แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้เป็นวันมาฆบูชา เป็นวันที่ระลึกนึกถึงเหตุการณ์สำคัญเมื่อประมาณ 2,604 ปีที่แล้ว มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในวงการพระพุทธศาสนา เหตุการณ์นั้นเราเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต หมายถึงการประชุมที่ครบองค์ 4
องค์ 4 นั้นก็ได้แก่ เป็นวันเพ็ญ เดือน 3 วันที่พระจันทร์เต็มดวง เป็นวันที่พระภิกษุ 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยที่มิได้นัดหมาย และทั้งหมดก็เป็นพระอรหันต์ มีอภิญญา 6 (อภิญญา คือ ความสามารถพิเศษทางจิต เช่น หูทิพย์ ตาทิพย์ ทายใจคนได้ มีอิทธิวิธีและที่สำคัญคือ มีอาสวักขยญาณ คือ ความรู้แจ้งที่ทำให้หลุดพ้น ทำให้สิ้นกิเลส)
อีกประการหนึ่งก็คือ เป็นพระภิกษุที่พระพุทธเจ้าทรงบวชด้วยพระองค์เอง เรียกว่า เอหิภิกขุ สมัยก่อนการบวชก็ไม่ได้มีอะไรมาก พระพุทธเจ้าจะทรงตรัสว่า ท่านจงมาเป็นภิกษุเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ก็ขอให้มาบวชหรือว่ามาดำเนินชีวิตพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ ชีวิตพรหมจรรย์หรือบำเพ็ญพรหมจรรย์ก็คือการครองเพศอย่างนักบวช อันนี้ถ้าเป็นปุถุชน หรือเป็นพระอริยเจ้าระดับต้น ยังไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าก็จะบอกให้มาประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ แต่ก็มีพระอรหันต์บางท่าน ท่านบรรลุอรหัตผลก่อนที่จะมาบวช พระพุทธเจ้าเพียงแต่ตรัสว่า ท่านจงมาเป็นภิกษุเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว จงมาประพฤติพรหมจรรย์ แค่นี้ก็พอแล้ว เพราะว่าท่านได้ทำที่สุดแห่งทุกข์ ไปเรียบร้อยแล้ว อันนี้เรียกว่า เอหิภิกขุ
ที่จริงวันนี้ ยังมีความสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็คือเป็นวันที่พระสารีบุตรได้บรรลุอรหัตผล ก่อนที่จะมีการประชุมที่เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต ท่านก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ขณะที่ฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้กับทีฆนขปริพาชก ซึ่งก็เป็นญาติ พระพุทธเจ้าไม่ได้แสดงธรรมให้ท่านฟังโดยตรงแต่ท่านฟังแล้วก็เห็นแจ้งในสัจธรรม ก็เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น
ที่กล่าวมานั้น เป็นแค่ความรู้ที่ชาวพุทธควรจะรู้ไว้ แต่สิ่งที่ควรรู้สำคัญกว่าก็คือ ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสในวันนั้นที่เรียกว่า โอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งไม่ได้ยาวมากนักถ้าเทียบกับปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแล้ว โอวาทปาฏิโมกข์มีไม่กี่บรรทัด แต่มีความละเอียดลึกซึ้งมาก เข้าใจได้ไม่ยาก แต่สำคัญ
วันมาฆบูชานี้ เราอาจจะไม่รู้ว่าจาตุรงคสันนิบาตได้แก่อะไรบ้าง แต่ก็ขอให้ตระหนักถึงสาระของธรรมที่พระองค์ได้ตรัสในวันนั้นที่เรียกว่า โอวาทปาฏิโมกข์ มีความสำคัญมากเพราะพระพุทธเจ้าได้ทรงสรุปขั้นตอน หรือว่าสาระของการปฏิบัติเพื่อให้มีชีวิตที่ดีงาม หรือจนถึงขั้นการหลุดพ้นจากความทุกข์เลย คนไทยเราไม่ค่อยได้เข้าใจโอวาทปาฏิโมกข์ หรือว่าสาระที่พระองค์ทรงแสดง เวลามีคนมาถามว่าพุทธศาสนาสอนอะไร อย่างเช่นคนศาสนาอื่นหรือคนต่างชาติ คนไทยไปเรียนเมืองนอก เขาถามว่าพระพุทธศาสนาสอนอะไร สมัยก่อนฝรั่งไม่ค่อยรู้จักพุทธศาสนา แต่สมัยนี้พระพุทธศาสนาเป็นที่แพร่หลาย ทำให้คนเกิดความสนใจว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร พุทธศาสนามีสาระสำคัญอย่างไร ส่วนใหญ่ก็จะตอบว่าพุทธศาสนาสอนให้ละชั่วทำดี จบแค่นั้น ซึ่งถ้าพูดเท่านี้ก็คงไม่ต่างจากศาสนาอื่น เพราะศาสนาอื่นก็สอนให้ละชั่วทำดี
อย่างที่เราสวด มันไม่ใช่แค่นั้น มีข้อ 3 ด้วยกัน นอกจากการไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลถึงพร้อมแล้ว ก็คือการชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ละชั่วทำดีอยู่ใน 2 ข้อแรก คนเราแม้จะทำดีและไม่ทำชั่ว แต่ก็ยังหนีความทุกข์ไม่พ้น ในที่นี้หมายถึงความทุกข์ใจ หลายคนทำดี ความชั่วก็ละเว้น รักษาศีล แต่ก็ยังมีความทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะว่าทำดีแล้วไม่มีคนเห็นความดีของเรา เวลามีคนต่อว่า มีคนเหน็บแนมก็ทุกข์ เวลาเราช่วยเหลือใครแล้วเขาไม่สำนึกบุญคุณของเรา ไม่เห็นความดีของเรา เขาไม่ตอบแทนคุณของเราก็ทุกข์ บางทีเจ็บแค้นด้วย คนที่ทำดีหลายคนเจ็บแค้นเพราะว่า คนที่เราช่วยนี่เขาไม่เห็นหัวเรา พอเขาได้ดิบได้ดีแล้วเขาก็ไม่เห็นหัวเรา
ละชั่วทำดีนั้น ไม่ใช่เป็นหลักประกันว่าจะมีความสุข แน่นอนว่า มันช่วยลดความทุกข์ไปได้มาก แต่ว่าถ้าทำแค่นี้ก็ยังมีความทุกข์ บางคนทำดีมีความซื่อสัตย์สุจริต แต่ก็น้อยเนื้อต่ำใจ หรืออิจฉาคนอื่นว่าเขารวยแต่เราจน อันนี้ก็เป็นความทุกข์ของคนดี หรือคนทำดี ทำดีแล้วไม่มีใครชมก็ทุกข์ ทำดีแล้วมีคนด่ามีคนว่าก็ทุกข์ ยิ่งมีคนใส่ร้ายก็ยิ่งทุกข์ใหญ่ อันนี้เพราะละเลยข้อที่ 3 ก็คือการชำระจิตของตนให้ขาวรอบ บางคนทำดี เป็นพ่อที่ดีเป็นแม่ที่ดี แต่ว่าลูกเกกมะเหรกเกเร หรือว่าลูกอาจจะยังไม่ถึงขั้นนั้นแต่ลูกไม่ทำตามความต้องการของพ่อแม่ พ่อแม่อยากจะให้ลูกเรียนโรงเรียนดี ๆ หรือว่าเรียนในคณะที่มีอนาคตแต่ลูกไม่สนใจเรียนมหาวิทยาลัย จบ ม.6 อยากจะทำงาน แม่ก็กลุ้มใจ อันนี้เป็นความทุกข์ของคนดี ความทุกข์ของแม่ที่ดีพ่อที่ดี เพราะว่าไปคาดหวังว่าเขาจะต้องเชื่อฟังคำสอนของเราทุกอย่าง
พอเจ็บพอป่วยเข้า ก็ทุกข์ ทำไมจึงต้องเป็นฉัน ฉันทำความดีมาทั้งชีวิต ให้ทานรักษาศีลแต่ทำไมถึงเป็นมะเร็ง ทำไมถึงพิการเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต นี่ทุกข์ของคนดีเหมือนกัน หรือว่าทรัพย์สินถูกไฟไหม้ น้ำท่วมก็เสียใจ กลุ้มอกกลุ้มใจ บางทีถึงขั้นฆ่าตัวตายก็มี หรือว่าถูกโกง เสียใจมาก ทำดีแค่ไหนมันก็ต้องเจอความสูญเสีย บางทีไม่ใช่แค่สูญเสียของรัก แต่อาจถึงขั้นสูญเสียคนรัก ก็ทุกข์อีก ฉะนั้นแค่การละชั่วทำดีมันไม่ใช่ว่าจะเป็นหลักประกันให้มีความสุขหรือว่าไม่มีความทุกข์ใจ
แต่ถ้ามีข้อที่ 3 การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ชำระจิตไม่ให้มีกิเลส ไม่ให้มีโลภะ โทสะ หรือโมหะ หรือถึงมีก็มีแต่น้อย ทำดีแล้วก็ชำระจิตด้วยก็คือ การฝึกจิตฝึกใจ เงินเดือนเราไม่มาก คนอื่นเขาจะรวยยังไงก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่ทุกข์ ไม่เกิดความโลภ ไม่อิจฉาเขา เราฝึกจิตไว้จนกระทั่งใครจะต่อว่าเรายังไง ใส่ร้ายยังไง เราก็ไม่โกรธ เราช่วยเหลือใคร เขาไม่เห็นความดีของเราไม่เห็นหัวเรา เราก็ไม่แค้น เพราะว่าชำระจิตจนกระทั่งความโกรธมันเลือนไปจากจิตใจ หรือว่ามีน้อยลง
เจ็บป่วยสูญเสียคนรักของรักก็ไม่ทุกข์เพราะว่าขจัดโมหะออกไปจากจิตใจไปได้มากแล้ว เกิดปัญญาขึ้นมาแทนที่ว่า มันเป็นธรรมดาธรรมชาติอย่างนั้นเอง คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องสูญเสีย คนเราเกิดมาแล้วสุดท้ายสิ่งที่เรามีก็ต้องจากกัน ถ้าไม่จากเป็นก็จากตาย จากเป็นคือจากตอนที่เรายังเป็น ๆ อยู่ หรือมิฉะนั้นพอตายก็ต้องจากกันอยู่นั่นเอง ถ้าเกิดว่าเราชำระจิตให้ โลภะ โทสะ โมหะ เบาบาง ตรงนี้แหละถึงจะมีความสุขและห่างไกลจากความทุกข์
ชำระใจชำระจิตให้ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ เบาบาง สามตัวนี้กับ โลภะ โทสะ โมหะ มันก็ใกล้ ๆ กัน ถ้าเราสามารถชำระใจให้ตัณหาน้อยลง เราก็จะไม่มีความทุกข์เพราะความอยากมีอยากได้ คนทำดีละชั่วก็ยังมีความอยาก ถ้าหากว่าไม่ได้ขัดเกลาตัณหา พอไม่ได้ก็ทุกข์ หรือว่าพอเสียไปก็ทุกข์
ทำดีบางทีก็มีมานะ ฉันเป็นคนดี พวกเธอหรือพวกแกนี่ไม่ดีเหมือนฉัน ฉันศีลแปด แกมันศีลห้า เวลาเถียงกัน เหตุผลสู้เขาไม่ได้ก็มาข่มขู่ว่า ฉันศีลแปดเธอศีลห้า ไม่ต้องมาเถียงฉัน อันนี้มันเรียกว่าทิฏฐิมานะ คนดีก็มีอย่างนี้เย่อะ บางคนที่ละชั่วทำดีแต่คนอื่นระอาเพราะว่าเขาทำตัวเหยียดคนอื่นว่า ไม่ใช่เป็นคนมีศีล ไม่ใช่เป็นนักปฏิบัติธรรม ไม่ใช่คนดี แกมันกินเหล้าสูบบุหรี่ อันนี้ก็เรียกว่ามีมานะ เกิดความหลงตัวลืมตน คนอยู่รอบข้างก็ไม่มีความสุข บางทีคนที่อยู่รอบข้างก็อาจจะเป็นลูก อาจจะเป็นสามี อาจจะเป็นภรรยา พอเข้าวัดไปเข้าวัดมา กลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ดูหน้าตาเคร่งเครียดแล้วก็ยกตนข่มท่าน เพราะว่าหลงในความดีของตัว อันนี้เรียกว่ามีมานะ
ละชั่วทำดีนั้นมันอาจจะเผลอทำให้มานะมาครองใจ ก็ต้องรู้จักชำระใจให้มานะเบาบางลง ทิฏฐิก็เหมือนกัน คนดีบางทีก็ยึดติดในความเห็นของตนเพราะเห็นว่าฉันดี ฉันเป็นคนดีเพราะฉะนั้นความเห็นของฉันมันจะต้องดีไปด้วย ใครที่เห็นไม่เหมือนฉัน คิดไม่เหมือนฉัน ก็แสดงว่าคิดไม่ดีไม่ถูก ฉันเป็นคนดี ความคิดของฉันก็ต้องดี คนที่คิดต่างจากฉันคือคนไม่ดี หรือว่าคิดไม่ดี แบบนี้มีเยอะ เราอาจจะเห็นโดยเฉพาะคนที่เราเรียกผู้ก่อการร้าย พวกนี้เขาเป็นคนที่เรียกได้ว่าศรัทธาในศาสนามาก ประพฤติตามกฎข้อบัญญัติของศาสนาอย่างเคร่งครัด แต่พอใครคิดไม่เหมือนเขา ทำไม่เหมือนเขา จะเป็นเพราะอยู่ในศาสนาเดียวกันแต่คนละนิกาย หรือนิกายเดียวกันแต่ว่าไม่ปฏิบัติเคร่งครัดเหมือนเขา เขาก็จะรังเกียจถึงขั้นเกลียดชัง บางทีจับไปฆ่าก็มี ที่ก่อสงครามเอาระเบิดไปขว้าง หรือว่าเป็นระเบิดพลีชีพ จับคนมาตัดคอ มากรีดเชือดคอ พวกนี้เป็นผู้ที่เรียกว่าปฏิบัติตามศาสนาของเขามาก แต่ว่าเขามีทิฏฐิสูงมาก ชาวพุทธที่เป็นแบบนี้ก็มีไม่น้อย
ฉะนั้น แค่ทำดีและละชั่ว มันไม่พอ ต้องชำระจิตของตนให้ขาวรอบให้ใส คือ โลภะ โทสะ โมหะ ให้เบาบาง หรือว่าตัณหา มานะ ทิฏฐิ เจือจางลงบ้างจึงจะมีความสุข จึงจะห่างไกลจากความทุกข์ ฉะนั้นเวลามีใครมาถามว่าพระพุทธศาสนาสอนอะไร อย่าตอบเพียงแค่ว่าละชั่วทำดีเท่านั้น ต้องพูดต่อไปว่าพระพุทธศาสนาสอนให้ทำจิตให้บริสุทธิ์ หรือชำระจิตให้ขาวรอบ
ทีนี้ 3 ข้อนี้ก็จะตามมาด้วยคำแ นำที่มาช่วยเสริม โดยเฉพาะหัวข้อสุดท้าย การไม่พูดร้ายการไม่ทำร้าย ไปจนถึงความหมั่นประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง อันนี้เป็นส่วนเสริมส่วนอธิบาย ซึ่งสำคัญเหมือนกัน เพราะว่าถ้าเราพิจารณาดู มันจะมีอยู่ 3-4 ประเด็น หมายถึงเป็นข้อพึงปฏิบัติ
ข้อแรกคือ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องความเป็นอยู่ ความเป็นอยู่คืออะไร ก็คือการนอน การนั่งในที่อันสงัด นอนและนั่งหมายถึงการมีชีวิตอยู่ ในที่ที่สงัด เดี๋ยวนี้หลายคนไม่ชอบถ้ามันสงัด โอ้ยอยู่ไม่ได้ ชอบอยู่ในเมืองเพราะมันอึกทึกครึกโครมดี และเดี๋ยวนี้ที่สงบสงัดก็หายาก แม้แต่ในชนบทในหมู่บ้านก็มีเสียงอึกทึกครึกโครม บางทีเสียงดังไม่ได้มาจากข้างนอก มันมาจากในบ้านนั่นแหละ มีโทรทัศน์ มีวีดีโอ เปิดคาราโอเกะ เดี๋ยวนี้หลายคนถ้าหากว่าไม่เปิดโทรทัศน์เอาไว้นอนไม่หลับ เปิดค้างเอาไว้เลยจะได้หลับ เพราะถ้าปิดโทรทัศน์ไม่มีเสียงเมื่อไรมันนอนไม่หลับ ชีวิตแบบนี้มันหาความสงบในจิตใจได้ยาก ฝันก็ไม่ใช่ว่าฝันดี เดี๋ยวนี้ความสงบสงัดเป็นของมีค่ามาก จะหาที่สงบสงัดนี้ยาก
สงบสงัดนี้ไม่ได้แปลว่าไม่มีเสียงดังอย่างเดียว สมัยนี้ถึงแม้ว่ารอบบ้านจะไม่ได้มีเสียงดังในบ้านก็ไม่ได้เปิดโทรทัศน์ แต่ว่าบางทีเราเล่นLine เราเล่น Facebook ใช้โทรศัพท์มือถือ ข้อความที่มันปรากฏมันไม่ได้ส่งเสียงอะไร แต่ว่าอ่านแล้วจิตใจรุ่มร้อน จิตใจว้าวุ่น จิตใจฟุ้งซ่าน อันนี้เรียกว่าไม่สงบสงัดแล้ว สมัยนี้ความสงบสงัดมันไม่ได้แปลว่าไม่มีเสียงดังอย่างเดียว มันหมายถึงว่าไม่มีสิ่งล่อเร้าเย้ายวนให้อยากหรือว่าสิ่งมายั่วยุให้โกรธ แต่ถ้าเราเปิดโทรศัพท์มือถือ เปิดทั้งวัน มันจะมีแต่สิ่งล้อเร้าเย้ายวนให้อยาก อยากได้โน่นอยากได้นี่ โฆษณาเพียบหรือไม่ก็สิ่งยั่วยุให้โกรธ มีข่าวของคนนั้น ข่าวคนนี้ให้สัมภาษณ์ โห มันร้อนเลย อันนี้เรียกว่าไม่สงบสงัด ถ้าหากว่าเราอยู่ด้วยสิ่งเหล่านี้มันก็เรียกว่าไม่ได้อยู่ในที่สงบสงัดเท่าไร แล้วมันจะมีความสุขได้อย่างไร
ข้อต่อมาเกี่ยวกับเรื่องความเป็นอยู่ก็คือ รู้ประมาณในการบริโภค บริโภคในที่นี้ไม่ได้หมายถึงบริโภคอาหารเท่านั้น เดี๋ยวนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่าเดี๋ยวนี้เราบริโภคกันเยอะมากเลย วันละสามมื้อสี่มื้อ และสิ่งที่บริโภคมันก็เต็มไปด้วยพลังงาน อุดมไปด้วยไขมันน้ำตาล แล้วเป็นยังไง เดี๋ยวนี้ก็คนเป็นโรคอ้วนน้ำหนักเกิน เบาหวานโรคหัวใจ เป็นกันเยอะมาก สมัยก่อนคนหิวโหยเยอะกว่า แต่เดี๋ยวนี้มีปัญหาใหม่ก็คืออาหารล้นเกิน ต้องไปออกกำลังกายต้องไปรีดไขมันที่ฟิตเนสเสียเงินอีก บางทีสมัครสมาชิกแล้ว ไม่มีเวลาไปก็มี แล้วไปแล้วเสียค่าสมาชิกยังไม่พอยังเสียค่าโค้ชอีก เสียหลายทางเหลือเกิน
ที่จริงมันก็แก้นิดเดียวก็คือว่ารู้จักประมาณในการบริโภค แต่ที่บริโภคไม่ได้หมายถึงบริโภคอาหารเท่านั้น บริโภคเทคโนโลยี บริโภคสิ่งเสพอย่างอื่น เช่น หนัง เพลง หรือว่าโทรทัศน์ โทรศัพท์ รถยนต์ บ้าน พวกนี้ก็เป็นสิ่งเสพสิ่งบริโภคเหมือนกัน ต้องรู้จักประมาณในการบริโภค เทคโนโลยีโดยเฉพาะข้อมูลข่าวสาร เราเสพข้อมูลข่าวสารกันไม่บันยะบันยัง แล้วผลเป็นอย่างไร เครียด ฟุ้งซ่าน นอนไม่หลับ หลายคนติดโทรศัพท์มือถือเพราะว่าเสพข้อมูลข่าวสาร ข้อความทาง Line ทาง Facebook จนกระทั่งนอนก็ไม่ค่อยหลับ ไปไหนถ้าไม่มีสัญญานโทรศัพท์จะลงแดงให้ได้ เพราะเสพติดเข้าไปแล้ว พิจารณาดูดี ๆ ความรู้จักประมาณการบริโภค พระพุทธเจ้าตรัสมา 2,600 ปีแล้ว ถึงทุกวันนี้ก็ยังมีความสำคัญอยู่ เพียงแต่ว่าเราต้องขยายความ ว่าการบริโภคนี่ไม่ใช่บริโภคปัจจัย 4 เท่านั้น เพราะสมัยนี้มันมีอะไรให้บริโภคเยอะไปหมด เสื้อผ้า รองเท้า กางเกง ข้อมูลข่าวสาร ถ้าเราไม่รู้จักควบคุมให้รู้ประมาณ หรือรู้จักความพอดี หาความสุขได้ยาก นี่เป็นเรื่องความเป็นอยู่
ข้อต่อมาก็เป็นเรื่องของพฤติกรรมและความสัมพันธ์ เช่น ไม่พูดร้าย ไม่ทำร้าย ใครเขาจะว่าร้ายเราอย่างไรเราก็อย่าไปเผลอตอบโต้ด้วยการพูดร้าย เพราะว่ามันจะเป็นการสร้างทุกข์ใส่ตัว แต่ที่จริงการการไม่พูดร้ายการไม่ทำร้ายมีนัยยะรวมถึงการพูดดีทำดีด้วย
เอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น ไม่ว่าเราจะเป็นฆราวาส คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต ก็ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ผู้กำจัดสัตว์อื่นอยู่ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย ผู้ทำสัตว์อื่นให้ลำบากอยู่ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย ข้อนี้เจาะจงสำหรับบรรพชิตและสมณะ ส่วนคฤหัสถ์ก็ต้องระลึกเอาไว้ เพราะถ้าเราไปพูดร้ายทำร้ายไปทำสัตว์ให้ลำบาก มันก็เป็นวิบากกรรม จะทำให้อยู่ร้อนนอนทุกข์ไม่มีความสุข หลายคนตอนเด็ก ๆ หรือตอนวัยรุ่น หนุ่มสาว ยิงนกตกปลา คะนองนั้น แต่พอโตขึ้นรู้ดีรู้ชั่ว มาพบธรรมะเข้า รู้สึกเสียใจ บางทีมันมีความรู้สึกติดค้างว่าเคยไปยิงนก ยิงสัตว์ เช่น หมา แมว ด้วยความคะนอง พอโตขึ้นรู้จักธรรมะ มีความรู้สึกติดค้างใจ จึงแย่ ทำตอนนั้นไม่รู้สึกอะไรแต่ภายหลังวิบากมันตามมา ทำให้ไม่มีความสุข
ประการต่อมาคือ การรู้จักฝึกใจ เช่น รู้จักอดทน คือขันติ รวมทั้งที่สำคัญก็คือการหมั่นประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง ก็คือการฝึกจิตฝึกใจหรือการภาวนานั้นเอง
เราต้องคำนึงให้มันครบถ้วน ปฏิบัติครบถ้วนทั้ง 3 อย่าง ก็คือ เรื่องความเป็นอยู่ ก็ให้อยู่ในที่ที่สงบสงัด รู้จักประมาณในการบริโภคคือรู้จักพอดี และความสัมพันธ์กับผู้อื่นก็เป็นความสัมพันธ์ที่เกื้อกูล ไม่เบียดเบียน ไม่พูดร้าย ไม่ทำร้าย และก็ต้องมีคุณธรรมภายใน เช่น ขันติ รวมทั้งการฝึกจิตฝึกใจ ความหมั่นประกอบในการทำจิตให้ยิ่งก็ดี หรือว่าการชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ก็คือเรื่องเดียวกัน หรือทำสมาธิภาวนาเพื่อทำให้จิตงอกงาม ปัญญาเจริญ อย่างที่พูดไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่ามันเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ใจเรามีความสุขมีความสงบอย่างแท้จริง เราทำดี ไม่ทำชั่ว มีวิชาความรู้ มีการงานที่มั่นคง มีเงินเดือนมาก พวกนี้ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะทำให้มีความสุขใจไกลจากความทุกข์ได้ ถ้าเราไม่รู้จักภาวนาทำจิตให้ยิ่ง โดยเฉพาะการเจริญสตินี้สำคัญมากเพราะถ้าเราเจริญสติ มันจะทำให้ความทุกข์ในจิตใจเกิดขึ้นได้ยาก จะทำให้ความคิดและอารมณ์ต่าง ๆ เข้ามาบงการชีวิตของเราจนกระทั่งทำชั่ว หรือว่าอยู่ร้อนนอนทุกข์ กลัดกลุ้มร้อนรุ่ม หรือว่าเศร้าโศกเสียใจน้อยลง
คนเราจะมีความสุขได้ หรือมีความสงบเย็นในจิตใจได้ ไม่ใช่เพราะว่าคนอื่นเขาพูดดีกับเรา ไม่ใช่เพราะว่าทุกอย่างรอบตัวเราเลิศเลอเพอร์เฟค เป็นไปดังใจ ไม่ใช่ว่าเราจะสามารถควบคุมความคิดและอารมณ์ต่าง ๆ ได้เสมอไป แต่ถึงแม้จะมีใครพูดไม่ดีกับเรา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นความดีของเรา เขาจะใส่ร้ายเรา ถึงแม้ว่างานจะมีปัญหา ธุรกิจมีอุปสรรค ถึงแม้ว่ามันจะมีความฟุ้งซ่านอยู่ในใจ มีความขุ่นมัว อารมณ์เกิดขึ้นมาในใจเราบ้าง แต่เราก็สามารถสงบได้ เพราะรู้จักฝึกจิตฝึกใจ การเจริญสติ หลายคนมาวัดป่าสุคะโตอยากจะมาหาความสงบ แต่หลายคนคิดว่าการทำสมาธิภาวนาโดยเฉพาะการเจริญสติหมายถึง การควบคุมความคิดหรือควบคุมจิตใจ ยังไม่ถูก เจริญสติไม่ใช่เพื่อควบคุมความคิด แต่เพื่อไม่ยอมให้ความคิดมาควบคุมเราต่างหาก บางคนเวลามาเจริญสติทำได้ยาก จะให้มันไม่มีความคิดฟุ้งซ่าน ไม่มีความคิดอะไรมารบกวนเลย อยากจะให้มีแต่ความรู้สึกดี ๆ ความคิดดี ๆ พอมาเจริญสติ โอ้ยความคิดฟุ้งซ่าน ก็มีความขุ่นมัว บางทีความหงุดหงิดก็เกิดขึ้นในใจ ก็สงสัยว่าทำไมมันถึงมีอาการแบบนี้ ยิ่งพยายามไปกดข่มความคิด ไปควบคุมความคิด ไม่ให้มันฟุ้งซ่าน ยิ่งเป็นทุกข์เข้าไปใหญ่
การเจริญสติไม่ใช่เพื่อควบคุมความคิด แต่เพื่อไม่ยอมหรือไม่ปล่อยให้ความคิดมาควบคุมเรา ก็คือว่า มันคิดก็คิดไป แต่ว่าเราไม่เชื่อมัน แค่ดูมันเฉย ๆ ไม่ใช่ว่าทำแล้วจิตมันจะสงบ มันก็ฟุ้ง แต่ว่ามันฟุ้งก็ฟุ้งไป เราก็แค่ดูมันเฉย ๆ หลวงพ่อคำเขียนบอกว่ารู้ซื่อ ๆ หรือรู้เฉย ๆ เห็นอย่าเข้าไปเป็น ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้นแต่ว่ามันมี แต่มันทำอะไรเราไม่ได้ แต่ก่อนนี้มันเกิดขึ้นทีไรนี่โอ้ยเราเชื่อมัน มันก็ลากลู่ถูกัง บางทีมันมีอารมณ์เกิดขึ้นด้วย อารมณ์ก็มาควบคุมเรา ความโกรธพอเกิดขึ้นมันก็ควบคุมเรา มันสั่งให้เราด่า เราก็ด่า มันสั่งให้เราทำลายข้าวของ เราก็ทำลาย พอมีความอยากเกิดขึ้นมันสั่งให้เราขโมย เราก็ขโมย อันนี้เรียกว่ายอมให้ความคิดและอารมณ์มาควบคุมจิตใจของเรา มาควบคุมชีวิตของเรา
นักปฏิบัติไม่ได้แปลว่าไม่มีความโกรธ ไม่มีความโมโห ไม่มีความโลภ มันมี แต่ว่ามันทำอะไรเราไม่ได้ แต่ก่อนมันเคยควบคุมเรา จนกระทั่งเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือว่าจนกระทั่งเรากินไม่ได้นอนไม่หลับ หรือว่าเกิดเรื่องเกิดราวกับคนอื่น แต่พอเรามาเจริญสติแล้วถ้าเราเจริญถูก มันเกิดขึ้นก็จริงในใจ แต่มันทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเราเห็นเราไม่เข้าไปเป็น เราไม่อยู่ในอำนาจของมัน จริง ๆ แล้วคนเราไม่สามารถควบคุมความคิดได้ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ เพราะว่าจิตใจมันเป็นอนัตตา มันไม่อยู่ในอำนาจบัญชาของเรา แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือว่าไม่ปล่อยให้มันมารบกวนจิตใจเรา ไม่ปล่อยให้มันมาบงการชีวิตของเรา
เคยมีคนถามหลวงปู่ดูลย์ว่า หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านเป็นลูกศิษย์รุ่นแรก ๆ ของหลวงปู่มั่น คนก็ลือกันเชื่อกันว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ก็เลยมีคนถามว่า หลวงปู่มีความโกรธไหม ท่านบอกมีแต่ไม่เอา ความโกรธมี แต่ไม่เอา ก็คือว่ามันมีแต่มันมาทำอะไรเราไม่ได้ มันมาทำอะไรจิตใจไม่ได้ อันนี้เป็นอานิสงส์ของการภาวนา ก็คือว่า เราไม่ปล่อยให้มันมาครองจิตครองใจหรือมารบกวนจิตใจ มาบงการชีวิตเรามาควบคุมชีวิตเราอีกต่อไป
ต้องเข้าใจให้ดี เราไม่สามารถควบคุมความคิด ไม่สามารถควบคุมจิตใจได้ สั่งให้มันหยุดคิด มันหยุดไม่ได้หรอก เรายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอีก 5 นาทีข้างหน้า หรืออีก 1 นาทีข้างหน้ามันจะคิดอะไร แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือว่า รู้ทันเมื่อมันเกิดขึ้น และก็ไม่ยอม ไม่ปล่อยให้มันมามีอำนาจเหนือเราอีกต่อไป ในขณะเดียวกันเราไม่สามารถควบคุมเสียงให้มันสงบ เราไม่สามารถจะควบคุมเสียงภายนอกให้มันไม่ดัง ให้เป็นเสียงที่สงบแผ่วเบา
แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือว่า เราไม่ยอมไม่ปล่อยให้มันมีอำนาจเหนือเรา ไม่ปล่อยให้เสียงนี้มันมาควบคุมบงการจิตใจของเรา ทำอย่างนี้ได้เพราะการภาวนา เพราะการเจริญสติ มีใครบ้างที่คิดว่าสามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมภายนอกให้สงบสงัดได้ แม้แต่ในบ้านเราเองเรายังทำไม่ได้เลย เพราะบางทีลูกก็เปิดโทรทัศน์ดัง บางทีสามีภรรยาก็เปิดเพลงดัง เราควบคุมเสียงเหล่านี้ไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือทำให้เสียงเหล่านั้นมันไม่มารบกวนจิตใจของเรา ไม่มาบงการจิตใจของเรา ไม่มาทำให้เราเป็นบ้า ไม่มาทำให้เราหงุดหงิด ถ้าเราหงุดหงิด ถ้าเราเครียดก็เป็นเพราะเรายอมให้มันมารบกวนจิตใจเรา อันนี้สำคัญมาก
ที่ผ่านมาที่เราทุกข์ก็เพราะว่าเราไปยอม เราไปปล่อยให้สิ่งภายนอก จะเป็นคน เป็นเสียง เป็นเหตุการณ์ มาควบคุมจิตใจ บงการจิตใจ มาครอบงำจิตใจ มารบกวนจิตใจเรา แต่ถ้าเราไม่ยอมเสียอย่าง มันทำอะไรเราไม่ได้ เราไม่สามารถจะควบคุมให้คนพูดดีกับเราได้ ไม่สามารถจะควบคุมให้ถนนหนทางการจราจรเคลื่อนตัวลื่นไหลได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือว่าเราไม่ยอมให้เหตุการณ์เหล่านั้นมารบกวนจิตใจเรา มาทำให้จิตใจเราเป็นทุกข์ เพราะเรารู้จัก เพราะเราเจริญสติ จุดมุ่งหมายของการเจริญสติคืออันนี้ ทำให้เราเป็นอิสระจากสิ่งแวดล้อม อย่าไปโทษสิ่งภายนอก ถ้าเราทุกข์ก็เป็นเพราะใจเราต่างหาก
เมื่อสมัยที่หลวงพ่อชายังอยู่ที่วัดหนองป่าพง มีอยู่คราวหนึ่ง หมู่บ้านซึ่งห่างไกลจากวัดไม่เกิน ๒ กิโลเมตร มีมหรสพในงานศพ เกือบจะมีทั้งวันทั้งคืน เพลงลูกทุ่ง หนังกลางแปลง หรือว่าหมอลำ ช่วงนั้นดึกแล้วเสียงดังก็ยังไม่เลิก มหรสพก็ยังส่งเสียงดังทั้งคืน พระนอนไม่หลับเลย วันรุ่งขึ้นพระส่งตัวแทนไปคุยกับผู้ใหญ่บ้าน บอกว่ามหรสพจะมีก็ได้ไม่ว่าแต่ว่าพอถึงเที่ยงคืนหยุดได้ไหม พระจะได้มีเวลาหลับเวลานอน 3 ชั่วโมง เพราะตี 3 ต้องตื่นมาทำวัตร ผู้ใหญ่บ้านไม่ยอม พระจึงส่งตัวแทนไปขอความช่วยเหลือจากหลวงพ่อชา เพราะเชื่อว่าชาวบ้านเกรงใจหลวงพ่อชา และคิดว่าหลวงพ่อชาคงจะเห็นด้วย เพราะว่าท่านมักจะกำชับกำชาให้พระอยู่ในความสงบ อย่าส่งเสียงดัง พูดอะไรก็ให้เบา ๆ หรือถ้าไม่พูดเลยก็ดี ท่านคงจะไม่เห็นด้วยกับที่ชาวบ้านส่งเสียงดัง
พอส่งตัวแทนไปคุยกับหลวงพ่อชา ก็ผิดคาด ท่านไม่เห็นด้วย ท่านบอกว่าเสียงไม่ได้รบกวนท่าน ท่านไปรบกวนเสียง เข้าใจไหม หลวงพ่อชาไม่ไปบอกชาวบ้านว่าให้เลิกมหรสพ เที่ยงคืนแล้วเลิก แต่ท่านเห็นว่ามันเป็นแบบฝึกหัดให้พระได้เรียนรู้ว่าจริง ๆ แล้วความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับพระ มันไม่ใช่เพราะเสียงมารบกวนท่าน แต่ว่าท่านไปรบกวนเสียง ก็คือไปทะเลาะเบาะแว้งกับเสียง ไปยินร้ายกับเสียงนั้น เสียงมากระทบหูใจกระเพื่อม มีความหงุดหงิด อันนี้แหละที่ทำให้ทุกข์ แต่ถ้ามีสติรู้ทัน พอใจกระเพื่อมเพราะว่าเสียงดัง พอมีสติเห็นมัน มันก็สงบลง เสียงดังก็ดังไป ใจไม่ไปทะเลาะเบาะแว้งกับเสียงนั้น สักแต่ว่าได้ยิน แต่ว่าใจก็เป็นปกติได้ นี่แหละคือจุดมุ่งหมายของการภาวนาในพุทธศาสนา ไม่ใช่เพื่อไม่ให้มีความคิดฟุ้งซ่าน ไม่ใช่เพื่อไม่ให้มีเสียงดังเกิดขึ้น แต่ว่าถึงมันจะเกิดขึ้น มีความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น เสียงจะดังแต่ว่ามันทำอะไรจิตใจเราไม่ได้ ความโกรธมี แต่ว่าทำอะไรเราไม่ได้ เพราะไม่เอา หลวงปูดูลย์ท่านบอก มันมีแต่ไม่เอา เสียงดังก็ไม่ไปทะเลาะกับมัน
ฉะนั้นการภาวนาคือการฝึกจิต เพื่อทำให้เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ อย่างถูกต้อง และนี่แหละคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้เรามีความสุขสงบเย็นได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปเรียกร้องให้คนนั้นพูดดีกับเรา ให้คนนั้นคนนี้กดไลค์ให้เรา ให้คนนั้นคนนี้หยุดคอมเมนต์ได้แล้ว หรือว่าให้รถเคลื่อนไหวสบาย รถไม่ติด พระพุทธเจ้าแม้บอกว่าให้อยู่ในที่อันสงบสงัด แต่ถ้าหากบังเอิญที่ที่เราอยู่มันไม่สงบสงัดถ้าเราฝึกจิตไว้ดี ใจก็ไม่ทุกข์ ถึงเวลาเจ็บเวลาป่วย ความเจ็บความป่วยก็ทำได้แต่ทำให้กายเป็นทุกข์ เดินไม่ได้ ถ่ายไม่สะดวก หายใจมีปัญหาเพราะปอดเป็นมะเร็ง แต่ว่ามันทำอะไรจิตใจเราไม่ได้ ป่วยแต่กายใจไม่ป่วย เราไม่สามารถควบคุมให้ร่างกายเรามันไม่แก่มันไม่ป่วย แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือการที่ไม่ยอมให้ความป่วย ความแก่ของร่างกาย มาบงการจิตใจของเรา มารบกวนจิตใจของเรา เราทำได้เพราะเรารู้จักเจริญสติจนเกิดปัญญา และปล่อยวางได้ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้ หรือถึงปัญญาจะไม่เกิดชัดแต่ว่ามีสติรู้ทัน เวลาใจมันบ่นโวยวายตีโพยตีพาย หรือเวลาใจไปทะเลาะกับความเจ็บป่วย ไปทะเลาะกับมะเร็ง ไปทะเลาะกับโรคภัยไข้เจ็บ ก็ให้ใจมันอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องไปทะเลาะกับมัน แค่รู้เฉย ๆ แค่ยอมรับมันอย่างที่มันเป็น อย่างนี้แหละที่จะทำให้ความทุกข์ไม่เกิดขึ้นกับเรา
เพราะฉะนั้น เรื่องการชำระจิตของตนให้ขาวรอบ หรือว่าความหมั่นประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง เป็นเรื่องสำคัญมาก และก็อยากจะเชิญชวนพวกเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และก็ปฏิบัติ ยิ่งถ้าเราเอาคำแ นำของผู้รู้ในโอวาทปาติโมกข์ ที่ท่านบอกว่า ผู้รู้ทั้งหลายกล่าวพระนิพพานว่าเป็นธรรมอันยิ่ง ก็คือเอาพระนิพพานเป็นจุดหมายของชีวิต แล้วก็ละชั่วทำดี หรือว่าทำกุศลให้ถึงพร้อม ไม่ทำบาปทั้งปวงแล้วก็พยายามฝึกจิตเพื่อให้มุ่งไปในทางนั้น ก็คือ มุ่งไปถึงพระนิพพาน ถ้าเรามีพระนิพพานเป็นจุดหมายมันจะมีกำลังใจ มีความเพียรในความตั้งใจที่จะไม่ทำบาปทั้งปวง แม้จะมีสิ่งยั่วยุยั่วยวนยังไง เพียงแค่คอร์รัปชั่นนิดหน่อย ก็รวยแล้ว อันนี้เราไม่ทำ เขาจะด่าเรายังไงแต่เราไม่ด่าตอบ ทีแรกอาจจะต้องฝืนใจอดกลั้น เพราะว่าตั้งใจจะไม่พูดร้ายทำร้ายมันเป็นศีล ตั้งใจว่าจะไม่ทำบาปแล้ว อาศัยขันติเข้าไปอดกลั้น แต่ตอนหลังพอฝึกใจดี มันจะไม่มีความโกรธเลย ไม่มีความโกรธที่จะผลักดันทำให้พูดร้ายทำร้ายหรือว่าตอบโต้ เขาด่าก็ด่าไป เขาทำร้ายก็ทำร้ายไป แต่ว่าเราไม่มีความรู้สึกอยากจะตอบโต้ เพราะว่าไม่ได้เกลียดชังไม่ได้โกรธแค้น เพราะอะไร ก็เพราะว่าชำระจิตของตนให้ขาวรอบแล้ว และนี่แหละที่จะนำพาจิตใจของเราให้เข้าถึงพระนิพพาน
สรุปก็คือว่า โอวาทปาติโมกข์เป็นธรรมะที่มีคุณค่ามาก แม้ว่าจะยาวไม่กี่บรรทัดแต่ว่าถ้าเราพิจารณาใคร่ครวญก็จะเกิดประโยชน์กับชีวิตของเรา และถ้าเราลองทำลองปฏิบัติดูจนเกิดผล ก็มั่นใจได้ว่าชีวิตเราแม้จะยังไปไม่ถึงพระนิพพานแต่ว่าจิตใจก็จะสงบเย็นเป็นสุขได้