณมิตร แต่เป็นตรงข้าม เป็นปาปมิตร อันนี้อันตราย ปาปมิตรตรงข้ามกับกัลยาณมิตร
ปาปมิตร คือมิตรที่ชักนำไปในทางชั่ว ชักนำไม่จำเป็นต้องหมายถึงการแนะนำสั่งสอนเท่านั้น ยังรวมไปถึงการกดดันบีบคั้นให้ทำชั่ว ทำไม่ดี ทำให้ปแนะนำสั่งสอนนะ แต่บางทีก็รวมไปคลชีวิตตกต่ำ ดูอย่างเดี๋ยวนี้เราพบว่ามีวัยรุ่น แม้กระทั่งเด็กที่ชีวิตถลำเข้าไปในทางที่น่าเป็นห่วง หลงใหลในอบายมุข ติดยา รวมกันเป็นแก๊งก่อความรุนแรง ถ้าเราสาวไปจริง ๆก็จะพบว่าเกี่ยวข้องกับพ่อแม่ ซึ่งเป็นกัลยาณมิตรกลุ่มแรกเลย
มีเรื่องราวของเด็กผู้หญิงอเมริกันคนหนึ่ง ตอนที่เธอเขียนนั้นโตแล้ว เธอเล่าเรื่องราวชีวิตวัยเด็กจนถึงเป็นวัยรุ่น เกิดในครอบครัวที่ไม่ค่อยเอื้อเฟื้อเกื้อกูลเท่าไร พ่อแม่ติดเหล้าและติดยาด้วย พอติดยาก็ต้องค้ายา แล้วก็ต้องลักเล็กขโมยน้อย จนติดคุก แม่ก็ขายตัว ได้เงินมาก็เสพยา แล้วเข้าหาการพนันด้วย ไม่เป็นอันทำงาน ปรากฏว่าลูกก็ต้องรับกรรมที่พ่อแม่ได้ทำเอาไว้ คือพ่อแม่ที่เป็นอย่างนี้ก็ใช้ความรุนแรงกับลูก นอกจากละเลยไม่ใส่ใจลูกแล้ว ก็ยังใช้ความรุนแรงตบตีตั้งแต่เล็กเลย
เด็กไม่เพียงแต่มีการเจ็บปวดทางกาย ยังมีความรู้สึกติดลบทางใจไปด้วย ความเจ็บปวดทางกายนั้นรักษาหายได้ง่าย แต่ความรู้สึกติดลบทางใจหรือบาดแผลจะติดตัวเด็กไป ทำให้เด็กเป็นคนที่มองตัวเองในแง่ลบ แล้วก็เป็นเด็กที่ก้าวร้าว เป็นเด็กที่ไม่สามารถที่จะมีแรงจูงใจในการทำความดีได้ กลายเป็นเด็กที่ตอนแรกเกียจคร้านไม่ขยัน ไม่สนใจการเรียน หนีเรียน ตอนหลังก็เริ่มลักขโมย โตเป็นสาวก็เริ่มสูบบุหรี่กินเหล้า ต่อมาก็ติดยาเหมือนพ่อแม่ แล้วก็เข้าสู่วังวนแห่งความชั่วร้าย ก็คือขายตัวบ้าง รวมทั้งมีเพศสัมพันธ์ที่สำส่อน
เมื่อไม่ได้เรียนหนังสือ วิชาความรู้ก็ไม่มี จึงไปไหนไม่ได้ ก็กลายเป็นเด็กเร่ร่อน บ้านมีแต่ไม่อยู่ หรือไม่มีบ้าน ชีวิตก็ถลำเข้าไปในหนทางแห่งอบายมุข แล้วก็อาชญากรรม บางครั้งถูกจับ เข้าสู่สถานสงเคราะห์ที่เป็นคุกของวัยรุ่น ก็เจอความรุนแรง เจอการกดขี่บีบคั้น ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่
พวกเราคงทราบ แม้กระทั่งในเมือง โดยเฉพาะในเมืองไทย ถ้าติดคุกเมื่อไหร่ แม้แต่เข้าสถานกักกันเยาวชน พอออกมาก็แย่กว่าเดิมเพราะสภาพในนั้นเลวร้ายมาก มีแต่ปลุกพลังงานฝ่ายลบให้ออกมา
เด็กคนนี้เรียกว่า ชีวิตวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องพวกนี้ ยาเสพติด การพนัน ลักเล็กขโมยน้อย ขายตัว ค้ายา จนกระทั่งอายุ 17 ชีวิตนี้เรียกว่าชีวิตบัดซบมาก ถ้าเรียกตามภาษาสำนวนสมัยใหม่คือชีวิตบัดซบ แต่อยู่มาวันหนึ่งเกิดได้คิดขึ้นมาว่า เอ๊ะ! เราจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปเหรอ ยิ่งเห็นตัวอย่างของแม่ ของพ่อซึ่งจบชีวิตแบบอายุสั้น ตายเร็ว ก่อนตายก็ทุกข์ทรมานมาก ได้สติขึ้นมา เราจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ความรักตัว ความใฝ่ดีผุดขึ้นมา ที่จริงมันก็ผุดขึ้นมาตลอด แต่ว่ามันไม่มีกำลัง คนเราทุกคนก็มีความใฝ่ดี แต่ว่าความใฝ่ดีสู้ความใฝ่ต่ำไม่ได้ เพราะว่าถูกกระตุ้นเร้า ถูกบีบคั้น ความใฝ่ดีจึงสู้กับความใฝ่ต่ำไม่ได้ แต่ว่าตอนนี้ความใฝ่ดีแรงกว่าความกลัว กลัวว่าจะเป็นอย่างพ่ออย่างแม่ เป็นอย่างเพื่อน ชีวิตตายแบบน่าอเนจอนาถมาก ก็เลยหันมาหาทางออก จะออกจากวังวนแบบนี้ได้อย่างไร
นึกถึงการเรียนว่าจะออกจากความทุกข์ยากลำบากได้ ก็ต้องมีการศึกษา จึงหันหน้ากลับเข้าสู่โรงเรียน แต่ตัวเองยังไม่มีวิชาความรู้เลย อายุ 17 แล้วไม่รู้อ่านออกเขียนได้หรือเปล่า แต่ว่าวัยนี้ต้องเข้าเรียนระดับมัธยมแล้ว จะเข้าเรียนให้รอดได้อย่างไรให้จบมัธยมปลาย ความรู้มีน้อยมาก แต่อาศัยความพากเพียรพยายาม จู่ๆความใฝ่ดีมีกำลังมากจึงพากเพียรในการเรียนเขียนอ่าน มัธยมของอเมริกัน ตอนที่เธอเข้าเรียนต้องใช้เวลา 4 ปี เธอก็พยายามพากเพียร ขยัน นอนน้อยมาก และแถมติดลบด้วยเพราะไม่มีบ้านอยู่ ตอนนั้นเป็นเด็กเร่ร่อน เป็นเด็กไร้บ้าน เวลาจะนอนบางทีก็ไปนอนตามระเบียงโรงเรียน เข้าไปในโรงเรียนตอนคนเผลอ ไปนอน บางทีก็ไปนอนบ้านเพื่อน เพื่อนมีพ่อแม่ ก็ต้องรอให้พ่อแม่ออกไปข้างนอกก่อน ตัวเองถึงค่อยเข้ามานอน พอพ่อแม่จะกลับมาตัวเองก็ต้องออกจากบ้านไป บางทีก็ไปนอนริมถนน
ทั้งหมดนี้ ทำตอนที่เป็นนักเรียน แล้วก็ต้องเรียนแบบหามรุ่งหามค่ำ เพื่อจะได้ทันคนอื่นที่ใช้เวลา 4 ปี ตัวเองใช้เวลา 2 ปี เธอสามารถเรียนได้คะแนนดี ทั้ง ๆ ที่ไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีที่ทำการบ้าน ต้องแอบไปอาศัยห้องสมุดบ้าง บางทีก็นอนตรงบันไดโรงแรม ไม่ก็บันไดโรงเรียน ทำการบ้านก็อาศัยบันไดโรงเรียน เรียกว่าอาศัยความเพียรเต็มที่
แต่โชคดี มีครูคนหนึ่งเห็นแววของเธอ ครูคนนี้เป็นคนที่มีศรัทธาในนักเรียน พยายามให้กำลังใจว่าเธอทำได้ เด็กคนนี้ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเพราะว่าล้มเหลวมาตลอดทั้งในเรื่องของโลกและการเรียน แต่พอครูให้กำลังใจ เธอก็เริ่มเห็นคุณค่าของตัวเอง แล้วก็ทำให้ความใฝ่ดีมันมีกำลังขึ้นมา สุดท้ายสามารถเรียนจบมัธยม โดยใช้เวลาเพียงแค่ ๒ ปี ทั้งที่เริ่มต้นแบบคนติดลบ ไม่เหมือนเด็กทั่วไป เด็กทั่วไปเขามีความรู้แน่น เพราะเขาเรียนมาแบบสม่ำเสมอ มีพ่อมีแม่ มีครอบครัว มีบ้าน แต่เธอไม่มีบ้าน เงินทองก็ร่อยหรอ แม้แต่ที่จะอ่านหนังสือก็หายาก นอนก็นอนไม่พอ เพราะว่าต้องนอนแบบคนไร้บ้าน แต่สามารถจะทำคะแนนได้ดีกว่าเด็กในชั้นหลายคน
ไม่ใช่แค่เรียนจบมัธยม ยังสามารถทำคะแนนดี เข้าเรียนมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ จนคนทึ่งมาก จากเด็กไร้บ้านกลายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ลูกคนรวยจำนวนมากยังไม่สามารถเข้าไปเรียนได้เลย เรื่องของเธอก็กลายเป็นเรื่องที่ให้แรงบันดาลใจมาก เธอเขียนเป็นหนังสือชื่อ Breaking night แปลเป็นไทยว่าไม่รอให้ฟ้าสว่าง อาตมาก็เขียนคำนำให้กับหนังสือเล่มนี้ด้วย
เรื่องราวของเธอชี้ให้เห็นว่ากัลยาณมิตรมีความสำคัญ สามารถจะเป็นแรงผลักไปในทางที่ดีก็ได้ เป็นแรงผลักในทางที่ชั่วก็ได้ อย่างเธอจะเรียกว่าโชคไม่ดี มีพ่อแม่ที่ไม่สามารถเป็นกัลยาณมิตรได้ เป็นปาปมิตรโดยไม่รู้ตัว ทำให้ชีวิตเหมือนตกอยู่ในนรก 17-18 ปี แต่ว่าได้ครูเป็นกัลยาณมิตร ครูสามารถที่จะดึงพลังบวกออกมาจากจิตใจของเธอได้ แต่ตัวเธอเองก็สำคัญเหมือนกัน
คนเราถ้าหากว่ามีอดีตที่เลวร้าย อดีตที่ดำมืด อดีตที่ย่ำแย่ หลายคนก็มักจะเอามาเป็นข้ออ้างว่า ฉันคงจะเอาดีไม่ได้แล้ว เอาดีไม่ได้ก็ไปเด่นทางชั่วก็แล้วกัน หลายคนก็มักจะเอาอดีตเป็นข้ออ้างในการทำชั่ว ใช้อดีตเป็นการบั่นทอนโอกาสที่จะทำความดี โอกาสมี แต่บางคนก็บอกว่าฉันคงทำดีไม่ได้ หรือบางคนใช้อดีตที่เลวร้ายเป็นข้ออ้างในการทำชั่ว ในแง่ที่ว่าต้องการแก้แค้นสังคม ต้องการประชดสังคม บางทีก็ไปลักขโมย บางทีก็ไปฆ่าคนนั้นคนนี้เพื่อประชดสังคม แต่ว่าเธอกลับใช้อดีตที่เจ็บปวดมาเป็นแรงผลักดันในการทำความดีในการทำความเพียรว่า อดีตฉันเป็นอย่างนี้ ฉันไม่อยากเป็นแล้ว ฉันกลัว มันก็เกิดแรงผลักดันที่ทำให้เกิดความขยันหมั่นเพียรเกินคนรุ่นเดียวกัน
อดีตที่เจ็บปวด มันสามารถใช้ไปในทางที่ส่งเสริมการทำชั่ว หรือผลักดันชีวิตให้เลวร้ายลงไปก็ได้ หรือว่าจะใช้เป็นแรงผลักดันในการทำความดีก็ได้ อันนี้ก็ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอนว่า คนเราจะดีได้ ไม่ได้อยู่ที่กรรมในอดีต มันอยู่ที่กรรมในปัจจุบัน กรรมในอดีตหมายถึงกรรมในชาติที่แล้วหรือว่ากรรมในชาตินี้ก็ตาม หลายคนปล่อยให้ชีวิตตัวเองตกอยู่ภายใต้การเข้ามาของอดีต ถ้าอดีตมันเลวยังไงก็จะไม่ยอมทำความดี ก็จะปล่อยให้จมอยู่กับความทุกข์ หรือว่าความย่ำแย่ แต่ในทางพุทธศาสนา อดีตไม่สำคัญเท่ากับปัจจุบัน อดีตจะย่ำแย่ยังไง แต่ถ้าหากว่าปัจจุบันเราพยายามทำความเพียร พยายามตั้งมั่นอยู่ในธรรม ชีวิตก็สามารถหลุดออกมาจากวัฏจักรแห่งความชั่วร้ายได้
คนเราจะเป็นอะไร จะสุขหรือทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ได้อยู่ที่กรรมในอดีต ใครที่คิดว่าสุขทุกข์เป็นเพราะกรรมในอดีต เป็นเพราะวิบากกรรมนั้นเป็นการเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่พุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่าความเชื่อสุขทุกข์ในปัจจุบันเป็นเพราะกรรมในอดีตเป็นความเชื่อนอกพุทธศาสนา อีกความเชื่อหนึ่งก็บอกว่า จะสุขหรือทุกข์ก็เพราะการดลบันดาลของเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อันนี้ก็นอกพุทธศาสนา พุทธศาสนาเชื่อว่าจะสุขหรือทุกข์ จะดีไม่ดีขึ้นอยู่กับการกระทำในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าประสบการณ์ในอดีตจะแย่ แต่คนทุกคนก็มีโอกาสที่จะพัฒนาชีวิตของตัวเองให้ไปในทางที่ดีได้ คนหลายคนเขามีประสบการณ์ที่เจ็บปวด แต่เขาไม่ปล่อยให้ใจจมอยู่กับความเจ็บปวด อาจจะถูกปฏิบัติในทางที่ไม่ดี ไม่เป็นธรรม แต่แทนที่เขาจะปล่อยให้ใจจมอยู่กับความเครียดแค้นชิงชัง เขากลับใช้มันไปในทางที่เป็นประโยชน์
มีผู้หญิงจีนคนหนึ่ง ชาวไต้หวัน เป็นแม่ค้าขายผัก เธอขยันมีความหมั่นเพียรมาก ช่วงวัยเด็กไม่มีความรู้อะไรมาก แม่ก็ตาย แถมตายแบบไม่ดีด้วย บ้านยากจน แม่ไปโรงพยาบาล แต่โรงพยาบาลบอกว่าแม่เธอไม่มีเงิน หมอรักษาไม่ได้ โรงพยาบาลไม่รับรักษา แม่ก็เลยตาย คนที่เจอเหตุการณ์แบบนี้หลายคนจะฝังใจเจ็บแค้นโรงพยาบาล เจ็บแค้นหมอ แต่เธอกลับมองอีกมุมหนึ่งว่า โรงพยาบาลยากจน เขาไม่สามารถรักษาแม่เพราะไม่ค่อยมีทุน เธอจึงตั้งปณิธานว่า เมื่อเธอหาเงินได้เธอจะบริจาคเงินให้โรงพยาบาล เธอขายผัก ตื่นมาประมาณตี 2 ตี 3 ขายผักก็ขายแบบไม่ได้แพงอะไร แต่ว่าเก็บหอมออมริบ ปรากฏว่าเธอสามารถหาเงิน บริจาคเงินให้โรงพยาบาลได้เป็นล้านๆ แล้วเธอก็อยู่แบบง่ายๆ ทำงานหนัก อยู่แบบสมถะ ไม่มีครอบครัว กินก็ไม่ได้กินแบบหรูหรา แต่ว่าอาชีพขายผักของเธอสามารถทำให้เธอมีเงินไปบริจาคช่วยโรงพยาบาลและกิจการสาธารณะได้มากมาย
มันน่าแปลก แทนที่เธอจะเกลียดโรงพยาบาลที่ปฏิเสธไม่รักษาแม่ เพราะว่าเธอยากจน ไม่มีเงิน แต่เธอกลับมองว่าโรงพยาบาลควรจะได้รับการสนับสนุนให้มาก ๆ จะได้ช่วยคนยากคนจนได้ อดีตที่เจ็บปวดคนเราสามารถจะมองได้สองแง่ บางคนก็มองในแง่ร้ายในแง่ลบ แต่บางคนก็มองไปในแง่บวก แต่บางทีเวลาผ่านไป ก็ช่วยได้ ทำให้เรามองในมุมใหม่ขึ้น
และสำหรับผู้หญิงอเมริกันคนนี้ ลิซ เมอเรย์ (Liz Murray) ชีวิตในอดีตลำเค็ญมาก แต่แทนที่จะมองแล้วซ้ำเติมตัวเอง กลับมองแล้วเกิดพลัง เกิดแรงบันดาลใจ เกิดแรงกระตุ้นให้ทำความดี จะได้ไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิม เรื่องราวของเธอได้สร้างแรงบันดาลใจให้คนมาก จากเด็กไร้บ้านกลายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เรียกว่าอาศัยความเพียรของตัวเองแท้ๆ
อันนี้เป็นตัวอย่างของกัลยาณมิตร ขณะเดียวกันก็เป็นตัวอย่างของคนที่รู้จักมองชีวิต แม้จะผ่านความเจ็บปวดมาอย่างไร แต่ถ้ามองให้เป็น ก็มีประโยชน์ สามารถเป็นคุณในการส่งเสริมให้มีความตั้งใจ ตั้งมั่นในการทำความดีได้